xs
xsm
sm
md
lg

คุณผีที่รัก ตอนที่ 1

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณผีที่รัก ตอนที่ 1

ณ สุสานรถ...อัฐชัยถือกล้องเคลื่อนตามหลังของพิธีกรสาว 3 คนของรายการคืนผจญผี คือ น้ำมนต์ พิมพ์ดาว และลูกโป่ง
ทั้ง 3 พิธีกรเดินเกาะกลุ่มกัน น้ำมนต์เป็นพิธีกรหลัก เพราะมีเซ้นส์สัมผัสสิ่งลี้ลับได้ชัดเจนที่สุด เมื่อ เดินมาถึงหน้ารั้วทางเข้าสุสานรถ เธอหันกลับมาพูดกับกล้อง น้ำเสียงเกือบกระซิบ
“ทางนี้ค่ะ...ที่นี่คือสถานที่เฮี้ยนอันซีนที่น้อยคนจะรู้จัก..สุสานรถเลขที่...”
“นั่นมันเบอร์กำจัดปลวก”
ลูกโป่งชี้ให้เห็นป้ายโฆษณากำจัดปลวกที่ติดอยู่ที่รั้วนั้น
“ค่ะ สุสานนี้ไม่มีเลขที่ค่ะ”
น้ำมนต์ชี้ไปข้างหน้า อัฐชัยแพนกล้องไปกว้างๆ จึงเห็นบรรยากาศโดยรวมของสถานที่นี้ เป็นสุสานรถที่มีรถหมดอายุใช้งานแล้ว ทั้งบุบบี้พังยับวางเรียงรายซ้อนกันเป็นชั้นๆ
“ซากรถที่นี่ ส่วนใหญ่ประสบอุบัติเหตุ ตายคาที่” ลูกโป่งอธิบาย
“พวกเขาจากไปอย่างไม่ทันตั้งตัว วิญญาณจึงวนเวียนอยู่ที่นี่ ไปไหนไม่ได้...นั่น...ตรงนั้น”
น้ำมนต์ทำเสียงน่ากลัว พิมพ์ดาวตกใจ แทบวี้ด
“อะไรๆ”
“ดูขนดิฉันค่ะ” น้ำมนต์ยื่นแขนให้กล้อง “ตั้งใช่มั้ยคะ ดิฉันสัมผัสได้ค่ะ” น้ำมนต์หันขวับไปอีกด้าน “พวกเขาไม่พอใจ...ไม่แฮปปี้ อยากให้เราออกไปเดี๋ยวนี้”
สิ้นคำพูด ก็มีเสียงปังดังขึ้น สามสาวสะดุ้ง
“ว้าย...เสียง...เสียงอะไร”
พิมพ์ดาวกับลูกโป่งถอยมารวมกัน โดยให้น้ำมนต์เป็นกองหน้า พวงมาลัยที่อยู่ๆก็หลุดออกมาจากรถคันหนึ่งซึ่งไม่มีประตู กลิ้งขลุกขลักๆแล้วก็นิ่งไป อัฐชัยที่ถ่ายอยู่ ถึงกับลดกล้องลงมา มองด้วยตาเปล่า
“อยู่ดีๆหลุดมาได้ไง”
ปัง! มีเสียงดังมาจากอีกด้าน น้ำมนต์ พิมพ์ดาว ลูกโป่ง อัฐชัยสะดุ้ง มองไปยังทิศที่มาของเสียง ใจคอไม่มี

อีกด้านของสุสานรถ รถเก๋งคันหนึ่งทะเบียนกรุงเทพ มีร่องรอยคราบน้ำโคลนเปื้อนทั้งคันรถ ถูกทิ้งอยู่ที่มุมหนึ่งในสุสานรถ
ภายในรถ พีระนั่งหลับตาอยู่ แล้วเขาก็สะดุ้งเฮือก ลืมตาขึ้นมา เหมือนตื่นจากฝันร้าย พีระหายใจหอบ หนัก ตาปริบๆ พยายามตั้งสติ ยังคงเบลอๆ จดจำอะไรไม่ได้ มองที่ๆตัวเองนั่งอยู่ แล้วจึงมองออกไปภายนอกรถ แล้วสีหน้าก็กลายเป็นแปลกใจ เหวอๆ
พีระเปิดประตูลงจากรถมา มองสถานที่นั้นอย่างเต็มตา มันคือสุสานรถ วังเวง รกร้าง พีระไม่รู้ว่าตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เกิดอะไรขึ้นกับตนมาก่อนก็จำไม่ได้ อยู่ดีๆก็ตื่นขึ้นมาอยู่ในสถานที่นี้เลย เหมือนความฝันที่ไม่มีที่มาที่ไป
“ที่นี่ที่ไหน เรามาอยู่ที่นี่ได้ไง”
ใครบางคนจับจ้องพีระอยู่ เคลื่อนไหวจากด้านหนึ่งไปอีกด้านหนึ่ง พีระรู้สึกว่าถูกมอง หันขวับไปทางด้านนั้น แต่ก็ไม่เจอตัว พีระรู้สึกหวั่นๆ ไม่ปลอดภัย

กลุ่มน้ำมนต์เดินเลี้ยวผ่านแถวของซากรถมาอีกด้าน มองไปยังจุดที่เกิดเสียง แต่ไม่มีอะไรผิดปกติ
อัฐชัยยกกล้องถ่ายไปด้วย
“ไม่เห็นมีอะไร”
“แล้วเสียงมาจากไหน” พิมพ์ดาวแปลกใจ
“น้ำมนต์ เซ้นส์แกว่าไง..นี่..แกยืนนิ่งทำไม” ลูกโป่งถาม
น้ำมนต์ยืนนิ่งอยู่ เห็นว่าที่สุดปลายทางเดินอีกด้านหนึ่ง มีหญิงสาวผมยาวในชุดขาวยืนอยู่
“นั่น”
ทุกคนมองตามน้ำมนต์ไป ผีสาวกำลังยืนร้องไห้
“ฮือ...ฮือ...”
ทันใด ผีสาวเงยหน้าขึ้นมาจ้อง ! ทุกคนผงะ ตัวสั่น กล้าๆกลัวๆ ยืนจ้องนิ่ง ก้าวขาไม่ออก แต่แล้ว ลูกโป่งก็กรี๊ดออกมา
“อร๊าย !!”

พีระหันขวับ เพราะได้ยินเสียงกรี๊ดของลูกโป่ง
“เสียงใคร”
พีระขยับจะไปตามทิศที่มาของเสียง แต่อยู่ๆมีเสียงตึงตังจากด้านหลัง เหมือนกับมีใครเดินตามเขาอยู่ เป็นเสียงฝีเท้าเดินบนหลังคารถ พีระชะงัก หันกลับไปมอง แต่ไม่เห็นอะไร
“ใครอยู่ตรงนั้น”
ไม่มีเสียงตอบ พีระรู้สึกไม่ปลอดภัย รีบก้าวหนีจากตรงนั้น แต่เสียงฝีเท้าก็กลับมาอีก พีระเดินเร็วขึ้น เสียงฝีเท้านั้นก็ตามเร็วขึ้น จนในที่สุด พีระทนไม่ไหว หันขวับกลับมา ตะโกนเอาเรื่อง
“แกเป็นใคร..ต้องการอะไร...”
พีระมองหาหมุนไปรอบๆตัว แล้วก็ต้องผงะ ที่อยู่ๆก็มีผีเร่ร่อนชายผอมแห้งคนหนึ่งยืนประจันหน้าเขาอยู่ พีระช็อก

ผีสาวเดินเข้ามาหาพวกน้ำมนต์
“เราต้องออกไปจากที่นี่..ไป” น้ำมนต์บอกเบาๆ
“อร๊าย....อร๊าย....” ลูกโป่งเอากรี๊ดไม่หยุด
“หยุดร้อง หนี” น้ำมนต์บอกเสียงดังขึ้น
“ช่วยด้วย...ฉัน…ฉันก้าวเท้าไม่ออก...” พิมพ์ดาวกลับไม่ก้าวขา เสียงสั่น
“จะอยู่ให้มันฆ่าแกหรือไง ไป” น้ำมนต์เซ็ง หันไปดุอัฐชัยที่ยังถ่ายไม่เลิก “หยุดถ่าย หยุด...ลูกโป่งหยุดกรี๊ด แล้วมาช่วยฉันพายัยดาวหนีเร็ว..เร็ว!”
แต่ไม่มีใครทำตามที่น้ำมนต์พูดเลย
“พวกแก..ลบหลู่..พวกแกต้องตาย”
ผีสาวตรงเข้าไปหาพิมพ์ดาว ยกแขนขึ้นมา ทำท่าจะบีบคอ ที่ข้อมือมีนาฬิกาสีชมพูแหววสวมอยู่
“น้ำมนต์ ถอยออกมาก่อน”
อัฐชัยบอกน้ำมนต์ น้ำมนต์หยิบพระที่ห้อยคอออกมา พนมมืออธิษฐาน
“ไม่ ฉันไม่ทิ้งเพื่อน...ขอคุณพระศรีรัตนตรัย ช่วยคุ้มครองคนดีให้รอดพ้นจากภยันตรายทั้งหลายด้วย”
น้ำมนต์จะเอาพระเข้าไปสวมคอ แต่ชะงักเพราะเห็นนาฬิกา
“นาฬิกา”
ทุกคนชะงัก ผีสาวชะงัก แล้วอยู่ๆมีเสียงเพลงริงโทนดังเข้ามา เป็นเพลงเกาหลี ไม่เข้ากับบรรยากาศตอนนี้เลย ทุกคนเซ็ง เข้ามารุมยืนจ้องผีสาว
“พี่เอมี่”
ผีสาวล้วงหยิบมือถือที่ห้อยคออยู่ออกมา
“ลืมปิดอ่า...”
ทุกคนเซ็ง ที่เอมี่ เจ้าของรายการปลอมตัวไม่เนียน
“ว้าย คุณเมสินี” เอมี่แยกไปพูดโทร เสียงหวานมาก “สวัสดีค่ะคุณเมสินี..สะดวกคุยค่ะ..ค่ะๆ”
“ยังงี้ก็ต้องถ่ายใหม่ตั้งแต่ต้นน่ะสิ”
น้ำมนต์เซ็ง ถอนใจ เฮ้อ

อีกด้านของสุสานรถ...พีระก้าวถอยหนีผีเร่ร่อน
“คุณเป็นใคร”
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย..พวกมันจะเอาวิญญาณฉัน”
“เอาวิญญาณ..อะไร” พีระแปลกใจ
มีลมพัดกรรโชกมา เศษใบไม้วัสดุต่างๆปลิวมาตามลม
“มันมาแล้ว..มันมาแล้ว”
ผีเร่ร่อนมีท่าทีกลัวลนลาน สติแตก รีบวิ่งหนี
“เดี๋ยวพี่..อะไร..ใครมา”
ผีผีเร่ร่อนรีบวิ่งหนีไป แต่ต้องชะงัก เพราะบริเวณเหนือหลังคารถด้านที่เขาวิ่งไป ปรากฏร่างของคามินยืนอยู่
“อย่า..อย่าทำอะไรฉัน”
ผีเร่ร่อนวิ่งหนีไปอีกด้าน แต่คามินโผล่มายืนตรงหน้า ยิ้มเหี้ยม ยกมือจับคอผีเร่ร่อนเอาไว้..หมับ!

“ไม่..ไม่...”

คามินทำการดูดพลังวิญญาณจากผีเร่ร่อน แสงสีเขียวๆไหลผ่านจากผีเร่ร่อนเข้าไปตามมือของคามิน ทันทีที่คามินปล่อยมือ ผีเร่ร่อนก็ร่วงฟุบไปกับพื้น ร่างกายของมันซีด ผอมแห้งลงในทันที แล้วก็ซึมหายไปในอากาศ พีระที่มองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างตื่นตะลึง สับสน จับต้นชนปลายไม่ถูกว่าคืออะไร
“อะไรเนี่ย..เล่นมายากลกันเหรอ”
คามินหันมาจ้องพีระ แล้วสายตาคามินก็เบิกขึ้น อย่างสนใจในวิญญาณพีระมากๆ พีระสยองๆ จะหันหนี แต่อยู่ๆคามินโผล่มาดักไว้
“เฮ้ย”
พีระมองกลับไปกลับมา งงว่าคามินมาโผล่ตรงนี้ได้ยังไง
“แก..กลิ่นของแก..ไม่เหมือนวิญญาณทั่วไป”
พีระดมตัวเอง
“กลิ่นไร ไม่มี”
“วิญญาณบริสุทธิ์..แกคือวิญญาณบริสุทธิ์..ในที่สุดฉันก็เจอ..วิญญาณของแกจะทำให้ฉันกลับไปมีชีวิตอีกครั้งได้”
“หา...”
คามินคว้าคอพีระ แต่พีระกลับตอบโต้แบบว่องไว ปัดมือคามิน จับพลิกออก แล้วถีบคามินกระเด็น ทุกอย่างรวดเร็วอัตโนมัติมาก จนพีระยังงงตัวเอง
“ว้าว ทำได้ไง”
คามินตั้งหลักได้ หน้าตาดุร้ายยิ่งกว่าเดิม พีระเห็นท่าไม่ดี ตัดสินใจถอย แล้ววิ่งหนีไปก่อน

พีระวิ่งหนีมาอีกด้าน แต่อยู่ๆคามินโผล่มายืนอยู่ตรงหน้า
“เฮ้ย มาได้ไง” พีระผงะ
คามินจะคว้าคอ พีระเอี้ยวตัวหลบได้อย่างอัตโนมัติ แล้ววิ่งหนีไปอีกทาง คามินกำลังจะตาม แต่ชะงัก หันขวับไปอีกด้านหนึ่ง เห็นพวกน้ำมนต์กำลังเตรียมถ่ายใหม่กันอยู่
“ชอบลองของนักใช่มั้ย”
คามินหันไปอีกด้าน ปรากฏร่างของสมุนผีชั่วของตนขึ้นมา
“ไปจัดการพวกมัน”
สมุนผีชั่วหายไป

เอมี่กำลังเติมแป้งทาหน้าผี น้ำมนต์มองไม่สบายใจ
“ทำอย่างนี้มันคือหลอกลวงประชาชนนะพี่”
“หลอกก็ต้องหลอก คุณเมสินียื่นคำขาดแล้ว ถ้าเทปนี้เรตติ้งไม่ขึ้น เขาถอดรายการเราออกแน่ บริษัทของพี่ก็จะเจ๊ง พวกเธอก็จะตกงาน..อยากใช่มั้ย” เอมี่ย้อนถาม
“ทราบค่ะ แต่เราไม่ต้องทำผีปลอมให้เสียเวลาหรอก..น้ำมนต์เซ้นส์ได้ว่า..ที่นี่ก็ไม่ธรรมดา”
“น้ำมนต์เป็นคนมีเซ้นส์ครับ ถ้าบอกว่ามีก็มีจริงๆ” อัฐชัยย้ำ
“โน่วๆ ไม่เอาผีจริง ผีจริงมันสมจริงเกินไป”
อยู่ๆก็มีแสงสว่างจากไฟหน้ารถสาดเข้ามา สว่างวาบ ทุกคนมองไป พบว่าซากรถยนต์คันหนึ่งเคลื่อนที่มา จอดเบิ้นเครื่อง เตรียมพร้อมพุ่งชน ทุกคนถอยมารวมกัน
“ไม่มีคนขับ แต่ทำไมซากรถวิ่งได้” พิมพ์ดาวตกใจ
“บอกพี่ที ของปลอมใช่มั้ย”
เอมี่เสียงสั่น น้ำมนต์ยื่นแขนให้ดู
“ขนตั้งใช่มั้ยคะ ของจริงค่ะ”
น้ำมนต์ เห็นวิญญาณเป็นกลุ่มแสงที่นั่งอยู่ที่นั่งคนขับ แล้วกลุ่มแสงนั้นก็เปลี่ยนจากสีเขียวๆเป็นสีโทนแดงขึ้น อาฆาตมาดร้ายขึ้น
“หนี..หนีเร็ว...”
ไม่ทันขาดคำ รถยนต์นั้นก็เร่งเครื่อง แล้วพุ่งเข้าหา ทุกคนร้องจ๊าก วิ่งหนี

พีระวิ่งหนีมาอีกด้าน หันกลับไปมอง ไม่พบว่ามีใครตามมา พีระโล่งใจ แต่ถอนหายใจยังไม่ทันสุด มีเสียงตึงดังมา พีระเงยหน้ามอง พบว่าคามินยืนอยู่บนซากรถเมล์ที่อยู่เหนือหัวเขาขึ้นไป
“เฮ้ย”
พีระรีบถอยๆ วิ่งหนี คามินโผล่ตามมาเป็นระยะๆ เหมือนไล่ต้อนลูกแกะ

พวกน้ำมนต์วิ่งหนีซากรถที่แล่นจะพุ่งเข้าใส่ ทั้งกดแตรทั้งเปิดไฟสูงกะพริบไล่ถี่ๆ น่ากลัว
“หนีออกไปจากที่นี่ ไป” น้ำมนต์ร้องบอก
อัฐชัยเป็นห่วงน้ำมนต์
“น้ำมนต์ ไหวมั้ย”
“ไหว”
“แต่ฉันไม่ไหว” พิมพ์ดาวรีบบอก
“ไม่ไหวก็ต้องวิ่ง...ไป”
น้ำมนต์วิ่งสะดุดเสียหลัก แต่ไม่ถึงกับล้ม อัฐชัยรีบพุ่งเข้าไปประคองอย่างเป็นห่วงออกนอกหน้า
“น้ำมนต์”
แล้วอยู่ๆแสงไฟรถก็ส่องมาใกล้
“อัฐ หลบ”
น้ำมนต์ร้องลั่น ซากรถพุ่งผ่านกลาง ทุกคนต่างกระเจิงแยกออกนอกเส้นทาง กระจัดกระจายไปหมด เหลือน้ำมนต์ที่ยืนเงอะงะอยู่กลางถนน ซากรถถอยกลับมาจะชนน้ำมนต์วิ่งหนีมาอีกทาง

พีระวิ่งหนีมาถึงทางตัน ตัดสินใจปีนขึ้นซากรถ โดดลงไปอีกด้าน น้ำมนต์วิ่งสวนมา พีระวิ่งไป มองหลังไป ไม่ทันมองน้ำมนต์ที่วิ่งตรง เพราะมองไม่เห็นเขา ขณะที่พีระหันกลับมาเห็นน้ำมนต์ ในจังหวะที่เบรกไม่อยู่ ถอยไม่ทันแล้ว
“เฮ้ย”
จังหวะที่พีระและน้ำมนต์ประจันหน้ากัน พีระตาเบิกกว้าง ตื่นตะลึง น้ำมนต์มองไม่เห็น ร่างของเธอวิ่งทะลุกลืนเข้าไปในร่างของพีระ เกิดเป็นแสงวาบขึ้นมา น้ำมนต์ผงะ ขนลุก รับรู้ถึงพลังวิญญาณได้ ตาเบิกตะลึงขึ้นมา แล้วทั้งคู่ก็ทะลุผ่านกันไป ต่างชะงักงัน งงในความรู้สึกเมื่อสักครู่ รีบหันขวับกลับมามองพร้อมกัน
“คุณ..ทะลุผมได้ยังไง..”
น้ำมนต์เห็นพีระเป็นแสงสีขาวๆ แล้วภาพก็ค่อยๆชัดขึ้น เป็นรูปเป็นร่างขึ้น เห็นเค้าหน้ามากขึ้น
“ผี..ผีชัดๆ”
น้ำมนต์ก้าวถอย พีระกลับเป็นฝ่ายกลัวซะเอง คิดว่าน้ำมนต์เป็นวิญญาณจึงทะลุร่างตนได้ พีระก้าวถอยหนีน้ำมนต์เช่นกัน
“ผี..ผีฮันเดรดเปอร์เซ็นต์”
แล้วทั้งคู่ก็ร้องมาพร้อมกัน
“ช่วยด้วย”
น้ำมนต์รีบวิ่งหนีไปทันที พีระหันกลับหลังจะหนี แต่คามินโผล่มาขวาง คว้าหมับที่คอเสียก่อน
“เฮ้ย”
คามินแสยะยิ้ม

อัฐชัย พิมพ์ดาว ลูกโป่ง เอมี่วิ่งหนีออกมานอกบริเวณสุสานรถได้
“น้ำมนต์ล่ะ น้ำมนต์ยังไม่ออกมา” อัฐชัยจะกลับเข้าไป
“อย่า..อันตราย” พิมพ์ดาวดึงตัวไว้
“แต่น้ำมนต์หลงอยู่ในนั้น”
“งั้นเราเข้าไปด้วยกัน” ลูกโป่งร้องบอก
“ใครจะไปไปเลย พี่ขอตัว” เอมี่ทรุดนั่งหมดแรง
“ทุกคนรอนี่ ฉันไปเอง” อัฐชัยบอก
แต่น้ำมนต์วิ่งออกมาก่อน น้ำมนต์ตื่นเต้น รีบตะโกนบอก
“ทุกคน...ผี..ฉันเจอผีเต็มๆตาเลย”
อัฐชัยรีบเข้าไปดูแลด้วยความเป็นห่วง
“แล้วมันทำอะไรเธอหรือเปล่า ปลอดภัยดีใช่มั้ยน้ำมนต์”

