xs
xsm
sm
md
lg

“นาว – ทิสานาฏ” กุหลาบแสนซนผู้หลงรักโลกมายา

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


โลกมายาคือโลกแห่งดวงดาว ประกายแสงที่โชติช่วงในชั่วพริบตาคือสัจธรรมแห่งชีวิตของดาราบางคน ยิ่งกับดาราดางรุ่งที่เดินเข้า - ออกวงการกันเป็นว่าเล่น พวกเขาหลายคนมองโอกาสในวงการเพียงมาจากหน้าตาที่ดูดี และใช้โอกาสราวกับผลงานบนหน้าจอเป็นงานฆ่าเวลายามว่างให้แก่ชีวิต แต่ไม่ใช่สำหรับ “นาว - ทิสานาฏ ศรศึก”

“ก่อนหน้านี้หนูเป็นคนขี้อายคะ พอมีแมวมองมาชักชวนหรืออะไรแบบนี้ก็จะปฏิเสธตลอด” เธอเอ่ยในท่าทีแรกต่อวงการบันเทิง “แต่พอได้ทำงานดูก็ติดใจ รู้สึกสนุกและชอบกับงานที่ทำ จนถึงตอนนี้ก็อยากจะทำงานต่อไปเรื่อยๆ อยากทำงานเยอะๆ”

หลังจากก้าวแรกสู่วงการเธอบอกได้ว่า ตัวเองค่อยๆ หลงรักโลกมายา จนถลำตัวผ่านงานเอ็มวี ภาพยนตร์ กระทั่งถึงงานละคร จวบจนขึ้นแท่นนางเอกดาวรุ่งแห่งวิก 7 สี



การตัดสินใจที่ไม่คาดคิด

อายุ 15 ปีอาจบอกได้ว่าเป็นวัยที่มักจะถูกทาบทามให้เข้าสู่วงการมากที่สุด มันคือวัยแรกแย้มที่ความสะสวยของชีวิตเริ่มเผยตัวตนมาให้โลกได้เชยชม ตามศูนย์การค้าย่านวัยรุ่นจึงเต็มไปด้วยแมวมองทำงานควานหาดาวดวงใหม่ประดับวงการ และ “สยาม” ก็ถือเป็นอีกย่านการค้ายอดนิยมที่ดาราหลายคนถูกทาบทามเข้าสู่วงการ

“วันนั้นนาวไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แล้วไปเดินห้างแถวสยาม แล้วก็เหมือนมีพวกแมวมองเข้ามาติดต่อ บอกว่า ขอถ่ายรูปหน่อยได้มั้ย เผื่อจะเอาไปเป็นโปรไฟล์ส่งไปแคสต์งาน” เธอเอ่ยขึ้น แต่เรื่องราวไม่ได้เริ่มต้นง่ายขนาดนั้น “หนูปฏิเสธไปค่ะ ไม่ชอบ ช่วงนั้นจำได้ว่าประมาณอายุ 15 เวลาไปไหนมาไหนก็มักจะมีแมวมองเข้ามาขอถ่ายรูปแต่หนูก็จะปฏิเสธไปเสมอ”

แต่บ่อยครั้งวันหนึ่งเธอก็ตัดความรำคาญด้วยการตอบรับให้ถ่ายรูปกลับไปพร้อมทั้งแลกขอเบอร์ติดต่อกับแม่ของเธอไว้ ทว่าหลังการตัดสินใจครั้งนั้น เธอก็ถูกติดต่อให้มาทำแคสต์ถ่ายวิดีโอไว้เพื่อส่งไปตามงานต่างๆ

“ตอนแรกหนูก็ไม่ไปอีก คือไม่อยากไป ตอนนั้นที่เราถ่ายเพราะเราแค่อยากทำให้มันจบๆ ไป ให้ถ่ายๆ ไป เอาเบอร์แม่ไปก็ได้ เราก็เดินออกมาแล้วไปเที่ยวกับเพื่อนต่อ แต่สักพักพอเขาติดต่อกลับมา คุณแม่ก็เล่าให้ฟังว่า อยากให้เราไปแคสต์เก็บเอาไว้ เราก็ไม่เอา ไม่ไป ไม่อยากไปเพราะรู้สึกไม่ชอบ ตอนนั้นเรายังเป็นวัยรุ่นยังเป็นวัยที่สนุกกับเพื่อนๆ ยังไม่ได้คิดถึงเรื่องงานเรื่องอาชีพตรงนี้เลย”

