รองผอ. ตอบคำถามนักเรียนไม่ได้ว่า ‘ทำไมต้องเก็บเงินค่าข้อความ SMS แจ้งผู้ปกครองหากนักเรียนมาสายเป็นจำนวน 200 บาท’ จึงบันดาลโทสะตบหัวเด็กเข้าอย่างจัง! ชี้ให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับวงการการศึกษาไทย ทำไมปัจจุบันบุคคลที่เรียกตัวเองว่าเป็น ‘แม่พิมพ์ของชาติ’ กลับใช้ความมีอำนาจข่มขู่ ไม่มีการยับยั้งชั่งใจลงโทษเด็กอย่างรุนแรงแบบไม่กลัวผิดถูก!!
เรื่องนี้มีเงื่อนงำ!
สนั่นโลกออนไลน์! เมื่อมีการเผยแพร่คลิปรองผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่งในจังหวัดนครราชสีมา ตบหัวเด็กนักเรียน และพยายามจะเข้าไปทำร้ายร่างกาย เหตุเพราะไม่พอใจที่นักเรียนออกมาประท้วงที่โรงเรียนเก็บค่าส่ง SMS แจ้งผู้ปกครองหากนักเรียนมาสายเป็นจำนวน 200 บาท รวมทั้งประเด็นอื่นๆ อีกมากมายที่เด็กเหล่านั้นมองว่าเป็นเรื่องไม่โปร่งใส ทั้งอุปกรณ์การเรียนไม่ครบตามจำนวนเงินที่กระทรวงศึกษาธิการจัดสรรมาให้ และยังเรียกเก็บค่าอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าปีการศึกษาก่อน คลิปดังกล่าวนี้ถูกแชร์ต่อกันทั่วโลกออนไลน์ พร้อมกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนาหูถึงการกระทำที่ไม่เหมาะสม
เมื่อเรื่องราวดังกล่าวแพร่สะพัดออกไป ท่ามกลางความแคลงใจของใครหลายคน สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เขต 31 จังหวัดนครราชสีมา จึงได้สั่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาสอบสวนเรื่องดังกล่าวแล้ว พร้อมเตรียมสั่งย้ายให้ไปช่วยราชการที่อื่นชั่วคราวเพื่อรอการสอบสวนข้อเท็จจริง ขณะที่รองผู้อำนวยการที่ตกเป็นข่าวได้ยอมรับผิดกับเรื่องที่เกิดขึ้น และอ้างว่าที่ทำไปเพราะบันดาลโทสะ
ด้านนักเรียนชายที่ถูกรองผู้อำนวยการคนดังกล่าวทำร้ายร่างกาย เปิดเผยกับสื่อสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งว่า ยืนยันจะไม่ยอมความ และลุยแจ้งความเอาผิดตามกฎหมายทันที เพราะการที่ผู้บริหารใช้ถ้อยคำด่าทอ และใช้กำลังทำร้ายร่างกาย เป็นเรื่องที่ไม่สามารถรับได้ และหลังจากที่เกิดเหตุขึ้นนั้นได้มีอาจารย์บางท่านเข้ามาขอไม่ให้ตนเอาผิดรองผู้อำนวยการ แต่ตนและผู้ปกครองไม่ยินยอม โดยมองว่ารองผู้อำนวยการกระทำการเกินกว่าเหตุ
