เป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ที่ได้ชื่อว่าเป็น "ซูเปอร์มัมคิดบวก" แม้วันนี้สามี "ปีเตอร์ คอร์ป ไดเรนดัล" จะยังไม่กลับบ้าน แต่มนุษย์แม่วัย 30 ต้นๆ "พลอย-พลอยพรรณ ทวีรัตน์" ก็พยายามมองโลกในแง่ดีด้วยการมองเห็นวันพรุ่งนี้มากกว่าที่จะจมอยู่กับอดีต และเชื่อว่าคนเรายังสร้างสิ่งที่ดีกว่าให้เกิดขึ้นได้เสมอ
ตลอด 1 ชั่วโมงที่ได้ขยับพ่นคำพูดแลกเปลี่ยนกันไปมา แม้สีหน้าจะดูอ่อนล้าจากสงครามปัญหาที่ถาโถม รวมไปถึงสารพัดธุรกิจที่เธอต้องดูแล แต่ก็เผยให้เห็นแววตาสุกใสเป็นประกาย เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น รวมไปถึงแง่งามของวิธีคิดที่ชวนให้ใครหลายคนได้เรียนรู้ ซึมซับ รับ "แรงบันดาลใจ" โดยเฉพาะความเก่ง ความแกร่ง และวิธีการมองโลกในแง่บวกของเธอ
ในวันที่สามียังไม่กลับบ้าน
เส้นทางชีวิตของ "มนุษย์" เต็มไปด้วยสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ ความทุกข์มักเข้ามาทักทายโดยไม่ทันให้เราได้ตั้งตัว เช่นเดียวกับเรื่องร้ายๆ และอุปสรรคในระหว่างทางของคุณแม่ยังสวยวัย 30 ต้นๆ ที่ไม่คาดคิดว่าชีวิตจะมาถึงจุดนี้
"ใช่ เรามาถึงจุดนี้กันได้อย่างไร (หัวเราะ) แต่พลอยเชื่อว่าพลอยเป็นคนเก่ง พลอยชอบทำธุรกิจ มีศักยภาพในเรื่องแบบนี้ แต่ไม่คิดว่าจะได้เอามาใช้ (หัวเราะ) ต้องขอบคุณปัญหาที่เข้ามา ทำให้พลอยได้ใช้ศักยภาพที่มีอยู่อย่างจริงจัง ถามว่ามาอยู่จุดนี้ได้อย่างไร ถ้าให้เลือกระหว่างนั่งทำงานเหนื่อยๆ กับการที่พลอยเป็นแม่บ้าน ทำอาหารให้ลูกๆ รับประทาน พลอยคงเลือกอย่างหลัง แต่พอมานั่งทบทวนดูดีๆ ถ้าเกิดเราไม่ทำ แล้วใครจะทำ ลูกเราจะอยู่อย่างไร
ดังนั้น แทนที่จะมานั่งต่อว่าตัวเอง พลอยเลือกที่จะเดินหน้าต่อไปไม่ดีกว่าเหรอ เหนื่อยหน่อยแต่ถ้าจัดสรรเวลาดีมันก็โอเค ทุกวันนี้พลอยทำงานเยอะมาก ในขณะเดียวกันพลอยก็ให้เวลากับลูก เล่นกับลูก ร้องเพลงกับลูก และนอนกอดลูกชายทั้งสองคน (แพนเตอร์วัย 1 ขวบ 5 เดือน กับพูม่าวัย 2 เดือน) ทุกคืน" คุณแม่ลูกสองเล่าไปยิ้มไป
ถึงตอนนี้ แม้สามียังไม่กลับมาสะสางปัญหา แต่ความเป็น "มนุษย์แม่" ก็ต้องเดินหน้าต่อไป
"พลอยบอกตัวเองอยู่เสมอว่า เราควรจะใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน ไม่อยากไปคิดว่าเขาจะกลับมาวันไหน กลับมาหรือไม่ ส่วนอนาคตยิ่งไม่ต้องไปคิดถึงเลย คือบางทีการไปคาดหวังว่าจะต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ มันจะยิ่งเพิ่มภาระทางใจ ตัดพลังการใช้ชีวิตของเรามากขึ้น แต่อะไรที่เราควบคุมไม่ได้เราก็ควรปล่อยมันไปบ้าง เมื่อคิดได้แบบนี้ ทำให้พลอยจัดการกับปัญหาได้ง่ายขึ้น" เธอเล่า ก่อนจะเปรียบเปรยปัญหาเหมือนกับก้อนขี้หมาไว้อย่างมีแง่คิด