แต่เสียงโทรศัพท์ที่ดังไม่หยุด ความดึงดันของแมวมองในวันนั้นส่งผ่านแม่ของเธอมาเป็นคำพูด บอกเพียงว่า ลองดูก็ได้ มันไม่เสียหายอะไร เธอจึงตัดสินใจลองดูสักครั้ง

“ก็โทร.มาหลายครั้งอยู่ เขาตื๊อผ่านแม่เพราะเราให้เบอร์แม่ไป แม่ก็ไม่ได้บังคับเราหรอก แค่บอกว่า ลองดูก็ไม่เสียหาย เราก็เลยเออๆ ก็ได้แล้วเราก็ลองไป”

จากนั้นในการทำวิดีโอแคสต์ครั้งแรก ที่หน้ากล้องตัวเล็กๆ ในโมเดลลิ่งแห่งหนึ่ง เธอได้รับโจทย์ให้ร้องไห้หน้ากล้อง

“แต่ก่อนจะให้เราร้องไห้ เขามาทำอารมณ์ให้เราก่อน เขาบอกว่า จะเอาแคสต์อันนี้ไปแคสต์เอ็มวีที่เป็นเรื่องของสาววัยรุ่นที่อกหักจากผู้ชายแล้วมาเที่ยวอยู่ในผับ เสียตัวร้องไห้เสียใจ จริงๆ ตอนนั้นมันไม่เหมาะกับหนูหรอก เพราะหนูยังเด็ก แต่พอเขาทำอารมณ์ให้เรา เราก็ร้องไห้ออกมาได้”

หลังจากจบวันนั้น วิดีโอดังกล่าวถูกส่งไปให้ผู้จัดทำเอ็มวีแล้วเธอก็ถูกเรียกตัวให้ไปทำงานจริงจนได้ แต่เธอก็ยังยืนยันอีกครั้งว่า ไม่อยากไป!

“หนูก็บอกแม่ไม่เอา ไม่ไป คือเราแค่ทำให้มันจบๆไป ไม่ต้องการที่จะต่อยอด แค่ตัดความรำคาญที่มีคนมาตื๊อ เราไม่รู้ว่าผลมันจะออกมาเป็นอย่างนี้”

โทรศัพน์จากโมเดลลิ่งยิ่งตามติด ทางผู้จัดทำต้องการเธอ วิดีโอถูกส่งไปแล้ว หลายครั้งหลายคราว จนท้ายที่สุดก็เป็นอีกครั้งที่เธอตัดความรำคาญด้วยการตกปากรับคำ

“ทางโมเดลลิงก็คะยั้นคะยอ โทร.มาหาแม่หลายครั้งอยู่เหมือนกัน ท้ายที่สุดเราก็ตัดความรำคาญลองไปดู คือแม่ไม่ได้บังคับ แต่แม่เห็นว่า มันก็เป็นประสบการณ์ที่ดี ลองดูก็ได้ ไม่ชอบก็ไม่ต้องทำแล้ว แค่ไปลองก่อนก็ได้ เราก็คิดตามแม่”

และแล้วเมื่องานเอ็มวีเพลง เสียงลมหายใจ ของ ปราโมท วิเลปะนะผ่านพ้นไป เธอกลับรู้สึกชอบ และสนุกกับการทำงาน จากทีแรกในความคิดที่มีต่อทำงานว่า ต้องเครียด เธอกลับพบความสนุกทั้งจากการทำงาน และทีมงาน จากนั้นเธอจึงรับงานและเลือกเดินมาบนเส้นทางสายบันเทิงอย่างต่อเนื่องมาเรื่อยๆ

“ตอนนั้นจริงๆก็รู้สึกเฉยๆ มันสนุกดีเพราะเราเด็กมาก เรารู้สึกดีที่ทำงานแล้วได้เงิน มันเป็นเงินก้อนแรกที่อาจจะไม่ได้มากมาย แต่เราก็ไม่เคยได้เยอะขนาดนี้ ตอนเด็กเราแค่ขอตังค์แม่ไปโรงเรียน แต่ตอนนี้เรามีเงินเป็นของตัวเอง เราเอาเงินก้อนแรกให้แม่ เรารู้สึกภูมิใจ หลังจากงานเอ็มวีเราก็มีงานหนังเข้ามาด้วย”

ภาพยนตร์เรื่อง เลิฟ จุรินทรีย์ เมื่อหลายปีก่อนกลายเป็นก้าวแรกสู่วงการอย่างเต็มตัวของเธอ หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตารู้จักเธอจากภาพยนตร์เรื่องนี้ เธอเผยว่า เป็นการทำงานที่สนุกมากครั้งหนึ่งของชีวิต

