xs
xsm
sm
md
lg

สรุปข่าวเด่นในรอบสัปดาห์ 16-22 ส.ค.2558

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: MGR Online

บรรยากาศการปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติ bike for MOM ปั่นเพื่อแม่เมื่อวันที่ 16 ส.ค. และการ์ดขอบคุณประชาชนจากสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร
คลิกที่นี่ เพื่อฟังสรุปข่าวฯ

1.“สมเด็จพระบรมฯ-พระองค์ภา” ทรงจักรยานนำขบวน “bike for MOM ปั่นเพื่อแม่” 43 กม. ทุบสถิติโลกผู้ร่วมปั่นกว่า 1.4 แสนคน “พระราชินี” ทรงปลาบปลื้ม”!

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. เวลา 15.00 น. สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พร้อมด้วยพระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ได้ทรงเป็นประธานเปิดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ “bike for MOM ปั่นเพื่อแม่” เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 83 พรรษา 12 ส.ค. ณ ลานพระราชวังดุสิต โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พร้อมคณะกรรมการจัดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติฯ และผู้เข้าร่วมกิจกรรมเฝ้าฯ รับเสด็จ

โอกาสนี้ พล.อ.ประยุทธ์ ได้กราบบังคมทูลรายงานวัตถุประสงค์ของการจัดกิจกรรมครั้งนี้ เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และให้พสกนิกรทุกหมู่เหล่าได้แสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อแม่ของแผ่นดิน ทั้งยังเป็นกิจกรรมที่ช่วยเสริมสร้างความสามัคคีของคนในชาติและส่งเสริมให้ประชาชนรักการออกกำลังกาย โดยมีผู้ลงทะเบียนเข้าร่วมกิจกรรมทุกจังหวัดทั่วประเทศ 294,863 คน แบ่งเป็นผู้ลงทะเบียนในกรุงเทพฯ 40,000 คน และในส่วนภูมิภาค 254,863 คน

สำหรับเส้นทางกิจกรรม “bike for MOM ปั่นเพื่อแม่” ในกรุงเทพฯ เริ่มต้นที่ลานพระราชวังดุสิตถึงกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ รวมระยะทางไป-กลับ 43 กิโลเมตร ในส่วนภูมิภาค เริ่มต้นและสิ้นสุดที่ศาลากลางจังหวัด จำนวน 70 จังหวัด และเริ่มต้นที่ศาลากลางจังหวัด สิ้นสุดที่สนามกีฬาจังหวัด 6 จังหวัด รวมระยะทาง 25-40 กิโลเมตร

ทั้งนี้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงกดปุ่มไฟฟ้าเพื่อเปิดกิจกรรม “bike for MOM ปั่นเพื่อแม่” และทรงบีบแตรสัญญาณ จากนั้นทรงปั่นจักรยานนำขบวนเอ โดยมีนายกรัฐมนตรี คณะรัฐมนตรี ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ประธานศาลฎีกา ประธานศาลรัฐธรรมนูญ ปลัดกระทรวง ร่วมขบวน ขณะที่พระเจ้าหลานเธอ พระองค์เจ้าพัชรกิติยาภา ทรงจักรยานนำขบวนบี โดยมีอธิบดีกรมต่างๆ ข้าราชการระดับสูง ร่วมขบวน ส่วนขบวนซี เป็นขบวนของประชาชนที่ลงชื่อเข้าร่วมปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติ รวมประมาณ 40,000 คน โดยทุกคนสวมเสื้อสีฟ้าพระราชทาน “bike for MOM ปั่นเพื่อแม่”

ระหว่างที่ทรงปั่นจักรยาน ทั้งสองพระองค์มีพระพักตร์ยิ้มแย้มแจ่มใส ทรงแย้มพระสรวล และโบกพระหัตถ์ทักทายประชาชนที่พร้อมใจกันสวมเสื้อสีฟ้ามาเฝ้ารับเสด็จ พร้อมเปล่งเสียงทรงพระเจริญดังกึกก้องตลอดเส้นทาง สำหรับการปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติจากลานพระราชวังดุสิตถึงกรมทหารราบที่ 11 รักษาพระองค์ รวมระยะทางไป-กลับ 43 กิโลเมตรครั้งนี้ ใช้เวลาปั่นทั้งสิ้น 3 ชั่วโมง 52 นาที

