xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤตศรัทธา “วัดชลประทานรังสฤษดิ์”! ทุบศาสนสถานเดิม = ทุบคำสอนหลวงพ่อปัญญา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online


เกิดวิกฤตศรัทธาหนักมาก เมื่อเจ้าอาวาสองค์ใหม่ “พระปัญญานันทมุนี” แห่งวัดชลประทานรังสฤษดิ์ สั่งรื้อทุบศาลาบำเพ็ญกุศล ศาลาหอฉัน กุฏิทรงไทย เรือนพักพระ ที่อยู่อุบาสก และกระทั่งลานหินโค้ง อันล้วนเป็นอนุสรณ์ถึง“หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ” โดยใช้คำว่าปรับภูมิทัศน์ เพื่อเตรียมสถานที่พระราชทานเพลิงหลวงพ่อปัญญาปีหน้า

เพราะการทำลายสิ่งที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุได้สร้างไว้ นอกจากทำร้ายจิตใจลูกศิษย์ลูกหาประชาชนที่เคารพศรัทธาหลวงพ่อปัญญาแล้ว ยังเท่ากับสวนแย้งคำสอนของหลวงพ่อปัญญาที่เน้นประหยัด ส่งเสริมความเรียบง่าย ต่อต้านความฟุ่มเฟือย ไม่นิยมวัตถุ

แชร์ว่อนภาพทุบทำลายศาสนสถานวัดชลประทานฯ

หลังจากผู้ใช้เฟซบุ๊กนามว่า Siriwanna Jill - New โพสต์ภาพแบบอาคารใหม่ของวัดชลประทานฯ และข้อความระบุถึงเจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน ประวัติความเป็นมาของวัด ซึ่งได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานด้วย

วิกฤตศรัทธาหนัก ลูกศิษย์วัดชลประทานรังสฤษดิ์รับไม่ได้ ที่เจ้าอาวาสองค์ใหม่ทุบทำลาย/รื้อถอน โชว์แผนสร้างใหม่ อลังการ ไม่เหลือความเป็นไทย นึกว่าโบสถ์ฝรั่ง ทั้งๆ ที่เดิมเป็นวัดเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งอยุธยา และกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนประกาศเป็นโบราณสถาน วัดชลประทานรังสฤษดิ์เป็นการสร้างขึ้นโดยการรวมเอาวัดเชิงท่ากับวัดหน้าโบสถ์เข้าเป็นวัดเดียวกัน ภาพอาคารใหม่ที่เจ้าอาวาสเตรียมสร้าง โดยทุบทิ้งอาคารเก่า ที่มีการเผยแพร่ ดูแล้วขัดตาขัดใจ แค่หวังสัญญาบัตรพัดยศ ทำ KPI...

… ปี 2496 กรมชลประทาน ได้ดำเนินการก่อสร้างเขื่อนเจ้าพระยาขึ้น รัฐบาลได้ตราพระราชบัญญัติเวนคืนที่ดิน บริเวณตำบลบางตลาด อำเภอปากเกร็ด ตำบลท่าทราย อำเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี พ.ศ. 2496 เพื่อเวนคืนที่ดินให้แก่กรมชลประทาน ที่ธรณีสงฆ์ของวัดเชิงท่าและวัดหน้าโบสถ์ถูกโอนแก่กรมชลประทาน โดยให้กรมชลประทานจัดสร้างวัดขึ้นใหม่วัดหนึ่ง เพื่อให้พระภิกษุสามเณรทั้งสองวัดไปจำพรรษารวมกัน

สาเหตุที่กรมชลประทานมีที่ดินด้านทิศตะวันตกติดต่อกับแม่น้ำเจ้าพระยา มีวัดเชิงท่ากับวัดหน้าโบสถ์ขวางอยู่ ทำให้ขยายสถานที่สร้างท่าเรือไม่สะดวก จึงได้แลกเปลี่ยนและย้ายวัดทั้งสองมาสร้างขึ้นใหม่ทางทิศตะวันออก ถนนติวานนท์ที่ตั้งอยู่ในปัจจุบัน การย้ายวัดเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2499 กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศรวมวัดทั้งสองเป็นวัดเดียวกัน เมื่อปี 2503 โดยวัดที่สร้างขึ้นใหม่นี้อยู่ในความอุปการะของกรมชลประทาน ได้นามวัดใหม่ว่า “วัดชลประทานรังสฤษดิ์” แปลว่าวัดที่กรมชลประทานสร้าง