“ตอนที่ไปคุยเรื่องหนังก็เหมือนเขาทำแคสต์เรา เขาให้เล่าชีวิตเราว่า อยู่โรงเรียนเป็นยังไง เหมือนดูบุคลิกเราเวลาเราพูดคุย เล่าว่าชีวิตเราเป็นยังไง เขาก็จะเอาชีวิตเรามาทำเป็นหนัง มันเลยเป็นตัวของตัวเองในหนังไปด้วย”

แม้กระแสจากภาพยนตร์ดังกล่าวจะไม่ดังเปรี้ยงถึงขั้นส่งเธอเป็นนางเอกดังในชั่วข้ามคืน แต่ก็เริ่มมีคนจดจำเธอได้มากขึ้น ในหมู่วัยรุ่นเธอก็เริ่มเป็นที่รู้จัก ความภูมิใจจากผลงานชิ้นนั้นคือการที่เธอได้เชิญเพื่อนๆ มาดูหนังรอบปฐมทัศน์ ช่วงเวลานั้นความดีใจที่เกิดขึ้นทำให้เธอหวนนึกไปถึงวันแรกๆที่ตัดสินใจเข้าวงการ

“เรารู้สึกดีใจ ไม่เคยคิดว่า การตัดสินใจของเราในครั้งนั้นจะทำให้เรามาถึงจุดนี้ ไม่เคยคิดว่าชีวิตเราจะมาถึงจุดๆ นี้ ไม่เคยคิดเลยว่า ฉันจะต้องเข้าวงการ ตอนนั้นก็มาไกลกว่าที่ตัวเองคิดไว้มากแล้ว”

ในโลกของเด็กน้อย

ในช่วงปิดเทอมวัยเด็กเธอต้องติดตามไปวิ่งเล่นที่ทำงานของแม่ สิ่งหนึ่งที่แม่จำได้แม่นคือ เธอเป็นเด็กปากไว ครั้งหนึ่งเพื่อนที่ทำงานเดินผ่าน เธอถามโดยพลันด้วยความไร้เดียงสา “ทำไมพี่เขาถึงแต่งหน้าน่ากลัวอย่างนั้นล่ะคะ?”

จากนั้นเธอเติบโตขึ้นมาเป็นเด็กซนคนหนึ่ง มักจะทำให้อะไรห้าวๆ สนุกตามวัย มีปีนต้นไม้ เก็บมะยมกับเพื่อนๆ บ้าง อย่างไรก็ตาม เธอก็ถือเป็นเด็กขี้อายคนหนึ่ง ไม่สนใจร่วมกิจกรรมใดๆ ของโรงเรียน รายงานหน้าชั้นก็มักไม่พบเธออยู่ที่หน้าชั้นเรียน กระทั่งการตอบคำถามในห้อง หากถูกเรียกให้ยืนขึ้นตอบ เธอจะตื่นเต้นจนทำอะไรไม่ถูก

“ไม่ชอบอะไรที่มันต้องทำคนเดียวแล้วคนทั้งห้องมอง ถึงจะเป็นเพื่อนที่สนิทกัน แต่มันก็รู้สึกไม่ชอบที่จะไปยืนแล้วมีคนมองเยอะ ตอนนั้นเลยรู้สึกไม่ชอบงานแสดง หนูเป็นคนแบบนี้อยู่แล้ว”

กลุ่มเพื่อนวัยเด็กก็เป็นกลุ่มเด็กซนที่สนุกๆ ไปกัน สำหรับเธอแล้วไม่ได้มีความผูกพันเหมือนในช่วงที่โตขึ้นมา ยังคงเป็นเด็กน้อยทั่วไปมากกว่า

“แต่พอเราโตขึ้น เรามีเพื่อน มีเหตุผลมากขึ้นมันก็จะมีความผูกพันมากขึ้นไปเอง”

คาบเรียนคณิตศาสตร์คือคาบเรียนโปรดของเธอ แม้ว่าในทีแรกเธอจะไม่ชอบและยังเรียนไม่เก่งก็ตาม เธอมองว่า ความไม่เข้าใจบทเรียนที่ซ้อนทับพอกพูนต่อๆกัน คือปมปัญหาใหญ่ที่ทำให้เธอไม่ชอบวิชาคณิตศาสตร์ แต่แล้วหลังจากได้เรียนจนเข้าใจกับลูกพี่ลูกน้อง เธอก็สามารถทำข้อสอบได้ เธอเข้าใจในบทเรียน เธอจึงกลับมาชอบวิชาคณิตศาสตร์ตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา

“จริงๆที่เราไม่เข้าใจเพราะบางทีครูสอนเร็วเกิน และหนูก็เป็นคนหัวช้าด้วย คณิตศาสตร์มันเป็นอะไรที่เข้าใจยากในวัยเราตอนนั้น พอครูสอนไม่เข้าใจเราเป็นเด็กขี้อายก็ยิ่งไม่กล้าไปถาม เลยเกิดความไม่เข้าใจต่อๆ กันไปเรื่อยๆ เราก็เลยไม่ชอบ”

ทว่า ชีวิตวัยเรียนที่เป็นเด็กซนและชื่นชอบวิชาคณิตศาสตร์ กลับมาลงท้ายด้วยการเข้าวิทยาลัยนาฏศิลป์ เธอยิ้มพร้อมเผยถึงสาเหตุว่า มาจากความเป็นเด็กซน แม่จึงอยากให้ไปเรียน ทว่าอีกสาเหตุคือเพราะโรงเรียนสอนนาฏศิลป์ดังกล่าวมีโปรโมชัน เรียน 1 คน แถมอีก 1 คน เธอจึงติดสอยห้อยตามพี่สาวไปเรียนด้วย

“ตอนเด็กๆ ซนคะ แม่เลยจับให้เรียนนาฏศิลป์ ซึ่งจริงๆ หนูก็ไม่ได้กะจะเรียน แต่พี่สาวจะไปสมัครเรียนนาฏศิลป์ซึ่งเป็นโรงเรียนอยู่ในห้าง แล้วพอดีช่วงนั้นเขามีโปรโมชันแถม 1 คน ก็เลยเอาหนูไปด้วย และพอไปเรียนเราก็รู้สึกว่าตัวเองรำสวย ตอนนั้นประมาณ 8 ขวบได้ ถึงจะไม่ได้รำสวยมาก แต่ก็รำดีไม่ได้น่าเกลียด หนูเลยเรียนมาตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงตอนนี้เลย”



ชีวิตเด็กนาฏศิลป์

ชีวิตเด็กเรียนรำแห่งวิทยาลัยนาฏศิลป์ของเธอเริ่มตั้งแต่เข้าเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 1 ตารางชีวิตในทุกวันเปลี่ยนแปลงไป เธอต้องเรียนนาฏศิลป์ช่วงเช้า ส่วนบ่ายก็เรียนวิชาสามัญ หากขึ้นมัธยมปลายก็จะมีการสลับกันให้เรียนวิชาสามัญช่วงเช้าและเรียนนาฏศิลป์ช่วงบ่าย วิถีชีวิตเด็กเรียนรำไม่ได้เป็นสิ่งที่เธอต้องปรับเปลี่ยนตัวเองมากนัก แม้จะเป็นเด็กซนและขี้อายมาก่อน แต่เมื่อมาอยู่ในสังคมนาฏศิลป์เธอก็ซึมซับกับวิถีชีวิตในแบบที่เป็นอยู่ พร้อมทั้งทำหน้าที่ของตัวเองออกมาได้เป็นอย่างดี

“คือตอนแรกเฉยๆ ที่แม่ให้หนูไปเรียน แต่พอเราได้ไปอยู่ในวิทยาลัยนาฏศิลป์ ได้มาเห็นสังคม เห็นรุ่นพี่แต่งหน้าแต่งตัวไปรำกัน มันกลายเป็นความภาคภูมิใจขึ้นมา เวลาที่เราได้ออกงานไปยืนรับเสด็จ หรือไปรำหน้าพระที่นั่งฯ เรารู้สึกว่าเราภูมิใจ เราเลยรักในนาฏศิลป์ แล้วเราก็อยากจะเผยแพร่ให้คนเห็นถึงความสำคัญของนาฏศิลป์มากขึ้น”

สิ่งที่ช่วยให้ชีวิตรอบรั้ววิทยาลัยนาฏศิลป์ของเธอดำเนินไปด้วยดีก็คือการเรียนซัมเมอร์ในช่วงปิดเทอมก่อนเข้าเรียนที่ช่วยให้เธอได้ปรับตัว ได้รู้จักกับเพื่อนก่อนเข้าเรียน เธอจึงแทบไม่ต้องปรับตัว การซ้อมในแต่ละวันที่ผ่านพ้นไปทำให้เธอยิ่งตกหลุมรักกับศิลปะแขนงนี้มากยิ่งขึ้น

