ท่ามกลางนักแสดงหญิงในวงการบันเทิงไทย นุ่น-ศิรพันธ์ วัฒนจินดา คือหนึ่งในนักแสดงมากฝีมือที่ใครหลายคนต้องขนลุกในการตีบทแตกกระจุย โดยเฉพาะ "ผีอีแพง" จากละครเรื่องบ่วงที่กลายเป็นเครื่องหมายการค้าติดตัวเธอไปแล้ว วันนี้เธอกลับมาเล่นละครแฟนตาซีสุดยิ่งใหญ่ในลุคผมสั้นที่สามี (ท็อป-พิพัฒน์) ยังต้องแซว "เหมือนได้เมียใหม่" พร้อมกับการเปิดใจถึงมุมคิด ชีวิตหลังแต่ง ซึ่งมีหลายประเด็นที่เธอไม่เคยให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อไหนมาก่อน
กลับมาแล้ว "นุ่น ศิรพันธ์"
"ที่หายไป เพราะมีหลายปัจจัยค่ะ นุ่นต้องเข้ามาจัดการเรื่องธุรกิจของครอบครัว กลัวถ้ารับงานละครจะทำได้ไม่ดี" นักแสดงสาวเจ้าบทบาทบอกถึงเหตุผลในช่วงที่หายไป ก่อนจะเผยด้วยน้ำเสียงดีใจเมื่อได้กลับมาเล่นละครในบทบาทที่แปลกใหม่กับการเป็น "ผู้ช่วยนักมายากลสาว"
"พอเริ่มเข้าที่ งานแสดงก็เข้ามาได้จังหวะในช่วงที่นุ่นกำลังคิดถึงอยู่พอดี ซึ่งเป็นละครแนวโรแมนติก แฟนตาซีในชุด Encore 100 ล้านวิวของ GMM BRAVO โดยนำเรื่องราวในเพลงที่มียอดวิวเกิน 100 ล้านอย่างเชือกวิเศษ มาเป็นดีเอ็นเอในการสร้างละคร 3 เรื่อง 3 อารมณ์จนออกมาเป็น 'เชือกวิเศษไตรภาค' และเรื่องที่นุ่นเล่นเป็นตอน วันที่เธอหายไป ได้เล่นกับพี่ตุ้ย (ธีรภัทร์ สัจจกุล) ซึ่งพี่ตุ้ยเก่งมากๆ ค่ะ
นุ่นได้ยินกิตติศัพท์พี่เขามานานแล้ว พอได้มาทำงานด้วยกันก็สมคำเล่าลือเพราะพี่เขาทำงานเก่ง เวลาทำงานกับคนเก่งๆ ทำให้เราทำงานง่าย เพราะช่วยกันส่งต่ออารมณ์ ที่สำคัญเหมือนนุ่นได้เรียนรู้การแสดงจากพี่ตุ้ยไปพร้อมๆ กัน เหมือนเป็นครูอีกคนที่นุ่นได้เจอ ดังนั้นการได้เล่นบทนี้ เป็นบทที่นุ่นชอบมาก เพราะนุ่นชอบดูมายากลตั้งแต่เด็ก และอยากขึ้นไปเดินสวยๆ เป็นผู้ช่วยนักมายากลแบบนั้นบ้าง (หัวเราะ) คือชีวิตไม่มีทางได้ทำอะไรแบบนี้"
สำหรับบทผู้ช่วยนักมายากลสาวในเรื่องนี้ นุ่นบอกว่า ตัวช่วยที่สำคัญคือการนั่งดูคลิปการแสดงมายากล
"ทีมงานส่งคลิปวิดีโอมาให้ดู นุ่นตั้งใจดูมากค่ะ คิดดูว่านุ่นแอบดูคลิปอยู่ในห้องประชุมจนท็อปต้องหันเหล่แล้วบอกว่า ประชุมอยู่ แบบทำเสียงเข้มๆ ใส่ (หัวเราะ) สิ่งที่นุ่นจับคีย์เวิร์ดได้จากการเป็นผู้ช่วยนักมายากลก็คือ การดึงดูดความสนใจของผู้ชมไม่ให้จับผิดทริกของนักมายากล ซึ่งนุ่นต้องเอาจริตจะก้านในตัวออกมาให้หมด มันสนุก และท้าทายดีเหมือนกันนะ นุ่นมีความสุขที่ได้เล่นอะไรแบบนี้ เพราะนุ่นรักการแสดงมากๆ ค่ะ"
นุ่นแต่ง "แก่" สามีถึงกับอึ้ง!