วัดเชิงท่าและวัดหน้าโบสถ์เดิม แม้จะมีการรวมวัดและย้ายมาสร้างใหม่แล้ว แต่เนื่องจากกรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ทางเทศบาลนครนนทบุรีจึงได้ร่วมกับกรมศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี จัดทำโครงการอนุรักษ์พัฒนา วัดเชิงท่าและวัดหน้าโบสถ์เพื่อเป็นสถานที่ท่องเที่ยว แหล่งความรู้ด้านศิลปะโบราณสถาน และได้ย้ายอุโบสถวัดหน้าโบสถ์ในเขตพระราชฐานมายังบริเวณวัดเชิงท่า และให้ชื่อใหม่ว่า “พุทธสถานเชิงท่า-หน้าโบสถ์”

ครั้นชาวเน็ตเห็นภาพแบบแปลนใหม่ของวัด ถึงกับตะลึง วิจารณ์กันสนั่นเชิงลบ อาทิ

“ดูอย่างไรว่าเป็นวัด”

“คอนโดพระ ใครจะบวชวัดนี้ต้องมีเงิน ใครตายแล้วจะเผาวัดนี้ต้องมีเงิน เพราะวัดสร้างแพงจะบวชจะเผาไม่ได้ง่ายๆ เห็นแล้วปวดตับ”

“เห็นรูปแล้วพูดได้คำเดียวว่าไร้รสนิยม เงินเป็นพันๆ ล้านเอามาสร้างตึกอะไรไม่รู้ ทรงขี้เหร่ๆ ดูแบบโบสถ์เมืองฝรั่งสิสร้างกันมาเป็นหลายร้อยปีแล้วทุกวันนี้ความสวยงาม ความเป็นศิลปะมันยังคงอยู่ แล้วกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสร้างรายได้ระยะยาวด้วย ของวัดไทยนี่อะไรกัน ระดมเงินเรี่ยไรแล้วสร้างกล่องๆ ขี้เหร่ๆ มา แป๊บๆ ทุบทิ้ง แล้วระดมเงินสร้างอันใหม่ แป๊บๆ ทุบทิ้งอีก วนเป็นรูปแบบนี้ เจ้าอาวาส กรรมการ กะผู้รับเหมารวยพุงปลิ้นเลย"

เจ้าอาวาสบอกพัฒนาเพื่อหลวงพ่อปัญญา แต่พุทธศาสนิกชนฟังไม่ขึ้น

พระปัญญานันทมุนี ซึ่งเป็นเจ้าอาวาสวัดชลประทานฯ ได้แจงออกสื่อว่า สิ่งที่ท่านดำเนินการทั้งหมด เพื่อหลวงพ่อปัญญา พระศาสนา และประชาชน ไม่คิดเป็นอื่น พร้อมรับทุกเรื่อง ที่สำคัญ แผนการพัฒนานี้ ทางผู้ว่าราชการจังหวัด คณะสงฆ์ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับรองการดำเนินการในการพัฒนาวัดครั้งนี้

ไปดูซิว่า ท่านพัฒนาปรับปรุงสร้างอะไรบ้าง

เนื่องจากปี 2560 จะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อปัญญา ทางวัดต้องเตรียมสถานที่รองรับประชาชนที่จะหลั่งไหลมาร่วมงานจำนวนมาก อย่าง ขยายพื้นที่ลานหินโค้ง ปลูกต้นไม้เพิ่มด้วย, สร้างสถานที่เก็บอัฐิธาตุของหลวงพ่อปัญญา โดยสร้างเป็นอาคารที่ใช้แสดงหลักธรรมของหลวงพ่ออย่างเป็นหมวดหมู่

ความที่จอดรถปัจจุบันไม่เพียงพอ วัดจึงต้องสร้างอาคารจอดรถใหม่บริเวณสระน้ำ ท่านบอกจะไม่ถมสระ แต่ยกเสาสูงแทน พร้อมคืนพื้นที่ด้านข้างบริเวณพระอุโบสถ จากที่จอดรถเป็นสวนต้นไม่ให้ร่มรื่น สมกับเป็นพระอารามหลวง

