xs
xsm
sm
md
lg

“พื้นที่สาธารณะ” แหล่งโลมเล้าลีลารักแห่งใหม่ของวัยฮอร์โมน!!? [มีคลิป]

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


บนรถเมล์, รถโดยสาร BRT, รถไฟฟ้า BTS หรือแม้แต่ในร้านแมคโดนัลด์ฯลฯ ทุกมุมสว่าง ท่ามกลางสายตาผู้คนมากมาย ไม่อาจลดทอน “ความรัก-ความใคร่” ที่หนุ่มสาววัยพลุ่งพล่านมีต่อกันได้ พวกเขายังคงนัวเนีย คลอเคลีย กอดรัดฟัดจูบกันอย่างดูดดื่มแบบไม่แคร์สายตาใคร ผู้พบเห็นหลายรายทนดูความกล้าแบบไร้กาลเทศะต่อไปไม่ไหว จึงถ่ายภาพ-ถ่ายคลิปโพสต์ประจาน แต่ยิ่งโพสต์ด่าคนกลุ่มนี้กลับยิ่งแพร่ระบาด หรือต่อมจิตสำนึกและยางอายบนใบหน้า จะหายไปจากพวกเขาแบบกู่ไม่กลับเสียแล้ว!!?




“แลกลิ้นกลางแมคฯ ดูดดื่มทุกที่ทุกเวลา”

(มือดีแอบถ่าย ขณะจูบอย่างดูดดื่มในร้านแมคฯ)

"โอ๊ยยย! เด็กสมัยนี้ ดูดกันขนาดนี้เปิดห้องมั้ย? เดี๋ยวพี่จ่ายให้เลยค่ะ นี่มันร้านอาหารนะน้อง ไม่อายคนบ้างเลย”
นี่คือคำบรรยายจากผู้พบเห็นเหตุการณ์ท่านหนึ่งซึ่งโพสต์ไว้ในเฟซบุ๊กส่วนตัว บอกสถานที่เกิดเหตุว่าคือ ร้านฟาสต์ฟูดชื่อดัง “แมคโดนัลด์” สาขาอิมพีเรียลเวิลด์สำโรง พร้อมแนบคลิปหลักฐานเอาไว้เสร็จสรรพ เรื่องราวดังกล่าวถูกแชร์ออกไปมากขึ้นๆ เรื่อยๆ จนกลายเป็นคลิปที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์มากที่สุดถึงพฤติกรรมชวนหน้าชา

(คลิป วัยรุ่นแลกลิ้นดูดดื่มกลางแมคฯ)


สะเทือนไปถึงสถานศึกษาที่ถูกคาดเดาว่าน่าจะเป็นเจ้าของเครื่องแบบดังกล่าว เป็นโรงเรียนที่เข้าข่ายต้องสงสัยจากข้อมูลที่ว่าคือ “โรงเรียนดังในจังหวัดสมุทรปราการ” ด้านร้านอาหารสถานที่เกิดเหตุเองก็ได้แต่ปลงตกกับเรื่องที่เกิดขึ้น ออกตัวว่าคือสิทธิส่วนบุคคลของลูกค้า ไม่สามารถเข้าไปห้ามปรามได้ เรื่องแบบนี้ต้องปล่อยให้เป็นจิตใต้สำนึกของแต่ละคน ท้ายที่สุด จึงหลงเหลือแค่เพียงคำก่นด่าของคนบนโลกออนไลน์ วิจารณ์ขั้นหนักว่า “เสื่อม” เกินบรรยาย หลายต่อหลายคนรับไม่ได้กับการแสดงออกทางความรักตามสถานที่สาธารณะเช่นนี้ โดยเฉพาะผู้พบเห็นเหตุการณ์เอง