ไม่เพียงแต่บทผู้ช่วยนักมายากลสาวในเรื่องนี้เท่านั้น "บทยายแก่" ก็มาด้วยเหมือนกัน เพราะตอนที่เธอเล่น เป็นเรื่องราวของนักมายากลที่ใช้กลวิเศษย้อนเวลากลับไปยังอดีตเพื่อทำให้คนที่เขารักมากที่สุดไม่หายไปจากชีวิตเหมือนที่ได้เกิดขึ้นไปแล้ว
"นุ่นชื่นชมทีมงานกับโปรดักชั่นจริงๆ นะ ที่แต่งนุ่นให้แก่ได้เหมือนจริงมาก (เปิดรูปตอนแต่งหน้าเอฟเฟกต์เป็นยายแก่ให้ดู) นุ่นแอบถ่ายรูปส่งให้ท็อปดูแล้วบอกว่า ตอนแก่ฉันก็แบบนี้แหละ ทำใจไว้เลย ท็อปก็บอกว่า โอ้ เมียกู (หัวเราะยาว) แม้จะใช้เวลาแต่งนานเป็นชั่วโมง แต่ส่วนตัว นุ่นมองว่าการที่โปรดักชั่นสมจริงมันจะช่วยดึงอารมณ์นักแสดงได้ดี ถ้าแต่งแบบหลอกๆ ใส่เสื้อผ้าแบบหลอกๆ นักแสดงต้องใช้พลังอย่างมากในการทำให้ตัวเองเชื่อในบทนั้นๆ ถ้านักแสดงไม่เชื่อ คนดูก็จะไม่เชื่อ
สำหรับเรื่องนี้นุ่นไม่ต้องบิลต์อะไรเลย ส่องกระจกเห็นตัวเองแก่แล้วอินเนอร์ก็มาเลย แต่ทุกอย่างมันไม่ใช่ว่าต้องเล่นเป็นคนแก่ด้วยการทำเสียงแก่ เดินหลังค่อม แต่มันต้องใช้ศาสตร์ที่ลึกไปกว่านั้นคือ ต้องคิดจากข้างในว่าร่างกายเราแก่ พลังงานมันไม่เท่ากับตอนอายุ 30 นะ ถ้าคิดได้แบบนี้ พอเข้าฉาก อยู่ๆ นุ่นก็หมดแรง หลังมันค่อมไปเอง ส่วนเสียงก็จะพูดช้าลงไปเอง นี่คือหลักที่นุ่นใช้ในการแสดงทุกๆ เรื่อง
ส่วนหลักในการพิจารณาเลือกรับงานหนังงานละครของนุ่นนั้น แค่คำว่าอยากคำเดียวจริงๆ ค่ะ อาจจะมีเสริมหน่อยในบทที่เรายังไม่เคยเล่น อย่างเรื่องล่าสุดกับบทบาทผู้ช่วยนักมายากล นุ่นอยากเล่นมาก หรือบทฆาตกรโรคจิต บทคนใบ้ก็เป็นศาสตร์ขั้นสูงที่นุ่นอยากลองดูเหมือนกัน"
เล่นละคร ย้อนดูตัวเอง
หลายคนดูละครแล้วย้อนดูตัวเอง แต่สำหรับ "นุ่น" การเล่นละครคือการได้ย้อนดูตัวเอง โดยเฉพาะเรื่องล่าสุดที่เป็นเรื่องใกล้ตัวมากๆ
"การที่นุ่นได้เล่นในฐานะที่นุ่นแต่งงานแล้ว มันก็เลยซึมซับตัวละครจนกลับมามองคู่ของตัวเอง อ๋อ ปีที่ 1 ปีที่ 2 รักกัน ปีที่ 3 ปีที่ 4 เริ่มเครียดเรื่องงาน ปีที่ 5 เริ่มง่อนแง่น หลังจากกลับบ้าน นุ่นก็บอกท็อปว่า เฮ้ย! ไม่เป็นนะเว้ย (หัวเราะ) อย่าเครียดเรื่องงานแล้วมาบั่นทอนชีวิตครอบครัวนะ ต้องใส่ใจนะ ท็อปก็งง มาพูดอะไรกับฉันแบบนี้ เพราะปกติเวลาที่นุ่นเล่นละคร นุ่นจะไม่เอากลับเข้าบ้าน แต่เรื่องนี้นุ่นรู้สึกว่ามันใกล้ตัวนุ่นมาก
