ด้วยความพยายามเร่งคืนความสุขให้คนไทยของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ภายใต้คำสั่งของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อเดินหน้าปัด กวาด จัดระเบียบบ้านเมืองอย่างเป็นระบบ แต่กลับได้รับความไม่เป็นสุขจากฝ่ายมหามิตรอย่างสหรัฐฯ รวมไปถึงสหภาพยุโรป (อียู) จนสั่นสะเทือนไปถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อประเทศไทย
ถึงขนาดมีการออกแถลงการณ์ประณามการรัฐประหาร และเรียกร้องให้กองทัพไทยคืนอำนาจการปกครองโดยเร็วที่สุด รวมทั้งออกมาตรการระงับการเดินทางมาเยือนไทยอย่างเป็นทางการทั้งหมด พร้อมระงับการลงนามในข้อตกลงเป็นพันธมิตรและความร่วมมือต่างๆ กับรัฐบาลไทย เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน ที่ผ่านมา
ท่าทีดังกล่าว จุดประเด็นให้คนไทยบางกลุ่มเกิดอาการเลือดรักชาติพลุ่งพล่าน พร้อมส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้างทั้งจากประชาชน และคนดังในวงการหลายคน ด้วยการประกาศ และแสดงจุดยืนงดใช้สินค้า-บริการ รวมไปถึงการเดินทางท่องเที่ยวประเทศยุโรปจนเกิดเป็นเรื่องดราม่าขึ้นมาบนโลกออนไลน์
เห็นได้จากกระแสปลุกระดมในทวีตเตอร์ของ ศาสตราจารย์เจริญ วรรธนะสิน นักวิชาการ และนายกสมาคมแบดมินตันแห่งประเทศไทย ได้ทวีตข้อความผ่านทวิตเตอร์ @Charoen_online ระบุว่า "อียูแซงชั่นไทย แล้วคนไทยยังเฉยอยู่หรือ? งดซื้อสินค้ายุโรป งดซื้อรถยุโรป งดเที่ยวยุโรป พม่าปิดประเทศ 50 ปี ยังอยู่รอดเลย"
ทันทีที่ข้อความดังกล่าวเผยแพร่ออกไป ต่างก็มีชาวเน็ตบางส่วนเข้าไปตั้งคำถามสวนกลับว่า การแบนอียูในครั้งนี้ รวมไปถึงการไม่สนับสนุนให้ลูกๆ งดใช้ของจากยุโรป และให้ลาออกจากบริษัทที่เจ้าของเป็นชาวยุโรปด้วยหรือไม่
ด้าน ดีเจสาวมั่นอย่าง เอื้อง-สาลินี ปัญญารชุน ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Salinee Panyarachun ระบุว่า "งดซื้อ Brand Name จาก EU งดซื้อไวน์จาก EU อดเปรี้ยวไว้กินไวน์โลกใหม่แทน Australia ของเช็กพฤติกรรมแกก่อน กิน Chile, South Africa แทนไปก่อน"
ทางฟากดารา นักแสดงชื่อดังอย่าง หมอก้อง-สรวิชญ์ สุบุญ ก็ได้โพสต์ข้อความผ่านอินตราแกรม @kong_sarawit พร้อมภาพในเชิงเหน็บแนมด้วยเช่นกัน
"ไม่มีไรมากครับ...แค่อยากประกาศว่า ขอเที่ยวเฉพาะเอเซียละกัน ไม่เหยียบยุโรปก็ไม่ได้ทำให้ชีวิตเปลี่ยน ไม่ใช้สินค้ายุโรป แบรนด์เนม ชีวิตก็ยังอยู่ได้...เมืองไทยเราเป็นคลังอาหารของโลกอยู่แล้ว ทำไมต้องสนใจต่างชาติที่ปิดหูปิดตาตัวเอง ทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วอ้างแต่คำว่าประชาธิปไตยเพื่อกลบผลประโยชน์ที่เคยได้รับจากรัฐบาลขายชาติด้วย!
ผมว่าเวลาแบบนี้ล่ะครับที่เหมาะสมมากๆ ที่เราจะย้อนกลับมาสำรวจว่าตัวเราเองละเลยข้อคิดง่ายๆ บางอย่างไปแล้วรึเปล่า เช่น...จริงๆ แล้วมนุษย์จะต้องการอะไรมากมาย แค่ปัจจัย 4 ยังไม่พออีกหรือ? เรามีความกตัญญูต่อชาติหรือยัง? เราจะอดทนเพื่อสิ่งที่ดีขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน? พวกเราต้องช่วยกันนะครับ"
อย่างไรก็ดี การออกมาแสดงจุดยืนไม่เอาสินค้า และงดเที่ยวยุโรปเพื่อต้าน "อียู" หลายฝ่ายมองว่าจะยิ่งแสดงถึงความแข็งกร้าว ร้าวลึกไปกันใหญ่ ไม่แปลกที่จะเกิดเป็นเรื่องราวดราม่าขึ้นบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเว็บบอร์ดชื่อดังอย่าง "พันทิป" ที่มีการตั้งกระทู้ทั้งเห็นด้วย และไม่เห็นด้วยกับการแบนสินค้าต่างชาติในครั้งนี้ จนมีบางกระทู้ตั้งคำถามขึ้นมาว่า เมื่อไม่พอใจคนที่ต่อต้านสินค้าจาก "อียู" ถ้าให้พอใจ คนไทยต้องสนับสนุน และซื้อสินค้าจากอียูกันใช่หรือไม่
