“สู้ก็อยู่ ไม่สู้ก็ตาย” ในหัวของคุณพ่อวัย 34 ที่เพิ่งรู้ว่าคนรักป่วยเป็น “มะเร็งระยะสุดท้าย” คิดวนเวียนอยู่แค่นี้ เขาปาดน้ำตาแล้วเดินหน้าต่อทั้งที่ขาไร้เรี่ยวแรง แต่มรสุมก็ยังกระหน่ำซ้ำไม่หยุด อาการของภรรยาทรุด ต้องเตรียมเงินหลักล้านมารักษา ในขณะที่ตัวเองก็ถูกไล่ออกจากงาน
แต่สุดท้าย ด้วยวิญญาณของความเป็น “พ่อ” และ “สามี” ก็ทำให้ครอบครัวนี้หยัดยืนและกลับมายิ้มได้อีกครั้ง ด้วยคำสัตย์ที่เสาหลักปฏิญาณเอาไว้ในใจมาโดยตลอดว่า “ผมจะทุ่มเททำทุกอย่างเพื่อให้ได้ครอบครัวของผมกลับคืนมา!!”
มีแต่ “มะเร็ง มะเร็ง มะเร็ง”
“คุณมีก้อนเนื้อในตับค่อนข้างใหญ่ ขนาด 7 ซม. และเห็นเป็นจุดๆ อยู่ทั่วตัว” ผลอัลตราซาวนด์ทำให้โลกของ ตุลย์-วิทวัส โลหะมาศ และ นุ่น-สุพัฒชา ศรีสุวรรณ มืดดับลงทันที แม้ขณะนั้นจะยังไม่มีคำยืนยันจากปากแพทย์ว่าก้อนเนื้อที่ว่านั้นร้ายหรือดี แต่ทั้งคู่ก็รู้อยู่ในใจว่านี่คงไม่ใช่เรื่องดีแน่! ฝ่ายชายจึงได้แต่สงบใจ ขอคำอธิบายเพิ่มเติม แต่คำตอบที่กลับยิ่งทำให้ต้องคิดหนักไปกันใหญ่
“หมอยังตอบไม่ได้ อาจต้องส่องกล้องเพิ่มเติมถึงจะรู้ว่าเป็นอะไร” เมื่อถูกซักไซ้หนักๆ เข้า นายแพทย์คนเดิมจึงได้แต่ยื่นผลการตรวจซึ่งเต็มไปด้วยศัพท์ทางการแพทย์ที่คนทั่วไปอ่านไม่ออกให้ แล้วตอบว่า “คุณอยากรู้อะไรก็อ่านดูผลเองละกัน หมอบอกได้เท่านี้ และจะให้ตรวจแล็บเพิ่ม คุณโอเคมั้ย หรือจะนอนโรงพยาบาลสักคืนดี?”
ตุลย์จึงให้คำตอบแทนนุ่นซึ่งเป็นภรรยาว่า ขอตรวจเลือดเพิ่มแต่ไม่นอนโรงพยาบาลดีกว่า ระหว่างขับรถกลับบ้าน ในใจยังคงแคลงใจไม่หายว่าเหตุใดจึงอยากให้นอนที่โรงพยาบาล อาการหนักขนาดนั้นเชียวหรือ? สมองของเขาทำงานหนักจนหูอื้อไปหมด มีเพียงเสียงเดียวที่ได้ยินในตอนนั้นคือ เสียงของภรรยาที่กำลังนอนปวดท้องอยู่บนเบาะข้างๆ แล้วเอาแต่ร้องไห้ รำพึงรำพันว่า “เค้ายังไม่อยากตาย ลูกเค้ายังเล็กอยู่เลย พ่อแม่เค้าก็ยังไม่ได้อยู่สบาย เค้ายังไม่อยากตาย เค้าอยากอยู่กับลูก...”