ทั้งนี้ กินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ได้เก็บสถิติการปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติครั้งนี้เข้าสู่ระบบ พบว่า มีนักปั่นรวมทุกจังหวัดที่เข้าสู่ระบบจำนวน 146,290 คัน ประกอบด้วย ภาคเหนือ 19,450 คัน, ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 35,276 คัน, ภาคกลางรวมกรุงเทพฯ 46,986 คัน, ภาคตะวันตก 8,233 คัน, ภาคตะวันออก 14,330 คัน และภาคใต้ 22,015 คัน สำหรับสถิติจำนวนนักปั่นในกิจกรรม “bike for MOM ปั่นเพื่อแม่” ของไทยครั้งนี้ ถือว่าเป็นสถิติใหม่ เพราะก่อนหน้านี้ที่นครไทเป ไต้หวัน เคยทำสถิติไว้สูงสุดอยู่ที่ 72,919 คัน

ด้านนายสุริยัน สุจริตพลวงศ์ หรือหมอหยอง ที่ปรึกษาคณะอนุกรรมการฝ่ายจัดงานกิจกรรมพิเศษโครงการ bike for MOM ปั่นเพื่อแม่ เผยว่า “มีผู้สนองงานใกล้ชิดสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ โทรศัพท์มาเล่าให้ฟังว่า พระองค์ทรงตื่นเต้นกับกิจกรรมที่ประชาชนทั่วเมืองไทยมาแสดงความจงรักภักดีและถวายพระพร พระองค์ทรงปลาบปลื้มพระราชหฤทัยที่เห็นประชาชนตื่นตัว พระองค์จะทอดพระเนตรกิจกรรมกรรมครั้งนี้ผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจฯ ตั้งแต่เวลา 14.00 น.กระทั่งเสร็จพิธี”

หลังกิจกรรมปั่นจักรยานเฉลิมพระเกียรติฯ ผ่านไปด้วยความประทับใจของประชาชนทั่วประเทศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ได้พระราชทานการ์ดขอบคุณประชาชนทุกหมู่เหล่าที่พร้อมใจเข้าร่วมกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติฯ เมื่อวันที่ 16 ส.ค. โดยการ์ดดังกล่าวทรงออกแบบ มีพระบรมฉายาลักษณ์สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ประทับคู่กับสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร มีลายพระหัตถ์ในรูปหัวใจสีขาว ด้านข้างพระบรมฉายาลักษณ์ ใจความว่า “ขอขอบคุณทุกๆ ท่านที่มีน้ำใจร่วมสามัคคีและสนับสนุนกิจกรรม “Bike for Mom” “ปั่นเพื่อแม่” จนประสบผลสำเร็จเรียบร้อย และราบรื่นเป็นอย่างดีทุกประการ จึงขอถือโอกาสนี้ขอบคุณและขอให้ทุกๆ ท่าน จงมีความสุข ความเจริญ มีสุขภาพกายใจแข็งแรง เพื่อเป็นกำลังของชาติบ้านเมืองต่อไป”

2.คนร้ายวางระเบิดสังหารแยกราชประสงค์-ในรั้วศาลพระพรหม ตาย 20 เจ็บกว่าร้อยทั้งไทย-ต่างชาติ วงจรปิดพบมือวาง แต่ไม่ชัดก่อการร้ายหรือไม่!

(บนซ้าย)  ภาพจากกล้องวงจรปิดพบมือวางระเบิดราชประสงค์ (บนขวา) ภาพสเกตช์มือวางระเบิด (ล่าง) นาทีระเบิดและภาพความเสียหายหลังเหตุระเบิด
เมื่อวันที่ 17 ส.ค. เวลา 18.55 น. ได้เกิดเหตุระเบิดบริเวณลานหน้าศาลพระพรหมเอราวัณ แยกราชประสงค์ ส่งผลให้ประชาชนและนักท่องเที่ยวบริเวณดังกล่าวบาดเจ็บและเสียชีวิตจำนวนมาก โดยมีผู้เสียชีวิตทันทีในที่เกิดเหตุ 12 ศพ และไปเสียชีวิตที่โรงพยาบาลอีก 8 ศพ รวมเป็น 20 ศพ และมีผู้บาดเจ็บเกือบ 130 คน ซึ่งมีทั้งคนไทยและต่างชาติ สำหรับผู้เสียชีวิต เป็นคนไทย 6 ราย ชาวจีน 5 ราย มาเลเซีย 5 ราย ฮ่องกง 2 ราย อินโดนีเซีย 1 ราย และสิงคโปร์ 1 ราย

หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า ระเบิดที่คนร้ายใช้ก่อเหตุ เป็นได้ทั้งชนิดทีเอ็นที และซีโฟร์ เป็นระเบิดที่ทำงานสมบูรณ์แบบ ไม่ทิ้งร่องรอยหลักฐาน นอกจากนี้ที่เกิดเหตุยังพบลูกปรายลักษณะกลม คล้ายลูกปืนรถจักรยานมีความกว้าง 0.6 มม. โดยระเบิดมีน้ำหนัก 4 ปอนด์ หรือประมาณ 3 กิโลกรัม รัศมีทำลายล้างประมาณ 200 เมตร โดยคนร้ายวางระเบิดไว้ในรั้วศาลพระพรหม ทั้งนี้ ไม่เพียงสื่อไทยที่เกาะติดข่าวระเบิดครั้งนี้ แต่สื่อต่างประเทศก็รายงานเป็นข่าวใหญ่และข่าวด่วนเช่นกัน ขณะที่สื่อบางส่วนพยายามตั้งคำถามว่า เหตุระเบิดครั้งนี้เป็นการก่อการร้ายหรือไม่ หรือเป็นผลจากความไม่พอใจที่ไทยส่งชาวอุยกูร์ไปจีนก่อนหน้านี้หรือไม่ เพราะดูเหมือนเป้าหมายในการก่อเหตุจะอยู่ที่ชาวจีนที่นิยมมาท่องเที่ยวสักการะพระพรหมที่แยกราชประสงค์ อย่างไรก็ตาม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) และตำรวจไทย ไม่ต้องการให้ด่วนสรุปว่าเหตุระเบิดครั้งนี้เป็นฝีมือชาวไทยหรือต่างชาติ หรือเป็นการก่อการร้ายหรือเกี่ยวกับชาวอุยกูร์หรือไม่

หลังเกิดเหตุ 1 วัน ชุดสืบสวนได้ตรวจสอบภาพจากกล้องวงจรปิดโดยรอบจุดเกิดเหตุ พบชายต้องสงสัย 1 ราย ไม่ทราบสัญชาติ ใส่เสื้อยืดสีเหลือง กางเกงขาสั้นสีฟ้า ใส่รองเท้าผ้าใบ ผมหยักศก ผิวขาว ใส่แว่นตา สะพายกระเป๋าเป้ไว้ด้านหลัง และถือถุงพลาสติก 1 ใบ โดยภาพจากกล้องวงจรปิดพบว่า ชายดังกล่าวนั่งรถตุ๊กๆ มาลงหน้าโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ก่อนเดินเข้าไปภายในรั้วศาลพระพรหม จากนั้นชายใส่เสื้อแดงที่นั่งเก้าอี้ริมรั้วได้ลุกขึ้น ชายเสื้อเหลืองจึงนั่งลง และนำเป้วางไว้ใต้เก้าอี้ ก่อนยืนขึ้น และนำโทรศัพท์มือถือถ่ายรูปศาลพระพรหม จากนั้นได้เดินออกจากจุดดังกล่าวโดยทิ้งเป้ไว้ ซึ่งให้หลังไม่กี่นาที ก็เกิดระเบิดขึ้น

จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในเวลาต่อมา ยังพบด้วยว่า ชายดังกล่าวได้นั่งวินมอเตอร์ไซค์ออกจากย่านราชประสงค์ ซึ่งเจ้าหน้าที่ได้สเกตช์ภาพชายดังกล่าว ก่อนขอศาลออกหมายจับ โดยระบุรูปพรรณสันฐานว่า เป็นชายรูปร่างสูง ผิวขาว ใบหน้ารูปไข่ ผมฟูสีดำ ตาปรือ หูลีบ จมูกโด่ง ปากหนา ไม่มีหนวดเครา สวมแว่นตา ทั้งนี้ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ได้ตั้งรางวัลนำจับชายเสื้อเหลือง มือวางระเบิดราชประสงค์ 1 ล้านบาท ก่อนจะประกาศเพิ่มให้อีก 1 ล้านในเวลาต่อมา หลังได้รับการสนับสนุนจากเอกชนบางราย ขณะที่นายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นักโทษหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปี คดีทุจริตซื้อขายที่ดินย่านรัชดาฯ ได้โพสต์เฟซบุ๊กประกาศสมทบรางวัลนำจับอีก 7 ล้าน โดยแบ่งให้ผู้ชี้เบาะแส 2 ล้าน ส่วนอีก 5 ล้านให้เจ้าหน้าที่ที่สืบสวนจับกุม

เป็นที่น่าสังเกตว่า ในโลกโซเชียลมีเดีย มีการเผยแพร่ภาพบุคคลที่หน้าคล้ายชายเสื้อเหลืองในกล้องวงจรปิดและภาพสเกตช์เป็นระยะๆ แต่ก็ยังไม่ใช่ ขณะที่มีกระแสข่าวเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวชาวต่างชาติต้องสงสัยหน้าคล้ายภาพสเกตช์บางราย แต่ก็ยังไม่ใช่บุคคลที่ต้องการตัว ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เชื่อว่า ชายเสื้อเหลืองที่นำระเบิดไปวางที่แยกราชประสงค์น่าจะถูกจ้างวานมา และอาจถูกฆ่าปิดปากได้ ดังนั้นถ้าอยากปลอดภัย ขอให้ติดต่อเข้ามอบตัว

ทั้งนี้ ตำรวจได้สอบปากคำพยานบางราย เช่น คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างที่รับชายเสื้อเหลืองออกจากย่านราชประสงค์หลังก่อเหตุ ซึ่งได้ข้อมูลว่า ชายดังกล่าวให้ไปส่งที่ลุมพินี พาร์ค ซึ่งระหว่างนั่งมอเตอร์ไซค์ ชายดังกล่าวพูดโทรศัพท์ตลอดเวลา โดยไม่ได้ใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ แต่เป็นภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน เช่นเดียวกับคนขับรถตุ๊กๆ ที่ชายเสื้อเหลืองเรียกให้มาส่งย่านราชประสงค์ก่อนก่อเหตุระเบิด ก็ให้ข้อมูลว่า ไม่รู้ว่าชายดังกล่าวพูดด้วยภาษาอะไร นอกจากนี้ตำรวจยังได้สอบปากคำชายใส่เสื้อแดงและชายใส่เสื้อขาวที่ลุกจากที่นั่งภายในศาลพระพรหม ซึ่งดูแล้วเหมือนลุกเพื่อให้ชายเสื้อเหลืองได้นั่งเพื่อวางเป้ที่บรรจุระเบิด จากนั้นชายทั้งสองยังเหมือนยืนบังให้ชายเสื้อเหลือง ก่อนเดินออกจากจุดดังกล่าว อย่างไรก็ตาม จากการสอบสวนไม่พบพิรุธ โดยชายทั้งสองบอกว่าเป็นเพื่อนกันและเป็นล่ามแปลภาษา อย่างไรก็ตามยังมีหญิงใส่เสื้อดำอีก 1 คน ที่ยืนอยู่ใกล้ชายเสื้อแดงและเสื้อขาว ที่อาจอยู่ในข่ายต้องสอบปากคำเช่นกันว่าเกี่ยวข้องกับชายเสื้อเหลืองหรือไม่