ในทางนาฏศิลป์เธอถนัดรับบท “ตัวพระ” มากกว่า “ตัวนาง” ด้วยเพราะตัวนางนั้นมีท่ารำที่ต้องอ่อนถ้อยสำรวมให้คล้ายผู้หญิง คนรูปร่างสูงแขนยาวขายาวอย่างเธอจึงเหมาะกับตัวพระที่มีลักษณะเน้นท่วงท่าที่ดูเท่และสง่างาม ทั้งนี้ เธอเผยว่า การรำนั้นไม่ใช่แค่การออกไปยืนบนเวที รำทำท่าตามที่จดจำ หากแต่ยังมีศาสตร์และศิลป์ในชั้นเชิงการตีความที่น่าหลงใหลแอบซ่อนอยู่

“จริงๆ มันไม่ใช่แค่รำอย่างเดียว มีทั้งโขน บัลเล่ย์ ดนตรีสากล ดนตรีไทย ขับร้องสากล ขับร้องไทย ของหนูเลือกสายละครก็คือสายรำ

“เสน่ห์ของมันอยู่ที่ความเข้าใจในตัวบท ถ้าเราเข้าใจเนื้อหาของบท การร้องที่เกี่ยวกับชมนกชมไม้ เราก็ต้องตีความแล้วร่ายรำท่าให้ออกมาตามการตีความ ไม่ใช่เราจะรำไปเรื่อยเปื่อยตามท่าที่เราจำได้เท่านั้น”

ความยากของท่ารำรวมกับความอ่อนช้อยในการแสดง ประสานกับความเข้าใจในตัวบทถ่ายทอดออกมาสู่การแสดง เธอมองว่า สิ่งเหล่านี้ท้ายที่สุดแล้วก็ช่วยเรื่องการแสดงของเธอด้วย



แม่คือทุกอย่าง

“เหมือนมีแม่เป็นเพื่อน” เธอเอ่ยในครั้งแรกที่เราถามถึงครอบครัว และเธอโตมาแบบนั้น แบบที่มีแม่เป็นเพื่อน และเป็นทุกอย่าง ขณะที่กับคุณพ่อก็จะทำงานและไม่ค่อยได้มีเวลาเจอกันสักเท่าไหร่

“เวลาไปไหนก็จะไปกับแม่ ถ่ายละครคุณแม่ก็มา หรือไปงานอะไรคุณแม่ก็จะไปเสมอ คือติดตัวเราตลอด เรามีอะไรก็จะปรึกษาแม่”

ก่อนหน้าเธอจะเป็นนักแสดงนั้น คุณแม่ของเธอก็ยังคงทำงานอยู่ แต่เมื่อเธอเข้าวงการบันเทิงอย่างเต็มตัว เธอต้องไปไหนมาไหนคนเดียวบ่อยครั้ง คุณแม่จึงตัดสินใจลาออกจากงานเพื่อมาดูแลเธอ ด้วยเหตุนี้เธอกับแม่จึงยิ่งสนิทกันมากขึ้น

และเธอก็เติบโตมากับการเลี้ยงดูด้วยทัศนคติที่เปิดกว้างของแม่ แม่ที่เป็นกลางไม่ตัดสินอะไรราวกับตัวเองเป็นผู้ใหญ่ รับฟังเธอในทุกเรื่องราวที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

“แม่ไม่ได้คิดว่าฉันเป็นผู้ใหญ่ ลูกต้องทำตามการตัดสินใจของฉัน แม่พยายามเป็นวัยรุ่นกับหนู เวลาหนูไปเที่ยวกับเพื่อน แม่ก็จะไปด้วยแต่จะไปรออีกที่หนึ่งแล้วให้เราไปเที่ยวกับเพื่อน บางทีเราเกรงใจก็ให้แม่ไปด้วยซึ่งเพื่อนก็จะสนุกกันเพราะแม่ทำตัวเหมือนเป็นเพื่อนคนหนึ่ง เขาเป็นคนสนุกสนานอยู่แล้ว”

ในช่วงเวลาที่อยู่ในวงการบันเทิงพ่อแม่มักจะสอนเธออยู่เสมอให้วางตัวให้ดี ตรงต่อเวลา รู้จักกาลเทศะในการเข้าหาผู้ใหญ่อยู่เสมอ กับการพักผ่อนที่ตรงข้ามกับการทำงาน เธอเผยว่า นานมากๆ กว่าจะได้ไปไหนมาไหนกับครอบครัวในช่วงนี้

“ถ้าเป็นสมัยเด็กยังมีไปทะเลกัน กินข้าวด้วยกัน แต่พอโตมาหนูก็ทำงานด้วย มันก็เลยไม่ค่อยจะมีเวลาได้เจอกันแบบแต่ก่อน”