ดังนั้น การใช้ชีวิตคู่ทั้งที่แต่งงานแล้ว หรือยังไม่ได้แต่งงาน เราต้องดูแลความสัมพันธ์ของกันและกันให้ดี ถ้าเกิดคุณสองคนใส่ใจกันไม่มากพอในวันที่ทำได้ คุณไม่สามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขแบบพระเอกได้นะ เพราะนี่มันคือชีวิตจริง ต่อให้คุณมีเชือกวิเศษผูกรั้งใครไว้กับคุณ มันก็ทำไม่ได้หรอกถ้าเกิดที่ผ่านมาคุณไม่ดูแลหรือใส่ใจกันมากพอ ทางที่ดีทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ดูแล และจับมือกันให้แน่นๆ"
เมื่อถามว่าเคยคิดอยากย้อนเวลาไปแก้ไขบางสิ่งที่เคยทำผิดพลาดไหม "นุ่นเคยเป็นผู้หญิงที่เอาความต้องการของตัวเองเป็นหลัก" เธอบอก "นุ่นเคยอยากให้เขาเป็นในสิ่งที่เราอยากจะให้เป็น แล้วพอเขาเป็นไม่ได้ มันก็เลยทำให้ความสำคัญของเราต้องห่างกันไปจนตัดขาดกันไปพักหนึ่ง ซึ่งถ้าย้อนเวลากลับไปได้ นุ่นก็คงไม่ไปบังคับใคร นุ่นจะพูดกับตัวเองเสมอว่า นุ่นดีใจที่นุ่นเคยถูกทิ้ง และเคยอกหัก ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงที่ฟูมฟายมาก แต่คนในบ้าน พ่อแม่ พี่น้องรักนุ่นมาก ทำให้นุ่นมีประสบการณ์ว่า เรายืนอยู่ได้ เราจะแข็งแรงจากความคิดของเรานี่แหละ
ตัวเราเหมือนเดิม เสื้อผ้าเหมือนเดิม หน้าผมเหมือนเดิม เพียงแต่ความคิดจะทำให้เราเป็นคนยังไง ถ้าตื่นขึ้นมาแล้วบอกว่า วันนี้เสียใจจัง โดนทิ้ง เราก็จะเสียใจไปทั้งวัน แต่ตื่นขึ้นมาแล้วบอกว่า วันนี้เป็นวันของฉัน My day นะ แอกชั่นการใช้ชีวิตมันก็จะเปลี่ยนไป ดังนั้นนุ่นดีใจที่ตอนนั้นนุ่นโดนทิ้ง เพราะมันทำให้นุ่นรู้ว่า แย่ที่สุดเป็นยังไง และดีใจที่นุ่นกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ แต่ก็ต้องใช้เวลาเป็นเดือนเหมือนกันนะ (ยิ้ม)
ถึงวันนี้ ความคาดหวังไม่สำคัญเท่ากับมีกันและกัน "เมื่อก่อนนุ่นคาดหวังว่าต้องจำวันสำคัญให้ได้นะ แต่พอตอนที่ไม่มีเขา แล้วกลับมามีกันและกันอีกครั้ง แค่วันนี้ตื่นเช้ามาเจอกัน เห็นหน้ากัน การที่อีกคนลืมวันสำคัญก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่ยังมีกันและกันอยู่ ซึ่งมันมีค่ามากกว่ากันเยอะเลย"