"ปัญหาต่างๆ ก็เหมือนกับก้อนขี้หมา การไปจมอยู่กับปัญหาตรงนั้นนานๆ เราก็เหมือนเหยียบขี้หมาไปแล้ว ถ้าเกิดเราก้าวเดินไปข้างหน้า ขี้หมามันจะค่อยๆ หลุดไปเอง แต่ถ้าเหยียบแล้ว กลับมานั่งร้องไห้ ค่อยๆ แงะ ค่อยๆ แกะ ซึ่งบางก้อนมันเหนียวมากนะ (หัวเราะ) มันแงะไม่ออกหรอก เพราะฉะนั้น เราจะไปสนใจทำไม โชคดีแค่ไหนแล้วที่เรายังมีรองเท้า ซึ่งรองเท้าก็เหมือนเรามีแขนขา มีสมอง มีความสามารถ ในเมื่อเรามีครบทุกอย่าง ทำไมเราถึงไม่เดินต่อไปล่ะ
สำหรับพลอย พลอยเชื่อว่า มันไม่มีขี้หมาบ้าก้อนไหนที่มันจะติดไปตลอด ต่อให้เป็นหมากฝรั่งวันหนึ่งมันก็ต้องหลุดออก" ถามว่าขี้หมาที่ติดรองเท้าพลอยมันเริ่มหลุดออกบ้างแล้วหรือยัง "ตอนนี้ยังค่ะ แต่มันจะค่อยๆ หลุดออกไม่วันใดก็วันหนึ่ง" เธอตอบด้วยน้ำเสียงมุ่งมั่น ชวนให้ขนลุกซู่กับคำเปรียบเปรยของเธอ
ถ้าสมมติวันหนึ่งเขากลับมา คิดว่าจะทำอย่างไร หรือมีทางเลือกใดบ้าง "อนาคตก็คืออนาคตค่ะ" เธอตอบคำถามนี้ด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย "ตอนนี้พลอยโฟกัสเรื่องลูก และงาน ถ้าเกิดวันหนึ่งเขากลับมา และพร้อมที่จะอยู่กับเรา อยู่กับลูกตลอดชีวิต ไม่มีใครที่อยากจะไปกีดกันความเป็นพ่อเป็นลูก ลูกมีพ่อมีแม่คือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา ถ้ากลับมามันก็จะดีตรงนั้น
ถ้ากลับมาแล้วออกไปอีก ซ้ำไปซ้ำมา พลอยว่า ไม่กลับมาก็ดี (น้ำเสียงแผ่วลง) ถ้ากลับมาเป็นแบบเดิม มีแต่จะทำให้ลูกเสียใจเปล่าๆ แต่ก่อนเวลาหยิบของชิ้นนั้นชิ้นนี้ขึ้นมาก็บอกได้ว่าเป็นของปะป๋า หรือเวลาจะตัดผมให้เขา เขาจะตัดก็ต่อเมื่อเป็นทรงเดียวกับปะป๋า แต่เดี๋ยวนี้เวลาเอาชื่อปะป๋ามาอ้าง มุกนี้เอามาใช้ไม่ได้แล้ว (หัวเราะ)
ส่วนตัวพยายามไม่พูดถึงมากกว่า ไม่ใช่ว่าพลอยไม่อยากให้เขาจำหน้าพ่อเขาได้นะ เพียงแต่ไม่อยากไปสร้างรอยในใจเขามากกว่า ถ้าลูกจำได้ก็คือจำได้ แต่การยิ่งไปบอกว่า ผู้ชายคนนี้เคยอยู่ในโลกของเขานะ แต่วันนี้ไม่ได้อยู่แล้ว มันจะยิ่งไปสร้างปมว่า แล้วผู้ชายคนนี้หายไปไหนล่ะ" เธอเล่า ก่อนจะเว้นช่วงสูดหายใจลึกๆ เข้าปอด และเผยให้ฟังตามมาว่า "โชคดีที่ลูกยังเล็กด้วยค่ะ ยังไม่ค่อยรู้ประสีประสาอะไร พลอยก็เลยไม่ต้องอธิบายอะไรมาก"
ทำทุกอย่าง เก็บทุกธุรกิจ