นักสะสมตุ๊กตาหัวกะโหลก

เข้าฟิตเนสดูแลร่างกาย ดูแลคุณภาพ ออกกลางแจ้งเข้าสนามยิงปืน บางเวลาเธอก็พักผ่อนทำสวย ขัดผิว หากมีเวลาว่างเธอไม่ได้มีกิจกรรมสุดโปรดเพียงอย่างเดียว แต่หากเปลี่ยนไปตามอารมณ์และช่วงเวลา และบางครั้งเธอก็ชอบไปเที่ยวทะเล

“แล้วแต่อารมณ์คะ บางทีก็อยากไปฟิตเนส อยากไปยิงปืน บางทีก็พักผ่อนทำสวยขัดผิว ส่วนมากก็จะดูแลตัวเองมากกว่า”

แต่กิจกรรมยามว่างหนึ่งที่เธอไม่เว้นวางก็คือการสะสมตุ๊กตากะโหลกนามว่า แจ็ค สเคลิงตัน (Jack Skellington) ตัวการ์ตูนสุดโด่งดังจากเรื่อง Nightmare before christmas การ์ตูนระดับตำนาน โดยเธอเริ่มสะสมมาตั้งแต่อยู่ ม.ต้น

“เรารู้สึกชอบตุ๊กตาตัวนี้ คือดูการ์ตูนแล้วเราชอบมาก แล้วเราจะสะสมเฉพาะตัวนี้ตัวเดียวก็มีเยอะเลย มีเป็นตุ๊กตา โมเดลตั้งโชว ์ กระเป๋า รู้สึกว่ามันน่ารักดีและดูเท่ดี แล้วก็หายากด้วย”

แม้ว่าส่วนมากของสะสมจะมาจากมีแฟนคลับซื้อมาฝาก แต่หลายสิ่งหลายอย่างที่เป็นของใช้ของเธอมีตัวละครตัวนี้อยู่

“เห็นแล้วก็เก็บสะสมเพราะรู้ว่ามันหายาก อย่างไปเดินตลอดรถไฟก็จะมีขายของมือสอง แล้วก็มีขายตุ๊กตา อันนี้ตัวละ 30 - 40 ถูกๆหน่อยก็ซื้อเก็บ คือถ้าเห็นปุบต้องซื้อเก็บไว้ทันที ช่วงนี้กำลังอยากได้ผ้าปูที่นอน หรือชุดนอน ผ้าห่มอะไรแบบนี้จะได้ใช้ได้”
ตุ๊กตาตัวโปรดที่สุดของเธอคือ ตัวที่มีคนซื้อมาฝากจากญี่ปุ่นมีขนาดสูงเท่าตัวเธอเลยทีเดียว

“หนูก็เอามากอดได้ มันเหมือนผีจริงๆ ตัวยาวๆ มันหายากมาก แต่ตอนเอามาแรกๆก็ตกใจอยู่ เพราะยังไม่ชิน นึกว่าใครมานอนบนเตียง(หัวเราะ)”

ทว่าในส่วนของตุ๊กตาที่เธอหาซื้อมาเอง เธอเล่าว่ามีครั้งหนึ่งหลังจากกินขนมหวานเสร็จ เธอไปเจอร้านขายตุ๊กตามือสอง เธอก็ซื้อแบบเหมาร้านแบบที่เธอยังไม่มีมาทั้งหมด เพราะตุ๊กตาแจ็คถือเป็นของหายากที่ผลิตน้อยหรือไม่มีผลิตอีกแล้ว ทำให้เป็นของหายากและมีราคาพอสมควร

“คือของแท้ของปลอมหนูซื้อหมดเลย ตอนนี้มันไม่ได้มีห้องเก็บตุ๊กตาแต่ก็อยู่ในตู้เสื้อผ้า ยังสะสมอยู่เรื่อยๆ”



โลกมายา

หลังจากงานภาพยนตร์ที่ทำให้เธอเป็นที่รู้จัก แม้จะไม่โด่งดังมากนัก เธอก็ยังคงอยู่ในวงการบันเทิง วิดีโอแคสต์งานของเธอถูกส่งไปในหลายๆ ที่ เธอได้โอกาสไปแคสต์งานที่ทีวีธันเดอร์ แต่แล้วเทปแคสต์งานดังกล่าวกลับถูกส่งต่อไปยังช่อง 7 ท้ายที่สุดเธอก็มาเริ่มงานละครครั้งแรกที่นี่

“แรกๆ เกร็งมากคะ เพราะหนังมันยังมีการเวิร์กชอปก่อนถ่ายจริงเลยสนิทกันทั้งกองก่อนถ่าย แต่ละครจะมีฟิตติ้งนิดหน่อยเท่านั้น”