“ถ้าไม่มีคนเดินมาก็คงถ่ายได้ยาวกว่านี้แหละ หึ! แล้วอีกอย่าง ถ้าอัดมายาวๆ คนในคลิปก็รู้ตัวสิว่าเราแอบถ่าย บอกเลยว่ารอบแรกเรากับพ่อก็เห็น ที่ถ่ายมาคือรอบสอง ไม่ได้อยากจะเ_ือกนักหรอก แต่เห็นแล้วรับไม่ค่อยได้ ไม่อยากโดนแอบถ่ายแบบนี้ก็ไปหาที่อื่นทำสิ ที่ไม่ใช่ที่สาธารณะ ไม่ใช่ร้านอาหารโจ่งแจ้งอ่ะ

ถึงตอนนี้ เจ้าของคลิปได้ลบคลิปต้นฉบับออกจากเฟซบุ๊กส่วนตัวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเกิดดรามาเรื่องสถาบันการศึกษาขึ้น ทั้งยังถูกคนบางกลุ่มหาว่าเธอเป็นพวกโลกสวย มีสิทธิอะไรไปถ่ายคลิปเวลาส่วนตัวของคนอื่นเขามาประจาน และนี่คือคำอธิบายส่วนสำคัญๆ ซึ่งผู้แอบถ่ายเหตุการณ์พลอดรัก ณ ร้านแมคฯ อธิบายเอาไว้ในโลกออนไลน์ก่อนตัดจบ ปิดประเด็น!

“ขออนุญาตลบคลิปนะคะ คือตอนนี้เรื่องบานปลายมาก จุดประสงค์ที่อัดคลิปลง ไม่ได้จะให้ไปต่อว่าสถาบันนะคะ จะสะท้อนให้สังคมเห็นมากกว่าว่าบุคคลในคลิปทำตัวไม่เหมาะสมกับสถานที่ มันก็จริงที่ว่าเรื่องของเขา แต่มันไม่สมควรเลย ขอบคุณค่ะ


(ล่าสุดลบคลิปแล้ว เพราะไม่อยากทำให้สถาบันเดือดร้อน)

แน่นอนว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เหตุกอดรัดฟัดจูบอย่างไม่อายสายตาใครแบบนี้ เกิดขึ้นมาแล้วหลายครั้งติดๆ กันภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ย้อนกลับไปพิจารณาพฤติกรรมจูบทุกที่ทุกเวลาเช่นนี้ จะพบเหตุการณ์อีกมากมายให้สังคมส่ายหน้าได้รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง

ก่อนหน้านี้ เหตุเกิดขึ้นบน “รถโดยสาร BRT” มีผู้พบเห็นคู่รักชายหญิงคู่หนึ่งนั่งตักคลอเคลียกันบนเก้าอี้ตัวเดียวกัน ซึ่งเป็นเก้าอี้ตัวที่ถัดลงมาจากเก้าอี้คนขับเพียงตัวเดียว คนที่นั่งรถโดยสารเป็นประจำจะรู้กันดีอยู่แล้วว่าตำแหน่งนี้มองจากที่นั่งอื่นๆ บนรถแล้วสามารถเห็นได้ทั่วคันเพราะอยู่ข้างหน้าสุด แต่ผู้พลอดรักทั้งสองก็ไม่ได้กริ่งเกรงแต่อย่างใด ยังคงพรมจูบกันอย่างดูดดื่มจนผู้พบเห็นเหตุการณ์ต้องถ่ายภาพเอามาประจานบนโลกอินเทอร์เน็ต


(บนรถโดยสาร BRT ก็ไม่เว้น)

ไม่เว้นแม้แต่บน “รถไฟฟ้า BTS” ก็พบแฟนหนุ่มกอดจูบกับแฟนสาวในชุดนักศึกษาอย่างโจ่งแจ้ง โดยผู้โพสต์ภาพระบุไว้ว่าเกิดขึ้นในช่วงรถไฟฟ้าสถานีอโศก ช่วงเวลาประมาณ 19.25 น. พร้อมกับพิมพ์ถ้อยคำบรรยายพฤติกรรมของทั้งคู่แบบสุดทน “น้องคะ!!! ชุดนักศึกษาไม่ใช่ชุด... จะล้วง จะดูดปาก เกรงใจสายตาคนอื่นบ้าง เวลาแบบนี้คนเยอะมากนะน้อง เปิดห้องเหอะ ประจานตัวเองทำไม!!!”