"เพราะนี่คือโอกาสของชีวิตค่ะ" เธอบอกหลังจากถูกถามถึงธุรกิจในอุ้งมือ ซึ่งไม่คาดคิดว่า "มนุษย์แม่" ตัวเล็กๆ อย่างเธอจะดูแลธุรกิจเหล่านี้เองทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจขายยากันยุง และออยล์ออร์แกนิกสำหรับเด็ก ภายใต้แบรนด์ Baby Panther ซึ่งทำมาได้ปีกว่าๆ แล้ว ตามมาด้วยธุรกิจที่ได้รับคำแนะนำจากลูกพี่ลูกน้อง "นำเข้าขนมเค้กแช่แข็งจากฝรั่งเศส" ภายใต้แบรนด์ Buvette เพื่อขายส่งให้โรงแรม และร้านกาแฟ-เบเกอรี่ที่ไม่ได้ทำขนมเอง และผลิตภัณฑ์อาหารเสริมคอลลาเจน ยี่ห้อ Bunny White Collagen
"พลอยชอบทำธุรกิจที่มันเกี่ยวข้องกับตัวเอง พลอยจะไม่ไปแตะธุรกิจอะไรที่พลอยไม่มีความสนใจ อย่างหุ้น พลอยไม่เล่นเลย เพราะรู้สึกว่า เราไม่มีความสามารถทางด้านนี้ ที่ต้องทำธุรกิจหลากหลาย หนึ่งคือ เพื่อลูกค่ะ สองคือ เพื่อจะได้ไม่ว่างค่ะ (หัวเราะ) เหมือนชีวิตพลอยมันมีบางปัญหาที่มันสะสางไม่ได้ เชื่อไหมว่าพลอยฝันเรื่องเดิมๆ ทุกคืน ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม พลอยจะฝันถึงเขาทุกคืน อย่างบางวันพลอยไม่ได้คิดถึงนะ แต่มันเป็นอะไรที่มันอยู่ในใจลึกๆ และถูกสะสมเอาไว้มากๆ
พอถึงจุดหนึ่ง พลอยก็ฉุกคิด เฮ้ย! มันไม่ได้แล้วนะ เราต้องไม่ว่าง ถ้าว่างเราจะคิดถึงแต่เรื่องเดิมๆ และนั่นจึงเป็นที่มาของธุรกิจอีกหนึ่งตัว ซึ่งก็คือ เสื้อยืด SUPER MOM (แอบเหนื่อย) สำหรับชื่อนี้ พลอยเชื่อว่ามันคือความรู้สึกของแม่ทุกๆ คน เหมือนกับเสื้อตัวนี้ที่ด้านหน้าจะเขียนว่า SUPER MOM สะท้อนให้เห็นเบื้องหน้าที่จะต้องทำตัวให้เก่ง แต่ด้านหลังของเสื้อจะสกีนคำว่า เหนื่อยโฮก เอาไว้ อารมณ์เหมือนแอบบ่น (ยิ้ม)
เห็นได้จากตัวพลอยเองเบื้องหน้าคือเวิร์กกิ้งมัม แต่เบื้องหลังคือแม่บ้านที่เหนื่อยโฮกๆ ถามว่าเรามีกำลังใจ เรามีแรงบันดาลใจ เรามีจุดมุ่งหมายในชีวิตไหม เรามีครบทุกอย่างค่ะ มันถึงทำให้พลอยฮึดสู้และพาตัวเองมาถึงจุดนี้ได้"
นอกจากนั้น เธอยังมีพ็อกเกตบุ๊กเกี่ยวกับวิธีการมองโลกในแง่บวก (คาดว่าจะเปิดตัวในงานมหกรรมหนังสือระดับชาติ ครั้งที่ 20 ระหว่างวันที่ 21 ตุลาคม-1 พฤศจิกายน 2558) รวมไปถึงยูทิวบ์ ชาแนลของตัวเอง ทำเกี่ยวกับชีวิตแม่ลูก และกำลังจะบันทึกเทปแรกกลางเดือนกันยายนนี้
"พลอยตั้งโปรดักชันของพลอยเองเลยค่ะ มีทีมงาน มีตากล้อง มีฝ่ายตัดต่อ คือทำมันทุกอย่าง เก็บมันทุกธุรกิจ เพราะตัวพลอยรู้สึกว่านี่คือโอกาสของชีวิต ทุกวันนี้ไม่มีอะไรที่มันอยู่ยงคงกระพัน การที่คนจะจ้างออกงาน จ้างลงไอจี คือพลอยรู้สึกว่ามันก็เป็นรายรับอ่ะนะคะ แต่วันหนึ่งถ้าไม่มีใครจ้างพลอย ไม่มีใครสนใจพลอย ไม่มีใครสนใจแพนเตอร์ ไม่มีใครสนใจพูม่าแล้ว ตัวพลอยเองก็ควรจะมีอะไรเข้ามารองรับ