อัฐชัยไปดูแลน้ำมนต์ห่วงใยมาก พิมพ์ดาวได้แต่มองอย่างขัดใจๆ

อีกด้านสุสานรถ...พีระถูกคามินบีบคอจับยก
“วิญญาณบริสุทธิ์ แกต้องเป็นของฉัน”
คามินกำลังดูดพลังวิญญาณของพีระที่มีลักษณะเป็นแสงสีขาวไหลเข้าไปสู่ร่างของคามิน พีระมีอาการเกร็งไปทั่วทั้งตัว มือ เท้า คอ เกร็งจนเส้นเลือดขึ้น สีตัวเริ่มซีดคล้ำขึ้น
“อ๊าก”
พีระตาเหลือก ใกล้หมดสติ แล้วอยู่ๆมีแสงสว่างสาดเข้ามา จากนั้นก็มีมอเตอร์ไซค์ขี่พุ่งเข้ามาชนิดดับเครื่องชน จนคามินต้องผวาออก ปล่อยพีระหล่นไปที่พื้น บิ๊กไบท์ดริ๊ฟจอดอย่างสวยงาม แมนสรวงสวมหมวกกันน็อก เปิดหน้าต่างของหมวกขึ้น ให้เห็นแววตา
“แกเป็นใคร”
“บอกก็กลัวเด๊ะ..ขึ้นมา”
พีระตั้งสติได้ รีบขึ้นไปซ้อนท้ายทันที แมนสรวงหันไปบอกคามิน
“ทำตัวให้มันดีๆ จะได้ไปที่ชอบๆกะเขาบ้าง”
แมนสรวงขี่รถออกไปทันที คามินได้แต่มองตาม แค้นๆ

น้ำมนต์กับทุกคน กลับมาที่บริเวณรถ พักหอบเหนื่อย
“ไม่ได้ถ่ายเอาไว้”
สี่สาวร้องออกพร้อมกัน อัฐชัยจ๋อยๆ รู้สึกผิด
“ก็..มันตื่นเต้น ใครจะไปกดถ่าย”
“จบแล้ว รายการคืนผจญผีไม่มีอีกแล้ว เพราะเธอคนเดียวเลยอัฐชัย” เอมี่กุมขมับ
“นายนี่มัน..ไม่ได้เรื่อง..เรียนก็ห่วย ทำงานก็เจ๊ง ฝากความหวังอะไรไม่ได้เลย” พิมพ์ดาวเซ็ง
“เฮ้ย จะด่ากันทำไม รู้สึกผิดแล้ว” อัฐชัยจ๋อยๆ
“ยังกล้าเถียงอีก ไม่สำนึกเลยใช่มั้ย” พิมพ์ดาวแว๊ดใส่
“โอ๊ย แกสองคนจะเถียงกันทำไม” ลูกโป่งรำคาญ
พิมพ์ดาวกับอัฐชัยเถียงกันไม่จบ น้ำมนต์นึกบางอย่างได้ รีบหันไปถามเอมี่
“พี่เอมี่ แล้วยังงี้ค่าตัวพิธีกร…”
“ยังกล้าหวังอีกเหรอ”
น้ำมนต์เซ็ง เครียด เพราะต้องใช้เงิน

มอเตอร์ไซค์จอดที่ถนนด้านหนึ่ง ชานเมือง พีระนั่งซ้อนอยู่ในสภาพหมดแรง เอาหน้าแปะกับหลังแมนสรวง
“จะซบอีกนานมั้ย เฮ้ย ลงไป” แมนสรวงถอดหมวกออก สะบัดหลัง
พีระลงจากมอเตอร์ไซค์มา อ่อนแรง ซวนเซ ทรุดลงไปนั่ง
“นาย...เป็นใคร ไอ้หน้าเข้มคนนั้นด้วย...ใคร...แล้วที่นี่ที่ไหน ฉันมาทำอะไร ฉันฝันใช่มั้ย ฝันไปแน่ๆ…”
แมนสรวงเดินเข้ามา พีระผงะถอย
“อย่าเข้ามา ไม่งั้นฉันต่อย...ต่อยจริงๆ”
“นอนมั้ย”
ไม่ทันขาดคำ พีระก็หมดสติ ฟุบลงไปนอน แมนสรวงเซ็ง
“ฉันต้องดูแลหมอนี่จริงๆเหรอ เฮ้อ”

น้ำมนต์เช่าห้องในบ้านเดี่ยวที่แบ่งให้นักศึกษาเช่าหลายห้อง เธอพักอยู่กับข้าวต้ม น้องชายที่เรียนอยู่ชั้นประถม…
น้ำมนต์ในชุดนักศึกษารีบร้อนเข้ามาปลุกข้าวต้มที่หลับอยู่ พยายามดึงตัวขึ้นมา
“ข้าวต้ม ตื่นได้แล้ว ตื่นๆ”
“ปลุกเค้าทำไม ตั้งแต่นี้ไปเราขาดกัน”
“ถ้าไม่ตื่น พี่จะถ่ายคลิปไปให้เพื่อนๆที่โรงเรียนดูว่าเราขี้เซาแค่ไหน”
ข้าวต้มกระเด้งขึ้นมานั่งทันที ทำหน้าหมั่นไส้พี่สาว
“เชอะ”
ข้าวต้มจะล้มตัวนอนต่อ แต่น้ำมนต์พูดดักเอาไว้อีก
“แล้วพี่จะไม่ซื้อขนมให้กินอีกหนึ่งอาทิตย์”
ข้าวต้มเด้งขึ้นมาทันที
“ตื่นแล้วคร้าบ”
อยู่ๆประตูเปิดผลัวะ ป้าเจ้าของบ้านหน้าตาถมึงทึงเข้ามา น้ำมนต์ถึงกับผงะ

น้ำมนต์ถูกผลักไสให้ออกมานอกบ้าน ข้าวต้มเดินเล่นมือถือตามออกมา
“ป้า..หนูขออีกวันเดียวนะป้า พรุ่งนี้เงินหนูออกแล้ว นะคะๆ”
“เธอพูดอย่างนี้มาสองเดือนแล้ว พอกันที ฉันต้องทำมาหากินเหมือนกัน”
น้ำมนต์พยายามอ้อนวอน
“สงสารหนูเถอะป้า ที่นี่ใกล้มหาวิทยาลัย ใกล้โรงเรียนของข้าวต้ม ไปทำงานก็สะดวก ถ้าบ้านแม่หนูอยู่ในเมืองอย่างนี้ หนูก็ไม่มาเช่าห้องป้าหรอก”
ลูกน้องของป้าขนข้าวของออกมาวางกองๆไว้
“เอาข้าวของๆเธอออกไป”
ป้าโยนกล่องของที่ในนั้นมีรูปของแม่น้ำมนต์อยู่ด้วย รูปหล่นลงมากับพื้น
“แม่”
ป้าสะบัดหน้าเข้าไปด้านในทันที ไม่ต่อรองใดๆอีก น้ำมนต์กอดรูปแม่ไว้อย่างเศร้าใจ

น้ำมนต์ลากกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ ที่ปิดแทบไม่มิด มีเศษเสื้อผ้าหลุดรอดออกมา มีหมอนข้างสีแหววๆมัดเชือกผูกไว้ด้านบน มืออีกข้างจูงข้าวต้มที่แต่งชุดนักเรียนแล้ว เดินมาส่งโรงเรียน ทั้งคู่ยืนรอข้ามถนน
“เขาไม่ให้อยู่ก็ไม่เป็นไร กลับไปอยู่บ้านเก่าของแม่ก็ได้ ไกลหน่อย ลำบากนิด แต่ก็ไม่ต้องให้ใครมาดูถูก..ไม่ต้องร้องไห้นะข้าวต้ม พี่จะดูแลเธอเอง”
ข้าวต้มถือกระป๋องใส่ขนมกินอยู่ ไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อนกับอะไรเลย ทันใดนั้น มีรถพยาบาลเปิดหวอแล่นผ่านไป น้ำมนต์มองตามรถพยาบาลคันนั้น อย่างตกในภวังค์ คิดถึงเหตุการณ์ในอดีต

ในอดีต...รถพยาบาลเปิดหวอจอดอยู่ที่ข้างถนน บริเวณนั้นเจ้าหน้าที่กู้ภัยกำลังทำงานอย่างเร่งรีบ วุ่นวายๆ มีไทยมุงมองสภาพรถยนต์เก่าคันหนึ่งที่พลิกคว่ำอยู่ตรงนั้น น้ำมนต์ในวัยมัธยมอุ้มข้าวต้มวัย 3-4 ขวบเข้ามา
“แม่”
น้ำมนต์จะฝ่าเข้าไปหาแม่ แต่มีเจ้าหน้าที่จับตัวเอาไว้ ไม่ให้เข้าไป
“ปล่อย..หนูจะไปหาแม่..”
น้ำมนต์เห็นเจ้าหน้าที่กำลังยกเปลที่มีแม่นอนอยู่ นำเปลนั้นส่งขึ้นรถพยาบาลอย่างเร่งรีบ ทีมพยาบาลตามประกบ รถพยาบาลแล่นออกไป น้ำมนต์มองตามร้องไห้อย่างเป็นห่วงแม่

น้ำมนต์ได้สติกลับมา ไล่ความหลังฝังใจนั้นออกไป มองไปตรงหน้า เห็นข้าวต้มกำลังเดินข้ามถนนอยู่ น้ำมนต์ตาเบิกโต ตะลึง
“ข้าวต้ม”
มีรถมอเตอร์ไซค์วิ่งมาพอดี กดแตรไล่
“ข้าวต้ม”
น้ำมนต์รีบวิ่งมาดึงตัวข้าวต้มออกมา ขนมหกกระจาย
“จะทำอะไร ใครอนุญาตให้ข้ามถนนด้วยตัวเอง”
“ขนมหกหมดเลย..ก็ถนนมันโล่ง แล้วพี่ก็ยืนบื้ออะไรอยู่ไม่รู้”
“ถนนโล่งก็ข้ามเองไม่ได้ ต้องมีผู้ใหญ่พาข้าม พี่บอกกี่ครั้งแล้ว ถึงเราจะระมัดระวัง แต่อุบัติเหตุมันอาจเกิดจากคนอื่นก็ได้ พี่มีเธอคนเดียวแล้ว จะไม่ยอมเสียเธอไปอีก สัญญากับพี่ว่าจะไม่ข้ามถนนเองอีก เข้าใจมั้ย”
ข้าวต้มงงๆ ไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็รับๆไป
“เคๆ”
น้ำมนต์กอดข้าวต้ม เป็นห่วงมากยิ่งกว่าตัวเอง

พีระนอนหลับอยู่บนสนามหญ้า แมนสรวงนั่งยองลงมา ดีดนิ้วตรงหน้า
“ตื่น”
พีระได้สติ ลืมตาขึ้นมา เห็นหน้าแมนสรวงอยู่ตรงหน้าตน ทำตาปริบๆ ตั้งสติ
“เฮ้ย”
พีระรีบเด้งขึ้นมา จับๆหาของๆตัวเอง
“นายเป็นใคร ทำอะไรฉัน ไม่มี..ไม่มีอะไรเลย แกขโมยไปแล้วใช่มั้ย”
“ฉันไม่ได้เอาอะไรไป แต่นายพกอะไรติดตัวไปไม่ได้”
“โกหก ไอ้หัวขโมย ฉันจะแจ้งตำรวจ”
แมนสรวงเซ็งมาก อยากจะด่า แต่ขี้เกียจ ได้แต่บ่น
“เฮ้อ สาวๆสวยๆมีตั้งเยอะทำไมฉันต้องถูกส่งมาดูแลหมอนี่ด้วย”
“ฉันไม่ใช่หมอ ฉันเป็น…”
“เป็นอะไร” แมนสรวงสวน
“เป็น..เป็นอะไรวะ”
“จำอะไรไม่ได้เลยใช่มั้ย..พีระ”
“พีระ นายเรียกใคร”
“เรียกผู้ชายคนนึง ที่ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และก็ตายไปแล้ว”
“ตาย”
แมนสรวงรำคาญเต็มทน
“เออ...นาย-คุณ-ยู-เอ็ง-แก-ตายแล้ว”

พีระอึ้ง ผงะ

พีระเดินจ้ำแยกออกมา แมนสรวงเดินจ้ำตาม
“ที่นายจำอะไรเกี่ยวกับตัวเองไม่ได้เลย เพราะคนที่ตายแล้ว ความทรงจำจะถูกเซ็ตซีโร่..โบ๋เบ๋”
พีระหันกลับมาชี้หน้า
“หยุด…นายอย่ามาเพ้อเจ้อ…ถ้าฉันตาย…แล้วนายมาคุยกับฉันได้ไง”
“ผีเห็นผีไง ไม่เคยได้ยินเหรอ”
“บ้าแล้ว ไม่มีทาง”
พีระเดินหนีต่อ ไม่อยากรับรู้ แต่อยู่ๆแมนสรวงมาโผล่อยู่ตรงหน้า
“เฮ้ย”
พีระมองกลับไปมา มาได้ไง พอหาคำตอบไม่ได้ ก็รีบเดินหนีต่อ แมนสรวงตาม
“ฉันชื่อแมนสรวง เป็นผู้ดูแลประจำตัวนาย ไม่ใช่เทพ ไม่ใช่ผี ภาษามนุษย์เรียกยมทูต แต่ช่วยเรียกฉันว่าผู้พิทักษ์ โอเคป่ะ”
“จะไปไหนก็ไป”
“อยากไปเหมือนกัน แต่หน้าที่ฉันคือดูแลนาย”
พีระวิ่งหนีไปอีกด้าน แต่แล้วต้องผงะ เพราะแมนสรวงนั่งรออยู่ที่ม้านั่งตรงหน้า โบกมือกวนๆ
“เฮลโหลว”
พีระถอย วิ่งหนีไปอีกด้าน วิ่งๆ อยู่ๆแมนสรวงขี่จักรยานมาปาดตรงหน้า
“เหนื่อยยัง”
“ไอ้บ้าเอ๊ย”
พีระเข้าไปผลักแมนสรวง กระชากจักรยานมาขี่ หนีไป
“ยังไม่เหนื่อย” แมนสรวงส่ายหน้า

พีระขี่จักยานมาอีกด้าน ปั่นๆ แต่แล้วก็เบิกตาโต ปลายถนนตรงหน้าพีระ แมนสรวงนอนเอกเขกปางไสยาสน์ขวางถนนอยู่
“มาคุยกันดีๆดีกว่า”
“แก..แกตาย...”
พีระแค้น ปั่นจักรยานตั้งใจจะชน แมนสรวงนอนไม่รู้ร้อนรู้หนาว พีระพุ่งเข้าชน แต่กับกลายเป็นว่า พีระตัวปลิวลอยข้ามจักรยานไป เสมือนชนก้อนหินแท่งปูนแข็งๆ ล้มไปอีกด้าน กลิ้งขลุกๆ จนชนต้นไม้
“โอ๊ย”
แมนสรวงมายืนตรงหน้าพีระ ทำหน้าระอา รอว่าเมื่อไหร่จะหมดฤทธิ์
“หน้าที่ฉันคือดูแลนาย หนียังไงก็หนีฉันไม่พ้น”
พีระฉุน ลุกพรวดขึ้นมา เก็บอารมณ์ไม่อยู่
“เฮ้ย...ถ้ายังไม่เลิกตามตื๊อ มาต่อยกันเลยดีกว่า”
เปรี้ยง! แมนสรวงต่อยก่อนเลย
“อุ๊ย โทษที นึกว่าเริ่มได้เลย”
พีระเซไป แค้น งง ไม่ยอมรับว่านี่คือความจริง
“ฝัน..ต้องฝันไปแน่ๆ”
“เข้าใจอะไรยากจริงๆ ไป!”
แมนสรวงดึงคอเสื้อพีระให้ตามมา

ถนนใหญ่กว้าง 8 เลน รถยนต์แล่นสวนไปมา แมนสรวงลากพีระออกมาที่ข้างถนนนั้น
“นายจะทำอะไร”
“ฝันหรือไม่ฝันเดี๋ยวก็รู้ เดิน”
แมนสรวงลากพีระเดินออกไปกลางถนนแบบไม่ได้แคร์รถที่วิ่งอยู่เลย
“เฮ้ยๆ นายจะบ้าเหรอ เดี๋ยวรถก็ชนตายหรอก”
“แค่ฝันไม่ใช่เหรอ งั้นก็ไม่ต้องกลัว”
“เฮ้ย ปล่อยฉัน”
พีระปัดมือแล้วผลักแมนสรวงออก จะถอยกลับไป แต่พอหันมาอีกที ก็มีรถกระบะคันหนึ่งพุ่งเข้ามา กดแตรสนั่น พุ่งมาแบบชนพีระแน่ พีระหันไปมอง ช็อกสุดขีด ร้องสุดเสียง
“อ๊าก”

บ้านหลังหนึ่ง...พีระผวาตื่นจากที่นอน
“อ๊าก”
พีระตั้งสติ มองรอบๆพบว่าตัวเองอยู่บนที่นอน โดยไม่ทันสังเกตว่านี่ไม่ใช่ห้องตัวเอง
“ฉันฝัน..ฉันฝันจริงๆด้วย..ไชโ...”
ไม่ทันขาดคำ พีระเบรกเอี๊ยด...เพราะพบว่าแมนสรวงยืนพิงประตูเท่ๆเก๊กๆมองเขาอยู่
“จ๊ะเอ๋”
แมนสรวงโบกมือ ท่าเต๊ะจุ๊ย
“เฮ้ย”
“เชื่อหรือยังว่านายตายแล้ว”
นึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา พีระร้องลั่น รถกระบะพุ่งเข้ามาชน เขาร้องสุดเสียง
“อ๊าก”
รถกระบะพุ่งทะลุผ่านร่างพีระไป เขายืนอึ้ง เหวอ ที่ตัวเองไม่เป็นอะไรเลย รถทะลุผ่านร่างไปได้ยังไง
“ทำไม..ไม่จริง..เป็นไปไม่ได้” พีระช็อกสลบไป

พีระนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา นั่งช็อก
“เราตายแล้วจริงๆเหรอ”
“แม่นแล้ว”
พีระช็อก สั่น สับสน ยอมรับความจริงไม่ได้

น้ำมนต์เดินลากกระเป๋าเดินทาง รีบเดินจ้ำๆ พลางมองนาฬิกามาตลอดทาง จะรีบไปที่ตึกเรียน
บนตึก ลูกโป่งกับพิมพ์ดาวส่องกล้องมองอยู่ เห็นน้ำมนต์ รีบพูดว.รายงาน
“เป้าหมายมาแล้ว ทุกฝ่ายพร้อม”
น้ำมนต์เดินมาถึงบริเวณสนามหน้าตึกเรียน พบว่าอัฐชัยยืนรออยู่
“อัฐ..มาทำอะไรตรงนี้ ไม่เข้าเรียนเหรอ ไปเร็ว”
น้ำมนต์คว้ามือ อัฐชัยรั้งไว้
“อัฐมีเรื่องสำคัญอยากคุยด้วย ขอเวลาห้านาทีได้มั้ย”
“เรื่องอะไร”
“เรื่องเมื่อคืน มันทำให้อัฐคิดได้ว่าความตายอยู่ใกล้เรามากแค่ไหน อัฐไม่อยากตายโดยที่ไม่ได้ทำเรื่องที่อยากทำ...เป็นแฟนกับอัฐนะ” อัฐจับมือน้ำมนต์ไว้
“หา...” น้ำมนต์ตะลึง
มีกลีบกุหลาบโปรยปรายลงมา ลูกโป่งที่อยู่ด้านบนกำลังเป็นคนโปรยกลีบกุหลาบ พิมพ์ดาวที่แอบอยู่มุมหนึ่ง ถือกล้องคอยถ่ายบันทึกเหตุการณ์ น้ำมนต์มองไปรอบตัว
“อัฐขอให้เพื่อนๆช่วยทำเองแหละ เพื่อน้ำมนต์..เป็นแฟนอัฐนะ อัฐจะดูแลน้ำมนต์ให้ดีที่สุด”
“อัฐ.. เราต้องเรียน ต้องทำงาน ต้องเลี้ยงน้อง หาค่าเช่าบ้าน หาค่าเทอม..เรายังไม่คิดเรื่องมีแฟนตอนนี้”
น้ำมนต์ตัดบท ชิ่งวิ่งขึ้นตึกเรียนไป อัฐชัยอึ้ง

น้ำมนต์เดินรีบออกมาจากห้องเรียน พิมพ์ดาวกับลูกโป่งเดินตามหลังน้ำมนต์มา
“น้ำมนต์ แกจะรีบไปไหน รอด้วย”
น้ำมนต์ยังไม่ทันตอบ อัฐชัยเดินเข้ามาโวย ข้องใจเรื่องที่ถูกปฏิเสธ
“ทำไม อัฐไม่ดียังไง รูปหล่อพ่อก็เป็นเจ้าของมหาวิทยาลัย สาวๆในมหาวิทยาลัยนี้มีแต่คนอยากเป็นแฟนอัฐ แต่อัฐเลือกที่จะจีบน้ำมนต์คนเดียว แล้วทำไมถึงไม่ยอมเป็นแฟนอัฐ”
“น้ำมนต์จนไงอัฐ จนมากด้วย พ่อก็ทิ้งไปตั้งแต่เด็ก แม่ก็ไม่อยู่ให้ดูแล ชีวิตเราเหลือแต่น้อง เราจะไม่มีวันทิ้งข้าวต้มเด็ดขาด..อัฐไม่เคยลำบาก ไม่มีวันเข้าใจหรอก”
“ก็มาคบกับอัฐสิ แล้วอัฐจะช่วยทุกอย่างเลย หนี้สินเท่าไหร่บอกมา”
“อัฐกำลังจะบอกให้เราคบกับอัฐเพื่อเงินงั้นเหรอ”
อัฐชัยอึ้งไป ไม่ได้ตั้งใจพูด
“ไม่ใช่ อัฐไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“อัฐไปคบกับคนที่เหมาะสมกับอัฐเถอะ”
น้ำมนต์เลี่ยงเดินออกไป อัฐชัยเซ็ง หงุดหงิดตัวเอง

“น้ำมนต์..เธอก็รู้ว่าคนอย่างอัฐชัย ไม่เคยจีบใครแล้วพลาด!”

