xs
xsm
sm
md
lg

สุดเห็นใจ!..พ่อแม่ยุค 2016ขีดตารางชีวิตลูกตั้งแต่ตื่นยันนอน!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เข้มงวดเกินไปไหม? พ่อทำตารางกฎเหล็ก กำหนดกิจกรรมวันหยุดของลูกชาย แนะผู้ปกครองท่านอื่น หากสนใจเอาไปทำตามได้เลย ด้านจิตแพทย์เด็กแนะ ตารางกิจกรรมมีได้ แต่ต้องขึ้นอยู่กับตัวเด็กด้วย ย้ำ อย่าเลี้ยงลูกให้โตไปเป็นเด็กอนุบาล!

พ่อแม่จัดตารางให้...ด้วยรักลูกเสมอ
กลายเป็นประเด็นดรามาขึ้นมา เมื่อโลกออนไลน์ได้แชร์ภาพ ตารางกิจกรรมในวันหยุดของเด็กคนหนึ่ง ที่คาดว่าผู้ที่ทำขึ้นคือผู้ปกครองของเขาเอง ตารางนี้ถูกติดไว้ที่ประตูหน้าห้องของลูก มีรายละเอียดระบุไว้ว่า แต่ละช่วงเวลาลูกต้องทำอะไรบ้าง เปรียบเสมือนเป็นกฎเหล็กที่ลูกต้องปฏิบัติตาม

ตัวอย่างเช่น ต้องตื่นนอน อาบน้ำ รับประทานอาหาร และดูโทรทัศน์ ภายในเวลาไม่เกิน 10.00 น.ต่อมาจะเป็นช่วงที่ต้องดูหนังสือ ทำการบ้าน ห้ามดูโทรทัศน์และห้ามหลับ(ให้อยู่แต่ในห้องอ่านหนังสือ) ประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะสลับกับการพักผ่อนและอ่านหนังสือ เป็นอย่างนี้จนหมดวัน ในตารางยังระบุอีกว่า วันเสาร์ให้เข้านอนไม่เกิน 23.00 น. และหากเป็นวันอาทิตย์ให้ลูกเข้านอนไม่เกิน 21.30 น.



นอกจากนี้ ยังมีข้อความเสริมในช่วงท้ายของตารางว่า “เหนื่อยวันนี้ จะสบายวันหน้า พ่อแม่มีแต่ความปรารถนาดี จงเชื่อฟังไว้ ความขี้เกียจมีแต่จะทำลายความก้าวหน้าและโอกาสที่ดี ความมุ่งมั่นและความขยันจะทำให้ไปถึงความสำเร็จโดยง่าย พ่อแม่ไม่ได้อยู่กับลูกตลอดชีวิต ลูกจึงต้องขยันและเรียนให้มาก เมื่อไม่มีพ่อแม่ ลูกก็จะมีวิชาติดตัว ประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองได้(เลิกพูดว่าว่า “เดี๋ยวก่อน” กับคำว่า ”แป๊บนึง” โดยเด็ดขาด)” พร้อมลงท้ายด้วยว่า รักลูกเสมอ มีข้อความประกอบภาพ เชิญชวนให้ผู้ปกครองท่านอื่นนำไปทำตามได้




หลังจากที่ภาพตารางและข้อความดังกล่าวถูกแชร์ต่อๆ กันไป เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างมากมาย ซึ่งส่วนใหญ่มองว่า การจัดตารางให้ลูกเช่นนี้ เป็นการบังคับกันเกินไปหรือไม่ เหมือนกับเป็นการตีกรอบให้เด็กมากเกินไป ทำให้เด็กไม่ได้เล่นสนุกสนานอย่างที่เด็กควรจะเป็น แต่ก็มีบางส่วนที่เห็นด้วยกับพ่อคนนี้ โดยมองว่า อาจเป็นการฝึกให้ลูกมีความรับผิดชอบ และหากย้อนเวลาได้ ก็อยากให้พ่อแม่ของตนกำหนดตารางแบบนี้ให้บ้างเช่นกัน



