หลังจากศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน คดีแก๊งโจ๋รุมฆ่าคนพิการ เมื่อ 19 กันยายน ที่ผ่านมา ซึ่งจำเลยให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ทนายจำเลยบอกตามข้อเท็จจริงไม่ได้กระทำผิดขนาดที่ถูกกล่าวหา ขณะที่ทนายโจทก์พูดเลยว่าถ้าฝ่ายเรายังติดใจโทษก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้ ศาลพิจารณาแล้ว จึงให้นัดพร้อมและตรวจหลักฐานอีกครั้งตอนใกล้สิ้นปีในวันที่ 19 ธันวาคม ศกนี้
ชาวเน็ตปรี๊ดแตกทันที โลกโซเชียลฯ ระอุอีกครั้ง ด้วยความเป็นห่วงว่าท่ามกลางระยะเวลาอันทอดยาวไป แก๊งลูกคนมีสีใจเหี้ยมจะลอยนวลน่ะสิ!?!
จำเลยทั้งเจ็ดปฏิเสธไม่ได้ทำ ซื้อเวลาได้อีก
19 กย.59 ที่ห้องพิจารณา 903 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เวลา 10.00 น. ศาลนัดตรวจพยานหลักฐาน คดีดำ อ.2186/2559 ที่พนักงานอัยการพิเศษฝ่ายคดีอาญา9 ได้เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายพีรพล หรือ เปา ยศพงศ์อนันต์ อายุ 21 ปี, นายอัครเดช หรือ อั๋น ทัศนะ อายุ 22 ปี, นายมนต์มนัส หรือ เต้ย แสงโพธิ์ อายุ 21 ปี, นายจตุพร หรือ เบียร์ จันทร์โสภา อายุ 18 ปีเศษ, นายเมฆ พลไกรษร อายุ 19 ปี, นายอรินทร์ หรือ เตอร์ ยศพงศ์อนันต์ อายุ 19 ปี และ น.ส.ณัฐณิชา หรือ เกม ฤทธิ์ล้ำเลิศ อายุ 18 ปีเศษ เป็นจำเลยที่ 1-7 ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา ร่วมกันบุกรุกโดยใช้กำลังประทุษร้าย โดยมีอาวุธและร่วมกันพกพาอาวุธมีดไปในเมืองฯ โดยไม่มีเหตุอันควร
สืบเนื่องจากกรณีเมื่อวันที่ 1 พ.ค. 59 เวลากลางวันพวกจำเลยได้บุกเข้าไป ในบ้านพักของ นายสมเกียรติ ศรีจันทร์ อายุ 35 ปี ชายขาพิการ อาชีพส่งขนมปังอบ ร้านปังหอม ในซ.โชคชัย 4 แขวง-เขตลาดพร้าว แล้วใช้อาวุธมีดแทงฟันสมเกียรติ เป็นบาดแผลหลายแห่งจนถึงแก่ความตาย
ศาลได้อธิบายคำฟ้องโดยสรุปให้จำเลยทั้งเจ็ดฟังแล้วสอบคำให้การ จำเลยทั้งหมดขอให้การปฏิเสธ ขณะที่ศาลได้ถามว่าฝ่ายจำเลยจะยอมรับข้อเท็จจริงใดได้บ้างหรือไม่ โดยทนายความจำเลยขอเลื่อนนัดพร้อมตรวจหลักฐานออกไปก่อน เพื่อจะขอตรวจสอบข้อเท็จจริงทางคดีกับลูกความให้ชัดเจนก่อน
ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงที่ครบถ้วนและเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณาคดี จึงให้นัดพร้อมและตรวจหลักฐานอีกครั้งในวันที่ 19 ธ.ค.นี้เวลา 13.30 น.