(ทนเห็นคนพลอดรักบน BTS ไม่ไหว ต้องโพสต์ประจาน)




แสดงออกความรัก VS แสดงออกความใคร่
มีคลิป-ภาพ-ข่าวเกี่ยวกับพฤติกรรมทำนองเดียวกันออกมาถี่ๆ แบบนี้ ชวนให้หลายต่อหลายคนสงสัยว่า “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมมีคนกล้าแสดงออกความรักกันอย่างโจ่งแจ้งในที่สาธารณะกันเยอะขนาดนี้!!” คำถามนี้ นพ.ทวีสิน วิษณุโยธิน จิตแพทย์และผู้อำนวยการสถาบันกัลยาราชนครินทร์ มีคำอธิบาย

“ผมมองไว้ 2 ประเด็นนะครับ ประเด็นแรกคือมีกลุ่มคนที่แสดงออกแบบนี้ตามที่สาธารณะเยอะขึ้นจริง เลยทำให้มีคนพบเจอได้เยอะขึ้น ถ่ายภาพถ่ายคลิปเอามาแชร์กันมากขึ้น ประเด็นที่สองคือจริงๆ แล้วอาจจะมีการแสดงออกทำนองนี้มาก่อนแล้วก็ได้ เพียงแต่โซเชียลเน็ตเวิร์กยังไม่แพร่หลาย ยังไม่มีอุปกรณ์ที่จะมาเก็บภาพอะไรกันอย่างทุกวันนี้ พอทุกอย่างพร้อมมากขึ้น คนก็เลยมีการถ่ายภาพถ่ายคลิปมาแชร์กันมากขึ้น คนก็รู้เยอะขึ้น อย่างไรก็ตามแต่ ก็แสดงว่าเหตุการณ์แบบนี้มันมีอยู่

ถามว่าทำไมคนกลุ่มนี้ถึงกล้าทำโดยไม่อายสายตาใคร เพราะมันเป็นภาพที่ขัดกับความรู้สึกของคนไทยในวัฒนธรรมไทย จุดนี้คงเป็นแค่การตั้งสมมติฐานส่วนหนึ่งครับ เพราะเราก็ไม่ได้เข้าไปสัมภาษณ์คนที่เขาทำจริงๆ อาจจะเป็นไปได้ว่า ประการแรก เพราะเขาทำเรื่องพวกนี้บ่อยๆ จนชินชา ถ้าเจาะลงไปในส่วนบุคคล บางทีเขาอาจจะเป็นคนที่เติบโตมาในต่างประเทศแต่กลับมาอยู่เมืองไทยหรือเปล่า อันนี้ก็เป็นการมองในแง่บวกไว้ก่อนนะครับ

หรือประการที่สอง ถ้าเป็นคนที่เกิดในไทยแต่แสดงออกแบบนี้จนเคยชินไปแล้ว เพราะอาจจะสนิทกันมาก เลยทำทั้งในที่ส่วนตัวและที่สาธารณะ จนกระทั่งลืมไปว่าตรงนี้เป็นที่สาธารณะ เลยทำแบบไม่ตั้งใจ หรือประการที่สาม อาจจะเป็นกลุ่มคนที่ทำด้วยความตั้งใจเลย ต้องการที่จะแสดงออกให้คนอื่นเห็นว่าฉันต้องการทำแบบนี้นะ ไม่ใช่เรื่องผิดอะไรในความรู้สึกของฉัน ดังนั้น พฤติกรรมที่เกิดขึ้น ผมมองว่ามาจากสาเหตุที่หลากหลายครับ น่าจะมีส่วนผสมมาจากทั้ง 3 อย่างนี้