ปรับรื้ออาคารศาลาศพ 3 หลังที่มีอายุมากกว่า 40 ปี เป็นการย้ายสร้างให้อยู่ในพื้นที่ศาลาศพ ไม่ใช่ทุบทำลายเฉยๆ

อีกทั้งที่พักค้างแรมของพุทธศาสนิกชน-ห้องน้ำ-โรงครัวไม่เพียงพอ วัดจึงต้องสร้างเพิ่มปรับปรุงใหม่

รวมทั้งสถานที่จำพรรษาของพระภิกษุซึ่งก็ไม่เพียงพอ จึงต้องปรับปรุงสร้างสถานที่จำพรรษาให้เพียงพอ

“ทำไมต้องไปทำให้มันทันสมัย อนุรักษ์แบบเดิมๆ ไว้ดีกว่า หัวสมัยใหม่ก็ดี แต่เยอะแบบนึ้ สึกออกไปทำอย่างอื่นเถอะ”

แม้เจ้าอาวาสพระปัญญานันทมุนีออกมาให้ข่าวอธิบาย ทว่าพุทธศาสนิกชนก็ยังไม่อาจยอมรับได้ พากันแสดงความคิดเห็นแย้งกลับผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น

“วัดต้องเป็นป่าต่างหาก”

“การสร้างวัดใหญ่โตด้วย ตึกอาราม รูปแบบสวยงามอลังการนั้น น่าจะตกยุคตกขอบกันแล้ว ด้วยคนที่มีศรัทธาที่แท้จริงนั้นมองข้ามวัตถุ ต้องการหาสถานที่เงียบสงบเป็นธรรมชาติ ร่มรื่นเหมาะในการพิจารณากรรมฐาน ลดละกิเลส มิใช่เดินห้างในรูปแบบอิงศาสนากันอย่างทุกวันนี้”

“บวชพระเพื่อชำระล้างกิเลส สืบทอดพระพุทธศาสนาด้วยพระธรรมของพุทธองค์ ศาสนาพุทธไม่ใช่เฉพาะวัตถุ”

ทุบ! ศรัทธาประชาชนที่เขารวบรวมเงินบริจาคเพื่อสร้างถาวรวัตถุ เพื่อประโยชน์ของคนส่วนร่วม การทำลายอนุสรณ์หรือสิ่งที่หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุท่านได้สร้างไว้ ก็เปรียบเสมือนทำร้ายจิตใจประชาชนที่เขาเคารพนับถือหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ การปรับภูมิทัศน์ก็ควรปรับในพื้นที่ เท่าที่มีอยู่ มิใช่ทำลายแล้วสร้างใหม่เพียงอ้างว่าเพื่อปรับภูมิทัศน์ และอย่าอ้างว่าประชาชนร้องเรียนเรื่องไม่มีที่จอดรถ ถ้าอ้างเรื่องนี้ วัดดังๆ ในกรุงเทพฯ หลายๆ วัด ก็คงต้องรื้อ ต้องทำลาย ตามข้ออ้างนี้ด้วยหรือ?

“หยุดแข่งขันเรื่องอาคารสถานที่ซะที่เถิดครับ สิ้นเปลืองค่าก่อสร้างและค่าบำรุงรักษา พัฒนาเด็กกันดีกว่ามั้ยครับ”

ลูกศิษย์เสียความรู้สึก ย้อนแก่นคำสอนหลวงพ่อปัญญา

“ตอนเด็กๆ เคยเรียนโรงเรียนพุทธศาสนาวันอาทิตย์ โตมากับข้าวก้นบาตรวัดชลประทาน เมื่อก่อนวัดมีความเรียบง่ายสงบร่มเย็นดีอยู่แล้วนี่ครับ เห็นมีปัญหาก็ตรงที่การจอดรถนี่ละ จะคิดจะทำอะไรก็อย่าแก้จนเละนะครับ อย่าเอาสบายหรือสวยงามมากจนลืมความสงบร่มเย็นของวัดที่เคยมีมาแต่ดั้งแต่เดิม พระละทิ้งกิเลส ฆราวาสหรือผู้ที่มาใช้สถานที่ก็อย่ายึดติดความสะดวกสบายกันจนมากไปนะครับ”

ลูกศิษย์หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ก็ตบเท้าแสดงความรู้สึก

“ตั้งแต่สิ้นหลวงพ่อปัญญา ศรัทธาของผมก็ถดถอยลงไปทุกที”