“วันนี้ศาลได้นัดตรวจหลักฐาน ซึ่งฝ่ายโจทก์ได้ยื่นบัญชีพยานไว้ 37 อันดับ แต่มีการตัดพยานออกไปเหลือประมาณ 17-18 อันดับ” ทนายความ อนันต์ชัย ไชยเดช กล่าวให้สื่อฟังว่า
“ขณะที่ศาลได้อ่านคำฟ้องให้จำเลยฟัง จำเลยก็ให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา ซึ่งศาลให้โอกาสจำเลยทบทวนใหม่ เนื่องจากแผลที่ผู้ตายถูกทำร้าย 10 แห่งสามารถทำให้ถึงตายได้ทั้งนั้น หากจำเลยจะต่อสู้ว่าบันดาลโทสะหรือป้องกันตัวก็เชื่อได้ยาก แต่ถ้ายอมรับสารภาพโทษก็จะเบาลง เพราะจำเลยยังอยู่ในวัยที่เป็นเยาวชนในส่วนญาติผู้ตายก็ให้ว่ากันไปตามกระบวนการกฎหมาย เราไม่สามารถฝืนหรือวิจารณ์การลงโทษของศาลได้ แต่ถ้าฝ่ายเรายังติดใจโทษก็สามารถยื่นอุทธรณ์ได้
ศาลได้ปรานีจำเลยให้กลับเนื้อกลับตัว ซึ่งญาติจำเลยก็ไม่ได้มาประกันตัวอาจจะเพราะสำนึกผิดในสิ่งที่พวกจำเลยทำ แต่ก็ยังไม่มาขอโทษผู้เสียหาย ทางเราก็ไม่ได้ใจร้ายจะเอาให้ถึงตายเพราะทั้งเจ็ดคนก็ถือเป็นเยาวชน ความคิดอาจบกพร่องไปบ้างก็ให้อภัยได้ และเรื่องก็เกิดขึ้นนานแล้วญาติทำใจได้บ้าง อยากให้จำเลยสำนึกผิดเข้ามาขอโทษและเยียวยาผู้เสียหาย โทษหนักจะได้เบา ทางญาติผู้เสียหายก็ได้ยื่นขอให้พวกจำเลยร่วมชดใช้ค่าเสียหาย 2 ล้านบาท”
ขณะที่ทนายฝ่ายจำเลย คมเพชร จันทร์ปุ่ม เปิดเผยว่า ยังไม่ได้หารือกับจำเลยว่าจะรับสารภาพหรือไม่ ซึ่งข้อเท็จจริงไม่ได้กระทำผิดขนาดที่ถูกกล่าวหา โดยผู้ตายนำมีดมาทำร้ายกลุ่มจำเลยก่อนไม่ใช่มีดตัดขนมปังจนจำเลยที่ 1 ได้รับบาดเจ็บที่แขนเกือบขาด การตอบโต้กลับเกิดจากทะเลาะวิวาท ส่วนประเด็นการตรวจพบสารเสพติดในร่างกายผู้ตายก็จะหยิบยกมาเป็นข้อต่อสู้ด้วยเช่นกัน
ย้อนเหตุการณ์ชัดเว่อร์ ยังแถเบี่ยงประเด็น
1 พ.ค. 59 กลุ่มวัยรุ่นชายจำนวน 6 คน กับวัยรุ่นหญิงอีก 1 คน ให้การไว้ว่า ไปดื่มเหล้าบ้านเพื่อนตั้งแต่ตี 2 จนกระทั่งเช้า ขับขี่รถจักรยานยนต์ผ่านหน้าร้านขนมปัง "ปังหอม" และกลุ่มวัยรุ่นได้เอ่ยปากแซวล้อปมด้อยของสมเกียรติ เจ้าของร้านขนมปัง ซึ่งเป็นชายพิการขาขวาลีบจากโรคโปลิโอ
จากการแซวสนุกปาก กลายเป็นเหตุการณ์บานปลาย เมื่อวัยรุ่นสองคนตามเข้าไปบุกรุกจะทำร้ายชายพิการถึงในร้านขนมปัง จากนั้นได้โทรศัพท์เรียกเพื่อนมารุมทำร้าย ซึ่งมีพยานที่เห็นเหตุการณ์คือ หลานชายของผู้ตาย และพยานวัตถุคือ ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นถึงความอำมหิตของกลุ่มคนร้ายกลุ่มนี้