สำหรับละครเรื่องนี้ ก่อนจะได้รับชมความยิ่งใหญ่แบบเต็มๆ ทางทีมงานได้จัดทำตอนพิเศษ โดยจะพาไปค้นหาความแฟนตาซีของมายากล และเจาะลึกทฤษฎีของการย้อนเวลาไปกับรายการ "ตามไปดู-วันที่เธอหายไป" ที่จะมาเสริ์ฟเป็นออเดิฟเรียกน้ำย่อยในวันพุธที่ 28 ก.ย.นี้ เวลา 3 ทุ่มครึ่ง ทางช่อง GMM25
โหมดชีวิต "หลังแต่งงาน"
เป็นคู่ที่ได้รับกระแสตอบรับดีไม่น้อย สำหรับ นุ่น ศิรพันธ์ กับ ท็อป พิพัฒน์ เมื่อได้ไปออกในรายการ Club Friday Show ทางช่อง GMM25 เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา และแน่นอนว่า ความรู้สึกหลังไปออกรายการนี้ คือสิ่งที่ใครหลายคนอยากรู้
"กลับบ้านไปก็ไม่มีการมาพูดถึงอีกนะ จบก็คือจบในวันนั้นค่ะ (ยิ้ม) ส่วนมากจะกวนๆ ใส่กันมากกว่าว่า เฮ้ย! เนี่ยนะ มีเพื่อนเราดู ทุกคนก็จะบอกว่า พี่ท็อปเป็นคนแบบนี้เหรอ แล้วนุ่นก็จะแกล้งเขากลับว่า เป็นไงล่ะแก (พูดสไตล์เพื่อนสนิทกับคุณสามี) นี่ถ้าเกิดมีกิ๊กอะไรนะ ไม่ต้องห่วง เรามีทีมเยอะ เพราะเราได้สร้างภาพว่าเป็นนางเอกโดนกระทำไปแล้วในวันนั้น (หัวเราะ) ซึ่งก็เป็นการแซวๆ กันค่ะ"
อย่างไรก็ดี ก่อนตัดสินใจไปออกรายการนี้ เธอบอกว่า "มีการคุยกันอยู่นานพอสมควรค่ะ เพราะตัวนุ่นเองค่อนข้างเขิน ซึ่งปกติ เราจะไม่ค่อยนั่งคุยอะไรกันแบบนี้ ดังนั้นอารมณ์ และความรู้สึกที่ไปออกรายการในวันนั้นมันจึงแบบ..มองหน้ากัน (ทำท่าสะกิดอีกฝ่าย) พูดดิๆ"
เมื่อถามในบทบาทภรรยาของสามี "ซักผ้าเก่งค่ะ แต่ล้างจานนี่เก่งมาก (หัวเราะ)" นุ่นรีบเอ่ยขึ้น "ส่วนหน้าที่ทำอาหารให้สามีรับประทานนั้น ถ้าพูดไปก็จะดูกระดากปาก (หัวเราะ) เพราะนุ่นนี่แย่เสมอต้นเสมอปลายมาก แต่ถ้าใช้ให้นุ่นทำงาน คุณจะได้งานที่ดี เพราะนุ่นเป็นคนที่ทุ่มเทมาก
ทุกวันนี้นุ่นจะขับรถให้ท็อปค่ะ เพราะส่วนตัวเป็นคนชอบขับรถ ส่วนท็อปก็จะเคลียร์งานเยอะกว่า เวลาเขาคุยโทรศัพท์ นุ่นอยากให้เขาใช้สมาธิ พอถึงออฟฟิศก็ทำงานด้วยกัน กินข้าวด้วยกันจนบางครั้งต้องคุยกันว่า ไปหาเพื่อนบ้างป่ะ ไปเลยนะ (หัวเราะ)"
"สามี" น่ารักที่สุดตอนไหน
สำหรับคำถามนี้ นุ่นนิ่งคิด ก่อนจะตอบว่า "ตอนกลับบ้านแล้วอาบน้ำเปลี่ยนเป็นชุดขาดๆ ใส่กางเกงบ็อกเซอร์นั่งอยู่หน้าจอทีวีค่ะ" นุ่นเล่าไปยิ้มไป "คือหมดฤทธิ์แล้วไงคะ เพราะถ้ามาเห็นนุ่นกับท็อปทำงาน เราจะไฟแรงด้วยกันทั้งคู่ พอกลับบ้านก็หมดแรง ไม่ต้องมานั่งทะเลาะเรื่องงาน (หัวเราะ) ต่างคนต่างนั่งดูทีวีโดยไม่มีการคุยกัน ซึ่งมันเป็นช่วงเวลาที่ดีมากนะ นุ่นเพิ่งเข้าใจว่าการกลับบ้านมานั่งดูทีวีด้วยกันเป็นอะไรที่ผ่อนคลายจริงๆ