ภายหลังจากที่มีการแสดงความคิดเห็นอย่างมากมาย ซึ่งผู้เป็นพ่อมีตำแหน่งเป็นถึงผู้อำนวยการโรงเรียน ได้ออกมาชี้แจงและให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า การที่โพสต์ภาพตารางแต่ไม่มีคำอธิบายอาจทำให้คนทั่วไปเข้าใจว่า กดดันลูกเกินไป ความจริงแล้ว ลูกชายมีความฝันว่าอยากเข้าโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งพ่อไม่สามารถอ่านหนังสือแทนลูกได้ จึงทำตารางนี้ขึ้นมา และลูกของเขาก็เห็นด้วยกับตารางนี้และปฏิบัติตาม จนทำให้ลูกสามารถสอบติดโรงเรียนที่ตั้งใจไว้ และเป็นเด็กที่มีอุปนิสัยร่าเริง มีเพื่อนมาก เรียนดี และยังมีอิสระในการคิดและตัดสินใจมากอีกด้วย

อย่าเลี้ยงลูกให้โตไปเป็นเด็กอนุบาล!

สืบเนื่องมาจากกรณีข้างต้น ที่ผู้ปกครองได้กำหนดกฎเหล็กเป็นตารางกิจกรรมในวันหยุด กำหนดไว้เรียบร้อยว่าเวลานี้ควรทำอะไร สามารถดูโทรทัศน์ได้ตอนไหน และต้องเข้านอนไม่เกินเวลาที่กำหนด ให้ลูกชายปฏิบัติตาม จนเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมากว่า สิ่งที่พ่อคนนี้ทำนั้น เป็นการตีกรอบชีวิตให้ลูกเกินไปหรือไม่?


[ นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ ]

นพ.วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น กรมสุขภาพจิต ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้ ผ่านบทความ #ด้วยรักและบังคับลูกเสมอ โดยบอกว่า การกำหนดตารางชีวิตเรื่องปกติ เพราะมีหลายครอบครัวที่มาขอคำปรึกษาและมีตารางแบบนี้เช่นกัน แต่วิธีการและเป้าหมายต้องแตกต่างกันไปตามช่วงวัยของลูก

ช่วงอนุบาล พ่อแม่จะเป็นคนจัดตารางเวลาให้เด็กอย่างคร่าวๆ เป้าหมายไม่ใช่เพื่อให้เด็กทำตามตารางนั้นได้ทั้งหมด แต่ให้เด็กเกิดความเคยชินและเรียนรู้เกี่ยวกับการมีระเบียบวินัยเรื่องเวลา เพื่อเป็นพื้นฐานเมื่อถึงวัยที่เหมาะสม เมื่อขึ้นชั้นประถม พ่อแม่มีหน้าที่ "ชี้แนะ" ในการจัดตารางเวลา นพ.วรตม์แนะนำให้ครอบครัวมานั่งรวมหัวประชุมกัน แลกเปลี่ยนความคิดของกันและกัน เพื่อให้เกิดตารางที่เหมาะสมที่สุด โดยเด็กรู้สึกว่านั่นคือ "ตารางของเขาเอง"

ช่วงมัธยมต้น พ่อแม่มีหน้าที่ "เตือน" ให้ลูกจัดตารางเวลาเอง อธิบายให้ลูกเข้าใจเกี่ยวกับการมีระเบียบวินัยในการเรียน รู้จักรับผิดและรับชอบจากผลที่เกิดขึ้นมาจากความตั้งใจของตนเอง นอกจากนี้ ยังต้องสอนให้ลูกรู้จักการพักผ่อนที่เหมาะสม เพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูกลับมาพร้อมสำหรับการเรียนต่อไป และสุดท้าย ช่วงมัธยมปลาย พ่อแม่มีหน้าที่เตรียมของว่างให้ลูกกิน ให้กำลังใจและรอลุ้นอยู่ห่างๆ บอกตัวเองเสมอว่าลูกโตพอแล้วที่จะรับผิดชอบชีวิตตัวเอง ไม่ใช่เด็กน้อยอีกต่อไป แต่ทั้งหมดที่กล่าวมา ขึ้นอยู่กับตัวเด็กแต่ละคนด้วย