(ไม่แคร์สายตาใครบนรถเมล์ - ภาพจาก ipats.exteen.com)
ถามว่าภาพหรือคลิปที่กอดจูบกันบนโซเชียลมีเดียเป็นตัวกระตุ้นให้คนทำในที่สาธารณะมากขึ้นมั้ย ก็ต้องบอกว่าถือเป็นอิทธิพลด้านหนึ่งครับ คือถ้าเขาทำแล้วต้องการความพึงพอใจจากการที่มีคนกดไลค์ภาพหรือคลิปจูบของเขา เขาก็จะทำต่อไป เป็นการตอบสนองต่อความต้องการของตัวเอง แต่ถามว่าป่วยทางจิตมั้ย คงบอกได้ยาก เหมือนเคสการทดลองสั่นกระดิ่งแล้วเอาก้อนเนื้อให้หมากินบ่อยเข้าๆ หลังจากนั้น แค่ได้ยินเสียงกระดิ่ง หมาก็จะน้ำลายไหลแล้ว เรื่องนี้ก็เหมือนกัน คนที่ทำอาจจะคิดว่าถ้าแสดงออกแบบนี้แล้ว ได้รับความสนใจ เรียกจำนวนไลค์ได้มากขึ้น เขาก็จะแสดงออกแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

ถ้าต่อไป ไม่มีคนกดไลค์แล้ว เวลาออกไปข้างนอก ทำพฤติกรรมแบบนี้ต่อ อาจจะคิดว่าคงจะมีคนสนใจฉันอยู่นะ ก็เลยทำให้มีกลุ่มคนที่ทำพฤติกรรมแบบนี้ต่อไป ส่วนคนที่ทำต่อไปถึงจะรู้ว่ามีคนแอบถ่ายรูป-ถ่ายคลิปอยู่ ก็จะถือว่าเป็นกลุ่มของพวกชอบโชว์ เหมือนกับกรณีของงานกีฬาใหญ่ๆ ที่ชอบมีคนวิ่งแก้ผ้าออกมา เขาไม่ได้เป็นโรคจิตแต่แค่ต้องการดัง ต้องการเป็นข่าว ให้เห็นว่าฉันมีตัวตนอยู่”

ทุกครั้งที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันเรื่องนี้ ก็จะมีคนหยิบยกเอาประเด็น “สิทธิส่วนบุคคล” ขึ้นมาอ้าง นายแพทย์จึงอยากให้แยกให้ออกก่อนว่าที่ทำอยู่นั้นคือ “การแสดงออกทางความรัก” หรือเป็น “การแสดงออกทางความใคร่” ถ้าเป็นอย่างแรกก็คงไม่เป็นอะไร สังคมยังคงพอรับได้ แต่ถ้าเป็นอย่างหลัง บอกเลยว่าเกินลิมิต!

การแสดงออกทางความรัก” เป็นเรื่องที่ดีนะครับ เช่น โอบไหล่ จูงมือกัน ใกล้ชิดกันในลักษณะแนบแขนกัน ผมว่าสังคมไทยก็ยังยอมรับได้ แต่ถ้าแสดงออกในรูปแบบที่เกินเลยออกไปมากกว่านี้ คือกลายเป็น “การแสดงออกทางความใคร่” เช่น การจูบกันหรือการคลอเคลีย ในวัฒนธรรมไทยเราไม่เหมือนกับในต่างประเทศที่จะมีบทจูบในที่สาธารณะแล้วมองว่าเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะการจูบแบบดูดดื่ม คนไทยเราจะมองว่าเป็นการแสดงออกทางความใคร่มากกว่า ถือเป็นบรรทัดฐานของคนไทย เลยทำให้การกระทำแบบนี้มันล่อแหลมต่อสังคมและคนอื่นๆ