การที่ตนและนักเรียนรวมกว่า 600 คน ออกมารวมตัวครั้งนี้ เพื่อต้องการสอบถามผู้บริหารโรงเรียนว่า เหตุใดจึงได้รับอุปกรณ์การเรียนไม่ตรงกับหนังสือคู่มือที่โรงเรียนแจกมา อีกทั้งไม่ครบตามจำนวนเงินที่กระทรวงศึกษาธิการจัดสรรมาให้ รวมทั้งยังเรียกเก็บค่าอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าปีการศึกษาก่อน จึงอยากให้ทางโรงเรียนชี้แจงให้ทราบ เพราะเป็นสิทธิที่นักเรียนควรรู้ พร้อมทั้งยังยืนยันว่าไม่มีผู้ใดอยู่เบื้องหลัง
ทว่า ด้วยความที่ไม่ได้ตั้งใจให้เหตุการณ์บานปลายขนาดนี้ ล่าสุด เด็กนักเรียนชายที่เป็นประธานนักเรียนที่ถูกตบศีรษะในคลิปนั้น ได้ออกมาโพสต์แจงผ่านเฟซบุ๊กของตนเอง ถึงสาเหตุว่าทำไมต้องออกมาประท้วง โดยระบุว่าตอนนี้คนเข้าใจผิดประเด็นไปเสียหมด และกลายเป็นโยนความผิดให้รองผู้อำนวยการเป็นแพะรับบาปในครั้งนี้ แต่จริงๆ แล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องของผู้บริหารทั้งคณะที่ต้องออกมาชี้แจงและตรวจสอบ ซึ่งตอนนี้ไม่มีผู้ใดออกมาชี้แจงเลย นอกจากนี้ ผู้บริหารทั้งหมดควรโดนสั่งย้ายมากกว่ารองผู้อำนวยการด้วยซ้ำเพราะถือว่าเพิกเฉยต่อหน้าที่
และนี่คือความคิดของเด็กยุคใหม่ที่มีมุมมองต่างออกไป เขายึดหลักความเป็นธรรม โดยไม่แสดงออกถึงความพึงพอใจกับการที่รองผู้อำนวยการโดนกระแสสังคมถล่มใส่ และเขาก็ยังยืนยันว่าทั้งหมดทั้งมวลนี้คือความรับผิดชอบของผู้บริหารทุกคนไม่ใช่ของรองผู้อำนวยการแต่เพียงฝ่ายเดียว ด้วยเหตุนี้เองเขาจึงได้รับเสียงชื่นชมจากชาวเน็ตไม่น้อยเลยทีเดียว
“เด็กคนนี้มีวาทกรรม กระบวนการการประมวลความคิดมีเหตุมีผลดีมากๆ เลย ได้ผู้นำแบบนี้สุดยอดๆ ชอบความคิด ของน้องเขาจริงๆ เพื่อก่อให้เกิดสิทธิอันพึงมีและพึงได้ของนักเรียนผู้ได้รับผลประโยชน์จากโรงเรียนโดยตรง ก็แค่ความโปร่งใสที่เด็กๆ เขาอยากได้ เด็กในวันนี้คืออนาคตของชาติ วัฒนธรรมองค์กรที่เด็กๆ ค่อยๆ ซึมซับนี่สิค่อนข้างสำคัญ”
“เด็ก มีความคิดดีจริงๆ ตอนนี้ยังไม่หลุดประเด็นเลย คณะผู้บริหาร ต้องตอบคำถามน้องๆ เด็กนักเรียนแล้วล่ะ ถ้าไม่ตอบก็ยกเลิกโครงการไปเสียเถอะ ดันทุรังไปก็มีแต่เสียกับเสีย ตอนนี้เรื่องมันฉาวโฉ่แล้ว”
“เด็กในวันนี้คือผู้ใหญ่ในวันหน้า เชื่อว่าน้องจะเติบโตขึ้นเป็นผู้นำได้อย่างงดงามแน่ค่ะ เพราะหากเป็นบุคคลอื่นอาจจะพึงใจที่ รองฯ ได้รับกระแสสังคมและอื่นๆ ถล่มใส่ แต่น้องประธานนักเรียนคนนี้ ยังมองต่างมุมได้อย่างน่าทึ่ง สมแล้วที่ได้รับเลือกให้เป็นประธานนักเรียน และขอให้เหตุการณ์นี้กลายเป็นตัวอย่างของอีกหลายๆ สถาบันที่มีลับลมไม่ต่างกัน และขอให้เรื่องที่เกิดขึ้นนี้อย่าเงียบไปนะคะ”
SMS ไม่มีความจำเป็น!