คุณผีที่รัก ตอนที่ 1 (ต่อ)

อัฐชัยกลับมานั่งที่โต๊ะกลุ่มอย่างหงุดหงิด พิมพ์ดาว ลูกโป่งนั่งอยู่ด้วย
“ฉันเตือนแกแล้วว่าอย่าไปพูดจาอวดร่ำอวดรวยกับน้ำมนต์ แกก็ยังทำ” พิมพ์ดาวบ่น
“น้ำมนต์มันคงคิดว่าแกดูถูกมัน มองมันเป็นผู้หญิงหิวเงินไปแล้ว” ลูกโป่งออกความเห็น
“ฉันไม่ได้ตั้งใจจะพูดอย่างนั้น ก็แค่อยากช่วยน้ำมนต์ให้ไม่ต้องลำบาก” อัฐชัยถอนใจเซ็งๆ
“งั้นนายก็พลาดแล้ว เรื่องโดนดูถูกอย่างนี้ ผู้หญิงเราจำจนวันตาย..ฉันขอไว้อาลัยล่วงหน้าเลย”
“เฮ้ย ไม่ได้นะ ฉันรักน้ำมนต์จริงๆ พวกแกต้องช่วยฉันสิ” อัฐชัยพยายามขอร้อง
“ไม่ ฉันพอแล้ว ไม่อยากเสียเพื่อน” พิมพ์ดาวบอกเสียงแข็ง
“ดาว...” อัฐชัยอ้อน
พิมพ์ดาวใจอ่อน เพราะแอบรักอัฐชัย แต่ฟอร์มๆ
“เออๆ ช่วยก็ได้ ฉันล่ะเบื่อแกจริงๆ สร้างปัญหาตลอด”
อัฐชัยจับมือพิมพ์ดาวมากุม
“ขอบคุณมากนะดาว เธอเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดจริงๆ ทั้งสวยทั้งใจดี ไม่เหมือนคนบางคน”
มือถืออัฐชัยดัง เขาหยิบมาดู
“พ่อโทรมา ขอตัวแป๊บนะ”
อัฐชัยแยกออกไปรับสาย ลูกโป่งจ้องพิมพ์ดาวอย่างจับผิด
“ปากก็ด่ามันฉอดๆ แต่พอมันอ้อนเข้าหน่อย ก็ใจอ่อนทุกที”
“สงสารไง สมเพชด้วย ผู้ชายอะไรไม่รู้”
“เหรอ คิดว่าฉันจะดูไม่ออกเหรอว่าแกคิดอะไรกับอัฐชัย..และฉันก็มั่นใจว่าน้ำมนต์ก็ดูออกเหมือนกัน มันถึงพยายามหลีกทางให้แก”
“แกพูดอะไรเพ้อเจ้อ อย่าพูดให้อัฐฟังเชียวนะ เข้าใจมั้ย”
พิมพ์ดาวเดินแยกไป ลูกโป่งมองเพื่อนอย่างเข้าใจ
“สาธุ ขออย่าให้มีเหตุต้องเสียเพื่อนเลย”

พีระนั่งอยู่มุมห้องในบ้านที่เขาไม่รู้ว่าบ้านใคร เขานั่งกอดเข่าร้องไห้ แมนสรวงมองงงๆ
“นายจะร้องไห้ทำไม”
“ฉันตายแล้วนะ…นายจะให้ฉันดีใจหรือไง...ฉันเป็นลูกชายคนโต ต้องดูแลพ่อแม่ แล้วน้องๆอีกสามคน..ขาดฉันไปสักคน ใครจะดูแลครอบครัวฉัน”
“เดี๋ยวๆ นายจำเรื่องราวของตัวเองได้ด้วยเหรอ”
“เปล่า ฉันเดา”
“เดา”
“คนเราก็ต้องมีพ่อแม่มีพี่น้องไม่ใช่เหรอ ฉันก็เดาๆเอานั่นแหละ เพราะดูแล้วฉันน่าจะเป็นเสาหลักของครอบครัว”
“ไม่คิดบ้างเหรอว่านายอาจจะเป็นเด็กแว้นใจแตกก็ได้”
พีระครวญเสียงดังขึ้นมาอีก
“มิเชล...น้องจะอยู่ยังไงถ้าไม่มีพี่”
“มิเชลนี่ใครอีก”
“แฟน...ฉันคิดว่าฉันน่าจะมีแฟนเป็นฝรั่ง”
แมนสรวงถอนใจเฮือก
“เฮ้ย...ท่าทางตอนมีชีวิตนายจะเพี้ยนมาก”
“เออ ใช่ นายเป็นผีที่ดูแลฉันใช่มั้ย”
“ฉันไม่ใช่ผี เป็นผู้พิทักษ์วิญญาณบริสุทธิ์”
“เออๆ อย่างนี้นายก็ต้องบอกฉันได้สิว่าฉันเป็นใคร..เป็นอะไรตาย..พ่อแม่ฉันคือใคร..อยู่ที่ไหน..ใช่มั้ย”
“ฉันไม่รู้”
“ไม่รู้..ทำไมไม่รู้”
“ก็ฉันได้รับข้อมูลมาแค่นี้ แค่ให้มาดูแลวิญญาณผู้ชายชื่อพีระ”
“เป็นยมทูตประสาอะไร เรื่องง่ายๆแค่นี้ก็ไม่รู้..อ๋อ ฉันรู้แล้ว นายมันคงเป็นพวกยมทูตตกชั้นสินะ”
“อ้าว...เฮ้ย...”
“ไอ้ยมทูตกระจอก ไอ้ตัวสำรอง ไอ้สอบตก ไอ้ผีหมดอายุ”
“หยามกันอย่างนี้ อยากมีเรื่องใช่มั้ย”
เปรี้ยง!! พีระต่อยทันที
“อ้าว นึกว่าให้เริ่มได้เลย”
แมนสรวงชี้หน้าอย่างแค้นที่โดนเอาคืน

น้ำมนต์กับข้าวต้มกำลังเดินมาตามทางที่จะไปบ้านแม่ ซึ่งเป็นชุมชนย่านปริมณฑล
“ดีนะที่พี่กลับมาทำความสะอาดบ้านทุกเดือน คงจะไม่โทรมไม่ฝุ่นมาก ปัดนิดๆหน่อยๆน่าจะโอเค..เดินทางก็ไม่ไกลเท่าไหร่..รถเมล์สามต่อ..เดินยี่สิบนาที..กำลังสบาย จริงมั้ยข้าวต้ม” น้ำมนต์ปาดเหงื่อ
ข้าวต้มเสื้อผ้ามอมแมมกำลังเดินดูดชาไข่มุกอยู่
“ต่อไปเราต้องช่วยกันประหยัดนะข้าวต้ม ขนมกินให้มันน้อยๆลงหน่อย เข้าใจมั้ย”
“ไม่เข้าใจ”
“ตั้งแต่พรุ่งนี้ พี่จะลดเงินค่าขนมของเรานะ”
“พี่น้ำมนต์ เค้าไม่สบาย”
“ไม่ต้องมาป่วยเลย เจ้าเล่ห์”
ข้าวต้มนั่งกับพื้น
“เค้าพูดจริงๆ”
“ถ้าโกหกล่ะน่าดู” น้ำมนต์เริ่มเอะใจเข้าไปจับเนื้อตัว “ตัวร้อนจี๋เลย..อะไร..ก็ตะกี้ยังดีๆอยู่เลย”
“ตะกี้เค้าอยู่ได้เพราะชาไข่มุข..แต่ตอนนี้..มันหมดแล้ว”
ข้าวต้มโชว์แก้วเปล่าให้ดู และทำท่าจะนั่งหลับตรงนั้น
“อย่าหลับตรงนี้นะ กลับให้ถึงบ้านก่อน พี่จะเอายาให้กิน”
น้ำมนต์รีบอุ้มหรือประคองพาข้าวต้มที่ยังดูดแก้วเปล่าส่งเสียงโครกครากๆไม่หยุด

น้ำมนต์เปิดประตูเข้ามาในบ้านเก่าของแม่ เมื่อเข้าไปด้านใน เธอ รีบพาข้าวต้มไปนั่งพักที่โซฟารับแขก ข้าวต้มยังดูดแก้วเปล่าไม่เลิก
“ข้าวต้ม นั่งพักก่อน”
“เค้าอยากได้ขนม”
น้ำมนต์รีบไปสับคัทเอ้าต์เปิดไฟฟ้า แล้วเปิดไฟ เปิดพัดลมให้ข้าวต้ม แล้วรีบวิ่งไปด้านใน กลับเข้ามาพร้อมยาและน้ำดื่ม
“กินยาหน่อย” น้ำมนต์ป้อนยาให้ “แล้วก็นอนพักนะ ถ้าพรุ่งนี้ไข้ยังไม่ลดพี่จะพาไปหาหมอ..และจะซื้อขนมให้กิน แต่ตอนนี้ นอน”
น้ำมนต์ดึงแก้วเปล่าออก
“ครับ คร่อก..”
ข้าวต้มหลับทันที น้ำมนต์รีบหาผ้าห่มมาคลุมให้ แล้วนั่งอยู่ข้างๆดูแลและห่วงใยน้อง เธอหันไปมองรูปแม่ที่ติดอยู่ในบ้าน
“แม่คะ ช่วยดูแลข้าวต้มด้วยนะคะ”
อยู่ๆมีเสียงพีระ ครวญคราง ร้องไห้ดังแว่วมา..ฮือ ฮือ...น้ำมนต์ชะงัก ได้ยินเสียงดัง มองไปที่ข้าวต้ม ไม่ได้มาจากทางนี้
“ฮือ...”
น้ำมนต์หันขวับ มองไปที่ชั้นบน ซึ่งเป็นที่มาของเสียง น้ำมนต์รู้สึกไม่ปลอดภัย
“ใครอยู่ข้างบน”

พีระยืนอยู่หน้ากระจกเงา ร้องไห้คร่ำครวญ ในห้องนอนชั้นบน
“เงาฉันไม่มี ยังงี้ฉันก็ไม่มีโอกาสเห็นหน้าหล่อๆของตัวเองอีกแล้วสิ”
“นายแน่ใจได้ไงว่านายหล่อ”
“เสียงทุ้มนุ่มยังงี้ หน้าจะไม่หล่อได้ไง..ชื่อพีระอีก มีแต่คนหล่อๆเท่านั้นที่ชื่อนี้”
“เออ ไอ้หล่อ หยุดคร่ำครวญแล้วรีบหาทางกลับไปเข้าร่างตัวเองดีกว่ามั้ย”
“เข้าร่าง...หมายความว่าไง”
“นายแตกต่างจากวิญญาณคนที่ตายแล้วทั่วไป เพราะนายเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ คือ ยังไม่ตายสนิท แต่วิญญาณออกจากร่าง เป็นกึ่งผีกึ่งคน กึ่งสุกกึ่งดิบ”
“แปลว่า ฉันยังมีโอกาส...”
มีเสียงคนเดินขึ้นมา กึกกักๆ พีระชะงัก
“ใครมา..เออ ที่นี่บ้านใคร..นายพาฉันมาอยู่บ้านใคร”
“ฉันก็ไม่รู้”
“เฮ้ย”

“ก็นายสลบ แล้วบ้านนี้ก็ใกล้สุด ไม่มีคน ไม่มีวิญญาณเจ้าที่..เอาน่า ไม่ต้องกลัว เขามองไม่เห็นเราหรอก”

น้ำมนต์ผลักประตูห้องโผล่เข้ามา ถือไม้ตะพดขึ้นมา ยืนจ้องมองพีระ
“นายเป็นใคร”
พีระชะงัก เพราะยังคิดว่าน้ำมนต์มองไม่เห็นตน หันไปถามแมนสรวง
“ไม่เห็นจริงอ่ะ”
“จริง”
“ฉันถามว่านายเป็นใคร เข้ามาทำอะไรในบ้านฉัน”
พีระพิจารณาหน้าน้ำมนต์
“อ๋อ...รู้แล้วว่าทำไมเขามองเห็น..ก็ผู้หญิงคนนี้เป็นผี ฉันเจอเขาแล้ว วันนั้นยังวิ่งทะลุตัวฉันอยู่เลย”
“ฉันไม่ใช่ผี ฉันเป็นเจ้าของบ้านหลังนี้”
“ไม่ใช่”
พีระกับแมนสรวงชะงัก เริ่มลังเล แมนสรวงลองก้าวขยับออกห่างจากพีระเพื่อทดสอบว่าน้ำมนต์มองเห็นหรือเปล่า แต่น้ำมนต์จับจ้องที่พีระคนเดียว
“เขาไม่ได้เห็นฉัน”
พีระลองขยับออกไปอีกด้านบ้าง แต่สายตาน้ำมนต์จับจ้องพีระตลอด
“ทำไมเขาหันตามฉันคนเดียวอ่า ทำไมเห็นฉันอ่า” พีระงง
“นั่นน่ะสิ ขอไปหาคำตอบแป๊บ” แมนสรวงหายตัวไปเลย
“อะ...อ้าว ไหนบอกว่าเป็นผู้พิทักษ์ฉันไง”
น้ำมนต์หยิบมือถือขึ้นมา
“ฉันจะโทรแจ้งตำรวจ ให้มาจับนาย ไอ้หัวขโมย”
“เดี๋ยวๆ ผมไม่ใช่ขโมย”
“ไม่ใช่แล้วจะเป็นอะไร”
“เป็น..เอ่อ..เป็นวิญญาณบริสุทธิ์”
“อะไรนะ”
“ผมเป็นวิญญาณบริสุทธิ์”
น้ำมนต์อึ้ง
“บริสุทธิ์..อี๋..ไอ้หื่น ไอ้โรคจิต..พูดออกมาได้ว่าบริสุทธิ์..คิดจะทำลามกสกปรกกับฉันเหรอ..คิดผิดแล้ว..ฉันจะฟาดนายให้หัวแตกเลย”
“เฮ้ยๆ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”
“ตาย”
น้ำมนต์วิ่งไล่จะฟาด พีระกระโดดหนี วิ่งหลบออกไป

น้ำมนต์ถือไม้วิ่งไล่ตี พีระวิ่งหนีออกมาจากห้อง หนีไป พยายามอธิบายไป
“เดี๋ยวๆ ฟังผมอธิบายก่อน ผมไม่ใช่ขโมย ไม่ใช่โรคจิต ไม่ใช่คนด้วย..ผมเป็นผี”
“ผี...เห็นฉันอายุสี่ขวบหรือไง”
“ผมพูดจริงๆ”
“เคยดูรายการคืนผจญผีช่องพราวด์แชแนลมั้ย..ฉันคือพิธีกรหลักของรายการ..ฉันมีเซ้นส์ แยกแยะคนกับผีออก”
“งั้นผมบอกได้เลยว่าเซ้นส์คุณล่มแล้ว”
“แต่ฉันบอกได้เลยว่า นายตาย”
น้ำมนต์วิ่งไล่ พีระหนีไปจนจนมุม แล้วก็หันกลับมา ชี้หน้า ขึงขัง
“หยุด”
น้ำมนต์ชะงัก ยืนหอบ ยังอยู่ในท่าพร้อมตี
“อยากฟาดมากใช่มั้ย..ได้..แต่เตือนก่อนนะ..คุณช็อกสลบแน่”
“ฉันอยากช็อกสลบ”
พีระยืนนิ่ง เผชิญ พร้อมให้น้ำมนต์ฟาด
“งั้นเชิญเลย”
น้ำมนต์เงื้อแล้วฟาด
“ตาย”
พีระย่อตัวหลบไม้ น้ำมนต์ฟาดวืด จนตัวหมุนไปตามแรงเหวี่ยง
“หลบทำไม”
พีระนั่งยอง ยิ้มแหะๆ
“ก็มันเสียวอ่ะ”
“เพราะนายรู้น่ะสิว่านายโกหก ไอ้โรคจิต”
น้ำมนต์ฟาดอีกที แต่ก็ยังหมุนไปตามแรงเหวี่ยงอีก
“นาย”
“ผมไม่ได้หลบนะตะกี้ ยืนนิ่งเลย”
พีระชี้ให้ดูว่าตัวเองยืนนิ่ง ไม่ได้หลบไม้ แต่น้ำมนต์ยังไม่เชื่อ
“ไม่ต้องมาโกหก แน่จริงครั้งนี้อย่าหลบสิ”
น้ำมนต์เงื้อไม้ในท่าแทง ตั้งใจจะแทงเข้าท้องของพีระ
“ตาย”
น้ำมนต์แทงเข้าไป แต่ไม้ทะลุร่างกายพีระไป ทำให้น้ำมนต์ไถลเข้าไปใกล้ชิดพีระมากแบบประชิดติดตัวอย่างไม่ได้ตั้งใจ ต่างคนต่างผงะที่ได้ใกล้ชิดกัน
“ทีนี้เชื่อหรือยังว่าผมไม่ใช่คน”
น้ำมนต์มองพีระ มองไม้ในมือที่ทะลุผ่านไป ตาเหลือก ผวาถอยออกมาทันที
“ผี...อร๊าย...”
น้ำมนต์ทิ้งไม้ วิ่งหนีเตลิดไปทั่วบ้าน พีระพยายามตามอธิบาย แต่น้ำมนต์ไม่ฟัง

น้ำมนต์เข้ามาในห้องพระ ปิดประตูล็อก รีบนั่งหน้าหิ้งพระ พนมมือสวดมนต์
“อิทัง เม ญาตินัง โหตุ สุขิตา โหนตุ ญาตะโย”
อยู่ๆพีระเข้ามานั่งข้างๆพนมมือสวดมนต์ด้วย
“นี่มันบทสวดกรวดน้ำไม่ใช่เหรอ”
“เออ ใช่ นะโมตัสสะ อะระหะโต ภะคะวะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ”
“ใจเย็นๆ คุณสวดผิดแล้ว..ว่าตามผม..นะโมตัสสะ ภะคะวะโต อะระ หะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ”
“นะโมตัสสะ ภะคะ..” แล้วชะงัก นึกได้ หันมามอง เห็นพีระนั่งสวดมนต์ข้างๆ “เฮ้ย...ผีอะไรมานั่งสวดมนต์” น้ำมนต์รีบไหว้และยกพระพุทธรูปมาถือไว้ “ออกไป...ออกไป”
พีระยืนนิ่ง ไม่ได้รู้สึกร้อนหรือกลัวอะไรเลย
“ไม่ร้อนเหรอ”
“ไม่เลย”
“เฮี้ยนมาก”
“บอกแล้วไงว่าผมเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ผีแต่ก็ไม่ใช่คน พระท่านเลยเมตตาไม่ทำอะไรผม..แล้วผมก็จะไม่ทำอะไรคุณ ไม่ต้องกลัว”
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
น้ำมนต์ไม่ยอมให้เข้าใกล้ วิ่งเตลิดหนีออกไป