อย่างธุรกิจที่พลอยทำอยู่คือความอยู่รอดหลักของพลอยกับครอบครัว ส่วนชื่อเสียงมันไม่ได้อยู่กับเราไปตลอด วันหนึ่งก็ต้องแผ่ว และดับลงไป" คุณแม่ลูกสองบอกเล่าด้วยน้ำเสียงปลงๆ แต่ก็ผสมไปด้วยความมุ่งมั่น และตั้งใจสำหรับก้าวต่อไป ปัจจุบัน พลอยยังเป็นพนักงานของบริษัทการบินไทยอยู่ ตอนนี้พักเลี้ยงลูก 9 เดือน และจะกลับไปสู่วงการแอร์โฮสเตสอีกครั้งในเดือนมีนาคมปีหน้า
เปิดรายชื่อ "ผู้ช่วย" คนสำคัญ
ไม่เพียงแต่การมองโลกในมุมบวกที่ค่อยๆ พัดพาปัญหาให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดีแล้ว เธอยังมีครอบครัว และทีมงานคอยช่วยชาร์จพลัง และแบ่งเบาภาระภายในบ้าน
"คุณแม่ช่วยชาร์จแบตฯ ให้พลอยได้มาก อย่างแรกคือเป็นกำลังใจ และอยู่เคียงข้างพลอย นอกจากนั้นพลอยยังมีทีมงานที่ดี มีพี่เลี้ยง มีคนขับรถ มีเพื่อนๆ ซึ่งพวกเขาจะรู้และเข้าใจพลอยโดยที่พลอยไม่ต้องพูดหรือบอกอะไรมาก เช่น วันไหนที่พลอยวุ่นมากๆ พลอยก็จะให้พี่เลี้ยงคอยพาเด็กๆ ออกไปเดินเล่น หรือจะเป็นแม่บ้าน ซึ่งพลอยถือว่าเป็นทีมงานคนหนึ่ง ดังนั้น พลอยจะให้ความสำคัญกับพวกเขามากๆ ถ้าไม่มีพวกเขาพลอยก็แย่เหมือนกันค่ะ
ทุกวันนี้ขยันทำงานหาเงินก็เพื่ออนาคตของลูก เหนื่อยหน่อยพลอยก็ยอม บางงานเราก็ต้องกระเตงลูกไปด้วย เพราะเป็นงานคู่แม่ลูก แต่ส่วนตัวก็รู้สึกลึกๆ ว่า เราใช้งานลูกมากเกินไปหรือเปล่า แต่คิดอีกด้าน ถ้าเราแม่ลูกช่วยกัน เราก็จะช่วยกันเก็บเงินเพื่อเป็นค่าเทอม ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ได้ ถามว่าวันนี้นอนวันละกี่ชั่วโมง นอนน้อยมากค่ะ ยิ่งช่วงนี้กำลังจะออกพ็อกเกตบุ๊กของตัวเองด้วยแล้วยิ่งเหนื่อยค่ะ บางวันนั่งเกลาเนื้อหาจนถึงตีสอง เสร็จจากตรงนั้นก็ยังนอนไม่ได้ เพราะลูกต้องตื่นมากินนมทุก 2 ชั่วโมงคือ ตี 2 ตี 4 และ 6 โมงเช้า
ไม่แปลกที่ทุกๆ เช้าพลอยจะมึนๆ เบลอๆ แต่พลอยก็จะพยายามบูทเครื่องตัวเองด้วยการกินวิตามิน หลังจากเพิ่มพลังให้ร่างกายแล้ว พลอยจะต้องดูแลเรื่องอาหารของลูกๆ รวมไปถึงการอาบน้ำ แต่งตัวให้ลูก จากนั้นปล่อยให้เขาได้เล่น ส่วนเราก็มานั่งดูไลน์ เช็กอีเมล"
อย่างไรก็ดี แม้จะมีพี่เลี้ยงคอยช่วย แต่เธอก็พยายามแบ่งเวลาเลี้ยงลูกๆ ให้ดีที่สุด "บางงานกระเตงลูกไปได้ก็กระเตงกันไป หรือบางวันมีประชุมงาน พลอยก็ต้องแจ้งไว้ก่อนว่า พลอยต้องขออุ้มลูกเอาไว้นะ เพราะเราไม่อยากให้เขารู้สึกว่า วันไหนจะอุ้มฉันก็อุ้ม วันไหนไม่อยากอุ้มก็ไม่อุ้ม"