“ผมว่าหัวละ 200 แพงเกินไป มันก็ต้องดูว่าการแจ้งเตือน SMS มันมีเรื่องอื่นด้วยหรือเปล่า แต่ยังไงแล้วทุกอย่างรวมกันถือว่าแพง” เอนก เพิ่มวงศ์เสนีย์ เลขาธิการสภาการศึกษา เขาแสดงความเห็นเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวผ่านทีมข่าว ASTV ผู้จัดการ Live อีกทั้ง ยังกล่าวต่อว่า หากจำเป็นจริงๆ ควรจะเจียดเงินจากค่าเทอมที่เด็กจ่ายไปตั้งแต่แรก
“จริงๆ เรื่อง SMS น่าจะเป็นภารกิจของทางโรงเรียนมากกว่าว่าจะดำเนินการยังไง คือน่าจะใช้เงินในส่วนของที่โรงเรียนมีที่เด็กเขาจ่ายตั้งแต่เข้าเรียน มันจะได้เป็นการแบ่งเบาภาระผู้ปกครอง คือไม่ควรจะเก็บให้มันมากมาย หยุมหยิม เพราะพ่อแม่ผู้ปกครองเขามีรายจ่ายเยอะอยู่แล้ว
ในส่วนของโรงเรียนต้องดูด้วยว่ามันมีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน ส่วนไหนคือบริการของทางโรงเรียน หรือช่วงค่าเทอม อาจจะเจียดส่วนที่เด็กเขาจ่ายตั้งแต่ต้นเทอมมาก็นำมาใช้ในส่วนนี้ซะ คือไปเก็บบ่อยๆ และยิ่งต่างจังหวัดด้วย ช่วงนี้เศรษฐกิจก็ไม่ค่อยดี ก็ต้องดูความจำเป็นด้วย ผมว่าหัวละ 200 แพงเกินไป อย่างเรารับบริการข่าวสารเดือนหนึ่ง 30 บาทเท่านั้นเอง ส่วนการแจ้งเตือนของโรงเรียนจริงๆ มันคงไม่มีอะไรมากมาย เรื่องเด็กมาสาย เด็กไม่มาโรงเรียน มันต้องดูว่าการแจ้งเตือน SMS มันมีเรื่องอื่นด้วยหรือเปล่า แต่ยังไงแล้วทุกอย่างรวมกันถือว่าแพง”
นอกจากนี้ นักเรียนยังมีสิทธิที่จะประท้วง เพราะมันเป็นเรื่องของการร้องเรียนว่าเป็นสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น การร้องเรียนส่วนหนึ่งต้องมาจากผู้ปกครองด้วย ผู้ปกครองอาจจะไม่เห็นด้วยกับการเสียซ้ำซาก และนอกจากนี้ ระบบ SMS ยังไม่มีความจำเป็นในยุคปัจจุบัน ควรใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในสังคมให้เกิดประโยชน์สูงสุด และทางโรงเรียนต้องคิดเสียใหม่ว่าอะไรที่จะสามารถแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองได้ก็ควรทำ ไม่ใช่ว่าสร้างภาระให้ผู้ปกครองเพิ่ม เลขาธิการสภาการศึกษา ถกถึงประเด็นนี้เพิ่มเติม
“เด็กสมัยนี้อาจจะรู้ว่ามันมีวิธีการอื่นที่ถูกกว่านี้ ที่ไม่ต้องเสียตังค์ก็ได้ ให้เด็กช่วยคิดซิ เด็กสมัยนี้เก่งจะตาย เทคโนโลยีต่างๆ อาจจะทำไลน์กลุ่มของโรงเรียน ไลน์ระหว่างผู้ปกครอง เข้าระบบแค่นั้นเองไม่ต้องเสียสตางค์ มันมีหลายวิธีการที่ไม่ต้องเสียตังค์ SMS สมัยนี้มันเชยไปแล้ว
ทำไมไม่ใช้ระบบไลน์หล่ะ มันมีอะไรที่มันฟรีอยู่ คือระบบโซเชียลฯ มันมีอยู่ ทำไมเราต้องใช้ SMS เดี๋ยวนี้ระบบ SMS ความจำเป็นน้อยกว่าระบบไลน์อีก ระบบอื่นเยอะแยะเลยที่มีอยู่ในการสื่อสาร คือทางโรงเรียนก็ต้องดูด้วยว่ามีอะไรที่จะลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้ปกครองได้บ้าง ต้องช่วยกัน
เวลาบริหารโรงเรียนก็ต้องดูว่าเราควรจะทำยังไงเพื่อให้ลดค่าใช้จ่ายผู้ปกครอง ไม่ใช่สร้างภาระให้ผู้ปกครอง น่าจะเป็นไปในลักษณะแบบนี้มากกว่า ถ้าพ่อแม่ทุกคนมีมือถือก็ให้ใช้ระบบไลน์ แชตเอาก็ได้ มันไม่จำเป็นต้องเสียตังค์ คือผู้บริหารโรงเรียนต้องหาทางออกที่ใช้ค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด และใช้เทคโนโลยีที่มีอยู่ในสังคมปัจจุบันให้เป็นประโยชน์ที่สุด”