เป็นที่น่าสังเกตว่า ก่อนเกิดระเบิดที่แยกราชประสงค์ มีบางคนรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดเหตุระเบิดครั้งนี้ โดยบุคคลดังกล่าวได้โพสต์ข้อความทางเฟซบุ๊กตั้งแต่ช่วงค่ำวันที่ 13 ส.ค. ทำนองว่าจะเกิดระเบิดใน กทม.ระหว่างวันที่ 14-18 ส.ค. ซึ่งในที่สุดก็เกิดระเบิดขึ้นจริงที่แยกราชประสงค์ในช่วงค่ำวันที่ 17 ส.ค. โดย พล.อ.ประยุทธ์ ได้ให้เจ้าหน้าที่ติดตามคนโพสต์ดังกล่าวมาสอบ โดยทราบว่าอยู่ในกลุ่มบุคคลที่เคยต่อต้านรัฐบาล ซึ่งภายหลัง คนโพสต์ดังกล่าวได้เข้าพบตำรวจ ทราบชื่อคือ นายพงศ์ภพ บุญสารี เจ้าของเพจเฟซบุ๊ก “วิชเวช พรพรหมรักษา” โดยเจ้าตัวอ้างว่า ไม่เกี่ยวข้องกับเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ ตนแค่ไปคัดลอกข้อความเตือนมาจากเฟซบุ๊กทางการเมืองกลุ่มหนึ่ง ที่ใช้ชื่อว่า “อวตาร เคเล่อ” โดยตนโพสต์ข้อความดังกล่าวเพื่อเตือนประชาชนเท่านั้น นายพงศ์ภพ ยังบอกด้วยว่า ข้อความในเฟซบุ๊กกลุ่มการเมืองดังกล่าว 80-90% เกิดขึ้นจริง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ทางการเมือง เหตุการณ์ทั่วไป หรือเหตุการณ์ทางภาคใต้ โดยกลุ่มทางการเมืองดังกล่าวทำงานเป็นขบวนการ มีการสลับกันมาโพสต์อยู่เรื่อยๆ และจะลงข้อความเพียง 15 วินาทีก็ลบ กลุ่มดังกล่าวมีสมาชิกบนเฟซบุ๊ก 7 หมื่นคน

ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์ได้ 1 วัน ได้เกิดระเบิดที่ท่าเรือสาทร โชคดีที่ระเบิดตกลงแม่น้ำเจ้าพระยา จึงไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยจากการตรวจสอบพบว่า คนร้ายปาระเบิดลงมาจากสะพานตากสิน เพื่อให้ลงบริเวณสะพานลอยด้านล่าง แต่เนื่องจากปาพลาด ระเบิดจึงตกลงในแม่น้ำและระเบิดทันที ส่งผลให้นักท่องเที่ยวบริเวณท่าเรือวิ่งหนีกันจ้าละหวั่น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตรวจสอบพบว่า ระเบิดดังกล่าว เป็นไปป์บอมบ์คล้ายกับระเบิดที่เกิดขึ้นที่แยกราชประสงค์ แต่การตามหาตัวคนร้ายยากกว่าที่ราชประสงค์ เนื่องจากไม่มีกล้องวงจรปิดที่จะเห็นภาพคนร้าย อย่างไรก็ตาม กรณีที่ภาพจากกล้องวงจรปิดจับภาพใบหน้าของชายเสื้อเหลืองที่วางระเบิดแยกราชประสงค์ไม่ชัดนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช.เผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างประสานขอยืมอุปกรณ์และเครื่องมือจากสหรัฐฯ เช่น เครื่องสแกนใบหน้าให้ชัดเจน หลังจากทูตสหรัฐฯ ติดต่อพร้อมช่วยเหลือ

สำหรับการเยียวยาญาติผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บนั้น นอกจากกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม จะมอบให้รายละ 1 แสนบาท และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา มอบให้รายละ 3 แสนบาทแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ยังได้พระราชทานเงินช่วยเหลืออีกรายละ 90,000 บาท ขณะที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้า คสช. ได้มอบเงินช่วยเหลือเป็นการส่วนตัวแก่ครอบครัวผู้เสียชีวิตอีกรายละ 1 หมื่นบาท เฉพาะศพที่จัดงานในประเทศไทย

นอกจากนี้รัฐบาลยังได้ร่วมกับกรุงเทพมหานคร(กทม.) จัดพิธีทำบุญ 5 ศาสนา เสริมสร้างมงคลเมือง ที่บริเวณศาลท้าวมหาพรหม เมื่อวันที่ 21 ส.ค. เพื่ออุทิศส่วนกุศลและไว้อาลัยแก่ผู้เสียชีวิตจากเหตุระเบิดที่แยกราชประสงค์

3.โปรดเกล้าฯ ครม. “ประยุทธ์ 3” แล้ว ด้าน “บิ๊กตู่” ปลอบใจคนพ้นตำแหน่งนั่งที่ปรึกษา ขณะที่ “หม่อมอุ๋ย” เมิน อ้างไม่ชอบแบ่งแยกแล้วปกครอง!