แรกเข้ากองเธอจึงเกร็งกับการทำงาน แต่ก็ไม่ได้ออกมาแย่มาก ยังมีคนจดจำงานแสดงครั้งนั้นของเธอได้ และมันก็เป็นก้าวแรกที่ส่งให้เธอเป็นที่รู้จักรวดเร็ว และมีชื่อเสียงในวงกว้างมากขึ้น

“มันก็เหมือนการถ่ายหนังแต่ใช้อารมณ์ที่ต่อเนื่องกว่า เพราะละครมันยาวอารมณ์ก็ต้องต่อเนื่อง หนังถ่ายแค่ 10 กว่าวัน หรือ 2 - 3 อาทิตย์ก็เสร็จ แต่ละครเหมือนมันยาว บทก็เยอะ เราต้องคุมให้อยู่ หนังที่เล่นมันเป็นตัวเราเลยที่ไปแสดง แต่ละครมันไม่ใช่ ละครเหมือนเอาตัวละครมาแสดงมากกว่า”

ในช่วงแรกของการแสดง เธอต้องปรับให้พูดช้าลง ผู้กำกับจะคอยเตือนเธออยู่เสมอ ทั้งนี้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังผ่านงานละครมาหลายเรื่อง เธอเผยว่า ผลงานล่าสุดที่กำลังออกอากาศอยู่ตอนนี้อย่าง “กุหลาบเล่นไฟ” เป็นงานละครที่พลิกคาแร็กเตอร์ของเธอมากๆ

“ไม่เคยรับบทแบบนี้เลย ที่ผ่านๆมามักจะเป็นตัวละครที่เรียบร้อยเจ้าน้ำตา ซึ่งเราก็เล่นมา 2 - 3 เรื่องแล้ว เรารู้คาแร็กเตอร์แนวนี้แล้วว่า มันอยู่ประมาณนี้ในการเป็นคนเจ้าน้ำตา

“แต่พอมาเรื่อง กุหลาบเล่นไฟ มันเหมือนข้ามขั้นจุดตรงนั้น คือตอนแรกหนูไม่คิดว่ามันจะยากขนาดนี้ ช่วงแรกที่ถ่ายมันเป็นความสนุกของเพื่อนวัยรุ่น ก็เลยดูง่าย การรักกันของเพื่อน 3 คน แต่พอถึงจุดๆ หนึ่งที่ตัวละครนี้ต้องเปลี่ยนมันก็ยากเหมือนกัน จะต้องทำยังไงให้ตัวละครนี้เปลี่ยนและคนดูเชื่อว่า เราเปลี่ยนไปแล้วนะ ต้องฉีกออกไปอีกน่ะคะ”

สิ่งที่ผู้กำกับทำคือการบอกระดับซึ่งตั้งไว้ที่ 3 ระดับด้วยกัน ทั้งแค้นในระดับที่คิดจะทำอย่างไรกับความแค้น แค้นระดับที่เริ่มใช้สายตา กระทั่งแค้นจนใช้ทุกอย่างในร่างกายเพื่อแสดงออก ทั้งหมดนี้ถือเป็นความท้าทายสำหรับเธอ

ทั้งนี้ จากก้าวแรกเข้าวงการจนถึงปัจจุบัน มุมมองที่เธอมีต่อวงการบันเทิงก็เปลี่ยนแปลงไป เธอรู้สึกสนุกกับการทำงาน และอยากจะทำต่อไปเรื่อยๆ สิ่งนี้กลายเป็นอาชีพของเธอไปแล้ว

“ตอนนี้มันเป็นชีวิตของเราไปแล้ว ถ้าหนูไม่มีเรียน หนูก็จะมาถ่ายละครและถ้าไม่มีถ่ายละครหนูก็จะไปเรียน หนูเรียนจบก็คงอยู่กับละคร”

ในส่วนของผลตอบรับนั้น แม้จะมีทั้งดีและไม่ดี เธอยังคงมองว่า สิ่งไม่ดีก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดทำให้หมดกำลังใจ

“มันก็แค่เป็นในช่วงแรกๆ ที่เรายังไม่ชินกับการเล่นละคร ก็จะมีคนติมาบ้างแต่ส่วนมากก็จะไม่ค่อยติอะไร”

กับเคล็ดลับการพัฒนาตัวเอง เธอเผยว่าสิ่งที่ตนเองทำอยู่อาจไม่ใช่เคล็ดลับ หากแต่เป็นสิ่งสามัญที่ดารานักแสดงทุกคนต้องทำ นั่นคือการพยายามเข้าใจตัวละครให้ได้มากที่สุด