[ ที่มา : เฟซบุ๊ก 'Jod 8riew' https://www.facebook.com/OmeagaJod/ ]

บางครอบครัวมีลูกคนเดียวยิ่งต้องเป็นที่คาดหวังของพ่อแม่เข้าไปใหญ่ แต่ความคาดหวังที่สูงมากเกินไป มักจะนำไปสู่การกำกับจัดการที่ไม่เหมาะสม เช่น การเข้าไปวุ่นวายมากเกินความจำเป็น การบังคับกดดัน หรือแม้กระทั่งการใช้ความรุนแรงที่กระทบทั้งทางร่างกายและจิตใจ

เมื่อเด็กถูกขีดเส้นให้เดินตลอดเวลา ถึงเวลาก็เลยเดินเองไม่เป็น โตไปก็จะกลายเป็นคนที่ไม่กล้าตัดสินใจ แม้แต่จัดตารางเวลาของตัวเองยังทำไม่ได้เลย แล้วอีกหน่อยจะเป็นเจ้าคนนายคนจัดตารางเวลาให้คนอื่นได้อย่างไร หรือจะต้องมีคนมาคอยจัดการชีวิตให้ตลอดไป พ่อแม่บางคนชอบใช้ลูกเหมือนเป็นชีวิตรอบที่สองของตัวเอง และสุดท้าย พ่อแม่ทุกคนไม่สามารถอยู่กับลูกได้ตลอดชีวิตของเขา พ่อแม่จึงมีแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ในการสอนลูกให้เขาสามารถใช้ชีวิตบนลำแข้งของตัวเองในยามที่พ่อแม่ไม่อยู่แล้ว

“ผมจึงมักเตือนคนรอบตัวและคนไข้ของผมเสมอครับว่า อย่าเลี้ยงลูกให้โตไปเป็นเด็กอนุบาล!" นพ.วรตม์ กล่าวทิ้งท้าย

อย่าให้ความคาดหวังของพ่อแม่ทำร้ายลูก
การที่ลูกประสบความสำเร็จในชีวิต ย่อมนำมาซึ่งความภาคภูมิใจให้ได้เสมอ แต่กว่าจะมาถึงในจุดที่สามารถยืนด้วยลำแข้งของตัวเองได้ แน่นอนว่าต้องผ่านการแข่งขันมาอย่างนับไม่ถ้วน!

การเข้าศึกษาต่อในโรงเรียนชื่อดัง สมัยนี้แม้แต่ระดับอนุบาลก็ยังต้องสอบเข้า เพื่อที่จะให้ลูกได้อยู่ในสังคมที่ดี มีชื่อเสียง หากบ้านไหนที่ลูกสอบเข้าไม่ได้ และเป็นครอบครัวที่มีฐานะ ก็อาจจะใช้วิธีฝากเข้า หรือเรียกง่ายๆ ว่า ยัดใต้โต๊ะ ซึ่งมีจำนวนเงินตั้งแต่หลักหมื่นไปจนถึงหลักแสน หรือบางที่อาจจะมากกว่านั้น ขึ้นอยู่กับชื่อเสียงของโรงเรียน


[ ที่มา : http://www.pocketonline.net/board/view.php?id=2586&page=first ]