(บน) รมต.ที่พ้นจากตำแหน่ง ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุลนายณรงค์ชัย อัครเศรณี นพ.รัชตะ รัชตะนาวิน (ล่าง) รัฐมนตรีหน้าใหม่ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ นพ.ปิยะสกล สกลสัตยาทร
เมื่อวันที่ 20 ส.ค. เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี มีใจความว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า ตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรี ตามประกาศลงวันที่ 24 ส.ค. 2557 และแต่งตั้งรัฐมนตรีเพื่อบริหารราชการแผ่นดินตามประกาศลงวันที่ 30 ส.ค. 2557 และประกาศครั้งสุดท้ายลงวันที่ 18 พ.ย. 2557 นั้น บัดนี้ นายกรัฐมนตรีได้กราบบังคมทูลว่า สมควรปรับปรุงรัฐมนตรีบางตําแหน่งเพื่อความเหมาะสมและเกิดประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดิน อาศัยอํานาจตามความในมาตรา 19 ของรัฐธรรมนูญ (ฉบับชั่วคราว) พ.ศ.2557 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 1) พ.ศ. 2558 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รัฐมนตรีพ้นจากความเป็นรัฐมนตรีและแต่งตั้งรัฐมนตรี

สำหรับรัฐมนตรีที่พ้นจากความเป็นรัฐมนตรี ประกอบด้วย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรี, นายยงยุทธ ยุทธวงศ์ รองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, นายปีติพงศ์ พึ่งบุญ ณ อยุธยา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายอํานวย ปะติเส รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, พล.อ. ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม, นายพรชัย รุจิประภา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศ และการสื่อสาร, นายณรงค์ชัย อัครเศรณี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายกฤษณพงศ์ กีรติกร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายรัชตะ รัชตะนาวิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายสมศักดิ์ ชุณหรัศมิ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายจักรมณฑ์ ผาสุกวนิช รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ส่วนผู้ที่ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรี ประกอบด้วย พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร เป็นรองนายกรัฐมนตรี, พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เป็นรองนายกรัฐมนตรี, พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย เป็นรองนายกรัฐมนตรี, นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เป็นรองนายกรัฐมนตรี, นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง, นายดอน ปรมัตถ์วินัย เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ, พล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์, นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม, นายออมสิน ชีวะพฤกษ์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม, พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม, นายอุตตม สาวนายน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร, พล.อ.อนันตพร กาญจนรัตน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน, นางอภิรดี ตันตราภรณ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายสุวิทย์ เมษินทรีย์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์, พล.อ. ศิริชัย ดิษฐกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน, พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายธีระเกียรติ เจริญเศรษฐศิลป์ เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ, นายปิยะสกล สกลสัตยาทร เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และนางอรรชกา สีบุญเรือง เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

ด้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) พูดถึงการปรับคณะรัฐมนตรีว่า มีรัฐมนตรีเข้ามาใหม่ 10 คน ส่วนคนเก่าที่พ้นหน้าที่ไป จะให้มาช่วยตน จะตั้งเป็นที่ปรึกษารัฐบาล หากใครไม่สะดวกรับ ขอให้บอก

ขณะที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล อดีตรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ได้กล่าวปฏิเสธกรณีมีข่าวว่าตนจะไปเป็นที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี โดยยืนยันว่าไม่เป็นความจริง พร้อมย้ำว่า ไม่เคยมีใครทาบทามให้ตนเป็นที่ปรึกษานายกฯ ส่วนที่มีข่าวว่านายอำพน กิตติอำพล เลขาธิการคณะรัฐมนตรี มาทาบทามตน ก็ไม่จริง และว่า ถึงมีการทาบทามให้เป็นที่ปรึกษานายกฯ จริง ก็คงไม่รับ เพราะไม่เห็นด้วยกับการใช้หลัก “แบ่งแยกแล้วปกครอง” ถ้าเห็นว่านายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เหมาะที่จะเป็นรองนายกรัฐมนตรีด้านเศรษฐกิจ ก็ควรให้เขาทำงานอย่างเต็มที่ ไม่ควรจะตั้งที่ปรึกษาไปคอยตามจับผิด แบบนี้มันไม่ดี