คลิปวีดีโอที่ถูกเผยแพร่สื่อออนไลน์ เป็นแก๊งวัยรุ่น 6 คน รุมทำร้ายร่างกายชายขาพิการกลางถนน ก่อนใช้มีดฟันคอชายคนดังกล่าวเสียชีวิต พยานผู้เห็นเหตุการณ์ใกล้ชิดอย่างหลานของผู้ตาย พยายามขอร้องให้เลิกแล้วต่อการอยู่ตลอดเวลา เขาให้สัมภาษณ์ผ่านสื่อว่า มีการใช้อาวุธมีดไล่แทงไล่ฟัน ใช้ก้อนหินก้อนอิฐในบริเวณนั้นขว้างและทุบ มีการข่มขู่ว่ามีอาวุธปืน และแสดงตัวว่าเป็น 'ลูกตำรวจ' พร้อมทั้งท้าทายให้ฝั่งผู้เสียหายไปแจ้งความ โดยระบุว่า พ่อทำงานเป็นตำรวจอยู่ในสน.ที่รับผิดชอบอีกด้วย”
ในคลิปยังเห็นตำรวจสายตรวจได้เข้าห้ามปรามกลุ่มชายวัยรุ่นที่ใช้อาวุธมีด และก้อนอิฐทำร้ายร่างกายชายคนดังกล่าว แต่กลุ่มวัยรุ่นยังไม่ยอมหยุด จนเจ้าหน้าที่ต้องยิงปืนขึ้นฟ้า ถึงสามารถแยกคู่กรณีออก และสามารถควบคุมตัวไว้ได้ทั้งหมด
ทว่าในจังหวะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้าระงับเหตุ การตะลุมบอนหยุดชะงัก ทันใดนั้น 1 ใน 6 แก๊งวัยรุ่นเหี้ยม อาศัยจังหวะที่กำลังที่ทุกคนหยุดและะหันไปมองตำรวจ แทงดาบเข้าบริเวณลำคอ ตัดหลอดลมและเส้นเลือดใหญ่ของสมเกียรติ
หลานชายของสมเกียรติ ผู้ประคองร่างของน้าชายผู้เคราะห์ร้าย เปิดเผยภายหลังว่าน้าสมเกียรติไม่ได้เสียชีวิตในทันทีที่ถูกแทงลำคอทะลุ เขายังมีโอกาสบอกเล่าความทรมานก่อนจะจากไป
"คิดว่าเสียชีวิตที่ที่เกิดเหตุ เพราะเค้าบอกผมว่า เม เม ...น้าหายใจไม่ออกแล้ว แล้วก็แน่นิ่งไป ตายในอ้อมกอด นี่คือคำพูดสุดท้าย ผมต้องได้รับความเป็นธรรมครับ (น้ำตาคลอ) ผู้ร้ายต้องถูกดำเนินคดีให้ถึงที่สุดครับ เพราะเค้ารุมฆ่าคนพิการเพียงคนเดียว"
ประชาชนชาวไทยทั้งประเทศดูคลิปอ่านข่าว แทบอึ้ง นึกไม่ถึงว่าจะมีเหตุการณ์จริงพากันรุมตึ้บคนพิการอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้ แน่นอน มีทั้งความรู้สึกสงสาร เศร้าสลด บวกความโกรธแค้นแทนผู้ตายและญาติผู้ตาย ก่อให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์อย่างดุเดือดในสังคมออนไลน์
ต่อมา มีข่าวอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะฝ่ายทนายญาติผู้เสียเชียชีวิต ที่ออกมาเรียกร้องให้มีการแจ้งข้อกล่าวหาร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน และชี้ความผิดปกติที่ตำรวจละเว้นสั่งคนฆ่าไปโรงพยาบาล หรือข่าวสัมภาษณ์เปิดใจ 1 ใน 6 โจ๋รุมฆ่าคนพิการว่าไม่ได้เจตนาฆ่า
หนำซ้ำ พอ พล.ต.ท.ศานิตย์ มหถาวร รักษาราชการแทน ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ออกมายอมรับว่าคดีนี้ 4 ใน 6 คนร้ายเป็นลูกชายของตำรวจสถานีตำรวจนครบาลโชคชัย และในเขตพื้นที่นครบาล โดยจะให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย แต่กลับไม่มีการแจ้งข้อหา 'ฆ่าโดยไตร่ตรอง' โดยให้เหตุผลว่าหลักฐานยังไม่ครบ?!