ปัจจุบัน นุ่นลาออกจากการเป็น CEO ของ Eco-Shop แล้ว เพิ่งลาออกมาเอง คือตอนแรกที่ท็อปให้นุ่นมาทำ และให้นั่งแท่น CEO แต่สุดท้ายแก่นมันคือท็อป การที่ต่างคนต่างมีความคิดมันก็เลยเกิดปัญหา นุ่นก็เลยรู้สึกว่าวิถีทางแบบนี้มันไม่ใช่แล้ว มันทะเลาะกันจนแบบเหนื่อยแล้วอ่ะ นุ่นก็เลยขอท็อปลาออกเพื่อให้ท็อปเป็นผู้นำเต็มตัว
ส่วนนุ่นก็เป็นฝ่ายเบ็ดเตล็ดแทน คืออยากทำอะไรจะสนับสนุนทุกอย่าง ไม่ต้องกลัวนะ ผิดพลาดจะช่วยกันแก้ จะไม่ซ้ำเติมเด็ดขาด สุดท้ายเราก็เดินไปด้วยกันได้ แต่ตรรกะนี้อาจจะใช้ไม่ได้กับทุกครอบครัวนะ แต่สำหรับนุ่น นุ่นรู้สึกว่าแบบนี้แหละ โอเคที่สุดแล้ว
ทุกวันนี้ถ้าในส่วนของงาน นุ่นกับท็อปเราทำบริษัทที่สนใจเกี่ยวกับความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมในแง่ของการดีไซน์ เรายังมี Eco-Shop อยู่ตรงหอศิลป์ฯ กทม. นอกจากนั้นก็ทำงานเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และการดีไซน์เป็นหลัก ล่าสุดก็เป็นธุรกิจของครอบครัว เป็นตึก 128 อยู่ตรงนานา มีบริการนวดไทย มีห้องพักไว้บริการรายเดือน แล้วก็มีร้านสลัด ซึ่งเป็นในส่วนของตัวนุ่นเอง"
ไม่ดังมาก แต่ก็มีความสุข
ตลอด 12 ปีบนเส้นทางสายบันเทิง ความอดทน และความรับผิดชอบ คือ สิ่งที่เธอยึดมั่นมาโดยตลอด นอกจากนั้นยังเป็นนักแสดงที่ไม่เคยมีข่าวฉาวออกมาให้เห็นเลย
"นุ่นมองว่าวิถีชีวิตของแต่ละคนไม่เหมือนกัน แต่นุ่นเชื่อเรื่องหนึ่งคือความสุข นุ่นไม่อยากจะไปบอกว่าทำแบบนี้แล้วไม่ดี บางคนทำศัลยกรรมแล้วเขามีความสุข เขาไม่ผิดนะ คนที่ผิดคือคนที่ไปตัดสินเขา ซึ่งอาจกลายเป็นว่าคนที่ชอบตัดสินคนอื่นเป็นคนที่ไม่มีความสุขแทน สำหรับนุ่น นุ่นเลือกวิถีชีวิตแบบนี้ อาจจะไม่ดังมาก หรือมียอดตามอินสตาแกรมเป็นแสนๆ แต่นุ่นก็มีความสุขในแบบของนุ่น
เพราะสุดท้ายแล้ว นุ่นก็ไม่รู้ว่าจะพยายามสร้างกระแสให้ตัวเองดัง แต่ต้องสูญเสียบางอย่างไปทำไม พยายามสวย พยายามให้คนสนใจโดยที่ไม่มีเวลาให้ครอบครัว ไม่มีเวลาให้คนรัก ไม่มีเวลาเติมเต็มจิตวิญญาณของตัวเอง ถ้าเป็นแบบนี้ นุ่นรู้สึกว่ามันไม่ใช่ทางของนุ่น แต่นุ่นจะมีความสุขมากเวลาได้เจอบทเจ๋งๆ คือใครจ้างนุ่นนะ การันตีได้อย่างหนึ่งคือ ทำดีไม่ดีไม่รู้ แต่นุ่นเป็นคนเต็มที่มาก