ทั้งนี้ ผู้สื่อข่าวได้ไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ กรณีที่ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ไม่รับตำแหน่งที่ปรึกษาฯ นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ไม่รับก็อย่ารับสิ ผมไม่ได้อะไรนี่ ก็ผมจะให้รับ แต่เมื่อไม่รับก็ไม่รับ” เมื่อถามว่า ไม่มีอะไรติดใจใช่หรือไม่ พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า “ผมจะไปขัดใจอะไรกับท่านล่ะ ท่านเองก็ร่วมเป็นร่วมตายมากับผม เว้นแต่ท่านจะขัดใจผมเท่านั้นเอง ท่านจะน้อยใจผม โกรธผม ก็ต้องด้วยความเคารพนั่นแหละ เพราะผมไม่มีอะไรอยู่แล้ว...”

ด้าน พล.ต.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ รับฟังทุกความคิดเห็นที่มีต่อการปรับ ครม. ทั้งที่พอใจและไม่พอใจ ขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียวในฐานะผู้นำประเทศและหัวหน้ารัฐบาล พร้อมขอบคุณคณะรัฐนตรีชุดที่ผ่านมาอีกครั้ง ที่ช่วยกันในช่วงที่มีความกดดันและเหนื่อยยากที่สุด และคาดหวังว่าคณะรัฐมนตรีชุดใหม่จะสามารถสานงานต่อให้ทุกอย่างเดินหน้าได้มากยิ่งขึ้น เพื่อนำความเจริญรุ่งเรืองและความเข้มแข็งมาสู่ประเทศ พล.ต.สรรเสริญ ยังกล่าวถึงกรณีที่มีการตั้งข้อสังเกตว่าการตั้งที่ปรึกษานายกฯ เป็นการแบ่งแยกและปกครองว่า นายกฯ ไม่เคยคิดแบ่งแยกใคร เวลานี้คือเวลาที่ต้องร่วมมือกันสู้เพื่อชาติด้วยกันทุกคน

4.ศาลฎีกาฯ มีมติ 8 ต่อ 1 ไม่ให้อัยการเป็นทนายแก้ต่างให้ “สมชายกับพวก” จำเลยคดีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ปี ’51 !

(บน) พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว นายสมชาย วงษ์สวัสดิ์ (ล่าง) ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาอานุภาพร้ายแรงแนวระนาบเข้าใส่ผู้ชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนมาก
เมื่อวันที่ 18 ส.ค. องค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี, พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.ท.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เป็นจำเลยที่ 1-4 คดีสั่งสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551

สำหรับการออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีครั้งนี้ ยังไม่มีการพิจารณาคดีแต่อย่างใด เนื่องจากฝ่ายจำเลยได้แต่งตั้งพนักงานอัยการเข้ามาทำหน้าที่ทนายแก้ต่างในคดี ซึ่งองค์คณะผู้พิจารณาเห็นว่า พนักงานอัยการไม่มีอำนาจว่าความแก้ต่างในคดีนี้ให้แก่จำเลยทั้งสี่ เนื่องจาก พ.ร.บ.องค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. 2553 มาตรา 11 บัญญัติว่า “ให้มีพนักงานอัยการไว้เป็นทนายแผ่นดินประจำศาลต่างๆ ...” แม้จะมีบทบัญญัติในมาตรา 14 (4) บัญญัติถึงอำนาจและหน้าที่ของพนักงานอัยการ แต่การปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการต้องปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทนายแผ่นดินตามมาตรา 11 มิใช่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อต่อสู้คดีกับแผ่นดินในกรณีที่แผ่นดินโดยองค์กรของรัฐเป็นผู้ฟ้องคดีเสียเอง