น้ำมนต์วิ่งกลับมาหาข้าวต้ม รีบปลุก
“ข้าวต้ม ตื่นๆ”
ข้าวต้มงัวเงียขึ้นมา
“ปลุกเค้าทำไม ตั้งแต่นี้ไปเราขาดกัน” ข้าวต้มล้มนอนต่อ
“ข้าวต้ม..ตื่น..ผี..มีผีอยู่ในบ้าน”
ข้าวต้มงัวเงียขึ้นมา
“ผีน่ากลัวมั้ย”
“น่ากลัวมาก”
“อุ๊ต๊ะ กลัวจัง” ข้าวต้มล้มตัวนอนต่อ
พีระโผล่มายื่นตรงหน้าน้ำมนต์ ด้านหลังพนักของโซฟา
“น้องชายคุณเหรอ”
น้ำมนต์ผงะ แม้จะกลัวแต่ก็รักน้อง ยืนกางแขนปกป้องข้าวต้ม
“อย่าทำอะไรน้องฉันนะ”
“เขาไม่สบายเหรอ”
“ฮ้า นี่อย่าบอกนะว่านายจะมาเอาน้องชายฉันไป..ไม่ได้นะ ฉันไม่ยอมห้ามพาน้องชายฉันไปไหนเด็ดขาด”
พีระเกาหัว
“นี่คุณหยุดคิดเองเออเองได้มั้ย ผมบอกแล้วไงว่า ผมไม่ทำอะไรคุณ”
“ฉันจะเชื่อนายได้ไง”
“ผมสาบานต่อหน้าพระเลยก็ได้”
“ผีที่ไหนสาบานต่อหน้าพระ”
“เคยเป็นผีเหรอถึงคิดว่าทำไม่ได้..ก็เนี่ย ผมกำลังจะสาบานให้ดูอยู่” พีระพนมมือสาบาน
“ผมขอสาบานต่อหน้าองค์พระ ผมจะไม่ทำร้าย..ชื่ออะไร...”
“ฉันไม่บอก เดี๋ยวนายเอาวิญญาณฉันไป”
“พี่น้ำมนต์ เงียบๆได้มั้ย” ข้าวต้มพูดขึ้นมาอย่างรำคาญ
พีระยิ้ม
“ผมขอสาบานว่าจะไม่ทำร้ายผู้หญิงเพี้ยนๆที่ชื่อน้ำมนต์เด็ดขาด ถ้าผมผิดคำสาบาน ขอให้ผมมีอันเป็นไป..พอใจยัง”
น้ำมนต์กอดข้าวต้มไว้และถือพระพุทธรูปเอาไว้ด้วย ยังคงกลัวอยู่
“อย่าทำหน้าเครียดสิ ยิ้มหน่อย..นิดนึง..”
พีระพยายามยิ้มให้ แต่น้ำมนต์เครียด กลัว ไม่ยิ้มด้วย พีระแกล้งทำดุ
“ถ้าไม่ยิ้ม ผมหักคอคุณจิ้มน้ำพริกแน่ แฮ่…”
“ยิ้มแล้วๆ”

น้ำมนต์ฝืนยิ้มแห้งๆแหยๆ พีระยิ้มอย่างพอใจ

เช้าวันใหม่ น้ำมนต์ที่นอนหลับอยู่ที่เดิมตรงนั้น อยู่ๆก็สะดุ้งตื่น ไม่เห็นข้าวต้มอยู่ตรงนั้นแล้ว ตกใจขึ้นมาทันที
“ข้าวต้ม..ข้าวต้ม....”
มีเสียงข้าวต้มร้องลั่นดังมาจากด้านในครัว
“ช่วยผมด้วย”
น้ำมนต์ชะงัก รีบวิ่งไป
“ข้าวต้ม”

น้ำมนต์วิ่งเข้ามาในครัว
“ข้าวต้ม”
ข้าวต้มยืนบนเก้าอี้กำลังเอื้อมหยิบจานบนชั้นวางแต่เอื้อมไม่ถึง ส่วนพีระกำลังต้มโจ๊กอยู่หน้าเตา
“ช่วยผมด้วย”
น้ำมนต์รีบเข้ากอดข้าวต้ม ดึงออกมา
“นายจะทำอะไรน้องชายฉัน”
“ผมไม่ได้ทำอะไร” พีระตอบเรียบๆ
“นายหลอกให้น้องฉันปีนเก้าอี้ จะได้ตกลงมาหัวกระแทกพื้น นายจะได้เอาข้าวต้มไปอยู่ด้วย..ไอ้ผีใจร้าย”
“พี่น้ำมนต์ เค้าแค่จะหยิบจานเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับพี่พีระ” ข้าวต้มแย้ง
“จะไม่เกี่ยวได้ไง..” น้ำมนต์ฉุกคิดได้ว่าทำไมข้าวต้มเห็นพีระ “ข้าวต้มเห็นเขาด้วยเหรอ”
“ก็มีตาเนอะ”
น้ำมนต์หันไปมอง พีระรีบชิงตอบ
“ผมก็ไม่รู้..สงสัยเด็กจะมีเซ้นส์พิเศษเหมือนคุณมั้ง”
น้ำมนต์รีบอธิบายน้อง
“ข้าวต้ม เขาไม่ใช่คน แต่เป็นผี”
“ผีอะไร จับหม้อ ต้มโจ๊กได้ด้วย”
พีระเห็นน้ำมนต์มองมา
“ผมก็ไม่รู้..สงสัยผมจะเคยสร้างบุญบารมีไว้เยอะเลยเก่งกว่าผีทั่วไป..กินโจ๊กเถอะ”
“กินๆ”
ข้าวต้มดีใจมาก น้ำมนต์ดึงข้าวต้มไว้
“กินไม่ได้ โจ๊กผีกินแล้วอัปมงคล”
พีระชักฉุน
“โห คุณชักจะปากร้ายเกินไปแล้วนะ”
น้ำมนต์เชิด พาข้าวต้มเดินหนี ข้าวต้มร้องครวญเพราะอยากกิน
“เค้าจะกินๆ”

น้ำมนต์พาข้าวต้มเดินหนีมา พีระถือชามโจ๊กมาด้วย ตามมาขึงขัง โวย
“ถ้าผมคิดร้ายกับพวกคุณ ผมหักคอตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว จะรอถึงเช้าแล้วก็มาทำโจ๊กอัปมงคลให้เสียเวลาทำไม”
“เพราะนายเป็นผีโรคจิตไง”
ข้าวต้มดึงมือออก
“ปล่อยเค้านะ..พี่กับแฟนมีปัญหาอะไรก็ไปตกลงกันเอง เค้าไม่เกี่ยว เค้าจะกิน”
ข้าวต้มผละไปหาพีระ รับชามโจ๊กมาตักกิน หน้าตาท่าทางมีความสุขกับรสชาติอาหารมาก น้ำมนต์ชะงัก
“ข้าวต้ม..ตะกี้พูดว่าอะไรนะ”
“ไม่ต้องปิดบังหรอก พี่โตแล้วจะมีแฟนก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เค้าเข้าใจ”
“ไม่ใช่..มันเป็นไปไม่ได้ เขาตายไปแล้ว”
“ตายไปจากความรู้สึกพี่อ่ะดิ..แหม..สำบัดสำนวนนะ”
“ไม่ได้สำนวน เขาตายแล้วจริงๆ”
“ตายแล้วจะมายืนอยู่ได้ไง..เอาน่าๆ แฟนมาง้อขนาดนี้แล้ว ดีๆกันไปเหอะ..แฟนพี่ทำกับข้าวอร่อย..เค้าชอบ”
“งั้นพี่จะอยู่ที่นี่ ทำให้กินทุกวันเลยดีมั้ย” พีระรีบเสนอ
“ดี”
ข้าวต้มกับพีระทำมือเป็นสัญลักษณ์แบบเข้าขากันได้ดี น้ำมนต์โมโห
“ข้าวต้ม ไม่ต้องไปสนิทสนมกับเขา...ไป ไปเรียน” หันมาประกาศเด็ดขาดกับพีระ “ถ้านายยังไม่ไปที่ชอบๆ อย่าหาว่าฉันใจร้าย”
น้ำมนต์คว้าตัวลากข้าวต้มออกไป ข้าวต้มโวยวาย
“ไม่ๆ ให้แฟนพี่อยู่นี่ เค้าจะได้มีข้าวอร่อยๆกินทุกวัน”
น้ำมนต์พาข้าวต้มออกไป พีระได้แต่เซ็ง
“ถ้าเธอไม่ใช่คนเดียวที่มองเห็นฉัน..ฉันไม่ง้อหรอก”

บ้านพิมพ์ดาว เป็นร้านกาแฟ สภากาแฟของชุมชน เจ๊แมว แม่พิมพ์ดาว เอานมร้อนมาเสิร์ฟให้กับงอแงที่กำลังกินข้าวมันไก่อยู่ มีลูกค้ายืนรอสั่งกาแฟอยู่
“นมร้อนนะลูก ทานกับข้าวมันไก่ตอน จะได้มีเรียนหนังสือเก่งๆ”
“ขอบคุณค่ะ แม่ขาถักเปียให้งอแงหน่อยสิ”
“ได้เลยค่ะลูก..” เจ๊แมวหันไปบอกลูกค้า “รอเดี๋ยวนะ ขอถักเปียให้ลูกรักแป๊บนึง”
พิมพ์ดาวแต่งชุดนักศึกษาออกมา เห็นแม่เอาใจงอแงอยู่ เซ็งที่แม่รักน้องมากกว่าตนเสมอ
“ฉันไปเรียนนะแม่”
“ทำไมวันนี้ไปแต่เช้า จะไปเถลไถลที่ไหนอีก ช่วยหัดเอาอย่างน้องบ้างได้มั้ย ..ตั้งใจเรียน เป็นหน้าเป็นตาให้แม่” เจ๊แมวชี้กราดใส่ลูกค้า “ให้คนพวกนี้อิจฉาตาร้อน”
“อ้าว....” พวกลูกค้าร้องออกมาพร้อมกัน
“สรุปว่าต้องเรียนเพื่อเป็นหน้าเป็นตา หรือเรียนเพื่อความรู้” พิมพ์ดาวถามเซ็งๆ
“แกไม่ต้องมายอกย้อน”
“อย่าเสียงดังสิคะแม่ เดี๋ยวเพื่อนบ้านจะหาว่าครอบครัวเราไม่อบอุ่น” งอแงแย้ง
“ค่ะลูกๆ เรารักกันๆ”
เจ๊แมวกอดงอแง พิมพ์ดาวกำลังจะออกไป แต่น้ำมนต์จูงข้าวต้มเข้ามาก่อน
“น้ำมนต์..ฉันกำลังจะไปหาแกพอดี เป็นไงบ้างกลับมานอนบ้านวันแรก”
“เอาไว้จะเล่าให้ฟัง ไปเรียนก่อนเถอะ”
“มีอะไรหรือเปล่า”
น้ำมนต์ไม่ทันตอบ เจ๊แมวรีบแหวกเข้ามาหาน้ำมนต์ เสแสร้งทำดีด้วย
“หนูน้ำมนต์..ลูกกลับมานอนบ้านแล้วเหรอ เจ๊ดีใจที่สุดเลย ลูกกลับมาอยู่ใกล้ๆกันดีแล้ว มีอะไรจะได้ช่วยเหลือกัน”
“งอแงจะได้ให้พี่น้ำมนต์สอนภาอังกฤษให้ด้วย” งอแงรีบบอก
“พี่ก็สอนให้ได้นะจ๊ะ” ข้าวต้มยิ้มหวานให้
“หยุดกินให้ได้ก่อนเถอะหมูอ้วน” งอแงตวาดแว๊ด
“หนูขอตัวไปเรียนก่อนนะคะเจ๊แมว” น้ำมนต์คว้ามือข้าวต้มลากไป
“จ้า ตั้งใจเรียนนะ แล้วเจ๊จะช่วยดูแลบ้านให้”
ข้าวต้มตะโกนกลับมา
“ไม่ต้องดูหรอกครับเจ๊ แฟนพี่น้ำมนต์ดูแลอยู่แล้ว”
“ข้าวต้ม อย่าพูดมาก ไป...”
น้ำมนต์ลากข้าวต้มไป พิมพ์ดาวรีบตามไป

“แฟนน้ำมนต์เหรอ” เจ๊แมวสงสัย อยากรู้ อยากเห็นขึ้นมาทันที

พิมพ์ดาวกับลูกโป่งรู้เรื่องผีพีระจากน้ำมนต์พากันตกใจ ขณะที่อัฐชัยนั่งฟังอยู่ที่โต๊ะใกล้ๆ
“บ้านแกมีผี...สวดมนต์เย้ยพระได้” พิมพ์ดาวแปลกใจมาก
“จับเตา ทำโจ๊กได้” ลูกโป่งจ้องหน้าน้ำมนต์ “ถามจริง ผีหรือผอ…”
“ผี... ฉันกลัวจริงนะแก ไม่ได้ล้อเล่น”น้ำมนต์ยืนยันหนักแน่น
“งั้นจะต้องเป็นผีพ่อบ้าน ที่ตายในครัว มีความทรงจำกับอุปกรณ์ในครัว” พิมพ์ดาวออกความเห็น
“อาจถูกฟาดด้วยกระทะจนตาย”
“ถึงฉันจะมีเซ้นส์ แต่นี่มันเป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันเห็นแบบเต็มๆ มาทั้งภาพทั้งเสียง มันเหมือนคนๆนึงยังไงยังงั้น”
“แล้วเขาต้องการอะไร ทำไมอยู่ดีๆถึงมาอยู่บ้านแก”
“ฉันก็ไม่รู้ แต่ฉันกลัวมันจะมาเอาน้องชายฉันไป เมื่อเช้ามันหลอกให้ข้าวต้มปีนไปยืนบนเก้าอี้ด้วย”
“ฮ้า...” พิมพ์ดาวกับลูกโป่งร้องอย่างตกใจ
“จะทำยังไงดีอ่ะ ยังไงฉันก็ต้องอยู่ที่บ้านแม่ แต่จะให้อยู่กับผี ก็ไม่ไหวนะแก” น้ำมนต์เครียดมาก
อัฐชัยเหลืออด โพล่งขึ้นมา
“ผมจะจัดการมันให้เอง”
“อัฐจะทำอะไร”
“ไอ้ผีไม่ได้รับเชิญ ต่อให้มันเฮี้ยนแค่ไหน มันก็ต้องออกไป” อัฐชัยมั่นใจ มุ่งมั่น คิดกำจัด
“อัฐรู้จักคนที่จะช่วยทวงคืนบ้านให้น้ำมนต์ได้”
อยู่ๆเอมี่วิ่งเข้ามาเสริมทันที
“อะไรๆ คุยอะไรกัน พี่ได้ยินแว่วๆว่าบ้านน้ำมนต์มีผีเฮี้ยนมากจริงเหรอ”
“ค่ะพี่เอมี่”
“เยี่ยมมาก วิเศษ..พวกเธอไปกับพี่เดี๋ยวนี้”
“ไปไหนคะ” น้ำมนต์งง

เอมี่ น้ำมนต์ พิมพ์ดาว ลูกโป่งนั่งรออยู่ในห้องประชุมสถานีโทรทัศน์พราวด์ดิจิตัล
“มันจะดีเหรอพี่เอมี่” น้ำมนต์ถามอย่างกังวล
“ถ้าผู้บริการสถานีจับได้ เราจะซวยนะคะ” พิมพ์ดาวเครียดๆ
เอมี่บอกอย่างมั่นใจ
“คุณเมสินีท่านเป็นผู้บริหารใจดี ท่านเมตตาสงสารเด็กนักศึกษาเสมอ พวกเธอต้องทำตามแผน ถ้าไม่อยากตกงาน…มาแล้วๆ”
เอมี่รีบบอกเมื่อมีเสียงเปิดประตูเข้ามา น้ำมนต์ พิมพ์ดาว ลูกโป่งก้มหน้าเศร้า เมสินีซึ่งเป็นสาวสวย ดูสง่างาม เดินเข้ามาในห้องทำงาน
“คุณเอมี่ ขอโทษนะคะที่ให้รอ พอดีเมมีเรื่องวุ่นวายนิดหน่อย..จะเอาเทปใหม่ของรายการคืนผจญผีมาให้ดูใช่มั้ยคะ” เมสินีถามยิ้มแย้ม
“เอ่อ เปล่าค่ะ”
“เปล่า...คุณเอมี่บอกว่าจะเอาเทปที่ไปแก้ไขใหม่มาให้เมดูวันนี้ไม่ใช่เหรอคะ”
“เอมี่ขออีกสองวันได้มั้ยคะ พอดีมีปัญหานิดหน่อยน่ะค่ะ..คือ..จะพูดไงดี…”
“หนูพูดเองค่ะ…” น้ำมนต์แกล้งบีบน้ำตา “คุณพ่อหนูท่านหายตัวไป 5 วันแล้วค่ะ..ไม่รู้ว่าท่านไปไหน..เกิดอะไรขึ้น..หนูห่วงพ่อมาก กลัวพ่อจะถูกอุ้มไปทำร้าย หนูไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้น ที่ไม่มีเทปมาวันนี้ก็เป็นเพราะหนูเองค่ะ”
“โถๆ” ลูกโป่งแกล้งปลอบ “ใจเย็นๆแก ร้องทั้งวันทั้งคืน จนตาดำหมดแล้ว”
“พ่อ...หนูคิดถึง.... ฮือๆ” น้ำมนต์พูดพร่ำถึงพ่อแต่ร้องไห้ซะจนฟังไม่รู้เรื่อง
พิมพ์ดาวแสร้งเล่าอย่างเครียดๆ
“พี่เอมี่เสนอว่าให้เปลี่ยนพิธีกร แต่หนูว่ามันไม่แฟร์กับเพื่อนหนู ก็เลยอยากมาขอร้องคุณด้วยตัวเอง”
น้ำมนต์แกล้งร้องไห้ไม่หยุด ลูกโป่งพยายามปลอบ เอมี่ตีหน้าเศร้า
“นี่ล่ะค่ะปัญหาของเรา”
“โถ จริงเหรอเนี่ย” เมสินีลุกเดินเข้าไปหาน้ำมนต์ กอดปลอบใจ “ฉันเข้าใจเธอนะ ฉันรู้ดีว่าการที่สูญเสียคนรักมันเป็นยังไง”
ยุทธผู้ช่วยคนสนิทของเมสินีเดินเข้ามา
“คุณเมสินีครับ ท่านสารวัตรมาขอพบคุณครับ”
เมสินีผละออกจากน้ำมนต์
“ฉันให้เวลาพวกเธอไปทำเทปใหม่มา..อีกสองวัน..เธอจะทำได้มั้ยน้ำมนต์”
“ได้ค่ะ” น้ำมนต์เผลอดีใจออกไป พอรู้ตัวเลยรีบแกล้งสลด
“แม้จะคิดถึงพ่อ แต่หนูจะอดทน ฮือๆ”
เมสินียิ้มตอบอย่างแม่พระ ดูอ่อนโยนมาก

พวกน้ำมนต์เดินออกมาด้านนอกสถานี ทุกคนดีใจ กระโดดตัวลอย
“สุดยอดมาก น้ำมนต์แอคติ้งเธอชนะเลิศไปเลย” ลูกโป่งชม
“สมกับที่พวกเธอเรียนนิเทศศาสตร์มาก..ฉันบอกแล้วว่าคุณเมใจดี แต่ต้องจับจุดให้ถูก..พอจับได้ก็เรียบร้อย” เอมี่บอกอย่างมั่นใจมาก
“คุณเมสินีแกมีปัญหาอะไรเหรอพี่” น้ำมนต์ถามอย่างสงสัย
“ลูกชายแกหายตัวไป เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้ นี่แกพยายามปิดข่าว เพราะไม่อยากให้กระทบกับภาพลักษณ์สถานี”
“มิน่า ถึงมีสารวัตรมาพบแก คงจะมาเรื่องคดี” พิมพ์ดาวออกความเห็น
“พี่บอกเขาปิดข่าว แล้วพี่ไปรู้ได้ยังไง” ลูกโป่งสงสัย
“พี่เก่งไง”
เอมี่เชิด ลูกโป่งแซว แหย่
“เก่งเรื่องสอดส่ายสายตาน่ะสิคะ ฮะๆ”
“พี่ทำได้ทุกอย่างเพื่อความฝันของพี่ รายการคืนผจญผีเนี่ย พี่ก็แค่ทำเพื่อให้คุณเมสินีมั่นใจว่าพี่ทำได้ แกจะได้อนุมัติให้พี่ได้ผลิตละครอย่างที่พี่ฝันไว้ พี่จะเป็นผู้จัดเจ้าแรกของพราวด์ดิจิตอล”
“ให้หนูเป็นนางเอกนะคะ” พิมพ์ดาวเสนอตัวทันที
เอมี่มองค้อน
“พอๆ อย่าเพิ่งฝันกันไปไกล เอารายการผีของเราให้รอดก่อน”
“แล้วพวกเราจะไปถ่ายแก้ไขที่ไหน” น้ำมนต์สงสัย
“บ้านน้ำมนต์ไง”
เอมี่บอกทันที น้ำมนต์อึ้งๆ

เมสินีเข้าในห้องทำงานกับยุทธ ตำรวจรายงาน
“ยังไม่มีความคืบหน้าเรื่องพีทอีกเหรอคะ” เมสินีถามถึงพีระอย่างกังวล
“คุณเมสินีไม่ต้องห่วงนะครับ คดีนี้ท่านผู้การกำชับให้ดูแลเป็นพิเศษ ไม่ว่ายังไง จะไม่มีการปล่อยให้คนร้ายลอยนวลเด็ดขาด” ตำรวจบอกอย่างหนักแน่น
“คนร้ายอะไรดิฉันไม่สนหรอกค่ะ ดิฉันห่วงแค่ลูก” เมสินีร้องไห้ “คุณบอกว่ามีรอยเลือด แสดงว่าพีทถูกทำร้าย แต่หาตัวเขาไม่พบ มันแปลว่าอะไรคะ เขาตายหรือไม่ตาย ดิฉันต้องการรู้ ไม่อยากคิดไปเอง มันเจ็บปวดนะคะ”
“ทางเราจะรีบสืบให้เร็วที่สุด แล้วจะแจ้งให้คุณทราบทุกระยะนะครับ”
“ค่ะ แต่ดิฉันขอนะคะ อย่าให้เรื่องนี้เป็นข่าว ดิฉันไม่อยากให้มันกระทบกับธุรกิจ พราวด์ดิจิตัลเจอปัญหามามากแล้ว ถ้ามีข่าวเรื่องนี้อีก ต้องแย่แน่ๆ”
“ได้ครับ...ส่วนรถของคุณพีท คันที่เกิดเหตุ ผมให้ย้ายไปไว้ที่สุสานรถเก่านะครับ เพราะที่สน.ไม่มีที่ให้จอดแล้ว”
“อยู่ที่สุสานรถเหรอคะ ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ..ยุทธ ช่วยส่งสารวัตรที”
“ครับ..เชิญครับสารวัตร”
ยุทธเชิญตำรวจออกไปหมด เมสินีหยุดร้องไห้ ตาวาว ยุทธเดินกลับเข้ามา
“คุณเมสินีครับ ผมขออนุญาตออกไปทำงานข้างนอกนะครับ”
“จะไปที่ไหน”
“สุสานรถเก่า”
เมสินียิ้ม ปลื้มที่มียุทธเคียงข้าง เดินเข้าไปหา ปัดเศษฝุ่นบนเสื้อให้ ยิ้มให้กันไปมา