ทั้งที่มีคลิปและหลักฐานบ่งบอกว่า ผู้ต้องหามีการนัดเเนะเพื่อน และก็พกอาวุธอันตรายมาด้วยเพื่อก่อเหตุ มีการทำร้ายชายพิการตะโกนบอกว่า 'ฆ่ามัน เอามันให้ตาย' ซึ่งใครตามข่าวก็จะรู้ว่าพฤติกรรมเช่นนี้มีการคิด การวางแผน และทำไปโดยเจตนา แต่ทำไมนอกจากพนักงานสอบสวนจะทำคดีด้วยความล่าช้าแล้ว กลับไม่มีการแจ้งข้อหาฆ่าคนโดยไตร่ตรอง?
เพราะ 'ฆ่าโดยไตร่ตรอง' มีอัตราโทษสูงกว่า 'ฆ่าคนตายโดยเจตนา'
กระแสโซเชียลฯ จึงเกิดความเคลื่อนไหว มีผู้ไปตั้งแคมเปญรณรงค์ ลงชื่อขอความเป็นธรรม 'คดีลูกตำรวจรุมฆ่าคนพิการ' แจ้งข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรอง' พร้อมติดแฮชแทค #ลูกตำรวจแล้วไง ในเว็บไซต์ change.org
พีคเข้าไปอีก เมื่อท่านศานิตย์ ออกมาพูดว่า จำเป็นต้องดำเนินไปตามข้อเท็จจริง เพื่อปกป้องกระบวนการยุติธรรมของไทย ไม่ให้อยู่ภายใต้แรงกดดันกระแสสังคม และความรู้สึกของคนกลุ่มมาก โดยไม่สนข้อเท็จจริง
ท่านยังพูดอีกว่า คดีดังกล่าวยื่นให้อัยการ ก็จะมีการกลั่นกรองอยู่แล้ว หากพนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาหรือสอบปากคำพยานไม่ครบ ทางอัยการก็จะสั่งให้สอบเพิ่มหรือแจ้งข้อหาเพิ่มเติมได้ พร้อมยืนยันจะรวบรวมหลักฐานทุกชิ้น ให้รอบคอบ ในเชิงประจักษ์ ไม่ใช่ตามความคิดเห็น และจะไม่วิเคราะห์วิจารณ์ในเรื่องดังกล่าวอีกปล่อยให้ดำเนินการไปตามกฎหมาย
สังคมเรียกร้องความโปร่งใส สู้ให้ถึงที่สุดแห่งความยุติธรรม
"ผมคิดว่า ตำรวจพูดแบบนี้ไม่ถูก คดีนี้ทั้งพยานหลักฐาน พยานบุคคล พยานวัตถุ พยานเอกสาร ที่ทางผมเสนอไป และที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจมี ถือว่าชัดเจน มันไม่ใช่เรื่องของกระแส มันเป็นเรื่องของข้อเท็จจริงที่มีหลักฐานยืนยัน ผมเป็นทนาย ผมทำตามหน้าที่ของทนาย ผมยืนยันตามหลักฐาน ไม่ใช่ตามกระแสสังคม ตำรวจพูดแบบนี้ไม่ถูก สังคมไม่ได้กดดันอะไรตำรวจ แต่สังคมแค่ช่วยเหลือ...ช่วยเหลือผู้เสียหาย เพราะเขาเป็นคนพิการที่ถูกรุมทำร้ายโดยผู้มีมือเท้าครบ เป็นวัยรุ่นวัยฉกรรจ์ถึง 6 คน ที่รุมคนพิการเพียงคนเดียว" ทนายความชัยอนันต์ให้สัมภาษณ์ผ่าน news.truelife.com ไว้
“ผมขอเรียกร้องความเป็นธรรมให้ผู้เสียชีวิตและครอบครัว ขอให้มีการดำเนินการย้ายชุดสืบสวนปัจจุบัน (สน.โชคชัย) เพื่อความโปร่งใสในการดำเนินคดีกับทางผู้ต้องหาที่เป็นลูกของตำรวจในพื้นที่ รวมถึงแจ้งข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรอง ขอให้ตำรวจดำเนินการส่งสำนวนฟ้องศาล เพื่อดำเนินคดีให้ถึงที่สุด และเป็นแบบอย่างที่ดีในการป้องกันปราบปรามเยาวชนหรือบุคคลทั่วไปไม่ให้กระทำความผิดในลักษณะเช่นนี้อีก” จักรกฤษณ์ มีชัย เขียนแถลงตอนตั้งแคมเปญลงชื่อขอความเป็นธรรมฯ