"...ความจริงแล้ว เป็นเรื่องเกินความสามารถของคนไทย ที่จะไประงับ ยับยั้ง ไม่ให้อียูมาแทรกแซงได้ จะให้คนไทยบอกว่าอียูหยุดแทรกแซงข้านะ กระนั้นหรือ เมื่ออียูมาแทรกแซงเรา อาจมีคนไทยบางส่วน ตอบโต้กลับ ไม่สนับสนุนสินค้าของอียูบ้าง กลับทำให้คนไทยอีกส่วนหนึ่งไม่พอใจ ก่นด่า ตั้งกระทู้แสดง (อวด) ภูมิปัญญากันอย่างขยันขันแข็ง ไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย
บางครั้งแค่เรื่องเล็กน้อย เป็นความคิดส่วนบุคคล แต่กลับเอามาตั้งกระทู้เป็นประเด็นเชื่อมโน่นโยงนี่ได้อย่างเหลือเชื่อ เราต้องสนับสนุนสินค้าของอียูกันใช่ไหม คุณถึงจะพอใจ อเมริกาคว่ำบาตรอิรัก โดยการไม่ซื้อน้ำมันจากอิรัก ใช่หรือ"
หลังจากข้อความจากกระทู้ "คนไทย ต้องกระหน่ำซื้อ อุดหนุนสินค้าของ อียู กันใช่ไหม ต่อต้านไม่ได้ใช่ไหมคะ" ถูกเขียนขึ้นโดยสมาชิกหมายเลข 1346106 ก็มีชาวเน็ต และชาวพันทิปเข้ามาแสดงความคิดเห็นอย่างหลากหลาย
"ไม่เห็นมีใครก่นด่า แต่ตั้งข้อสงสัยว่าจะทำกันจริงจังหรือทำได้หรือเปล่า คุณดูบางคนสิ ออกมาเรียกร้องให้แบนอียู แต่ทำอะไรเป็นรูปธรรมให้เห็นว่าแบนจริงๆ บ้าง ที่บ้านยังใช้สินค้าอียูอยู่ คนในครอบครัวก็ยังทำงานอยู่ในบริษัทของอียู ลองตั้งสติแล้วหารายชื่อกลุ่มประเทศในอียูดู แล้วคิดให้ดีจะรู้ว่าอียูไม่ใช่สำคัญต่อเศรษฐกิจไทยเท่านั้น แต่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจทั้งโลก อย่าไปเชื่อพวกที่ออกมาเสนอหน้าว่าไม่กระเทือนเลย ช่วงนี้เป็นเทศกาลแห่งการแผล็บๆ เชื่ออะไรไม่ค่อยได้หรอก" คันมือคันเม้าส์
"เจ้าของกระทู้อย่ากังวลไปเลย อีกหน่อยถ้าประเทศไทยปฏิรูปเสร็จแล้ว มีรัฐบาลจากการเลือกตั้ง เดี๋ยว EU ก็มาขอสานความสัมพันธ์ต่อเองล่ะน่า ในโลกนี้ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ตอนนี้ใจเย็นๆ รอสักครู่ ให้จัดระเบียบประเทศไทยกันก่อน เสร็จจากภารกิจนี้แล้ว ประเทศไทยเราจะเข้าสู่ยุคแห่งความโชติช่วงชัชวาล อย่างแน่นอน" NICKAZ
"ความจริงก็คือ กำลังซื้อของนักเลงคีย์บอร์ดไม่ว่าสีเสื้อไหนก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ แม้กระทั่งยอดขาย 1% ของประเทศไหนได้หรอก เรื่องความเห็นต่อต่างประเทศ ผมช่างแ-มมันนะ มันจะว่าไรก็เรื่องของมัน แต่เราเป็นคนไทย เราคงเข้าใจปัญหาเรื่องประเทศเรามากกว่าพวกมัน
ส่วนเรื่องธุรกิจต้องแยกให้ออก ใครใคร่ค้าค้า ใครใคร่ซื้อซื้อ ตามอุปสงค์อุปทานตลาดต่อไป ก็แค่นั้น มันคนละเรื่องกัน แต่ถ้าต่างประเทศงี่เง่าบอยคอตเรา มีอีกหลายประเทศจะมาซบเราแทน ไม่ต้องห่วงไทยเราเป็นทำเลทอง ของเอเชีย (ถ้าหยุดทะเลาะกันได้ซักทีอะนะ เหอะๆ)" เซเลสเชียล บีอิง
"ไม่มีใครเขาไปว่าหรอกครับ ใครจะต่อต้าน ใครจะแบนสินค้ายุโรป...แต่เขาบอกว่า ไอ้พวกที่เรียงหน้าออกมาด่า ออกมาเชิญชวนแบนสินค้ายุโรปน่ะ ตัวเองยังทำไม่ได้เลย.." พ่อนนท์
ท้ายนี้ คงพอจะสรุปได้ว่า กระแสปลุกระดมอะไรก็แล้วแต่ ไม่ใช่สิ่งที่ผิด แต่การจะปลุกระดมแบบไหนขึ้นมาต่างหากคือสิ่งสำคัญ อย่างกรณีนี้ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละคน ทว่าการบอยคอต หรือทำอะไรแบบไม่คิด คงไม่ใช่แนวทาง หรือทางออกที่ดีนัก นอกจากความสะใจ แถมยังเป็นการเพิ่มศัตรูมากกว่ามิตรจนอาจนำพาความเดือดร้อนมาให้ ก็เป็นได้
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ Live
ตามมา Follow Instagram และ Facebook Fanpage
"ASTV ผู้จัดการ Live" กันได้ที่นี่!!
**สามารถส่งข่าวสารและเรื่องราวร้องทุกข์ในสังคมมาได้: astvmanager.live.lite@gmail.com
หรือ โทร.0-2629-4488 ต่อ 1477, Fax 0-2629-4754