เมื่อเข้าอยู่อยู่โรงเรียนชั้นนำแล้ว สิ่งที่ต้องแข่งขันกันอีกคือเรื่องการเรียน ลูกคนใดที่พ่อแม่คิดว่าหัวอ่อน เกรดไม่ดี ตามเพื่อนไม่ทัน ก็จะถูกส่งให้ไปเรียนพิเศษในวันหยุด หรือถ้าใครที่ตามไม่ทันมากๆ เข้า ก็จะได้เรียนพิเศษเสริมหลังเลิกเรียน จนเรียกได้ว่าแทบจะไม่มีเวลาได้พักผ่อน หรือเล่นสนุกสนานกับเพื่อนๆ ตามนิสัยของเด็กที่ควรจะเป็น

ยิ่งช่วงการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัย เป็นช่วงที่การแข่งขันมาถึงสุดที่เข้มข้นที่สุด ลูกบางคนต้องอดตาหลับขับตานอนอ่านหนังสือและเรียนพิเศษอย่างหนัก เพื่อที่จะเข้ามหาวิทยาลัยที่ตนและพ่อแม่คาดหวังให้ได้ แต่ก็มีบางคนที่ใช้ทางลัด หรืออาจจะเรียกว่า “โกง” โดยไม่ได้ใช้ความสามารถของตนเอง



อย่างกรณีที่เป็นข่าวล่าสุด กับเหตุการณ์ที่มีการจ้างนักศึกษาแฝงตัวเข้าไปในการสอบเข้าแพทยศาสตร์ ทันตศาสตร์ และเภสัชศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยชื่อดังย่านรังสิต และใช้อุปกรณ์ ‘นาฬิกาดิจิตอล’ ส่งข้อมูลออกมาให้คนที่อยู่ภายนอกช่วยทำข้อสอบ เมื่อได้คำตอบจะส่งข้อมูลเป็น SMS กลับมาที่นาฬิกาของเด็กนักเรียนที่อยากเข้าคณะดังกล่าวที่กำลังนั่งสอบอยู่




ต่อมาภายหลังจากที่สามารถจับทุจริตการโกงสอบครั้งนี้แล้วนั้น ทางมหาวิทยาลัยได้ยกเลิกการสอบทั้งหมด และกำหนดการสอบขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ส่วนนักศึกษาที่เข้าไปถ่ายภาพข้อสอบยอมรับว่า สถาบันกวดวิชาให้เงินค่าจ้างจำนวน 6,000 บาท แต่ถ้าไม่ถูกจับได้และเด็กสอบติด ผู้ปกครองต้องจ่ายเงินให้สถาบันกวดวิชาถึง 800,000 บาท ซึ่งก่อนหน้านี้ต้องวางเงินมัดจำไปแล้ว 50,000 บาท ด้านสถาบันกวดวิชา ทางมหาวิทยาลัยตั้งใจว่าจะเอาผิดอย่างถึงที่สุด ส่วนเด็กที่ทุจริตการสอบ ได้มีการขึ้นบัญชีดำไว้แล้ว เป็นความผิดติดตัวตั้งแต่ยังไม่พ้นการเป็นนักเรียนเลยทีเดียว


[ ที่มา : http://www.dek-d.com/loveroom/34805/ ]

เหตุการณ์ที่กล่าวจะเห็นได้ว่า กว่าจะเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้โตขึ้นมาในสังคมที่เต็มไปด้วยการแข่งขัน ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมาอย่างมากมาย ซึ่งหากสำเร็จได้เพราะความสามารถจริงๆ ของลูก ก็ถือได้ว่าคุ้มกับที่ทำไป แต่หากความสำเร็จนั้นได้มาจากการทุจริตที่พ่อแม่ให้การสนับสนุน ก็เหมือนกับเป็นการปลูกฝังให้ลูกคุ้นชินเรื่องผิดๆ ก็เหมือนเป็นการทำร้ายลูกทางอ้อมได้เหมือนกัน

ข่าวโดย : ผู้จัดการ Live
ขอบคุณภาพ : เฟซบุ๊ก ‘Nat Varoth’




มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น