“สู้ให้ถึงฏีกา ยังไงมันก็แพ้ รับโทษไปเต็มๆ #ลูกตำรวจแล้วไง"
ชาวเน็ตเริ่มกลับมาวิพากษ์วิจารณ์อีกครั้ง หลังข่าวจำเลยทั้งเจ็ดปฎิเสธไม่ได้ทำ
“หลักฐานเป็นคลิปวีดีโอขนาดนี้ ปฏิเสธได้แต่ว่าไม่ได้พยายามฆ่าหรือเปล่า? ถ้าปฏิเสธไม่ได้ทำได้นี่ #เมืองไทยโหดมาก"
“เป็นไปตามกระบวนการครับ จำเลยปฏิเสธไปเพื่อจะได้สู้คดี.. แต่ถ้าพยานหลักฐานแน่นหนา การปฏิเสธไม่ได้เป็นคุณต่อตัวจำเลยเองแน่นอน อย่างน้อยก็ตัดการ์ด "จำเลยรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่ง" ออกไปได้หนึ่งใบ”
“คลิปชัดเจนขนาดนี้กล้าบอกว่าไม่ได้ทำ หน้า..มากค่ะปรบมือ #ลูกตำรวจเเล้วไง อยากเห็นหน้าพ่อแม่จังเส้นคงใหญ่หน้าดู หมดไปกี่บาทล่ะกับการสู้คดี ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเหรอ?...”
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลข่าวศาลนัดตรวจพยานหลักฐานครั้งนี้ ทำให้พวกเรารับทราบว่า จำเลยทั้งเจ็ดไม่ได้รับการอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวเหมือนข่าวลือก่อนหน้านี้, อัยการโจทก์ได้ฟ้องจำเลยในข้อหาหนัก คือ ร่วมกันฆ่าผู้อื่นแล้ว, และศาลอนุญาตห้แม่ของผู้ตายเป็นโจทก์ร่วมกับอัยการได้ ดั่งชาวเน็ตท่านหนึ่งแสดงความคิดเห็นว่า
“แต่ขั้นตอนกระบวนการในชั้นศาล จำเลยมีสิทธิปฏิเสธฟ้องอัยการโจทก์ เป็นหน้าที่ของอัยการที่จะต้องนำสืบแสดงให้ศาลเห็นว่าจำเลยคนไหนลงมือทำร้าย ฟัน แทง อย่างไร ตาม ป.วิ.อาญา มาตรา 174 กล่าวอีกนัยว่าโจทก์มีหน้าที่นำพยานเข้าสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลย จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่จำเลยจะปฏิเสธว่าตนไม่ได้กระทำความผิด จึงต้องติดตามต่อไปว่าในการขั้นศาลครั้งหน้าทางโจทก์จะนำสืบต่อศาลว่าอย่างไรบ้าง”
ขออย่าให้เป็นไปตามความกังวลที่ทนายกระดูกเหล็ก-อนันต์ชัย เคยกล่าวไว้เลยว่า
“ระยะเวลาฆ่าความยุติธรรมได้...เพราะเมื่อสังคมสงบ สังคมเริ่มเงียบ ไม่มีใครเข้ามาจุดพลุเข้ามาเมื่อนั้น...ความยุติธรรมจะถดถอยไปทีละนิด”
แต่ดูเหมือนว่าคนไทยชาวเน็ตจดจำคดีแก๊งโจ๋ใจโหดรุมฆ่าคนพิการได้อย่างแม่นยำฝังใจ พร้อมเป็นแนวร่วมต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งความยุติธรรม
“ต้องการรายชื่ออีกมั้ยค่ะ หนูจะช่วยอีกกี่ครั้งก็จะช่วย ให้ประชาชนอย่างหนูช่วยคดีพี่เค้ายังไง แจ้งมาค่ะ เอาพวกขยะสังคมติดคุก หนูยอมช่วยเต็มที่...และคิดว่าคนอื่นเค้าคงอยากช่วยอีกเหมือนกัน..”
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754