ไม่เพียงแต่ครอบครัว และทีมงานแล้ว "เพื่อน" คือคนสำคัญที่คอยอยู่เคียงข้าง และพร้อมเข้าใจในทุกๆ เรื่อง
"พลอยเป็นคนโชคดีมากที่คนรอบตัวเข้าใจ และคอยให้ความช่วยเหลือ อย่างเพื่อน พวกเขาจะรู้ว่าพลอยทำงานเหนื่อยมาก (ลากเสียงยาว) จะไม่มีใครมาพูดว่า แกไม่มีเวลาให้ฉันเลยนะ มีแต่จะถามว่าเหนื่อยไหม ว่างไหมเดี๋ยวเข้าไปหาเอง พอมากันที่บ้านก็จะมานั่งเล่นกับหลาน ไม่ได้กะเกณฑ์ว่าถ้ามาแล้วจะต้องมานั่งคุย นั่งเมาท์มอยกัน ไม่มีใครมาบอกว่า โห! แก ทำไมต้องมานั่งกดมือถืออยู่ตลอด คุยกับฉันทำไมถึงไม่มองหน้าฉัน แต่เพื่อนๆ จะเข้าใจพลอย เข้าใจงานพลอย ถ้าพลอยตอบเมลลูกค้าช้า มันจะทำให้ส่วนอื่นๆ มีปัญหาตามไปด้วย"
ถึง "แฟนคลับ" ที่แสนดี
แน่นอนว่า การเดินทาง และการแก้ปัญหาตัวคนเดียว มันคงเหงาน่าดู แต่การได้มี "กลุ่มแฟนคลับ" คอยตามให้กำลังใจ ทำให้เธอมีพลังในการก้าวเดินต่อไป แต่บางครั้งการเข้าไปพิมพ์ข้อความด้วยอารมณ์โกรธหรือกล่าวโทษในไอจีของฝ่ายชาย คือการกระทำที่เธอไม่เห็นด้วยเลย
"ขอบคุณมากสำหรับกำลังใจที่มีให้พลอยกับลูกๆ พลอยไม่ใช่เป็นดารา พลอยไม่ใช่เซเลบฯ พลอยคือโนบอดี้ที่โชคดีมีลูกน่ารัก และด้วยความน่ารักของลูกๆ ทำให้แฟนคลับเอ็นดู และเห็นพลอยกับลูกๆ เป็นคนในครอบครัว แต่การที่ไปรู้ข้อมูลอะไรมา แฟนคลับจะโมโห และเครียดแทนเรา ซึ่งพลอยรู้ว่าทุกคนเป็นห่วง แต่สิ่งที่ไม่เห็นด้วยเลยคือ ใส่ความโกรธ และความเครียดแทนเราในไอจีของพี่ปีเตอร์ หรือของฝ่ายหญิง
ส่วนตัวพลอยไม่อยากให้ต่อความยาวสาวความยืด เพราะตัวเราเองที่จะไม่มีความสุข ดังนั้นถ้ารักพลอย เอ็นดูลูกๆ ของพลอย พลอยไม่อยากให้ไปว่าใคร รวมไปถึงการเข้าไปรายงานความเคลื่อนไหวในไอจีพลอยด้วย เพราะพลอยรู้สึกว่า พลอยอยากโฟกัสแค่เรื่องลูก และเรื่องงาน ไม่อยากตามข่าวอะไรทั้งนั้น มันทำให้พลอยสะดุดได้
ทางที่ดี มายิ้มไปกับพลอย และตื่นเต้นไปกับพัฒนาการของลูกๆ พลอยกันดีกว่าค่ะ ผ่อนคลายกว่าตั้งเยอะ (ยิ้ม) ส่วนเรื่องนั้น ถ้าเรายิ่งไปขุดหลุมฝังเขาให้ลึกๆ ลงไปเรื่อยๆ มันไม่มีประโยชน์ค่ะ ปล่อยให้เขาได้มีทางเดินดีกว่า พอวันหนึ่งถ้าเขาได้เห็นแสงสว่าง เขาอาจจะคิดได้ก็ได้” พูดจบ เธอย้ำด้วยน้ำเสียงจริงจังว่า
"ความรักฉันชู้สาว พลอยไม่ยึดมันแล้วค่ะ วันนี้พลอยมีลูกชายสองคนนอนข้างๆ แม้จะเบียดจนแม่ดิ้นไม่ได้ แค่นี้ก็คือความสุขของพลอยแล้ว ลูกๆ เป็นความรักที่มันสุดๆ แล้วจริงๆ ถามว่ากลัวความรักไหม ไม่กลัวนะ แต่มันยังไม่พร้อมค่ะ ถ้าเผื่ออีก 20 ปีข้างหน้าตอนวัย 50 ปี ตอนที่พลอยสามารถส่งลูกเรียนจนจบแล้ว พลอยอาจจะโอเค"