ถ้าสังคมไทยจะยอมรับในเรื่องการถูกเนื้อต้องตัวกันมากขึ้น ก็คงได้แค่ในระดับหนึ่งครับ แต่การจูบกันในที่สาธารณะ ในสังคมไทยตอนนี้ยังไม่ถึงเวลานั้น ก็เลยมีปฏิกิริยาทางลบสะท้อนกลับมาจากโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กอย่างที่เห็นกัน ซึ่งตรงนี้ก็น่าจะเป็นจุดสะท้อนได้ดีแล้วว่า ใครที่ต้องการแสดงภาพแบบนี้เพราะคิดแค่เป็นสิทธิส่วนบุคคล ก็คงต้องคิดหนักขึ้นหน่อย ในเมื่อเราต้องอยู่ในสังคมร่วมกัน มีคนจำนวนไม่น้อยเห็นว่าไม่เหมาะสม แสดงออกว่าไม่เห็นด้วยในพฤติกรรมนี้ คนที่ทำก็น่าจะเอามาคิดพิจารณาว่าจะทำต่อไปมั้ย




อย่าให้ถึงขั้นมีเซ็กซ์กลางน้ำพุเลย...
เห็นพฤติกรรมการแสดงความใคร่กันอย่างโจ๋งครึ่มในบ้านเมืองเราแล้ว อดไม่ได้ที่จะนึกถึงเหตุการณ์อันน่าตกตะลึง! ซึ่งเพิ่งเกิดขึ้นในรัสเซียเมื่อเดือนที่แล้วนี้เอง มีหญิงชายคู่หนึ่งถึงขั้นปลดปล่อยความรัก-สำเร็จความใคร่กันในที่สาธารณะ บริเวณจัตุรัสน้ำพุกลางใจเมือง กรุงมอสโก กันเลยทีเดียว ทั้งๆ ที่มีผู้คนเดินผ่านไปผ่านมาด้วยความตกตะลึงมากมาย แต่พวกเขาก็ร่วมกิจกรรมกันนานถึง 15 นาที เมื่อเสร็จสิ้นอารมณ์หมายก็เดินสะบัดก้นหนี พร้อมฝากเสียงหัวเราะทิ้งเอาไว้อย่างกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น!


(กรณีเซ็กซ์อล่างฉ่าง กลางกรุง บริเวณน้ำพุในรัสเซีย)

เหตุการณ์ดังกล่าวทำเอาอดขนลุกขนพองไม่ได้ เมื่อนึกถึงอนาคตในภายภาคหน้าที่อาจเกิดขึ้นกับสังคมไทย ในเมื่อทุกวันนี้ เริ่มมีกลุ่มคนที่กล้ากอดจูบลูบคลำกันในที่สาธารณะอย่างโจ่งแจ้งขนาดนี้ ต่อไปอาจพัฒนาไปถึงขั้นมีเซ็กซ์โชว์ก็เป็นได้ เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.วิทยากร เชียงกูล คณบดีกิตติคุณ วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ผู้สนใจทางด้านการเปลี่ยนแปลงของสังคม บอกเอาไว้เลยว่า “เมืองไทยก็มีแนวโน้มนะ!!”

“เพราะตอนนี้เราก็ปล่อยสุดโต่งกันเกินไป ความจริงคือเราต้องค่อยๆ ใจกว้างขึ้น การต้านมากเกินไปทำให้เด็กรู้สึกว่า ทำไมต้องไปห้ามเขา มันก็ยิ่งกลายเป็นเรื่องท้าทาย บางทีเราต้องส่งเสริมในเรื่องการให้การศึกษาเรื่องเพศ มีคลับสโมสรให้เขาชวนเต้นรำกันได้ คือบางทีเขาอยากจีบกันแต่ไม่มีที่ ก็ต้องมีที่ให้เขาบ้าง ถ้าไม่อยากส่งเสริมให้เข้าผับเข้าบาร์ ก็ต้องหาคลับหรือสมาคมอะไรให้เขาบ้าง พวกเขาจะได้ไม่ต้องไปทำกันกลางถนน