ต่อด้วยจรรยาบรรณของความเป็น ‘ครู’ ถือว่าเหตุการณ์นี้ใช้อารมณ์ และความรุนแรงมากเกินไป เป็นสิ่งที่ไม่ควรกระทำอย่างยิ่ง เนื่องจากเป็นเด็กมัธยมด้วยแล้ว เขามีวุฒิภาวะ มีเหตุผล ดังนั้น จึงควรใช้เหตุผลคุยกันมากกว่าการใช้กำลัง
“ถ้าทำร้ายร่างกายเด็กแบบใช้อารมณ์ก็ไม่ถูก แต่ถ้าตบแบบสั่งสอนแบบเบาๆ เพื่อการอบรมและใช้เหตุผล คือเด็กมัธยมเขาโตแล้ว เขาจะใช้เหตุผลมากกว่า ควรจะใช้เหตุผลและคุยกันในแบบที่ผู้ใหญ่คุย คือครูต้องมีวุฒิภาวะเพียงพอ ต้องควบคุมสติ ควบคุมอารมณ์ในเรื่องพวกนี้ ทำอะไรก็ต้องรอบคอบ ต้องใช้สติทุกอย่างมันจะได้ไม่เกิดปัญหาตามมา
สมัยก่อนมันก็มีเรื่องเฆี่ยนตี แต่สมัยก่อนใช้ไม้เรียวตี คือรับได้เพราะมันเป็นเรื่องของการสั่งสอน อบรม ที่เราเคยทำกันมา แต่เราต้องบอกว่าเพราะอะไร ต้องมีเหตุมีผลในการจะทำโทษคน อยู่ดีๆ ไปตบปุ๊บเลยไม่มีเหตุผลอันนี้ใช้อารมณ์ แต่ถ้าสมัยก่อนที่ครูให้ออกมาหน้าห้องทำโทษเด็กเพราะผิดระเบียบ ผิดวินัย อันนี้เป็นการสั่งสอน แต่อันนี้เป็นการใช้อารมณ์ ซึ่งก็ไม่ควรจะกระทำ”
สำหรับทางออกที่ดีที่สุดของเรื่องนี้คือ ควรหันหน้าคุยกัน ให้อภัยกัน อีกทั้ง ทางผู้บริหารต้องสร้างความกระจ่างให้แก่เด็กนักเรียนด้วย เลขาธิการสภาการศึกษา กล่าวทิ้งท้าย
“เรื่องนี้น่าจะให้อภัยกัน ต่อไปนี้ก็จะไม่เกิดเหตุแบบนี้ คือคุยกันได้ อาจจะบันดาลโทสะแต่ว่าเป็นเรื่องที่ต้องตักเตือนว่าคราวหน้าอย่าไปทำ หรือครูคนอื่นเวลาจะสั่งสอน ทำโทษลูกศิษย์ก็ต้องมีระบบ เหมือนสมัยก่อนเราโดนเฆี่ยนก็ยอมให้ครูเฆี่ยน เพราะครูสอนว่าเราผิด เราก็ถูกทำโทษ ก็ไม่เห็นมีเรื่องเลยสมัยก่อน แต่ทำไมสมัยนี้มีเรื่องเพราะเราไม่ใช้ระบบ สมัยนี้คือการบันดาลโทสะไม่ถือเป็นการทำโทษตามระบบ”
ตั้งใจหรือไม่ตั้งใจ..ก็ต้องได้รับโทษ!
ประเด็นดังกล่าวข้างต้นนี้ ถือเป็นเรื่องราวที่สะเทือนวงการการศึกษาไทย ผู้คนต่างตั้งคำถามมันถูกต้องแล้วหรือที่บุคคลที่เรียกว่าตนเองเป็น ‘แม่พิมพ์ของชาติ’ ใช้อำนาจข่มขู่และประพฤติตัวอย่างไม่เหมาะสมเช่นนี้ ทำให้เหตุการณ์นี้ได้รับความสนใจจากผู้คนอยู่ไม่น้อย ไม่เว้นแม้แต่เฟซบุ๊กแฟนเพจ “กฎหมายไทย” ก็แสดงความเห็นเอาไว้เกี่ยวกับบทลงโทษของข้าราชการเช่นกันและฝากเรื่องนี้ให้เป็นอุทาหรณ์ ว่าครูควรมีสติ คิดก่อนทำ โดยมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
พฤติกรรมของบุคคลที่เรียกตนเองว่า ‘ครู’ มาตรา 391 วางหลักว่า ผู้ใดใช้กำลังทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิด อันตรายแก่กายหรือจิตใจ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน…
การกระทำเฉกเช่นในคลิปนั้นเป็นเพียงการทำร้ายร่างกายมิได้มีอันตรายแก่กายหรือจิตใจซึ่งองค์ประกอบของมาตรานั้นเหมือนมาตรา 295 เกือบทุกประการยกเว้นในส่วนที่ว่า มาตรา 391 นั้นคือ การทำร้ายแต่ยังไม่ถึงขั้นเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ซึ่งความผิดตามมาตรา 391 นี้จัดเป็นความผิดลหุโทษ