“อย่าให้พลาดล่ะ”

คุณผีที่รัก ตอนที่ 1 (ต่อ)

พีระเดินไปเดินมาทบทวนเรื่องราวของตัวเอง อยู่ในบ้านน้ำมนต์

“เราเป็นใคร..ตายได้ยังไง..โอ๊ย...ทำไมจำอะไรไม่ได้เลย”
อยู่ๆมีเสียงปั้กๆและเสียงฮึดฮัดๆดังมา พีระชะงัก แล้วเดินตามเสียงไปพบว่าแมนสรวงกำลังเตะกระสอบทรายอยู่มุมหนึ่งในบ้าน
“ไอ้ยมทูตกระจอก ไหนบอกว่านายเป็นผู้ดูแลฉัน ทิ้งกันหน้าตาเฉยเลย”
พีระเลยไล่เตะ แต่แมนสรวงเอากระสอบทรายบัง
“เฮ้ยๆ ใจเย็นก่อนๆ ฉันไม่ได้ทิ้ง แต่ไปหาคำตอบเรื่องของนายมาให้”
“หาคำตอบอะไร”
“อยากรู้ก็พูดจาให้มันดีกับฉันหน่อยเซ่”
“พูดดีๆเหรอ” พีระไล่เตะอีก
“เออๆ ฉันได้คำตอบมา 2 เรื่อง เรื่องแรกก็คือทำไมผู้หญิงเจ้าของบ้านนี้ถึงมองเห็นนายได้”
“ทำไม”
“นายกับผู้หญิงคนนั้นมีอะไรบางอย่างเชื่อมโยงกัน อาจจะด้วยอดีต หรือกรรมบางอย่าง หรือไม่ก็อะไรสักอย่าง..นายกับเขาเคยมีอะไรกันหรือเปล่า”
“เคย”
“เฮ้ย...”
“ไม่ใช่เคยอย่างนั้น ฉันเคยวิ่งชนกับเขา ตอนที่ฉันกับเขาชนกันฉันรู้สึกแบบ..จึ้กๆตื๊ดๆเปรี๊ยะๆแบบว่ามันสปาร์ค ..เหมือนไฟช็อตเลย”
“แล้วก็ต่อติด เหมือนต่อสัญญาณอินเตอร์เนทได้ ใช่มั้ย..นั่นแหละ..เพราะนายเป็นวิญญาณบริสุทธิ์ไง นายสิงร่างใครไม่ได้ แต่เชื่อมต่อกับคนบางคนที่มีบุญมีกรรมต่อกันได้”
“มีบุญมีกรรมต่อกัน ยังไง...”
“ไม่รู้ ถ้ารู้ทุกอย่างก็เป็นหัวหน้ายมทูตไปแล้ว ไม่ต้องมาดูแลวิญญาณ เพี้ยนๆอย่างนายหรอก”
“โธ่เอ๊ย ไอ้ผีกระจอก...”
แมนสรวงแค้นที่โดนหาว่ากระจอกอีกแล้ว กำหมัด กัดฟันกร็อดๆ เตะกระสอบทราบปั้กๆ

เจ๊แมวขี่จักรยานมาจอด หน้าบ้านน้ำมนต์มีงอแงซ้อนท้ายมาด้วย
“พาแฟนมาอยู่บ้านด้วย แหม หนูน้ำมนต์นี่ ร้ายเงียบจริงๆ”
“เราแอบมาบ้านพี่เขาจะดีเหรอคะแม่” งอแงผลักประตูเข้าไป “อุ๊ย ประตูเปิดอยู่ด้วย”
“ทำไมไม่ล็อกบ้านก็ไม่รู้ ปิดน้ำปิดไฟหรือเปล่านะ ไปๆ เพื่อนบ้านที่ดีต้องช่วยดูแลบ้านเพื่อน”
เจ๊แมวกับงอแงเข้าบ้านไป

แมนสรวงโวยวายไล่เตะพีระบ้าง พีระหลบหลีก ผลักกระสอบทรายใส่
“ฉันเป็นยมทูต ไม่ใช่ผี..ฉันเหนือกว่านาย ทำอะไรๆได้มากกว่านายร้อยเท่า”
“ทำอะไรหรา”
เจ๊แมวกับงอแงเดินเข้ามา
“สวัสดีค่ะ แฟนหนูน้ำมนต์อยู่บ้านมั้ยคะ”
“เฮ้ย...” พีระตกใจ จะไปหลบ แต่ถูกแมนสรวงดึงคอไว้
“จะหลบไปไหน เขาไม่เห็นนาย”
“เออจริง”
เจ๊แมวชะโงกมองหา
“เจ๊ชื่อเจ๊แมว เป็นเพื่อนบ้านเก่าแก สนิทสนมกับพ่อแม่หนูน้ำมนต์มาก..เจ๊ทราบว่าน้ำมนต์พาแฟนมาอยู่ เลยเอาขนมมาฝากค่ะ”
“แม่ไม่มีขนมซะหน่อย” งอแงแย้ง
เจ๊แมวหยิบปาท่องโก๋ออกมาตัวหนึ่ง
“นี่ไง แม่เตรียมมา”
แมนสรวงมองอย่างหมั่นไส้
“แหม เอาปาท่องโก๋มาฝากตั้งตัวนึงแน่ะ”
พีระกับแมนสรวงมองอย่างไม่ได้กลัวอะไร เพราะรู้ว่ามองไม่เห็นตนอยู่แล้ว เจ๊แมวกับงอแงกำลังจะเข้าไปในบ้าน อยู่ๆแมนสรวงที่ยืนอยู่ที่เดิมก็เรียกเอาไว้
“ทำอะไรครับ”
เจ๊แมวกับงอแงสะดุ้ง หันกลับมาเห็นแมนสรวงอยู่ ไม่เห็นพีระ
“ว้าย คุณ..มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
“มานานแล้วครับ”
“พี่เป็นแฟนพี่น้ำมนต์เหรอคะ หน้าตา...” งอแงมองพิจารณา
“หล่อใช่มั้ยครับ”
“งั้นๆค่ะ”
“ขอถ่ายรูปหน่อยนะคะ จะได้เอาไปโพนทะนา เอ๊ย เอาเป็นที่ระลึก”
“มุมนั้นดีกว่าครับ” แมนสรวงชี้ไปอีกด้าน
เจ๊แมวกับงอแงรีบไปที่มุมนั้น แล้วก็หันกลับมา
“มาถ่ายคู่กัน…”
แต่เจ๊แมวต้องชะงัก เพราะมองไม่เห็นแมนสรวงแล้ว ทั้งๆที่แมนสรวงยืนอยู่ที่เดิม
“อ้าว อะไร หายไปไหนแล้ว”
เจ๊แมวกับงอแงงุนงงๆ
“หรือเขาจะรู้ตัวว่าแม่จะถ่ายรูปเอาไปให้คนแถวนี้ดูว่าน้ำมนต์แร้งแค่ไหน”
“เขาต้องรู้ตัวแน่เลยค่ะแม่”
แมนสรวงหันไปบอกพีระ
“ฉันจะปรากฏตัวให้ใครเห็นหรือไม่ให้เห็นตอนไหนเมื่อไหร่ก็ได้ แต่นายทำไม่ได้..นายทำได้ก็แค่หยิบจับสิ่งของ แค่นั้น..รู้ยังใครกันแน่ที่กระจอก”
“ไม่ต้องมาเยาะเย้ยกันเลย”
“กระจอก ฮะๆ”
พีระไล่เตะแมนสรวง เตะพลาดไปโดนกระสอบทราบ..ปั้ก!! เจ๊แมวกับงอแงกันมอง เห็นกระสอบทรายแกว่งไปมาเอง พีระไล่เตะแมนสรวงไปรอบๆบ้าน ยกกระถางต้นไม้ขึ้นมาจะเขวี้ยงใส่ วิ่งไล่ไปรอบๆบริเวณนั้น แต่เจ๊แมวกับงอแงถึงกับตาเหลือก เพราะเห็นแค่กระถางต้นไม้ลอยได้
“กระถางต้นไม้ลอยได้”
“ผี!”
งอแงกระโดดเกาะแม่ทันที เจ๊แมวต้องรีบแบกงอแงวิ่งกระโดกกระเดกออกไปด้วยความกลัวลนลาน
พีระกับแมนสรวงชะงัก ลืมไปว่าสองแม่ลูกนั้นอยู่ด้วย
“เขากลัวใคร” พีระงง

เจ๊แมววิ่งงอแงอุ้มออกมา กลัวลนลาน ทีแรกจะวิ่งหนีไปเลย แต่งอแงร้องเรียกให้ไปเอาจักรยาน
“แม่ๆ จักรยานๆ”
เจ๊แมวรีบวิ่งอุ้มเอางอแงไปวางไว้บนจักรยาน แล้วตัวเองก็วิ่งแหกปากหนีไปเลย สติแตกจนลืมลูกไปเลย
“ผีหลอก”
“แม่...กลับมาก่อน ทิ้งหนูทำไม”

งอแงลงจากจักรยานรีบวิ่งตามไป

แมนสรวงจับให้พีระนั่งลงที่โซฟา ท่าทางจริงจัง
“นายหุบปากแล้วฟัง ฉันมีเรื่องสำคัญเรื่องที่สอง ที่สำคัญสุดๆต้องบอก”
“เรื่องอะไร”
“ฉันบอกนายแล้วใช่มั้ย ว่านายคือวิญญาณบริสุทธิ์ นายมีสถานะเป็นกึ่งผีกึ่งคน คือ ยังตายไม่สมบูรณ์ ร่างกายนายยังอยู่ แต่วิญญาณออกจากร่างมาแล้ว”
“หมายความว่า ฉันมีโอกาสจะฟื้นขึ้นมาอีกครั้งใช่มั้ย”
“ใช่ แต่นายต้องหาทางกลับไปเข้าร่างตัวเองให้ได้”
“ยะฮู้ สุดยอดเลย” พีระดีใจมาก
“นายมีเวลาแค่เดือนเดียว”
พีระชะงัก
“เดือนเดียว”
“ใช่ ถ้าภายในหนึ่งเดือน นายยังกลับเข้าร่างไม่ได้ นายก็จะตายกลายเป็นผีอย่างถาวร”
“แต่นายรู้อยู่แล้วใช่มั้ยว่า..ร่างของฉันอยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้”
“แต่นายรู้ใช่มั้ยว่าฉันเป็นลูกใคร นามสกุลอะไร พ่อแม่ชื่ออะไร บ้านอยู่ที่ไหน”
“ไม่รู้”
“แต่นายรู้จักคนที่รู้ที่จะช่วยพาฉันไปกลับเข้าร่างใช่มั้ย”
แมนสรวงกำลังจะอ้าปากตอบ พีระกระชากคอเสื้อมาขู่ทันที
“อย่าตอบว่าไม่รู้”
แมนสรวงยิ้มอย่างปลงๆ
“ไม่-รู้”
“แล้วนายรู้อะไรบ้าง ไหนบอกว่าเป็นผู้ช่วยฉัน ถามอะไรก็ไม่รู้ๆ แล้วจะไปตามหาร่างของฉันเจอได้ไง”
“ฉันก็รู้เท่าที่เขาแจ้งมา ข้อมูลเกี่ยวกับนายมันมีแค่นี้”
“โธ่เว้ย”
“คิดในแง่ดีหน่อยสิ อย่างน้อยฉันก็บอกนายได้ว่านายชื่อพีระ”
“พีระนี่มันชื่อฉันจริงๆใช่มั้ย”
“ไม่รู้”
พีระขยี้หัวเครียดๆ
“ฉันอยากตายๆ ไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง แล้วฉันจะเริ่มต้นจากตรงไหนเนี่ย”
“ก็เริ่มจากที่แรกที่นายจำได้นั่นแหละ”
“ที่แรก”
พีระชะงัก คิดถึงสุสานรถ จะไปเริ่มต้นสืบที่นั่น

พีระก้าวเข้ามายืนที่ด้านหน้าทางเข้าสุสานรถยามค่ำคืน
“ที่นี่ ที่ฉันได้สติขึ้นมาครั้งแรก”
พีระกำลังจะเข้าไป อยู่ๆแมนสรวงโผล่มาดึงตัวไว้
“คิดดีแล้วเหรอ ที่นี่ผีดุนะ โดยเฉพาะเจ้าถิ่นประจำสุสานรถนี้ จำไม่ได้เหรอ”
“ไอ้ล่ำโหดน่ะเหรอ ทำไมจะจำไม่ได้”
“มันชื่อคามิน..เป็นผีชั่วช้าเจ้าถิ่น..มันวนเวียนอยู่ที่นั่น คอยดูดกินพวกวิญญาณเร่ร่อนที่หลงเข้ามาเป็นอาหาร..แล้วนาย..เป็นวิญญาณบริสุทธิ์..ก็เหมือนสุดยอดอาหารเหลา..มันอยากได้วิญญาณนายเพื่อที่ตัวมันเองจะได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง ในร่างกายของนาย”
พีระอึ้งไป
“แล้วจะให้ทำยังไง นายช่วยอะไรฉันได้มั้ยล่ะ”
“เริ่มต้นสืบจากที่อื่นดีกว่ามั้ย”
“ยังไงฉันก็ต้องกลับไปที่รถ เผื่อว่าในนั้นอาจจะมีเอกสารอะไรที่ระบุตัวตนของฉันบ้างก็ได้..ถ้านายปอดแหกก็ไม่ต้องตามมา”
พีระก้าวเข้าไป แมนสรวงไม่ยอมตามเข้าไปด้วย
“อ้าว ฉันอุตส่าห์เตือน มาว่าปอดแหกได้ไง เออ อย่าร้องเรียกให้ช่วยแล้วกัน”

น้ำมนต์ พิมพ์ดาว ลูกโป่ง มายืนที่หน้าบ้าน เอมี่เป็นคนถ่าย...น้ำมนต์หันมาพูดกับกล้อง
“วันนี้..ขอรับประกันความหลอนกับบ้านหลังนี้ค่ะ..บ้านที่ถูกทิ้งร้างเอาไว้นาน จนมีผีเร่ร่อนเข้ามายึดเป็นถิ่นฐาน..คุณผู้ชมเตรียมใจไว้ให้ดีๆนะคะ ดิฉันเจอมาแล้ว ไม่มีอะไรขนหัวลุกเท่านี้อีกแล้วค่ะ”
ข้างๆเอมี่คือข้าวต้มที่จูงมือเอาไว้ ข้าวต้มมีขนมติดมือตลอดเวลา
“เยี่ยม ทีนี้ก็ไปถ่ายในบ้าน” เอมี่บอกยิ้มแย้ม
“บ้านเรามีผีด้วยเหรอพี่น้ำมนต์” ข้าวต้มแปลกใจ
“ใช่..เราต้องอยู่กับพี่เอมี่ตลอด ห้ามแยกออกไปไหนคนเดียวเข้าใจมั้ย” น้ำมนต์สั่งเสียงเข้ม
“นี่นายอัฐชัยจะทิ้งให้พี่ถ่ายคนเดียวเลยใช่มั้ย จะมามั้ยเนี่ย” เอมี่บ่น
“อัฐไปหาทางช่วยไล่ผีให้น้ำมนต์อยู่คะ เดี๋ยวคงมา” พิมพ์ดาวหันมาบอก
“แก..เขาอยู่แถวนี้หรือเปล่า” ลูกโป่งหันไปมองรอบๆ หวาดๆ
“เท่าที่มอง ยังไม่เห็น” น้ำมนต์มองไปทั่วๆเช่นกัน
“สงสัยจะอยู่ในบ้าน เข้าไปเถอะ”
ลูกโป่งบอก แต่อยู่ๆมีเด็กผู้หญิงโผล่มายืนอีกด้านหนึ่ง ทุกคนร้องออกมาพร้อมกัน
“เฮ้ย”
ทุกคนผงะ ถอยมารวมกัน เอมี่รีบบอก
“อย่างนี้ต้องถ่าย”
เจ๊แมวโผล่มาที่ด้านหลังกลุ่ม
“ถ่ายทำไม”
ทุกคนร้องออกมาพร้อมกันอีก
“ว้าก...”
เจ๊แมวรีบห้าม
“เจ๊เองๆ..เจ๊แมวเอง แล้วนั่นก็งอแงไง..เจ๊แวะมาเอาจักรยาน..พวกเธอมาทำอะไร อย่าเข้าไปเลย เจ๊ขอเตือน”
“แม่รู้เหรอว่ามีอะไร” พิมพ์ดาวรีบถาม
“รู้ซึ้งเลยล่ะ ถ้าไม่อยากมีสภาพอย่างเจ๊ อย่าเข้าไปเลย”
“แสดงว่าข้างในมีผีจริงๆ..ดี..งั้นพวกเราเข้าไปเลย..ห้า สี่ สาม สอง แอคชั่น” เอมี่สั่งทันที
น้ำมนต์ พิมพ์ดาว ลูกโป่งเดินนำไป เอมี่ตามถ่าย
“เตือนแล้วไม่ฟัง เกิดไรขึ้นฉันไม่รับรู้ด้วยนะ ไปงอแง...” เจ๊แมวลากแขนเอมี่ไปทันที

พีระเดินเข้ามาตามทางในสุสานรถ มีอะไรบางอย่างวูบผ่านด้านข้าง แต่พอหันไปมอง ก็ไม่เห็นอะไร เขารู้สึกไม่ปลอดภัย
“คามิน..แกอย่าโผล่มา ฉันสู้ขาดใจแน่”
ทันใด พีระเห็นว่าที่ปลายทางอีกด้าน รถเก๋งคันที่พีระตายในนั้นจอดอยู่
“เจอแล้ว”
พีระรีบวิ่งไปที่รถ มองสภาพรถอย่างพิจารณา
“โห คราบโคลนเหรอเนี่ย ไปขับตกน้ำที่ไหนมา ต้องเมาแล้วขับแน่เลย เลยเกิดอุบัติเหตุอย่างนี้..สาธุ ขอให้มีเอกสารอะไรสักอย่างที่เป็นประโยชน์ด้วยเถอะ”
พีระจะเปิดประตู แต่เปิดไม่ได้ มันล็อก เลยมองส่องเข้าไป เห็นกระดาษบิลค่าบัตรเครดิตหล่นอยู่ ในสภาพยุ่ยๆน้ำ แต่ยังพอเป็นรูปเป็นร่าง
“นั่น..บิลอะไร..อาจจะมีชื่อที่อยู่ของเราก็ได้” พีระกระชากประตู แต่เปิดไม่ออก “เปิดสิ..เออ เราทะลุเข้าไปได้นี่”
พีระกำลังจะทะลุเข้าไปในตัวรถ แต่อยู่ๆมีเสียงกึกกักดังมา พีระผงะ กำหมัด พร้อมสู้
“ไอ้คามิน..โผล่มาสิวะ..ฉันไม่ยอมให้แกกินฉันง่ายๆหรอก..แน่จริงก็มาเล้ย”
แต่คนที่โผล่เข้ามา เป็นชายชุดดำ 2 คน โผล่มาตรงหน้าพีระเลย พีระไม่รอให้ตั้งหลัก พุ่งเข้าจะชกเลย
“ย้าก...”
เอี๊ยด...พีระเบรกตัวเอง ยั้งหมัดเอาไว้ก่อนที่อีกนิดเดียวก็จะโดนหน้าชายชุดดำอยู่แล้ว เพราะรู้สึกได้ว่าทั้งสองคนมองไม่เห็นตัวเอง ชายชุดดำทั้งสองมองลาดเลาว่าทางสะดวก แล้วพยักหน้าให้สัญญาณกันไปที่ซากรถของพีระ
“พวกแกมองไม่เห็นฉัน..เป็นคน..มาทำอะไร” พีระแปลกใจ
ชายสองคนนั้นหยิบขวดน้ำมันออกมา สาดใส่ซากรถของพีระ
“เฮ้ย จะทำอะไร..กลิ่นนี้..นี่มันน้ำมัน! พวกแกทำอะไร”
ชายคนหนึ่งหยิบไฟแช็กขึ้นมา
“อย่า”
พีระคว้าหมับที่ข้อมือที่ถือไฟแช็กของชายคนนั้นเอาไว้
“รีบๆโยนไฟสิเว้ย งานจะได้เสร็จๆ” อีกคนสั่ง
“อะไรจับมือไว้ไม่รู้ ขยับไม่ได้”
“เล่นบ้าอะไรของเอ็ง” ชายคนนั้นคว้าไฟแช็กมาเอง แล้วจะโยนเอง แต่พีระก็คว้าหมับอีกเช่นกัน “เฮ้ย..อะไรวะเนี่ย”
“รถคันนี้เป็นหลักฐานเดียวที่ฉันมี พวกแกจะทำลายไม่ได้”
พีระบิดข้อมือชายชุดดำไป สะบัดจนไฟแช็กกระเด็นไปไกล ชายทั้งสองคนตกใจ เงอะงะ กลัวผีแล้วอยู่ๆไฟแช็กอันนั้นก็ลอยขึ้นมาเอง ชายทั้งสองคนตกใจ พีระถือไฟแช็กอยู่