มองปัญหาในแบบ "พลอย"
แม้สิ่งที่คุณแม่ตัวเล็กๆ ท่านนี้กำลังเผชิญอยู่จะหนักหน่วง แต่การยอมรับในสิ่งที่เป็นจริงๆ และมีทัศนคติที่ดีต่อโลกใบนี้ คือตัวช่วยให้ผ่านพ้นปัญหามาได้
"ไม่ว่าจะเครียด จะปรี๊ดแตก ทุกอย่างมันควรอยู่ในระดับกลางๆ พอดีๆ บางทีการที่เราดีใจเกินไป เสียใจมากเกินไป หรือเครียดมากเกินไป มันไม่มีประโยชน์อะไรกับใคร อย่างตัวพลอย ถ้าเครียด พลอยจะสวดมนต์ ซึ่งเป็นการกำหนดสติอย่างหนึ่งที่พลอยทำแล้วได้ผล บทสวดมนต์ยากๆ ทำให้พลอยมีสติ ระลึกได้ว่าตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่
สำหรับบางคนที่เจอปัญหาแล้วสติแตก ซึ่งพลอยก็เคยเป็น มันกำลังบ่งบอกว่าคุณมองแต่ตัวเอง ถ้าเกิดเรามองคนอื่นบ้าง มองสิ่งรอบตัวบ้าง ลองคิดถึงคนอื่นที่เขาก็มีปัญหาไม่ต่างไปจากเรา เช่น ถ้าพลอยกำลังทะเลาะหรือมีปัญหากับใครอยู่ พลอยจะระลึกอยู่ตลอดว่า ตอนนี้เรามีปัญหานะ ปัญหาเราคืออะไร เราแก้ได้ไหม ถ้าแก้ไม่ได้ มองหันไปมองปัญหาที่คนอื่นๆ ดูไหม เพราะบางปัญหามันหนักหนากว่าเรามาก
เห็นได้ชัดจากกระทู้ในเว็บไซต์พันทิป มีให้เห็นทุกปัญหา หรือลองเข้าไปดูเฟซบุ๊กของพี่บิณฑ์ บรรลือฤทธิ์ บางคนเขาลำบากจริงๆ ไม่ใช่ลำบากแค่ว่าความจน แต่ลำบากเพราะความพิการ คือมันมีเยอะมาก เมื่อลองพินิจพิจารณาดูแล้ว ลองย้อนกลับมาที่ตัวเรา ซึ่งมีอวัยวะครบสามสิบสอง ทำไมเราถึงไม่สู้ ทำไมเราถึงไม่ก้าวต่อไป คือพลอยอยากให้รู้ตัวอยู่เสมอว่าตอนนี้เราทำอะไรอยู่ เหนื่อยเกินไปไหม เครียดมากเกินไปไหม
อย่างพลอย บางทีรู้สึกว่าตัวเองทำงานเหนื่อยมากเกินไป พลอยจะต้องนั่งคิดแล้วว่า เออ มันเยอะเกินหรือเปล่า ถ้างั้นขอพักก่อนดีกว่า เอามือถือไปวางไว้ที่อื่น จากนั้นก็นั่งพักด้วยการเล่นกับลูก หรือทำในสิ่งที่ช่วยให้ผ่อนคลายเพื่อให้มันหลุดจากความเครียดออกไปได้ ทุกวันนี้พลอยมีลูกเป็นแรงผลักดันในชีวิต ถ้าวันนี้เราไม่สู้ อนาคตจะเป็นอย่างไร ถึงแม้คุณพ่อคุณแม่พลอยจะมีเงิน แต่เราอายุขนาดนี้แล้วไปขอเงินพ่อแม่ มันเหมือนว่าเราไม่ได้พยายามสู้อะไรเลย
เพราะฉะนั้น ทุกอย่างที่มันเกิดขึ้นในชีวิตมันเป็นแรงผลักดันให้พลอยได้มาถึงตรงนี้ ไม่ว่าจะเป็นปัญหาชีวิต ลูก หรืออะไรก็แล้วแต่ คือพลอยไม่ได้มองว่าปัญหามันคือตัวปัญหา แต่มันคือแรงผลักดันมากกว่า หากบางวันที่ไม่ไหวจริงๆ เหนื่อยเหลือเกิน พลอยจะขอคุณแม่ให้ช่วยดูแลลูกๆ แล้วพาตัวเองออกไปนวด 2 ชั่วโมง และถือโอกาสนอนหลับในร้านนวดไปเลย (หัวเราะ) ถือเป็นการปิดสวิตช์ตัวเองชั่วคราว"