แม้ช่วงแรกๆ จะโดนติเรื่องการแสดงเยอะ แต่ทุกครั้งที่นุ่นโดนตำหนิ หรือมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เข้ามา นุ่นต้องขอบคุณมากๆ เพราะมันเป็นแรงผลักดันจริงๆ อย่างเรื่องเพื่อนสนิท คนชอบก็ชอบ คนไม่ชอบก็จะแบบ..ตัวใหญ่ อ้วนดำ ปากกว้าง เสียงสอง คือนุ่นเป็นคนเสียงแบบนี้อยู่แล้วค่ะ เวลาคนฟังก็จะรู้สึกว่า ทำไมต้องทำเสียงสอง
คือเอาจริงๆ นะ ถ้าต้องทำให้เสียงเข้มๆ ตลอดเวลามันก็ดูเหนื่อยไปนะ (หัวเราะ) หรือถูกติว่าเล่นไม่ดี นุ่นก็ไปเรียนการแสดง อย่าง 4-5 ปีที่แล้วนุ่นทุ่มเทกับการเรียนเพื่อคนจะได้ไม่ด่าเรา เหมือนเป็นการอุดรอยรั่วในตัว แต่ถ้าด่าแบบไม่มีตรรกะ แรกๆ ก็นอยด์นะ แต่พอโตขึ้นก็บอกกับตัวเองว่า ไม่เจ็บๆ บางเรื่องมันแก้ไม่ได้จริงๆ อย่างเรื่องผิวดำ ผิวเข้ม คิดในใจ โทษพ่อ ว่าพ่อเลยจ้ะ เพราะพ่อผิวเข้ม (หัวเราะ) ทุกวันนี้ก็พยายามปล่อยวางและใช้ชีวิตให้มีความสุขที่สุด ไม่ว่าจะกับครอบครัวหรือคนรัก"
ปิดท้ายกับมุมชีวิตในครอบครัว ด้วยศักยภาพ และความแข็งแกร่งในตัว การย้อนกลับไปยังสถานที่ที่สร้างเธอมาอย่างครอบครัว คือสิ่งที่น่าสนใจไม่น้อย
นุ่นเติบโตในครอบครัวที่มีคุณพ่อ (พล.ท.เลิศพันธ์) เป็นทหาร ส่วนคุณแม่ (ศิริลักษณ์) เป็นคุณครู ทำให้เธอ และน้องชาย ต้องอยู่ภายใต้กฎระเบียบ และวินัยที่ค่อนข้างเข้มงวด ไม่ว่าจะเรื่องความรับผิดชอบในหน้าที่ และการตรงต่อเวลาซึ่งจะมีพ่อกับแม่เป็นตัวอย่างที่ดีเสมอมา
"นุ่นเป็นเด็กอยู่ในกรอบค่ะ ความมีระเบียบวินัย คือ สิ่งที่บ้านนุ่นให้ความสำคัญมาก ซึ่งบ้านนุ่นจะมีกฎระเบียบที่ผสมผสานกันระหว่างความเป็นทหาร และคุณครู ทำให้เวลาอยู่บ้านจะรู้สึกเหมือนอยู่ในโรงเรียนตลอด แต่นุ่นไม่รู้สึกอึดอัดนะ เพราะท่านทำให้เราเห็นเป็นกิจลักษณะ ยกตัวอย่างการจัดเก็บที่นอน ท่านจะจัดได้เนี้ยบมากๆ"
ไม่เพียงแต่ต้นแบบความมีระเบียบเท่านั้น ต้นแบบในด้านพฤติกรรม และการใช้ชีวิตของพ่อกับแม่ ยังน่ายกย่องไม่แพ้กันด้วย โดยเธอบอกว่า คุณพ่อเป็นผู้ชายที่ไม่เที่ยว ไม่กินเหล้า ไม่สูบบุหรี่ และไม่ค่อยออกไปสังสรรค์กับเพื่อน แต่มักจะอยู่บ้าน อ่านหนังสือ และใช้เวลาอยู่กับลูก ส่วนคุณแม่ นอกจากจะเป็นครูที่เก่งแล้ว ยังทำหน้าที่แม่ในการดูแลลูกๆ และสามีได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