“หนูเชื่อว่านักแสดงทุกๆคนก็ต้องมีความเข้าใจตัวละครถึงจะแสดงออกมาได้ อยู่ที่ว่าเราจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหนแล้วจะแสดงออกมายังไง เรื่องแบบนี้อาจจะแสดงคนละแบบกันไม่เหมือนกันก็ได้”

ความเครียดคืออีกด้านหนึ่ง

ในโลกมายาที่ดูสวยสดงดงาม หลังม่านหลายครั้งเต็มไปด้วยสิ่งไม่สวยงามนัก หลังม่านของความรับผิดชอบในฐานะดารา และในฐานะนักเรียนรำวิทยาลัยนาฏศิลป์เป็น 2 บทบาทที่ต้องทุ่มเวลาให้อย่างเต็มที่ เธอยอมรับว่าค่อนข้างเครียดกับภาวะที่เป็นอยู่ การแบ่งเวลาที่ไม่สมดุล โอกาสในวงการที่กำลังเข้ามา และการเรียนที่กำลังถึงจุดที่เธอต้องทุ่มเทเวลาให้อย่างมากที่สุด แก่นแกนในการดำเนินชีวิตของเธอในช่วงนี้คือ พยายามไม่เครียด

“จริงๆ เป็นคนเครียด คิดมาก การแบ่งเวลาเรียนกับทำงาน บางทีเราไม่รู้ว่าจะทำไงดี เราก็จะปรึกษาคุณแม่ ปรึกษาคุณครูที่เราพอจะคุยได้ เราก็จะรู้สึกมันสบายใจดี เวลาเรามีคนคนหนึ่งที่ไว้ปรึกษาเรื่องการทำงานและเรื่องการเรียนด้วย”

ตารางชีวิตในช่วงนี้ เธอเผยว่า บางอาทิตย์หากมีงานตลอดทั้งสัปดาห์เธอก็อาจจะไม่ได้เข้าเรียนเลย แต่ก็ยังมีเพื่อนที่ดีที่ช่วยตามงานให้

“ตอนนี้เราโตแล้ว เราคิดว่าโอกาสแบบนี้มันไม่ได้มีมาง่ายๆ ตัวหนูเองทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เรามีเงินเก็บ เรามองย้อนกลับไป กับเพื่อนเขายังเรียนอยู่ แล้วพอเราเรียนและทำงาน เราเหมือนมีความรับผิดชอบมากขึ้น ที่เราเครียดเพราะเรามีความรับผิดชอบ เราอยากจะรับผิดชอบ 2 อย่างนี้ให้มันเท่าๆกัน ทั้งเรียนทั้งทำงาน”

ในช่วงที่เธอท้อทั้งจากเรื่องงานและเรื่องเรียนซึ่งมาถึงปี 4 ใกล้จะจบเต็มที่ หนทางข้างหน้าในช่วงปี 5 คือ เธอต้องเข้าทำการฝึกสอนเสมือนเป็นครูคนหนึ่ง จึงขาดสอนไม่ได้

“การทำงานก็ไม่อยากทิ้งโอกาสตรงนี้ไป ตอนนั้นเครียดมากถึงขั้นน้ำตาไหลเลย ทั้งๆที่เราไม่ได้ร้องไห้ฟูมฟาย แต่น้ำตามันไหลเอง เรานอนคิด นอนไม่ค่อยหลับ มันเครียดเกินไปแล้ว แต่ยังไงก็ไม่อยากทิ้งอย่างใดอย่างหนึ่ง อยากทำทั้ง 2 อย่างให้ออกมาดีที่สุด”

...

โลกมายาอาจมิใช่โลกที่สวยงามเสมอไป ทว่าเรื่องราวในโลกมายาของเธอพึ่งเริ่มต้นเท่านั้น บททดสอบครั้งใหญ่ยังคงรอคอยเธออยู่

เรื่องโดย อธิเจต มงคลโสฬศ
ภาพโดย ศิวกร เสนสอน

ชื่อ - นามสกุล ทิสานาฏ ศรศึก
ชื่อเล่น นาว
วันเดือนปีเกิด 19 พฤษภาคม 2537
งานอดิเรก ออกกำลังกาย, ยิงปืน, สะสมตุ๊กตาหัวกะโหลกผี
ผลงานที่ผ่านมา ภาพยนต์เรื่อง เลิฟ จุรินทรีย์ รักมันใหญ่มาก ละครเรื่อง หอบรักมาห่มป่า, เสือสั่งฟ้า 2 พยัคฆ์พยอง, อาญารัก, ยมบาลเจ้าขา, สายใย, คมพยาบาท, กุหลาบเล่นไฟ





งานอดิเรกยามว่าง



ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754


กำลังโหลดความคิดเห็น