เลี้ยงลูกฉบับ "แม่พลอย"
ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ "มนุษย์แม่" ทั้งที ไม่ถามไม่ได้ถึงวิธีการเลี้ยงลูกชายทั้งสองคน เรื่องนี้เธอบอกว่า ใช้หลักการเลี้ยงลูกบนพื้นฐานความรัก และความเข้าใจ ไม่ได้คาดหวังอะไรมาก ขอแค่ให้ลูกเติบโตเป็นคนที่มีความรับผิดชอบ ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง และอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข
"พลอยไม่อยากให้ลูกต้องเป็นอะไรที่มันเกินความสามารถของเขา อยากให้ทำอะไรที่เขามีความสุขบนพื้นฐานของความพอดี พลอยไม่อยากให้ลูกเสียใจที่ไม่มีกระเป๋าเหมือนกับเพื่อน หรือมีรถ มีมือถือเหมือนกับเพื่อน พลอยอยากให้เขารู้สึกว่า เขามีแค่นี้แหละเขาก็มีความสุขแล้ว พลอยไม่ได้หวังเลยว่าลูกจะต้องโตเป็นนายกฯ เป็นคนดังในวงการบันเทิง แค่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่มีความรับผิดชอบทั้งกับตัวเองและผู้อื่นแค่นี้พลอยก็มีความสุขแล้วค่ะ อีกอย่างคือพลอยไม่อยากให้เขาเอาตัวเองเป็นจุดศูนย์กลาง เพราะเขาจะกลายเป็นคนเห็นแก่ตัว"
นอกจากความรับผิดชอบ และไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแล้ว "มารยาททางสังคม" คือสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน
"ทุกวันนี้ การที่ลูกอยากจะได้ของสักชิ้น เขาจะต้องไหว้ก่อน ถ้าเขาไม่ไหว้ พลอยจะไม่มีทางให้เลย เพราะอยากฝึกให้เขามีมารยาท รู้จักขอบคุณ รู้จักถ่อมตน นอกจากนั้น พลอยพยายามให้ลูกๆ รู้สึกเสียใจเป็น ร้องไห้เป็น รู้สึกถึงความผิดหวังเป็น เพื่อวันหนึ่งเขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหา เขาจะสามารถตั้งรับ และไม่แกว่งไปกับมัน"
ส่วนเรื่อง "โรงเรียน" เธอมีความตั้งใจอยากให้ลูกเข้าโรงเรียนอินเตอร์ เพราะเปิดโอกาสให้เด็กได้มีอิสระในการคิด แถมยังเน้นให้เด็กเรียน และเล่นอย่างมีความสุข
"พลอยเป็นแม่ที่ไม่ค่อยเน้นวิชาการ แต่อยากให้ลูกเรียนรู้อย่างมีความสุข พร้อมๆ กับมีความเป็นผู้นำ และมีแนวคิดเป็นของตัวเอง ในขณะเดียวกันก็ต้องรับฟังผู้อื่นด้วย ซึ่งโรงเรียนอินเตอร์น่าจะตอบโจทย์ตรงนี้ได้ เพราะให้อิสระในการคิดกับเด็ก พลอยอยากให้ลูกกล้าคิด กล้าทำ ไม่ใช่ตามกระแสอย่างเดียว" เธอให้ทัศนะ ก่อนจะเผยต่อไปว่า แม้ค่าเทอมจะแพงแต่ก็ยอมจ่ายเพื่ออนาคตลูกๆ
(ซ้ายไปขวา) แพนเตอร์วัย 1 ขวบ 5 เดือน-พูม่าวัย 2 เดือน