“ออกไป ออกไปจากที่นี่ ไป”

ชายลนลาน กระเสือกกระสนถอยหนี แต่แล้วอยู่ๆก็มีไฟแช็กซิปโป้อีกอันโยนเข้ามาที่หลังคาซากรถของพีระ..ไฟติดพรึ่บ
“เฮ้ย” พีระร้องลั่น
ยุทธโยนไฟแช็กเสร็จ ก็หันหลังกลับทันที ยุทธรีบแยกย้ายออกไป พวกชายชุดดำก็รีบหนี
“แก..แกเป็นใคร ทำอย่างนี้ทำไม”
พีระจะตามยุทธ แต่ก็ห่วงรถ แล้วก็ตัดสินใจมาที่รถก่อน
“ดับไฟ..ดับไงดี”
พีระมองหาอุปกรณ์ดับไฟ ไปคว้าแผ่นไม้กระดานแถวนั้นมาได้ หยิบเอามาทุบๆไฟ
“ดับสิ ดับ”
พีระเห็นท่าว่าดับไม่ได้ โยนแผ่นไม่ทิ้ง
“ต้องเอาบิลนั้นมาให้ได้”
พีระคิดจะทะลุเข้าไปในรถ แต่ยังไม่ทันทะลุ อยู่ๆคามินโผล่เข้ามาจากด้านหลัง ดึงตัวพีระมา แล้วเหวี่ยงกระเด็นออกไปไกล
“โอ๊ย”
“วิญญาณบริสุทธิ์ แกกลับมาหาฉันแล้ว”
“ไอ้คามิน..หลบไป”
พีระจะเข้าไปที่รถ แต่คามินขวาง พีระต่อยเตะบู๊ แต่คามินกันเอาไว้ได้ แล้วจับหมับที่คอของพีระ
“ขอชีวิตแกให้ฉัน ฉันจะได้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง”
พีระสิ้นท่า พยายามดิ้น แต่คามินกำลังดูดพลังวิญญาณของเขา พีระพยายามฮึด
“ฉัน..ไม่ยอม..อ๊าก...”
พีระฮึดสุดกำลัง ดันคามินจนถอยกรูดไปจนหลังไปชนกับซากรถที่ติดไฟอยู่
“โอ๊ย”
พีระหลุดจากคามินได้ ลังเล จะเข้าไปเอาบิล หรือจะหนี อยู่ๆมีเสียงแมนสรวงดังมาไกลๆ
“หนีก่อนเถอะ..หนีเถอะ..หนีเถอะ..”
สุดท้าย พีระตัดสินใจวิ่งถอยหนี
“อย่าคิดว่าแกจะหนีได้”
คามินไล่ตาม

พีระวิ่งออกมาที่ด้านนอกของสุสานรถ แต่คามินโผล่มาประกบทางด้านหลัง ใช้แขนข้างเดียวล็อคคอของพีระเอาไว้..หมับ!
“แกไม่มีทางหนีฉันได้”
พีระพยายามดิ้น แต่ไม่หลุด แล้วสายตาก็เหลือบไปเห็นแมนสรวงยืนดูอยู่อีกด้าน กอดอก เต๊ะท่า
“เฮ้ย..ช่วยหน่อยเซ่”
“ขอร้องก่อนสิ แล้วจะช่วย”
“มันใช่เวลาเล่นมั้ย..คุณแมนสรวงคร้าบ ช่วยด้วยคร้าบ”
“ดีมาก”
“เฮ้ย ไม่เกี่ยวอย่าสอด ไม่อย่างนั้นฉันจะจัดการแกด้วย” คามินตวาด
“พูดไม่เพราะ ไม่มีการเคารพกันเลย พฤติกรรมอย่างนี้สินะเขาถึงได้ลือกันไปทั่วในหมู่ยมทูต..ปล่อยเด็กฉันได้แล้ว”
“ฉันเป็นเด็กแกตั้งแต่เมื่อไหร่” พีระโวย
“มันเป็นของฉัน”
แล้วคามินก็ดูดพลังจากพีระ คลื่นพลังสีขาวไหลเป็นสาย แมนสรวงชูมือขึ้น มีไม้ที่ติดไฟมาอยู่ในมือ
“ฉันเอาน้ำมันราดซากรถพวกนั้นไว้แล้ว..ถ้าแกไม่ปล่อย ฉันจะทำให้แกไม่มีที่สิงสถิต แล้วแกก็จะถูกส่งตัวไปนรก”
“ถ้าแกเผาที่นี่ คนแถวนี้ก็เดือดร้อนไปด้วย แกไม่กล้าทำหรอก”
“ฉันก็ว่าฉันไม่กล้าหรอก”
พูดจบ แมนสรวงโยนคบไฟนั้นข้ามหัวคามินไปเลย คามินตกใจ รีบผละจากพีระไปรับคบไฟ แต่รับไม่ทัน คบไฟตกใส่ซากรถ แต่ไม่ได้เกิดไฟอะไรขึ้น คามินหยิบไฟขึ้นมา
“แกหลอกฉัน”
คามินหันกลับมามองที่พีระกับแมนสรวงอีกที พบว่าทั้งคู่ไม่อยู่แล้ว คามินแค้น

ยุทธเดินออกมาที่ถนนด้านนอกสุสานรถ ถอดเสื้อดำตัวที่สวมอำพรางอยู่ โยนทิ้งไปข้างทาง มีรถหรูอีกคันแล่นมาจอดเทียบ ยุทธเปิดขึ้นไปนั่ง คนที่ขับมาคือเมสินี
“เรียบร้อยมั้ย”
“แสงไฟสว่างเจิดจ้าเลยล่ะครับ”
“ดี พวกตำรวจจะได้ไม่มีหลักฐานอะไรที่จะสืบสวนมาถึงเราสองคนได้ ขอบใจเธอมากนะยุทธ”
“ผมบอกแล้วว่าจะทำทุกอย่างเพื่อคุณ ผมก็จะทำจริงๆ”
เมสินียิ้มอย่างพอใจ
“งั้นยังมีเรื่องใหญ่กว่าที่ต้องทำ..หาตัวนายพีทให้เจอ”
“คุณยังห่วงกลัวว่านายพีทจะรอดชีวิตอีกเหรอครับ..ทั้งโดนยิง ทั้งตกน้ำ..ถ้ามันรอดได้ก็ไม่ใช่คนแล้ว”
“แล้วศพมันหายไปไหนล่ะ..ปลาตอดจนไม่เหลือแม้แต่กระดูกหรือไง..ถ้ามันตายแล้ว ก็เอาศพมันมายืนยัน..ฉันจะไม่แน่ใจอะไรจนกว่าจะได้ไปงานสวดศพของมัน..” เมสินีมือกุมแก้มยุทธ “ยุทธ ถ้าเธออยากให้สมบัติทุกสิ่งทุกอย่างของพราวด์ทีวี เป็นของเรา เธอต้องช่วยฉัน”
ยุทธจับมือเมสินีมากุม แล้วพรมจูบมืออย่างเทิดทูน
“ผมช่วยคุณแน่สาบานด้วยชีวิตเลย”
ทั้งคู่ยิ้มให้ให้กัน

พีระเดินเครียดหงุดหงิดกระฟัดกระเฟียด แมนสรวงเดินตาม
“บ้าเอ๊ย ฉันเกือบจะได้รู้ชื่อที่อยู่ตัวเองอยู่แล้ว พวกมันเป็นใคร..มันจงใจมาเผารถของฉัน มันทำเพื่ออะไร”
“ฉันว่าเรื่องของนายไม่ธรรมดาแล้ว ถ้านายตายเพราะอุบัติเหตุทั่วไปจะมีคนอยากเผารถทำไม เว้นแต่ว่า มันเป็นการเผาเพื่ออำพรางคดี”
“อะไรนะ”
“มันต้องมาทำลายหลักฐาน ไม่อยากให้มีใครสืบค้นหาความจริง”
“นายจะบอกว่าฉันไม่ได้ตายเพราะอุบัติเหตุ แต่เป็น…”
“ถูกฆาตกรรม”
พีระอึ้งที่ค้นพบว่าตัวเองถูกฆาตกรรม สลดลงไปเลย เครียดไปเลย
“ฉันถูกฆาตกรรมเหรอ”
“อย่าคิดมากน่า..เอางี้ เดี๋ยวฉันจะลองไปค้นหาข้อมูลของนายดูให้ ถ้าได้อะไรจะรีบกลับมาบอก..ดีมั้ย”
พีระนิ่ง แมนสรวงเลยสรุปเอง
“ดีจนพูดไม่ออกเลยใช่มั้ย งั้นนายกลับเองได้ใช่มั้ย นิ่งแปลว่าไม่มีปัญหา งั้น..ไปล่ะ”
แมนสรวงหายตัวไป เหลือแต่พีระที่เครียด เหวอเรื่องถูกฆาตกรรมไป

ลูกโป่งกำลังมองลอดหว่างขาตัวเอง เพื่อจะดูว่ามีผีอยู่ในบ้านมั้ย
“เห็นหรือเปล่า”
พิมพ์ดาวลุ้นไปด้วย ลูกโป่งเซ็ง เหนื่อย
“โอ๊ย..สรุปว่ายังไงของแกน้ำมนต์ หาทั่วบ้านก็แล้ว เทคนิคการเห็นผีก็ใช้หมดแล้ว..ไหนล่ะ ผีเฮี้ยนของแกน่ะ”
“ฉันก็ไม่รู้” น้ำมนต์ส่ายหน้า
“หรือเขาจะไปผุดไปเกิดแล้ว”
พิมพ์ดาวสงสัย เอมี่รีบบอก
“ไม่ได้นะ ถ้าเขาไปเกิด รายการของพี่ก็ดับน่ะสิ พี่ไม่ยอม”
“พี่เอมี่ แล้วข้าวต้มล่ะ” น้ำมนต์มองหาน้องชาย
“ก็…” เอมี่หันกลับไปไม่เจอข้าวต้ม “อ้าว ตะกี้บอกให้รอตรงนั้น”
“ข้าวต้ม..”
น้ำมนต์ใจเสีย จะวิ่งกลับออกไปดู แต่ข้าวต้มเดินสวนเข้ามาก่อน
“เค้าอยู่นี่”
น้ำมนต์กำลังจะเข้าไปหาข้าวต้ม แต่แล้วชะงัก เพราะพีระเดินตามข้าวต้มเข้ามา
“นาย...”
“แหมๆ เจอหน้าแฟนถึงกับพูดไม่ออกเลยเหรอ”
น้ำมนต์มองพีระไม่เลิก ทุกคนอึ้งๆ เห็นอาการน้ำมนต์ก็รู้ได้ทันทีว่าพีระมาแล้ว พีระเครียด ไม่พูดไม่จา เดินผ่านไป น้ำมนต์มองตาม ทุกคนมองตามสายตาของน้ำมนต์ แล้วก็รีบแหวกออกให้ห่างเป็นทาง ไม่อยากขวางทางผี ข้าวต้มมองท่าทางแปลกๆของทุกคนอย่างไม่เข้าใจ
“พวกพี่ไม่เต็มป่ะ”
ข้าวต้มไปนั่งเปิดทีวีกินขนม พวกน้ำมนต์รีบตามพีระไป

พีระเดินเข้ามาภายในบ้าน กำลังเครียดเรื่องของตัวเอง
“ทำไมถึงมีคนอยากให้ฉันตาย..ฉันเป็นคนเลวงั้นเหรอ ฉันทำอะไร ฆ่าคน โกงเงินบริษัท หรือฉันเป็นโจรฆ่าข่มขืน ทำไมถึงอยากให้ฉันตาย..”
น้ำมนต์เดินตาม พวกเพื่อนๆตามหลังน้ำมนต์คอยถ่ายอีกที พีระชะงัก รู้สึกได้ว่ามีคนตาม หันกลับมามอง แล้วก็ต้องงง เพราะทุกคนรุมล้อมอยู่ พร้อมมีกล้องถ่าย
“ทำอะไร”
น้ำมนต์ยักไหล่ ทำหน้าใสซื่อ พีระเดินผ่านไป น้ำมนต์รีบหันไปสุมหัวกับพรรคพวก
“ถ่ายติดมั้ย”
“ไม่เห็นมีอะไรเลย” เอมี่ส่ายหน้า
“ไหนบอกว่าเฮี้ยนมากไง” ลูกโป่งผิดหวัง
พีระแทรกเข้ามา
“คุณเอาผมไปนินทาเหรอ”
“ไม่ได้นินทา เรียกว่าเล่า…” น้ำมนต์หันไปเห็นว่าพีระมาร่วมวงสุมหัวด้วย “เฮ้ย”
น้ำมนต์ผงะออก ทุกคนเห็นอาการน้ำมนต์แล้วก็ผงะออกด้วย
“เฮ้ยๆ”
พีระยืนมองปฏิกิริยาของทุกคน พอจะคาดเดาปะติดปะต่อเรื่องราวได้
“ผมเข้าใจแล้ว คุณพาเพื่อนๆมาถ่ายวิญญาณผมใช่มั้ย”
น้ำมนต์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ยักไหล่
“เปล่าซะหน่อย”
“ขอร้อง..ผมกำลังเครียด อย่ายุ่งกับผม เข้าใจป่ะ”
พีระเชิ่ดใส่ เดินหนี
“ไปทางนั้นแล้วๆ”

น้ำมนต์รีบบอกให้เพื่อนๆตาม

พีระเดินเครียดขึ้นมาชั้นบน แต่อยู่ๆมีหมอนอิงลอยผ่านหัวไป พีระชะงัก หันกลับมา เจอน้ำมนต์ยืนหาเรื่องอยู่ ตั้งใจยั่วให้โมโห
“ฉันเกลียดนาย เมื่อไหร่จะออกไปจากบ้านฉัน”
“ผมไม่ใช่คนดี คุณอยู่ห่างๆผมจะดีกว่า”
พิมพ์ดาว ลูกโป่ง คอยส่งอุปกรณ์สำหรับเขวี้ยงให้น้ำมนต์
“ไอ้ผีเร่ร่อน ไอ้ผีหน้าด้าน ไล่แล้วยังไม่ออกไปอีก ไอ้ผีเกรียน ผีปากเสีย ไอ้ผีไร้ญาติ ไม่มีพ่อไม่มีแม่ ไม่มีใครรัก ไม่มีใครสนใจ”
“คุณ”
“โกรธใช่มั้ย แน่จริงก็สู้ฉันสิ”
พีระระงับอารมณ์โกรธไว้ได้ เดินเข้าไปในห้องนอน
“อย่าหนีสิ โกรธก็ตอบโต้มา”
น้ำมนต์เดินพุ่งตามไป พวกเอมี่กำลังจะตามไป แต่อยู่ๆพีระมาปิดประตูปัง! ทุกคนผงะที่เห็นประตูปิดเอง
“ตะกี้..ประตู..ปิดเองได้” ลูกโป่งตื่นเต้น
“มีผีจริงๆด้วย..แต่พี่ลืมถ่าย โธ่ๆ” เอมี่แทบร้องไห้
“ทำไมถึงไม่ถ่าย แย่ที่สุด ไม่ได้เรื่อง ห่วยแตก เลี้ยงเสียข้าวสุก” ลูกโป่งโมโห
“นี่เจ้านาย…” เอมี่ชี้ตัวเอง ลูกโป่งชะงัก “ขออีกรอบนะคุณผีนะ แสดงอิทธิฤทธิ์อีกทีเถอะ”

พีระปิดประตูแล้วหยิบตุ๊กตาหมีขึ้นมา
“อยากให้ผมทำอย่างนี้ใช่มั้ย หมีบินได้..นั่นผีชัดๆ..ไม่ใช่แค่หมี หนังสือก็ลอยเองได้ เหมือนมีพลังงานบางอย่างซ่อนอยู่”
“แน่จริง นายก็ทำต่อหน้าเพื่อนๆฉันสิ”
“ไมมีทาง”
พีระลงไปล้มตัวนอน เอกเขนก
“ผมมีปัญหาของผมอยู่ ออกไปแล้วอย่ากวนผมอีก”
“ฉันจะไม่หยุดจนกว่าฉันจะได้สิ่งที่ต้องการ คิดว่านายมีปัญหาคนเดียวเหรอ รู้หรือเปล่าว่าถ้าเทปรายการเทปนี้ไม่มีผี ไม่สร้างกระแสไม่ทำเรตติ้ง อนาคตฉันจะเป็นยังไง ฉันจะตกงาน ไม่มีเงินดูแลน้อง ไม่มีเงินจ่ายค่าเทอม ตัวฉันลำบากไม่เท่าไหร่ แต่น้องฉัน...ฉันไม่ยอม”
“คุณด่าผม อาละวาดใส่ผม นี่จะมาขอให้ผมช่วย”
“ฉันไม่ได้ขอให้นายช่วย”
“แล้วอะไร”
“ฉัน..ฉันจะไม่ยอมแพ้...” น้ำมนต์คว้าข้าวของมาเขวี้ยงใส่ไปเรื่อยๆ “ฉันจะไม่หยุด ฉันจะปกป้องน้อง”
น้ำมนต์คว้าหมอนมาตี
“พอ”
พีระคว้าหมับที่หมอน ดึงลงมาจนใกล้ชิดกัน มีแค่หมอนกั้นระหว่างทั้งสองคนเอาไว้
“คิดว่ามีปัญหาคนเดียวเหรอ ผมตายแล้ว ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวผมคือใคร ชื่อพีระคือชื่อจริงๆหรือเปล่าก็ไม่รู้ พ่อแม่พี่น้อง บ้านอยู่ไหน อาม่าอากงมีมั้ย ผมไม่รู้อะไรเลย แล้วผมก็ถูกฆาตกรรม คุณรู้มั้ยว่ามีคนฆ่าผม เขาอยากให้ผมตาย ผมอาจจะไม่ใช่คนดี ปัญหาของผมน้อยกว่าของคุณหรือไง”
น้ำมนต์ผละออกมา มองอาการสิ้นหวังทรมานของพีระ แววตาอ่อนลง สงสารเห็นใจ
“แต่นายตายแล้ว นายก็ควรทำใจ”
“ผมยังไม่ตาย ผมยังกลับไปมีชีวิตได้ แต่ต้องหาร่างกายของผมให้เจอ ผมมีเวลาเดือนเดียว แต่ผมไม่รู้ข้อมูลอะไรให้ตามสืบได้เลย”
“ฉันเข้าใจนายนะ” น้ำมนต์เห็นใจพีระ
“เคยเป็นผีเหรอ ถึงมาบอกว่าเข้าใจ”
“ไม่เคย แต่ฉันเข้าใจความรู้สึกโดดเดี่ยว ไม่รู้ว่าจะไปทางไหน มันมืดแปดด้านไปหมด ฉันเคยรู้สึกอย่างนั้นตอนที่ แม่ไปจากฉัน”
พีระเศร้าไม่เลิก
“เอางี้สิ นายช่วยฉัน แล้วฉันจะช่วยนาย”
“หือ”
“ถ้านายช่วยให้ฉันไม่ตกงาน ฉันจะช่วยนายตามหาร่าง นายจะได้กลับไปมีชีวิตอีกครั้ง”
“คุณพูดจริงเหรอ”
“จริงๆ ฉันจะช่วยให้นายมีชีวิตให้จงได้”
พีระกระเด้งขึ้นมา
“อย่าหลอกผีนะ”
“สัญญา”
สองคนมองกันอย่างเข้าใจมากขึ้น

พิมพ์ดาว ลูกโป่ง เอมี่พยายามแอบฟัง แอบถ่ายอยู่ด้านนอกห้อง อยู่ๆประตูเปิดออกมา ทุกคนแทบคว่ำ น้ำมนต์ยืนยิ้มอยู่
“พร้อมจะเจอจัดหนักจัดเต็มหรือยัง”
ทุกคนอึ้งๆ งงๆ