"บ้านนุ่น เราจะอิ่มท้องด้วยอาหารฝีมือแม่เกือบทุกมื้อ หรือเรื่องการบ้าน ท่านก็จะเป็นคนสอนนุ่น พูดง่ายๆ คือ ท่านไม่เคยละเลยลูก และนุ่นก็ไม่เคยเรียนพิเศษนอกบ้านด้วย แต่ถ้าทำผิดจะถูกตีทันที และเรื่องที่นุ่นถูกตีส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องเรียนค่ะ จำได้ว่า ป.4 สอบได้ที่ 11 ทำให้นุ่นถูกแม่ตี 11 ที เพราะที่บ้านมีกฎเลยว่า ห้ามสอบได้เลข 2 ตัว"
ดังนั้น "การศึกษา" เป็นสิ่งที่ครอบครัวนี้ให้ความสำคัญมาก เพราะการศึกษาคือการติดอาวุธทางปัญญา และช่วยสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพที่ดีในอนาคต นี่คือ สิ่งที่บ้านนี้พยายามเน้นย้ำกับลูกทุกๆ คน
"ท่านจะเน้นย้ำกับนุ่น และน้องชาย ว่า คนเราต้องเรียนหนังสือเพื่อจะได้มีงาน และอาชีพที่ดี อย่างตอนทำงานในวงการบันเทิง ช่วงแรกๆ ท่านก็ไม่เห็นด้วย เพราะกลัวจะเสียการเรียน อีกอย่าง ท่านอยากให้นุ่นมีวิชาความรู้เพื่อใช้ประกอบอาชีพอื่นๆ ด้วย ไม่ใช่ยึดอาชีพในวงการอย่างเดียว แต่นุ่นก็สามารถทำให้พ่อกับแม่ เห็นว่า นี่คือ งานที่เราชอบ งานที่เรารัก ส่วนความประพฤติของนุ่นยังอยู่ในขอบเขตที่เหมาะสมเหมือนเดิม นุ่นไม่ใช่เด็กที่ชอบออกไปซ่าส์ ออกไปเที่ยว หรือใช้ชีวิตในทางที่ไม่ดี นุ่นก็ยังเป็นลูกที่พ่อแม่ไว้ใจได้ ไม่ว่าจะอยู่ในบ้านหรือนอกบ้านค่ะ" สาวนุ่นเผย
ปัจจุบัน "นุ่น" เรียนจบปริญญาตรีจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมอุตสาหการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โดยเธอแจ้งเกิดจากเวทีดัชชี่เกิร์ลในปี 2547 และมีผลงานสร้างชื่อคือ "เพื่อนสนิท" ซึ่งภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการแจ้งเกิดอย่างเต็มตัวในวงการบันเทิง ก่อนจะพัฒนาฝีมือด้วยการทุ่มเทเรียนการแสดงจนค่อยๆ เขยิบขึ้นมาเป็นนักแสดงที่ใครหลายคนต้องยกนิ้วให้ในการเข้าถึงตัวละครนั้นๆ แบละตีบทแตกได้ชวนขนลุก
เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร, ขอบคุณภาพจากอินสตาแกรม @noon_siraphunและเฟซบุ๊ก Nun Siraphun FC
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754