ประกอบกับการดำเนินคดีนี้ ศาลจะต้องใช้สำนวนการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เป็นหลักในการพิจารณา เมื่อปรากฎจากคำฟ้องว่า อัยการสูงสุดส่งสำนวน รายงานและเอกสารที่เกี่ยวข้องคืนให้แก่โจทก์เพื่อฟ้องคดีเอง แสดงว่าอัยการสูงสุดเห็นควรไม่ฟ้องคดีนี้ให้แก่องค์กรของรัฐ แล้วการที่พนักงานอัยการจะเข้าแก้ต่างคดีนี้ให้แก่จำเลยทั้งสี่ จึงเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฎิบัติหน้าที่ของพนักงานอัยการ ซึ่งได้ดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการที่โจทก์จะฟ้องคดีนี้ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 10 และมาตรา 11 แห่ง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พ.ศ. 2542 องค์คณะจึงมีมติด้วยเสียงข้างมาก 8 ต่อ 1 ว่า พนักงานอัยการไม่มีอำนาจเข้าแก้ต่างในคดีนี้ให้แก่จำเลยทั้งสี่ และสั่งให้จำเลยทั้ง 4 แต่งตั้งทนายความใหม่ เข้ามาดำเนินการกระบวนพิจารณาคดีต่อไป

สำหรับคดีนี้ ป.ป.ช.เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสมชาย กับพวก ในความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบหรือโดยทุจริตเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 และ พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 และรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 มาตรา 295 และ 302 กรณีเมื่อวันที่ 7 ต.ค. 2551 รัฐบาลนายสมชาย ได้มีคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ ที่ปิดล้อมทางเข้ารัฐสภา กระทั่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บ 471 ราย

ทั้งนี้ หลังจาก ป.ป.ช.ส่งสำนวนการไต่สวนคดีไปให้ทางอัยการสูงสุด เพื่อพิจารณายื่นฟ้องคดีให้ แต่ฝ่ายอัยการเห็นว่าสำนวนคดียังมีความไม่สมบูรณ์ จึงมีการตั้งคณะทำงานร่วมสองฝ่ายขึ้นมาพิจารณาสำนวนคดีตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่สุดท้ายหาข้อยุติไม่ได้ ทำให้ ป.ป.ช. ต้องยื่นเรื่องฟ้องคดีต่อศาลเอง

5.กสท. มีมติเสียงข้างมากยังไม่พักใช้ใบอนุญาต NEWS1 กรณี “คุยมันส์ทันข่าว” ส่งหนังสือเตือนก่อน หากไม่ปรับปรุง จะลงโทษตามลำดับขั้น!

รายการ คุยมันส์ทันข่าว ทางสถานีโทรทัศน์ NEWS1
เมื่อวันที่ 18 ส.ค. ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ (กสท.) ได้มีมติ 3 ต่อ 2 ยังไม่พักใช้ใบอนุญาตบริษัท เอเอสทีวี (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม NEWS1 หรือ ASTV เดิม หลังจากพิจารณาแล้วเห็นว่า รายการ “คุยมันส์ทันข่าว” ซึ่งดำเนินรายการโดยนายโสภณ องค์การณ์, นายสุนันท์ ศรีจันทรา และ นายชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย มีเนื้อหาไม่เหมาะสม ให้ข้อมูลข่าวสารที่ส่อให้เกิดความสับสน ยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความขัดแย้ง หรือสร้างความแตกแยก โดยจะส่งหนังสือแจ้งเตือนให้ปรับปรุงแก้ไข หากไม่ดำเนินการ จะปรับ พักใช้ใบอนุญาต จนถึงเพิกถอนใบอนุญาต

น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการกิจการ กสท. กล่าวว่า มติที่ประชุม กสท. กรณีช่อง NEWS1 ออกมา 3 ต่อ 2 โดยเสียงข้างมากให้ส่งหนังสือเตือนก่อน ส่วนเสียงข้างน้อยให้พักใช้ใบอนุญาต 7 วัน ตนในฐานะที่ลงมติเสียงข้างมาก เห็นว่า กระบวนการควรเริ่มตั้งแต่ตักเตือนก่อน แล้วปรับขั้นต่ำ ปรับขั้นสูง พักบางรายการ พักทั้งสถานี เพิกถอนใบอนุญาต เป็นต้น ไม่ใช่ลงโทษหนักถึงขั้นปิดสถานีทันที
กำลังโหลดความคิดเห็น