ทั้งยังมีตัวบทกฎหมายอื่นๆ ที่ไม่ได้ยกมาอีกมากมาย อาทิ การดูหมิ่นซึ่งหน้า การกระทำอนาจารตาม ม.278 การปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ฯลฯ ส่วนเรื่องค่าเสียหายในทางแพ่งนั้นก็สามารถเรียกได้ตามแต่สมควรแก่กรณี อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 420
มาตรากฎหมายด้านบนนั้นมิได้เป็นสาระสำคัญในการเขียนบทความครั้งนี้ ประเด็นที่จะนำมาพูดอธิบายคือ การพิจารณาความผิดทางวินัยของผู้บริหารที่จะต้องดำเนินการอย่างถูกต้องเที่ยงตรง หาไม่แล้ว ชื่อของท่านคณะกรรมการสอบเองอาจจะปรากฏในศาลปกครองได้แบบไม่รู้ตัว
กรณีในคลิปเป็นการกระทำที่ไม่น่าให้อภัยสำหรับบุคคลที่มีสภาวะวิสัยและพฤติการณ์ระดับนี้ ทั้งยังอ้างตนว่ามีการศึกษาสูงระดับดุษฎีบัณฑิต ควรจะมีวิจารณญาณและการควบคุมอารมณ์ให้ได้มากกว่าบุคคลทั่วไปทั้งยังมีตำแหน่งทางบริหารอีกด้วย
การกลั่นแกล้ง ดูหมิ่น เหยียดหยาม กดขี่ หือข่มเหงผู้เรียน เป็นความผิดทางวินัยขั้นร้ายแรง ตาม พ.ร.บ.ครูและบุคลากรทางการศึกษา ปี2546 ทั้งยังมีการกระทำผิดทางด้านวินัยหลายๆ ข้อเช่น มิได้เป็นแบบอย่างที่ดีให้ผู้เรียนฯ การกระทำโดยการตบที่หัวนักเรียนหลายๆ ครั้ง ฟังไม่ได้ว่าเป็นการกระทำไปเพื่อสั่งสอน ด้วยพฤติการณ์แสดงชัดว่าเป็นการกระทำไปเพื่อระบายอารมณ์ และโทสะของตนเอง
โทษสําหรับการกระทําผิดวินัยอย่างร้ายแรง มีโทษได้แก่ ไล่ออก ปลดออก ซึ่งหากมีเหตุอันควรลดหย่อนจะนำมาประกอบการพิจารณาลดโทษก็ได้ แต่ห้ามมิให้ลดโทษต่ำกวาปลดออก และกระบวนการการดําเนินการทางวินัย คือ
1. การตั้งเรื่องกล่าวหา
2. การสืบสวนหรือการสอบสวน
3. การพิจารณาความผิดและกําหนดโทษ
4. การลงโทษหรืองดโทษ
5. การดําเนินการในระหว่างดําเนินการทางวินัย เช่น ให้พักราชการหรือให้ออกจากราชการไว้ก่อน
อย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวนี้ยังคงเป็นประเด็นร้อนที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อทางผู้บริหารไม่ออกมาสร้างความกระจ่างชี้ชัด เรื่องราวนี้คงไม่จบลงง่ายๆ และถือว่าเหตุการณ์นี้เป็นอุทาหรณ์ได้อย่างดีสำหรับบุคคลที่เรียกตนเองว่า ‘ครู’ ต้องมีวุฒิภาวะเพียงพอ ต้องควบคุมสติ เพื่อไม่เกิดปัญหาตามมาในภายหลังเฉกเช่นกรณีนี้ อีกทั้ง จะเห็นได้ว่าไม่ว่าบุคคลใดก็ตามที่ใช้กำลังทำร้ายผู้อื่น ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม จะมีทางกฎหมายอย่างแน่นอน!
ข่าวโดยASTV ผู้จัดการLive
คลิปจาก "Xiong Channel" สมาชิกเว็บไซต์ยูทูป
มาสร้างแรงบันดาลใจไปด้วยกัน!!ตัวอย่างงานในเซ็กชั่นทั้งหมด>>>...
Posted by ASTV ผู้จัดการ Live on Friday, August 21, 2015
รายละเอียดเพิ่มเติม (คลิก)>>> ตัวอย่างงานในเซ็กชั่น "ASTVผู้จัดการ Live"
มาตามติด Facebook Fanpage และ Instagram
"ASTVผู้จัดการ Live" และ "@manager_live" กันได้ที่นี่!!
และสามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754