แต่ก็ต้องระวังเหมือนกันครับ เพราะถ้าหมกมุ่นเรื่องนี้มากเกินไปก็อาจจะเสียการเรียน เราก็ต้องค่อยสอนๆ เขาไป ให้การศึกษาเรื่องเพศศึกษา ส่งเสริมการแสดงออกอย่างสร้างสรรค์ เล่นดนตรี เล่นกีฬา มีสโมสรให้ผู้หญิงผู้ชายมาเล่นด้วยกันได้ ซึ่งตรงนี้เมืองไทยไม่ค่อยมีนะ ไม่มีกิจกรรมหรือพื้นที่สำหรับวัยรุ่นมากเท่าไหร่”



(ถึงขั้นต้องห้าม เพราะไม่อยากให้ "ที่ปลดทุกข์สาธารณะ" กลายเป็น "แหล่งพลอดรักจำเป็น" - ขอบคุณภาพ mthai.com)
ที่น่าตกใจคือ ทุกวันนี้ตาม “ห้องน้ำสาธารณะ” ในห้างฯ ดังๆ หลายแห่ง เริ่มมีการติดป้าย “ห้ามทำอนาจาร” เอาไว้ด้วย สะท้อนให้เห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งนิยมใช้พื้นที่ “ปลดทุกข์สาธารณะ” เป็นที่ “ปลดปล่อยกามกิจสาธารณะ” กันเสียแล้ว
“ห้ามทำอนาจาร จับได้มีความผิดตามกฎหมาย พบปัญหาแจ้ง 02-616-7555 ต่อ 2111” ที่ป้ายเขียนเอาไว้อย่างนั้น

ในฐานะที่เป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย อาจารย์วิทยากรก็ยังไม่เคยเห็นนักศึกษามาพลอดรักในรั้วเลยสักครั้งซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่เรื่องจะไปมีอะไรกันที่อื่นหรืออยู่กินกันในห้องพักตามประสาชู้สาว ก็คงไปห้ามอะไรไม่ได้ ขอเพียงอย่าไปแสดงออกอย่างโจ่งแจ้งให้เป็น “มลพิษทางสายตา” ของสาธารณชนก็พอ

“ผมเองไม่ค่อยเห็นนะ ถ้าตามมหาวิทยาลัย เขาไม่ค่อยกล้าหรอก แต่ตามมุมมืด มุมอับๆ หน่อย ก็คงจะมี ถ้าอยู่ในที่สว่างๆ คงไม่มีหรอกถึงมีก็น่าจะแค่ส่วนน้อย เพราะพวกนี้ต้องเป็นพวกชอบ Show Off ผมว่าคนพวกนี้น่าจะเขาตั้งใจให้คนอื่นเห็นมากกว่า ซึ่งก็อยากให้เห็นใจคนอื่นด้วยครับ ถึงสังคมเราทุกวันนี้จะเปิดกว้างในหลายๆ เรื่องแล้วก็ตาม อย่างเช่นเรื่องเพศที่สาม เราก็ควรต้องเปิดใจให้มากขึ้น หรือมองเรื่องของการจับมือถือแขนมันเป็นอาจเป็นเรื่องปกติธรรมดาไปแล้ว แต่บางทีมันสุดโต่งเกินไป อย่างฝรั่ง บางทีก็ Make Love กันกลางทะเลทราย พวกฝรั่งด้วยกันเองยังทนไม่ได้เลย เพราะมองว่ามันละเมิดสิทธิส่วนสังคมและมันก็ผิดกฎหมายด้วย

ถ้าเป็นไปได้ จิตแพทย์อย่างนายแพทย์ทวีสินก็อยากให้ผู้ที่พบเห็นเหตุการณ์ “พลอดรักอย่างโจ่งแจ้งในที่สาธารณะ” ได้รับมืออย่างมีสติ โดยเสนอวิธีดังต่อไปนี้ให้ลองนำไปใช้กันดู