ถึงวันนี้ แม้ลูกจะไม่ได้ทำให้ความเหนื่อยน้อยลง แต่ลูกก็ทำให้เหนื่อยอย่างมีความสุข
"ตอนนี้แพนเตอร์เรียกหม่ามี้ได้ เขาก็เรียก มี๊ๆ (บีบเสียงให้น่ารักเหมือนเด็ก) แล้วก็เดินเข้ามาให้เรากอด คือมันเป็นความรู้สึกว่า จะบ้าเหรอพลอย ลูกน่ารักขนาดนี้ จะไม่อุ้มลูกได้อย่างไร ตอนนั้นทุกอย่างที่มีอยู่ในมือโยนไว้ข้างๆ แล้วอุ้มลูกขึ้นมาอุ้มทันที หรือตัวเล็กของบ้าน พูม่า ตอนนี้เริ่มคว่ำได้แล้ว ซึ่งพอเขาคว่ำได้ เขาจะมองหน้าเราแล้วยิ้ม (ฉีกยิ้มตาม) มันเป็นความน่ารักแบบบอกไม่ถูก
หรือตอนคนโตจับปากกาเขียนได้ ใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากได้ มันคือพัฒนาการของลูกที่คนเป็นแม่อย่างเราเห็นแล้วก็อดชื่นใจไม่ได้ แค่บอกได้ว่านี่คืออึ รวมไปถึงพูดบอกความรู้สึก เหนื่อย กลัว พลอยยังตื่นเต้นเลยอ่ะ" คุณแม่ลูกสองเล่าด้วยน้ำเสียงมีความสุข ดวงตาเป็นประกายสุกใส ชวนให้ตื่นเต้นตามไปกับเธอ
ส่วนอนาคต เธอตั้งใจอยากจะซื้อบ้านใหม่ เพื่อจะได้มีสนามหญ้าให้ลูกๆ ได้วิ่งเล่น "บ้านที่อยู่ตอนนี้เป็นทาวน์เฮาส์ 5 ชั้น เวลาเดินขึ้นบันไดนี่เหนื่อยมาก โดยเฉพาะเวลาอุ้มลูกขึ้นบันได ส่วนตัวอยากซื้อบ้านที่มีสนามหญ้าให้ลูกวิ่งเล่น แม้ตอนนี้บ้านคุณตา คุณยาของเขาจะมีบ้าน และสนามหญ้าให้วิ่งเล่น แต่อย่างน้อยพลอยอยากมีที่ของเราเอง" ก่อนจะพูดติดตลกว่า
"ถ้ามีใครอยากให้พลอยเป็นพรีเซ็นเตอร์บ้าน แล้วก็ให้บ้านพลอย พลอยก็ยินยอมพร้อมใจที่จะถวายหัวเลย เพราะเป็นสิ่งเดียวที่อยากได้มากๆ ที่เก็บเงินตอนนี้ คือตั้งใจเก็บเงินให้ลูกๆ เรียนหนังสือจนจบมหาวิทยาลัย รวมไปถึงค่าใช้จ่ายอื่นๆ ถึงเหนื่อยหน่อยแต่เราก็มีจุดมุ่งหมายที่ชัดเจน"
ทั้งหมดนี้ คือ เรื่องราวของ “มนุษย์แม่” ที่บางช่วงอาจชวนเหนื่อย ชวนเมื่อย ชวนล้าบ้าง แต่บางตอนก็อดอมยิ้ม และหัวเราะไปพร้อมๆ กับเธอไม่ได้ เพราะนอกจากพลังความเป็นแม่ที่มีอยู่ในตัวสูงแล้ว ยังมีพลังความร่าเริง สดใส และความบ้าบอผสมอยู่ในตัวผู้หญิงคนนี้สูงมากเช่นกัน ซึ่งหากใครได้ติดตามอินสตาแกรมของเธอก็คงจะสัมผัสได้
แม้วันนี้แรงกดดันหนึ่งอาจมี "สังคม" ที่คอยจับตาดูอยู่ตลอด แต่การทำหน้าที่ในฐานะแม่ คือสิ่งที่เธอบอกว่า ต้องทำให้ดีที่สุด
ASTVผู้จัดการ Lite
เรื่อง : ปิยะนันท์ ขุนทอง
ภาพ : พงษ์ฤทธิ์ฑา ขวัญเนตร และขอบคุณภาพประกอบจากอินสตาแกรม @purploy
มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...
Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754