พระปัญญาท่านพูดเสมอว่า ท่านไม่ชอบการสวดแต่ชอบการเทศน์ ชอบการสอน ท่านบอกพระพุทธศาสนามีแต่การสอนที่ทำให้คนหายโง่ ไม่ใช่เรื่องการสร้างวัตถุให้คนบูชา เพราะมันไม่ได้ประโยชน์อะไร ถ้าจะสร้าง ท่านจะสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล พอหมดยุคท่าน ทั้งที่ท่านสร้างหลักการสอนมาชั่วชีวิต แต่มาจบเห่ ในยุคนี้ช่างน่าเศร้าใจนัก!

หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ หรือ “พระพรหมมังคลาจารย์” นั้น ถึงแก่มรณภาพเมื่อเวลา 9.09 น. ในวันที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2550 ณ โรงพยาบาลศิริราช ด้วยเหตุติดเชื้อในกระแสโลหิต สิริรวมอายุได้ 96 ปี 5 เดือน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานโกศแปดเหลี่ยมและรับศพไว้ในพระราชานุเคราะห์

ท่านเป็นพระนักเผยแพร่พุทธศาสนาด้วยการปฏิวัติรูปแบบการเทศนาแบบดั้งเดิมที่นั่งเทศนาบนธรรมาสน์ถือใบลาน มาเป็นการยืนพูดปาฐกถาธรรมแบบพูดปากเปล่าต่อสาธารณชน พร้อมทั้งยกตัวอย่างเหตุผลร่วมสมัย ทันต่อเหตุการณ์ เป็นการดึงดูดประชาชนให้หันเข้าหาธรรมะได้เป็นเป็นอย่างมาก

เมื่อพุทธศาสนิกชนทราบข่าวว่า หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุจะไปปาฐกถาธรรมที่ใด ก็จะติดตามไปฟังกันเป็นจำนวนมาก ทั้งเทศนาออกอากาศทางสถานีวิทยุโทรทัศน์ต่างๆ นอกจากนี้ หลวงพ่อปัญญายังได้รับอาราธนาไปแสดงธรรมในต่างประเทศ เช่น สหรัฐอเมริกา อังกฤษ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เป็นต้น และยังได้รับเชิญเข้าร่วมประชุมและกล่าวคำปราศรัยในการประชุมองค์กรศาสนาของโลกเป็นประจำอีกด้วย

ท่านเป็นพระมหาเถระผู้มีชื่อเสียงของประเทศไทย ได้สร้างงานไว้มากมายทั้งด้านศาสนาสังคมสงเคราะห์ตลอดจนงานด้านวิชาการ ดังนั้นหลวงพ่อปัญญาจึงได้รับการเสนอชื่อให้เป็นผู้ได้รับรางวัลเกียรติคุณมากมาย และเป็นประธานในการดำเนินกิจกรรมทั้งที่เป็นประโยชน์แก่พระพุทธศาสนาและสังคม เช่น สนับสนุนโครงการเผยแผ่พระพุทธศาสนาในต่างแดน เป็นประธานจัดหาทุนสร้างตึกโรงพยาบาล กรมชลประทาน 80 ปี (ปัญญานันทะ) และเป็นประธานในการดำเนินการจัดหาทุนสร้างวัดปัญญานันทาราม

คำสอนของหลวงพ่อปัญญาล้วนฟังง่ายเข้าใจง่าย แต่ลึกซึ้งด้วยหลักธรรมและอุดมการณ์อันหนักแน่นในพระรัตนตรัย ท่านเป็นพระสงฆ์รูปแรกที่กล้าในการปฏิรูปพิธีกรรมทางศาสนาของชาวไทยที่ประกอบพิธีกรรมหรูหรา ฟุ่มเฟือย โดยเปลี่ยนเป็นประหยัด มีประโยชน์และเรียบง่า

ขอบคุณข้อมูลบางส่วนจาก bhikkhupanyananda.org

ขอบคุณภาพจาก FB: Siriwanna Jill - New, oknation.net, dailynews.co.th, news.rmutt.ac.th, dhammajak.net



มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram

"MGR Online Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!


และสามารถส่งข่าวสารมาได้ที่: manageronlinelive@gmail.com
หรือ Fax 0-2629-4754



กำลังโหลดความคิดเห็น