ห้องรับแขกบ้านน้ำมนต์...ทุกคนตั้งกล้องพร้อมถ่ายรวมตัวกันที่ด้านหนึ่ง อยู่ๆวิทยุเปิดติดขึ้นมาเอง เป็นเพลงจังหวะสนุกๆมันส์ๆ ทุกคนหันขวับว่าติดได้ไง
“เขาเริ่มแล้วค่ะ”
พีระยืนอยู่ตรงวิทยุ พร้อมจะแสดงโชว์แล้ว อยู่ดีๆพีระไปโผล่ตรงกลุ่มเอมี่
“เตรียมตัวหัวโกร๋นได้เลยเบบี๋”
“หึ่ย ทำไมขนลุก” เอมี่ลูบแขนตัวเอง
พีระคว้าหมอนขึ้นมาถือ ทุกคนมองหมอน แต่ไม่เห็นพีระ
“หมอน..หมอนลอยได้”
“เขาเรียกว่าผีจับหมอน” พีระนึกสนุก
ทุกคนสยองๆ พีระโยนหมอนทิ้ง ไปปิดๆเปิดๆไฟ
“ผีไฟฟ้า”
พีระไปคว้ากระปุกครีมทาผิวมา บีบ
“ผีบีบครีม”
“อร๊ายครีมทะลักเองได้” เอมี่ร้องลั่น
“น่ากลัวที่สุดเลย” ลูกโป่งมองไปรอบๆอย่างหวาดๆ
น้ำมนต์โยนขวดน้ำดื่มให้
“เอ้า”
“ผีดื่มน้ำ”
พีระยกน้ำซดอั้กๆ ทุกคนตะลึง พิมพ์ดาวร้องลั่น
“น้ำ..น้ำหายไปเอง”
“ฉันไม่เคยเจออะไรที่น่ากลัวอย่างนี้มาก่อนเลย” ลูกโป่งหน้าเสีย
เอมี่ถ่ายไปด้วย ยิ้มอย่างดีใจไปด้วย
“รายการฉันรอดแล้ว รอดแล้ว...”
ข้าวต้มที่เล่นเกมอยู่ มองทุกคนอย่างงงๆว่าเป็นอะไรมากหรือเปล่า
“พวกพี่เล่นอะไรกัน”
ข้าวต้มเล่นเกมต่อไป ไม่สนใจ
“คราวนี้ของหนัก..ผีอุ้มเด็ก”
พีระไปอุ้มข้าวต้มขึ้นมา เกมหล่นไปบนโซฟาตรงนั้น ทุกคนสยองๆ น้ำมนต์แอบยิ้ม หัวเราะกับความเพี้ยน น่ารัก ติงต๊อง ขี้เล่นของพีระไปโดยไม่รู้ตัว พีระก็แอบยิ้มกับน้ำมนต์โดยไม่รู้ตัว
“น้ำมนต์ อย่ายิ้มสิ นี่มันผีนะ” เอมี่รีบปราม
น้ำมนต์นึกได้ รีบแกล้งร้องกลัว
“ว้ายๆ น่ากลัวจังเลยๆ”
พีระอุ้มข้าวต้มอยู่ สบตากับน้ำมนต์ ยิ้มให้กัน แต่แล้วอยู่ๆประตูบ้านถูกผลักผลัวะเข้ามา..ปัง!!
ทุกคนชะงัก คนที่เข้ามาคืออัฐชัย ที่ตะลึงทันที เพราะเห็นแต่ข้าวต้มลอยอยู่ เพราะไม่เห็นพีระ
“มันเฮี้ยนจริงๆด้วย..น้ำมนต์ไม่ต้องกลัว..ผมพาคนที่จะจัดการไอ้ผีตนนี้มาแล้ว”
“ใคร” น้ำมนต์งงๆ
ทุกคนพากันแปลกใจ

อัฐชัยเดินนำทุกคนออกมาที่ด้านนอกบ้าน อาจารย์เทพกำลังยืนชูธงอยู่กลางสนาม โดยมี เกี๊ยงยืนรอรับใช้อยู่ใกล้ๆ
“อัฐชัย ..ใคร” น้ำมนต์สงสัย
“อาจารย์เทพ ชูธง อาจารย์ปราบผี..ที่ไม่ว่าผีจะเฮี้ยนแค่ไหน ท่านก็จัดการได้” ลูกโป่งบอกอย่างรู้จักดี
“ใช่ อาจารย์เทพเป็นที่ปรึกษาทางจิตวิญญาณประจำตัวคุณพ่อผม ท่านช่วยเสริมดวงชะตาบารมีให้บริษัทและครอบครัวเราทุกปี ผมก็เลยขอร้องให้ท่านมาช่วยน้ำมนต์ไง”
“ใช่ครับ ปกติงานเล็กๆ ปราบสัมภเวสี อาจารย์เทพไม่ลดตัวมาทำนะครับ” เกี๊ยงคุยโอ่
“หมายความว่าไง” น้ำมนต์มองอย่างไม่ค่อยชอบ
“ผมเชิญให้อาจารย์ช่วยมาไล่ผีที่สิงบ้านน้ำมนต์” อัฐชัยบอกทันที
“บ้านเรามีผีด้วยเหรอพี่น้ำมนต์” ข้าวต้มงง
อยู่ๆอาจารย์เทพก็ตะโกนขึ้นมา
“มันอยู่นั่น”
อาจารย์เทพชี้ธงไปที่ๆพีระอยู่อย่างแม่นยำ พีระยืนอยู่อีกด้านหนึ่งชะงักไป ทุกคนแหวกออก ห่างจากจุดนั้นอย่างสยองๆ
“มองเห็นเขาด้วยเหรอ” น้ำมนต์สงสัย
“อาจารย์เทพมองไม่เห็น แต่ก็เหมือนเห็น ทุกอย่างแม่นยำ ไม่มีพลาดเป้า” เกี๊ยงบอกมั่นใจ
“ทำไมทุกคนต้องหาว่าพี่พีระเป็นผีด้วย..เค้าว่าลุงหน้ายักษ์คนนี้เหมือนผีมากกว่าอีก” ข้าวต้มพยักเพยิดไปทางอาจารย์เทพ
“น้องแกมองเห็นเขาด้วยเหรอ” พิมพ์ดาวงง
“บ้านนี้เซ้นส์แรงทั้งบ้านเลย” ลูกโป่งหันมาบอก
“อัฐชัย พาทุกคนเข้าไปในบ้าน” อาจารย์เทพสั่ง
อัฐชัยรีบต้อน พาทุกคนขึ้นไปด้านบน
“แต่...” น้ำมนต์จะแย้ง
“แต่…”
“เข้าไปเถอะแก”
น้ำมนต์ลังเล เพื่อนๆคะยั้นคะยอ น้ำมนต์ยอมเข้าไปด้านใน
“แล้วจะให้พี่พีระอยู่กับลุงหน้ายักษ์ตามลำพังเหรอ” ข้าวต้มกังวล
“ข้าวต้ม ไป”
น้ำมนต์ดึงข้าวต้มให้เข้าตามไป ข้าวต้มโวยวาย ไม่เข้าใจ จะไม่ยอมเข้าไป
“อ้าว คุณ...ไหนคุณรับปากจะช่วยผม แล้วหมอผีนี่คืออะไร ใช้งานผมเสร็จแล้วจะหักหลังกันเหรอ”
พีระจะขยับตามน้ำมนต์เข้าไป แต่อยู่ๆอาจารย์เทพกวักธงมาขวางทางเดินของพีระพอดี
“หยุด”

พีระอึ้งๆ เหล่ๆมองว่าอาจารย์เทพมองเห็นตนจริงหรือเปล่า

คุณผีที่รัก ตอนที่ 1 (ต่อ)
ทุกคนกลับเข้ามาด้านในบ้าน น้ำมนต์ลากข้าวต้มเข้ามา
“ปล่อยเค้า พี่ไม่กลัวแฟนพี่ถูกลุงหน้ายักษ์หักคอเหรอ” ข้าวต้มเป็นห่วงพีระ
“ข้าวต้มฟังพี่ นายคนนั้นไม่ใช่คน เขาเป็นผี” น้ำมนต์พยายามจะอธิบาย
“งั้นข้าวต้มก็ไม่ใช่เด็ก แต่เป็นร้อยตำรวจเอกปลอมตัวมา”
ข้าวต้มจะออกไป อัฐชัยขวางไว้
“พี่น้ำมนต์พูดจริงๆ”
“ถ้าพี่พีระเป็นผี ทำไมเค้ามองเห็นได้” ข้าวต้มเถียง
“แล้วทำไมพวกพี่ไม่เห็น” ลูกโป่งถาม
“พวกพี่ตาถั่วน่ะสิ”
ข้าวต้มจะออกไปให้ได้ น้ำมนต์จับตัว
“ถ้าออกไป พี่จะไม่ให้กินขนมตลอดทั้งเดือน”
น้ำมนต์ขู่ ข้าวต้มห้าวหาญ
“พี่คิดว่าเค้าจะเห็นขนมสำคัญกว่าความถูกต้องเห รอ...พี่คิดถูก”
“ขึ้นไปอยู่ข้างบนและไม่ต้องลงมาอีก”
“เคๆ..แต่..เค้าบอกเลยนะว่าเค้าผิดหวังในตัวพี่มาก..กับแฟนพี่ยังหลอกใช้ ไม่รักษาคำพูดได้ แล้วกับน้องจะไปเหลืออะไร”
ข้าวต้มงอน เดินขึ้นไป น้ำมนต์อึ้งที่ถูกข้าวต้มจี้จุด
“แกไปหลอกใช้อะไรเขาเหรอ”
พิมพ์ดาวสงสัย น้ำมนต์อึ้ง รู้สึกผิดขึ้นมา

พีระจ้องดูเชิง ขยับตัวหลบสายตา อยากจะเช็กให้แน่ใจว่าอาจารย์เทพมองเห็นจริงหรือไม่ ปรากฏว่าอาจารย์เทพยังคงชี้ธงอยู่ที่เดิม ไม่ได้เคลื่อนตามมา
“แกจะออกไปจากบ้านนี้ดีๆหรือจะให้ฉันใช้กำลัง”
เทพหันชี้ธงไปอีกจุด ที่ไม่ใช่จุดที่พีระมองอยู่
“โธ่เอ๊ย ตะกี้ที่ชี้ถูกก็ฟลุกล่ะสิ…” พีระเข้าไปใกล้ “ไอ้หมอผีจอมปลอม ดีแต่เล่นกลหลอกเงินคนอื่น”
“แกจะออกไปหรือไม่ออก”
“ออกก็กลัวดิ เค้าจะอยู่บ้านหลังนี้ มีปัญญาทำอะไรเค้าอ่ะเปล่าล่ะ ถ้ามีก็เอาเลย เค้าอยากโดน”
อาจารย์เทพหันกลับมา เอาธงนั้นฟาดที่พีระอย่างแม่นยำ..เปรี้ยง!! พีระแสบร้อนถึงกับสะดุ้ง
“โอ๊ย”
“อย่าลองดีกับฉันไอ้ผีกระจอก”
อาจารย์เทพไล่ตามฟาดพีระด้วยธงอย่างแม่นยำอีกครั้ง เปรี้ยงๆ พีระกระเจิงถอยๆ
“โอ๊ยๆ”
พีระกระเด็นถอยไป ถึงกับหน้าซีดที่ได้เจอของจริง พอตั้งหลักได้ จะวิ่งหนี แต่อาจารย์เทพชี้ธงไป พร้อมกับบริกรรมคาถา พีระถึงกับชะงัก เหมือนถูกอะไรบางอย่างตรึงร่างกายเอาไว้ ให้ขยับเขยื้อนไม่ได้ อาจารย์เทพบริกรรมคาถาไม่หยุด
“คาถานี้ อาจารย์ใช้สำหรับจบเกม” เกี๊ยงบอกอย่างภูมิใจอาจารย์ของตน
พีระถูกอาคมของอาจารย์เทพพันธนาการร่างกาย มันบีบรัดแน่น จนดิ้นไม่หลุด

น้ำมนต์เล่าเรื่องที่ตกลงกับพีระให้เพื่อนๆฟัง พิมพ์ดาวย้อนถามอย่างแปลกใจ
“แกรับปากว่าจะช่วยเขาตามหาร่าง”
“ใช่ ถ้าเขาช่วยแสดงอิทธิฤทธิ์ให้เราถ่ายรายการได้ ฉันจะช่วยให้เขากลับไปมีชีวิตอีกครั้ง”
“เท่ากับว่าเขามีโอกาสรอดตาย” ลูกโป่งตื่นเต้น
“ฉันจะออกไปช่วยเขา”
น้ำมนต์คิดจะกลับออกไปด้านนอก
“เดี๋ยวๆ” อัฐชัยรีบขวางไว้ “จะไปเชื่ออะไรกับคำผีบอก ผีมันก็หลอกเราไปอย่างนั้นแหละ มันตายไปแล้ว”
“มันก็จริงนะ ขึ้นชื่อว่าผี ไม่น่าไว้ใจทั้งนั้นแหละน้ำมนต์ แต่…”
เอมี่พูดไม่ทันจบ อัฐชัยรีบแย้ง
“เชื่ออัฐเถอะ ปล่อยให้อาจารย์เทพจัดการ แล้วทุกอย่างจะเป็นไปตามที่มันควรจะเป็น ผีตนนั้นจะได้ไปที่ชอบๆ พวกเราก็จะได้อยู่อย่างสงบ ไม่มีอะไรต่อกันอีก”
อัฐชัยหว่านล้อม น้ำมนต์นิ่ง คล้อยตามไป แต่ลึกๆยังคงรู้สึกผิด ทันใด เสียงร้องของพีระดังมา
“โอ๊ย...”
น้ำมนต์ผงะ ได้ยินเพียงคนเดียว วิ่งพรวดออกไปทันที

พีระกระเด็นไปตกอีกด้านนอกรั้วบ้าน
“โอ๊ย...”
อาจารย์เทพยังคงสวดคาถาไม่หยุด พีระถูกรัดตรึงเจ็บปวด มีควันลอยขึ้นมาตามเนื้อตัว
“เกี๊ยง..เอามีดอาคมมา ข้าจะส่งมันไปสู่นรกภูมิให้สิ้นซาก”
พีระอึ้ง ลนลานถอยหนี
“คิดว่าจะหนีฉันพ้นเหรอ”
อาจารย์เทพหยิบมีดหมออาคมขึ้นมา พนมมือ สวดอาคม แต่อยู่ๆน้ำมนต์วิ่งออกมา เพื่อนๆตามออกมา
“พอได้แล้ว พอค่ะ”
เกี๊ยงกันน้ำมนต์เอาไว้ ไม่ให้เข้าไปขัดจังหวะได้
“อย่าครับ ทุกอย่างกำลังจะจบแล้วครับ”
น้ำมนต์ผลักเกี๊ยงออก ไปขวางอาจารย์เทพ ไม่ให้สวดคาถา
“พอได้แล้วอาจารย์ แค่ให้เขาออกจากบ้านนี้ไปก็พอแล้ว”
อาจารย์เทพหยุดสวด พีระหนีหายไปแล้ว น้ำมนต์มองตามพีระไปอย่างรู้สึกผิด

บนห้อง ข้าวต้มเกาะหน้าต่างมองเหตุการณ์อยู่ เห็นพีระเดินแยกออกไป
“ทำไมพี่น้ำมนต์นิสัยยังงี้”
ข้าวต้มไม่พอใจ กอดอก

อาจารย์เทพหยิบเอาผ้ายันต์มาท่องคาถาใส่ แล้วยื่นให้เกี๊ยง
“เกี๊ยง..เอาผ้ายันต์นี้ไปติดไว้บนต้นไม้ เอาให้สูงๆเลย อย่าให้เด็กมาแกะได้”
“ครับอาจารย์”
เกี๊ยงรับผ้ายันต์มา รีบปีนขึ้นต้นไม้ เพื่อไปติดในที่สูง
“ส่วนหนู..กับน้องชาย เอาผ้ายันต์นี้ไปติดตัวไว้ มันจะช่วยปกป้องพวกหนูจากวิญญาณชั่วร้ายทุกชนิด”
“เอ่อ...” น้ำมนต์อึกอัก ไม่อยากรับ
“รับมาสิน้ำมนต์” อัฐชัยพยักหน้าให้
“เอ่อ..ค่ะ..ขอบคุณค่ะ” น้ำมนต์รับมา “แล้วเขา...จะกลับมาที่นี่ไม่ได้อีกแล้วใช่มั้ยคะ”
“มันคงไม่กล้ากลับมาอีก หรือถึงมา ผ้ายันต์ของอาจารย์จะช่วยคุ้มครอง มันจะกลับเข้ามาในบ้าน หรือทำอะไรหนูไม่ได้อีก”
“จริงๆคุณน่าจะให้อาจารย์กำจัดวิญญาณมันให้สิ้นซากไปเลยนะครับ ผีเร่ร่อนพวกนี้ จะได้ไม่ไปสร้างความรำคาญให้ใครได้อีก” เกี๊ยงบอกย่างเสียดาย
“ไม่เป็นไรค่ะ แค่ต่างคนต่างอยู่ก็พอแล้ว”
อัฐชัยหยิบซองเงินออกมา
“ขอบคุณอาจารย์มากเลยครับที่ช่วยเพื่อนผม ส่วนนี่ เงินบริจาคเพื่อช่วยเหลือจิตวิญญาณครับ”
เกี๊ยงเป็นคนรับซองเงินนั้นมาเก็บเอาไว้
พิมพ์ดาวกับลูกโป่งหันไปมอง เห็นน้ำมนต์ทำหน้าสลด เศร้า รู้สึกผิด
“แกจะทำหน้าเศร้าทำไม” ลูปโป่งเตือน
“เราได้ภาพความเฮี้ยนแบบสุดๆ รายการเราอยู่รอดปลอดภัยแล้ว” เอมี่บอกอย่างดีใจ
“ส่วนผีก็ออกไปแล้ว ต่อไปแกจะได้อยู่บ้านอย่างสงบสุข” พิมพ์ดาวให้กำลังใจ

น้ำมนต์ยังคงรู้สึกผิดมาก

พีระเดินซวนเซมาข้างทาง ร่างกายยังมีควันลอยออกมาจางๆ แล้วพีระก็ทรุดลง นั่งหมดแรง
“ผู้หญิงใจร้าย หลอกลวงได้แม้กระทั่งผี จำเอาไว้เลย แค้นนี้ต้องชำระแน่ !”

วันใหม่...ตำรวจมาพบเมสินีที่บ้าน เมสินีแสร้งตกใจที่รู้ข่าวจากตำรวจ
“รถคุณพีทไฟไหม้”
“คนร้ายอาศัยช่วงที่ตำรวจผลัดเวรเฝ้า ลักลอบเข้าไปเผาซากรถทำลาย หลักฐานครับ..แล้วก็..นี่คือ สภาพรถที่ยังเหลืออยู่ครับ”
ตำรวจยื่นภาพให้เมสินี เป็นภาพรถที่ไหม้ดำทั้งคัน แทบไม่เหลือซาก
“หลักฐานอย่างเดียวที่มีก็คือรถคันนี้ แล้วอย่างนี้ คดีคุณพีทจะยังไง ต่อคะ สภาพรถอย่างนี้ ตำรวจจะตามรอยคนร้ายที่ลอบฆ่าลูกชาย ดิฉันได้ยังไง”
“พวกคุณสะเพร่ามาก ทำงานกันอย่างนี้ได้ยังไง เรื่องนี้ต้องถึงผู้บังคับบัญชาพวกคุณแน่”
“ช่างเถอะยุทธ คุณตำรวจก็ทำเต็มที่แล้ว คนร้ายจะเป็นใคร ฉันไม่สนใจ ฉันต้องการอย่างเดียว คือขอให้ได้ตัวลูกชายฉันกลับมา ต่อให้เขาไม่มีลมหายใจแล้วก็ตาม พวกคุณต้องช่วยดิฉันตามหาคุณพีทนะคะ”
พวกตำรวจรับปากๆ เมสินีกับยุทธแอบสบตา อย่างรู้กัน

เมสินีเดินกลับเข้ามาในห้องทำงาน ยุทธเดินตามเข้ามา
“สิ่งที่เธอต้องทำต่อไปคือหาศพนายพีทให้เจอ ต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินหา เธอก็ต้องทำ เข้าใจมั้ย”
“ผมทราบครับ แต่เมื่อเช้าผมเพิ่งได้คุยกับลูกน้องผม มันบอกว่าเมื่อคืนมีเรื่องแปลก”
“อะไร”
“พวกมันบอกว่า ตอนที่กำลังจะจุดไฟเผารถ เหมือนมีใครบางคนมาจับมือพวกมันไว้ ไม่ยอมให้เผา”
“เธอกำลังจะบอกฉันว่าอะไร”
“พวกมันสงสัยว่าจะเป็นผีคุณพีท”
“ผีนายพีท….ยุทธ ถ้ามันเป็นผีจริงๆ ฉันก็จะดีใจมาก แต่สิ่งที่ฉันต้องการ คืออะไรก็ได้ที่พิสูจน์ทางกฎหมายได้ว่านายพีทตายแล้ว ฉันจะได้เป็นเจ้าของอาณาจักรพราวด์ทีวีอย่างสมบูรณ์ซะที ถ้าเธอหรือลูกน้องเธอจับผีมาให้การในศาลไม่ได้ ก็อย่ามาพูดเหลวไหลกับฉัน”
ยุทธจ๋อย เมสินีอารมณ์เสีย