“ทุกวันนี้เราต่างหากกลายเป็นเครื่องมือของเขา ถ่ายรูปเขา พอถ่ายก็มีคนดู ทำให้เขาดังขึ้นมา ถ้าเรารู้เท่าทัน ไม่เอามาลง ก็จะทำให้เรื่องไม่ธรรมดาที่เกิดขึ้นกลายเป็นเรื่องธรรมดา เหมือนกับเราเห็นสัตว์ถูกรถชนเสียชีวิตอยู่ข้างทาง เราก็รู้สึกสังเวชใจ แต่คงไม่ไปถ่ายรูปมาเสนอความน่าเกลียดน่ากลัวตรงนั้น อาจจะเก็บไว้แค่ความทรงจำดีๆ ตอนที่เขาน่ารักๆ

หรือถ้าอยากจะนำเสนอเพื่อสะท้อนสังคม ต้องการถ่ายเป็นหลักฐานว่าไม่ได้พูดไปเอง ก็ไม่ต้องไปถ่ายให้เห็นหน้าคนทำ ไม่ต้องให้เขาดัง แต่เขียนให้รู้ โพสต์รูปให้เห็นว่าชุดพฤติกรรมชุดนี้ฉันไม่ยอมรับนะ สังคมไม่เห็นด้วยนะ ให้เห็นว่าคนที่ขึ้นรถไฟ-รถเมล์ เวลานั้นเวลานี้ ทำพฤติกรรมไม่เหมาะสมแบบนี้นะ ไม่ต้องเอ่ยชื่อใครให้เสียหาย แต่ให้รับรู้เอาไว้ว่าสังคมต่อต้าน อย่าไปต่อท้ายด้วยคำว่าหยาบๆ คายๆ ให้เจ็บแสบ ให้ความรู้สึกปะทุทางอารมณ์แล้วทำให้มีแรงโต้กลับมา แบบนั้นจะเป็นการยั่วยุทางอารมณ์กันมากกว่า

ตอนนี้ ทุกคนเป็นสื่อด้วยตัวเอง มีสื่อในมือเอง ก็น่าจะนำเรื่องดีๆ มานำเสนอกัน ผมเห็นมีหลายเรื่องที่คนเล่าต่อกัน เรื่องที่เจอบนรถไฟฟ้า มีคนลุกให้คนนู้นคนนี้นั่ง มีดาราต่างประเทศ คีอานู รีฟส์ ลุกให้คนอื่นนั่ง คนก็ปรบมือกันใหญ่ นี่คือภาพดีๆ ที่เราควรจะนำเสนอกันบ้างดีกว่ามั้ย ส่วนคนที่ทำไม่ดีก็ให้เขาเป็นส่วนเล็กๆ ของสังคม เราก็ปล่อยเขาไป อย่าให้เขาดัง เอาเรื่องของคนดีๆ มานำเสนอจะดีกว่า

ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live



ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754


มือดีแอบถ่าย ขณะจูบอย่างดูดดื่มในร้านแมคฯ
ล่่าสุดลบคลิปแล้ว เพราะไม่อยากทำให้สถาบันเดือดร้อน
บนรถโดยสาร BRT ก็ไม่เว้น
ทนเห็นคนพลอดรักบน BTS ไม่ไหว ต้องโพสต์ประจาน
กรณีเซ็กซ์อล่างฉ่าง กลางกรุง บริเวณน้ำพุในรัสเซีย
ถึงขั้นต้องห้าม เพราะไม่อยากให้ ที่ปลดทุกข์สาธารณะ กลายเป็น แหล่งพลอดรักจำเป็น
ไม่แคร์สายตาใครบนรถเมล์ - ภาพจาก ipats.exteen.com
กำลังโหลดความคิดเห็น