น้ำมนต์เดินเข้ามาในห้องนอนข้าวต้ม
“ข้าวต้ม...ตื่นๆ”
น้ำมนต์เข้าไปเปิดผ้าห่มดูว่าซ่อนอยู่หรือเปล่า แต่ก็ไม่พบ ไม่มีข้าวต้มอยู่ เธอเดินหาในห้องน้ำ รวมทั้งชั้นบนก็ไม่อยู่ จึงลงมาชั้นล่าง
“ข้าวต้ม อยู่ไหน”
น้ำมนต์เริ่มร้อนใจที่ไม่เห็นน้องชาย กำลังจะออกไปตามด้านนอก แต่เหลือบเห็นที่โต๊ะ มีผ้ายันต์ของอาจารย์เทพวางไว้อยู่
“ทำไมไม่พกผ้ายันต์อาจารย์เทพติดตัว”
น้ำมนต์กังวล ห่วง เห็นกระดาษโน้ตเขียนไว้
“พี่น้ำมนต์เป็นคนไม่รักษาสัญญา เค้าผิดหวังมาก ตั้งแต่นี้ไป เค้าจะไม่พึ่งพาพี่อีกแล้ว บาย”
น้ำมนต์อึ้ง รีบทิ้งกระดาษวิ่งออกไปตามด้านนอก
“ข้าวต้ม”

เจ๊แมวเอานมมาให้งอแงดื่มก่อนไปโรงเรียน ขณะที่พวกลูกค้ายืนรอซื้อกาแฟอยู่
“แป๊บนึงนะ ให้ลูกงอแงดื่มนมก่อนนะ”
น้ำมนต์วิ่งตามหาข้าวต้มมา
“เจ๊แมว เห็นข้าวต้มมั้ย”
“ข้าวต้มไม่ขาย นี่ร้านกาแฟ”
“หนูหมายถึงข้าวต้มน้องชายหนูค่ะ”
“อ๋อ...เห็น”
“อยู่ไหนคะ”
“เห็นเมื่อวาน”
น้ำมนต์หันไปถามชาวบ้าน
“มีใครเห็นข้าวต้มบ้างมั้ยคะ”
ทุกคนส่ายหน้า งอแงออกความเห็น
“หมูอ้วนหายไปเหรอคะ แก็งค์ลักพาตัวเด็กหรือเปล่า หมูอ้วนต้องถูกจับไปตัดแขนตัดขาขอทานบนสะพานลอยแน่ๆ”
“ไม่นะ ไม่” น้ำมนต์ใจเสีย
พิมพ์ดาวออกมาจากด้านใน
“มีอะไรยัยน้ำมนต์ มีเรื่องอะไร”
น้ำมนต์ร้อนใจ รีบวิ่งออกไป พิมพ์ดาวรีบวิ่งตามไป
“ไม่ใช่เรื่องของเรา…อ่ะ ดื่มนมต่อนะคะลูก”
งอแงดื่มนมต่อ สบายใจ

น้ำมนต์โทรศัพท์คุยกับครูประจำชั้นของข้าวต้มอย่างร้อนใจ
“ข้าวต้มยังไปไม่ถึงโรงเรียนอีกเหรอคะ..ค่ะ..ถ้าข้าวต้มไปถึงแล้ว หรือได้ข่าวอะไร หนูรบกวนคุณครูโทรมาบอกหนูด้วยนะคะ..ขอบคุณค่ะ”
“ทำไมข้าวต้มถึงหนีออกจากบ้านอย่างนี้” พิมพ์ดาวกังวล
“ถ้าน้องฉันเป็นอะไรไปฉันจะทำยังไง”
“ใจเย็นๆก่อนนะแก เอางี้ เดี๋ยวฉันโทรบอกอัฐชัยให้ พ่อเขาเป็นนักธุรกิจใหญ่ น่าจะพอมีเส้นสาย ช่วยตามสืบได้”
พิมพ์ดาวหยิบมือถือมากดโทร ระหว่างนั้น น้ำมนต์มองไปอีกด้าน เห็นพีระยืนยิ้มอยู่ แถมยังโบกมือกวนประสาทให้อีก น้ำมนต์อึ้ง แล้วกลายเป็นโมโห
“นายพีระ”

น้ำมนต์เดินพุ่งเข้าไปอย่างเอาเรื่องทันที พีระถอยหนี

พีระเดินหนีมา น้ำมนต์วิ่งมาขวาง
“นายจับตัวน้องชายฉันไปใช่มั้ย”
“ขอโทษนะครับ เราเคยรู้จักกันด้วยเหรอ”
“ไม่ต้องมากวนประสาท นายเอาน้องชายฉันไปไว้ที่ไหน บอกมา”
“ไม่บอก”
“ถ้าไม่บอก” น้ำมนต์หยิบยันต์อาจารย์เทพออกมา “ฉันจะเอายันต์นี้แปะหน้าผากนาย”
น้ำมนต์ยื่นยันต์เข้าใกล้ทันที พีระร้อน
“โอ๊ย...ทำไมโหดงี้”
“ฉันโหดกว่านี้ได้อีก บอกมาว่าน้องฉันอยู่ไหน”
“บอกก็กลัวเด่ะ”
“ไอ้ผีชั่ว”
น้ำมนต์ไล่เอาผ้ายันต์ พีระวิ่งหนี
“บอกแล้วๆ ผมไม่ได้ทำอะไรน้องชายคุณ ผมเห็นเขาแอบออกจากบ้านมาคนเดียว เลยตามไปดู ตอนนี้ปลอดภัย ไม่มีอะไรต้องห่วง”
“อยู่ที่ไหน พาฉันไปเดี๋ยวนี้”
“ไม่ได้ ผมสัญญากับน้องคุณไว้ ว่าจะไม่บอกใคร”
“พาฉันไปเดี๋ยวนี้”
“เสียใจด้วย ผมเป็นคน..เอ่อ..เป็นผีรักษาคำพูด”
“ฉันไม่สนใจว่านายจะรับปากอะไรข้าวต้มไว้ พาฉันไปเดี๋ยวนี้”
“ผมรู้ ผมรู้ว่าคุณไม่สนใจอะไรนอกจากสิ่งที่คุณอยากได้ คุณพร้อมจะกลับกลอกกลับคำ หรือเผลอๆอาจจะกล้าทำเรื่องผิดๆเพื่อให้ได้สิ่งที่ตัวเองต้องการ”
“นายมีสิทธิ์อะไรมาด่าฉัน”
“สิทธิ์ที่ผมถูกคุณหลอกไง คุณไม่อายผีอย่างผมก็น่าจะอายน้องชายตัวเองบ้าง ที่ข้าวต้มหนีออกจากบ้าน ก็เพราะคุณนั่นแหละ”
“ฉันทำทุกอย่างก็เพื่อน้องชายฉัน”
พีระประชด
“งั้นน้องชายคุณก็คงจะมีความสุขมาก มากจนต้องหนีออกจากบ้านไปเลย”
“หยุดด่าฉันได้มั้ย”
“ผมไม่หยุด ผมจะด่าให้คุณสำนึ...ก...”
พีระชะงักอึ้งไป เพราะน้ำมนต์น้ำตาไหล
“อยากด่าอะไรฉันก็ด่ามาเลย..ด่าให้สะใจ..เสร็จแล้วก็บอกฉันมาว่าข้าวต้มอยู่ที่ไหน”
พีระสงสาร เห็นใจ

พีระพาน้ำมนต์เดินมาหยุดที่ด้านหนึ่งของสวนสาธารณะ
“นั่นไง น้องคุณ”
พีระชี้ไปที่ม้านั่งอีกด้าน ข้าวต้มนั่งดื่มน้ำหวานอยู่
“ข้าวต้ม”
น้ำมนต์รีบวิ่งเข้าไปหา
“ทำไมถึงทำอย่างนี้ รู้มั้ยว่ามันอันตราย เกิดมีใครมาลักพาตัวไปจะทำยังไง..ห้ามทำอย่างนี้อีกเข้าใจมั้ย”
“ก็ถ้าพี่กับพี่พีระเข้าใจกันแล้ว เค้าก็โอเค”
“เข้าใจกัน” น้ำมนต์งง
“ข้าวต้มบอกว่าผมจะพาคุณมาที่นี่ได้ ก็ต่อเมื่อคุณยอมรักษาสัญญาที่ให้ไว้กับผมแล้วเท่านั้น” พีระอธิบาย
“อย่าบอกนะว่าพี่ยังไม่ยอมรักษาสัญญา” ข้าวต้มคาดคั้น
“เอ่อ...” น้ำมนต์อึกอัก
“อึกอัก แสดงว่า ไม่”
ข้าวต้มจะผละออกจากน้ำมนต์
“โอเคๆ พี่รักษาสัญญา พี่จะช่วยเขา”
“แน่ใจ”
“แน่”
ข้าวต้มยังระแวง ไม่ไว้ใจ
“ไหนมองตาสิ จะได้ดูว่าโกหกหรือเปล่า”
ข้าวต้มจับน้ำมนต์มามองตา เพ่งๆ หยีตามอง หรี่ตามอง
“พี่ไม่โกหกหรอกน่า”
ข้าวต้มยังคงไม่ไว้ใจ
“พี่พีระมาช่วยมองหน่อย”
“ทำไมต้องให้เขาช่วย” น้ำมนต์ตกใจ
“ช่วยๆกัน เพื่อความแน่ใจ..มาเร็วพี่”
“ด้วยความยินดี”
พีระยิ้มกรุ้มกริ่ม น้ำมนต์ขัดๆใจ พีระเข้ามาใกล้ๆ ส่องมองตาน้ำมนต์
“สบตาผมสิจ้ะ”
น้ำมนต์สบตา ทีแรกถลึงตาใส่ พีระจ้องตาน้ำมนต์ไปพูดไป
“สมมติถ้าพี่บอกว่าสายตาน้ำมนต์หลอกลวง ข้าวต้มจะทำยังไง”
“เค้าก็จะไม่เชื่อคำพูดพี่น้ำมนต์อีกตลอดชีวิต”
“อนาคตน้ำมนต์ก็อยู่ที่พี่สินะ”
พีระทำหน้าเย้ยๆข่มๆ น้ำมนต์จำต้องเลิกถลึงตา ส่งสายตาแสนดีอย่างโอเวอร์
“อื้ม...”
น้ำมนต์เริ่มรำคาญ
“จะลีลาอีกนานมั้ย”
“เอ๊ะ พี่ว่า...”
“ฉันจะช่วยนายจริงๆ” น้ำมนต์อ้อน
“โอเค ผ่าน”
“ไป กลับ”
น้ำมนต์ลากข้าวต้มไป พีระมองตามยิ้มๆ

น้ำมนต์พาข้าวต้มกลับมาที่หน้าบ้าน เห็นว่าสาย ไปโรงเรียนไม่ทันแล้ว
“วันนี้หยุดเรียนวันนึงก็แล้วกัน”
“เย้ๆ” ข้าวต้มร้องอย่างดีใจ
“แต่ต้องอ่านหนังสือทดแทนจนกว่าจะถึงเวลาเลิกเรียน”
“โหย” ข้าวต้มจ๋อย
น้ำมนต์กำลังจะเข้าบ้าน พีระรีบร้องเรียกไว้
“เดี๋ยวๆ”
“อะไรอีก”
“ผมเข้าบ้านไม่ได้”

พีระเหลือบมองไปที่ยันต์ของอาจารย์เทพ ที่ติดอยู่บนต้นไม้สูง



น้ำมนต์ปีนอยู่บนต้นไม้ เพื่อจะดึงเอาผ้ายันต์นั้นออกมา
“ทำไมต้องเป็นฉันด้วย”
“ก็ผมจับไม่ได้ หรือคุณจะให้น้องชายคุณปีน”
“พี่น้ำมนต์เป็นคนให้ผีหน้าโหดคนนั้นเข้ามาติดยันต์อะไรก็ไม่รู้ในบ้าน พี่ก็ต้องรับผิดชอบ” ข้าวต้มร้องบอก
“เอ้า ปีนให้มันเร็วๆหน่อยสิคุณ” พีระสั่ง
“หยุดพูดไปเลยนะ” น้ำมนต์มองค้อน
“เฮ้ย” พีระร้องอย่างตกใจ
“อะไร ร้องทำไม” ร้ำมนต์ตกใจไปด้วย
“ข้าวต้ม เห็นมั้ย นั่นน่ะๆ”
พีระทำเป็นซุบซิบกับข้าวต้มเหมือนเห็นตัวอะไรบางอย่างบนต้นไม้ น้ำมนต์ระแวง
“อะไร มีอะไร อย่ามาแกล้งกันนะ”
“ไม่มีอะไร คุณรีบๆหยิบผ้ายันต์แล้วลงมาดีกว่า”
“มีตัวอะไรอยู่ใช่มั้ย...”
“ไม่มี”
“งูเหรอ”
“ไม่ใช่”
“แมงมุม”
“ไม่ใช่”
“ตุ๊กแก”
“ยิ่งกว่านั้น” พีระแกล้งปิดปาก “อุ๊บส์...”
“ยิ่งกว่าตุ๊กแก”
น้ำมนต์ยืนเกาะกิ่งไม้ร้องครวญคราง
“อะไรอ่า...”
พีระกับข้าวต้มหัวเราะคิกคัก
“พี่พีระเค้าล้อเล่น ไม่มีอะไรหรอกพี่”
“รีบๆหยิบ รีบๆลงมาเถอะ”
“ฉันกลัว” น้ำมนต์โวยวาย
“เอ้า เลยกลัวจริงๆเลย”
“ฉันลงไปได้ นายตายแน่”
พีระกับข้าวต้มขำๆ

รถหรูของอัฐชัยแล่นจอดที่หน้าร้าน เจ๊แมวที่ชงกาแฟอยู่มองรถหรูตาโต อัฐชัยวิ่งเข้ามาในร้าน พิมพ์ดาวรออยู่แล้ว ถามร้อนใจ
“ดาว..น้ำมนต์เจอข้าวต้มหรือยัง ตอนนี้อยู่ที่ไหน”
“ฉันโทรหามันตะกี้นี้ มันบอกว่าเจอข้าวต้มแล้ว ตอนนี้อยู่ที่บ้าน ไม่มีอะไรต้องห่วงแล้ว”
“อ้าว”
“โทษทีนะที่ทำให้วุ่นวาย ตอนนั้นฉันนึกไม่ออกจริงๆว่าจะให้ใครช่วย”
“ไม่เป็นไร ดีแล้วที่เธอนึกถึงฉัน ถ้าเป็นเรื่องน้ำมนต์ วุ่นวายกว่านี้ฉันก็ไม่ว่า งั้นฉันโทรบอกพ่อก่อน เดี๋ยวพ่อไปออกสื่อจะยุ่ง”
“นั่งก่อนสิ เดี๋ยวฉันชงกาแฟให้”
พิมพ์ดาวเชิญอัฐชัยนั่ง แล้วแยกไป

พิมพ์ดาวแยกมาชงกาแฟ เจ๊แมวรีบเข้ามากระซิบถามพิมพ์ดาว
“ยัยดาว เพื่อนแกคนนี้ที่บ้านเขาทำอะไร ทำไมถึงมีรถแพงขนาดนี้ขับด้วย”
“พ่อเขาทำธุรกิจรับเหมาระดับชาติ ไม่รวยก็แปลกแล้ว”
“เขามาจีบแกเหรอ”
“หยุดเลยนะแม่ อัฐชัยเขาชอบน้ำมนต์”
“แต่แม่ชอบเขา”
เจ๊แมวพรวดออกไปหาอัฐชัยทันที
“อัฐชัย มาหาน้ำมนต์เหรอ”
อัฐชัยยกมือไหว้
“สวัสดีครับคุณน้า ดาวโทรมาบอกว่าข้าวต้มหายไป ผมเลยจะมาช่วยหา แต่รู้สึกเขาจะเจอกันแล้ว ผมเลยว่าจะแวะไปหาน้ำมนต์ที่บ้านหน่อย”
“ไม่ต้องไปๆ น้ำมนต์เพิ่งออกไปตะกี้ เพิ่งจะสวนกันไปเอง”
“แม่...” พิมพ์ดาวรีบตามมาปราม
“พอน้ำมนต์เจอข้าวต้มแล้ว เขาก็ออกไปเรียนเลย อัฐชัยรีบตามไปมหาลัยเถอะ ฝากยัยดาวติดรถไปด้วยนะ ไปๆ เดี๋ยวสาย”
“แม่…”
พิมพ์ดาวรู้เจตนาของแม่ เจ๊แมวแอบกระซิบลูก
“มีโอกาสแล้ว อย่าโง่”
อัฐชัยหันมาบอก
“งั้นเรารีบไปเถอะดาว ไป”
เจ๊แมวพาพิมพ์ดาวกับอัฐชัยไปส่งขึ้นรถ ยืนรอจนรถออกไป
“ขับช้าๆนะ ไม่ต้องรีบ” เจ๊แมวยกมือพนม “สาธุ ขอให้ยัยดาวมีหัวคิดทีเถอะ ครอบครัวเราจะได้สบายซะที”

น้ำมนต์กำลังถือผ้ายันต์กับไฟแช็กไว้ จะเผาผ้ายันต์ แต่ลังเล พีระยืนรออยู่
“จะลังเลอะไรอีก เผาเลย หรือคิดจะผิดคำสัญญาอีก”
“รู้แล้วน่า”
น้ำมนต์กำลังจะจุดไฟเผาผ้ายันต์ แต่ชะงัก
“ฉันจุดแน่ แต่ขอทำข้อตกลงกับนายก่อน”
“อะไร”
“นายจะอยู่ที่บ้านฉันไปถึงเมื่อไหร่”
“ก็จนกว่าคุณจะช่วยให้ผมกลับเข้าร่างได้ เข้าร่างได้เมื่อไหร่ ผมก็จะกลับไปใช้ชีวิตของผม ไม่ยุ่งกับคุณอีก”
“ดี”
“แต่คุณอย่าตามมาง้อผมแล้วกัน”
“ฝันไปเถอะ นายไปได้ฉันจะจุดพลุฉลองเลยต่างหาก”
“จะเผาได้ยัง”
“ยัง...นายต้องสัญญามาก่อน ว่านายจะอยู่บ้านนี้อย่างเคารพและให้เกียรติฉันในฐานะเจ้าของบ้าน ส่วนนายแค่ผู้อาศัย”
“โอเค”
“นายต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบที่ฉันวางเอาไว้”
“จะพยายาม”
“และกฎเหล็กข้อแรกคือ นายต้องอยู่แต่ชั้นล่าง ห้ามขึ้นไปที่ชั้นบนโดยเฉพาะห้องนอน”
“อะไรนะ”
น้ำมนต์เน้นย้ำ
“ห้ามนายเข้าห้องนอนฉันเด็ดขาด”
“แน้ๆ นี่คุณคิดอะไรกับผมหรา...ไม่อยากให้ผมเข้าห้องนอน เพราะกลัวตัวเองจะอดใจไม่อยู่ล่ะสิ”
“ทะลึ่ง”
“กับผีก็ไม่เว้นนะคุณ”
“รับปากมา”
“อื้ม”
“ไม่งั้นฉันไม่เผา และจะไม่ให้นายเข้าบ้าน”
“รู้แล้วน่า อย่างคุณไม่ใช่สเป็กผมหรอก ไม่อยู่ในสายตา”
“งั้นก็ดี ฉันถือว่านายรับปากแล้ว ถ้าเมื่อไหร่นายผิดคำพูด เจอดีแน่”
น้ำมนต์จุดไฟเผาผ้ายันต์ ทิ้งให้มอดไหม้ลงไป แล้วน้ำมนต์จะหันกลับเข้าบ้าน แต่ต้องผงะ เพราะทันทีที่ไม่มีผ้ายันต์ พีระก็ฉวยโอกาสเข้ามาประชิดติดตัวน้ำมนต์เลย
“คุณกลัวที่จะอยู่ใกล้ชิดผมเหรอ”
แต่น้ำมนต์ยืนจ้องหน้า เผชิญในระยะประชิดนั้น ไม่ได้กลัวเกรงอะไร แถมยังยิ้มมุมปาก
“ไม่กลัว”
“ไม่กลัวเพราะผมเป็นผีน่ารักล่ะสิ”
“ไม่กลัว เพราะรู้ว่านายไม่มีปัญญาทำอะไรฉันได้ต่างหาก”
“คืนนี้ถ้าคุณหลับ ผมจะไปนอนข้างๆ”
“ถ้ากล้าก็ลองดู”
“ไม่กลัวผมจริงๆอ่ะ”
“จริง”
“ทำไมไม่กลัว”
“เพราะฉันมีนี่”
น้ำมนต์หยิบผ้ายันต์อีกผืนที่ซ่อนไว้ออกมาชูตรงหน้าพีระ
“โอ๊ย”
พีระเซแซ่ดถอยออกไป
“ฉันจะเก็บผ้ายันต์เอาไว้ผืนนึง เอาไว้ป้องกันผีทะลึ่งลามกอย่างนาย ถ้ากล้าเข้าห้องนอนฉัน นายตายแน่”
น้ำมนต์เดินเริ่ดเชิ่ดเข้าบ้านไป
“หนอย แสบนักนะ ยัยน้ำเปล่าปลุกเสก”

พีระเซ็ง หมั่นเขี้ยว ร้ายกาจจริงๆ แต่พอคิดอีกที ก็เผลอยิ้มออกมาให้กับความน่ารักมีเล่ห์เหลี่ยมของน้ำมนต์

จบตอนที่ 1
กำลังโหลดความคิดเห็น