ในวินาทีนั้นเอง คุณพ่อลูกสองเหมือนถูกตบหน้าให้ตื่นจากภวังค์ความสับสน กลับมาตั้งสติที่ไม่ค่อยจะมีเหลืออยู่สักเท่าไหร่ แล้วเริ่มหาคำตอบทุกอย่างด้วยตัวเอง
“ผมเพิ่งมาเข้าใจหมอทีหลังว่า หมอพูดไม่ได้ เพราะตรวจแค่นี้ เขาจะมาบอกว่าคุณเป็นมะเร็งมันไม่ได้ แต่วันนั้น ผมยังไม่รู้ไง ผมรู้แค่ว่า หมอกวนประสาทว่ะ (ยิ้ม) แต่ด้วยความที่ผมเป็นคนขี้สงสัย ไม่บอกไม่เป็นไร ผมก็เลยเอาค่าผลการตรวจไปเสิร์ชเอง แค่ 5 บรรทัดที่เขียนไว้เป็นภาษาอังกฤษนี่แหละครับ เป็นศัพท์ทางการแพทย์ทั้งนั้นเลย จนไปเจอที่เขาแปลเอาไว้ว่า “มีแนวโน้มจะเป็นมะเร็งแพร่กระจายมาที่ตับ” ยิ่งอยากรู้ไปใหญ่เลย”
“ความฟุ้งซ่านทวีคูณเลยทีนี้ (หัวเราะ)” นุ่น หรือที่ใครหลายคนรู้จักเธอในนาม “แม่นุ่น” ชื่อเดียวกับเพจบนเฟซบุ๊กที่มีคนติดตามเรื่องราวการรักษามะเร็งของเธอกว่า 1 แสนคน ช่วยเล่าต่อด้วยรอยยิ้มสดใส “วันนั้นนุ่นเห็นแล้วล่ะว่าเขาเครียดมาก เราเองก็อยากรู้ว่าตัวเองเป็นอะไร เสิร์ชดูในมือถือจากคำว่า “ตับโต” ว่าเกิดจากอะไรได้บ้าง ก็เจอแต่คำว่า “มะเร็ง มะเร็ง มะเร็ง” ดูจนเขาต้องเดินมาหาเราแล้วบอกว่า ดูแล้วมีแต่เครียด ไม่ต้องดูแล้ว ตั้งแต่วันนั้นมา นุ่นก็เลิกดูไปเลยค่ะ แล้วก็ไม่อ่านอะไรอีกเลยจนถึงวันนี้ ในเมื่อมันทำให้เราเครียด เราก็ไม่รู้จะดูไปทำไม”
หลังจากนั้น ชีวิตของแม่นุ่นก็เปลี่ยนไปตลอดกาล เข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ทั้งตรวจเลือด ซีทีสแกน แมมโมแกรม ตรวจอยู่หลายอย่าง อาการทรุดเข้าขั้นโคม่าอยู่หลายหน จนมาถึงขั้นตอนเจาะชิ้นเนื้อไปตรวจ จึงได้ทราบว่าแท้จริงแล้วเป็น “มะเร็งเต้านมชนิดลุกลามเร็ว” ในระยะสุดท้าย ลามไปถึงตับจนทำให้ตับโต ไม่ใช่มะเร็งตับอย่างที่เคยคาดการณ์เอาไว้ในตอนแรก
เตรียมไว้เลย 1 ล้านบาท!
“จริงๆ แล้ว นุ่นคลำก้อนที่หน้าอกได้นานแล้วแหละ แต่ด้วยความที่มันไม่มีความรู้สึกเจ็บ แล้วตอนนั้นน้ำนมเพิ่งหมดด้วยค่ะ ก็เลยคิดว่าไม่น่าจะมีอะไร คิดว่าคงปกติ เพราะเวลาแม่ให้นมลูก มันจะมีก้อนไตๆ ที่หน้าอก นุ่นเลยคิดว่าก้อนนั้นเป็นก้อนน้ำนมค่ะ เคยฟังจากคนอื่นว่า เวลาคนเป็นมะเร็งมันจะมีน้ำหนองไหลออกมา มีเจ็บเต้านม บางทีจะมีเลือดไหลออกมา แต่นุ่นไม่มี เลยไม่ได้คิดเลยว่าเราจะเป็นมะเร็ง แต่พอน้ำนมเริ่มหมด ช่วง ก.พ.-มี.ค. เราก็เริ่มมีอาการป่วยพอดี”
ในช่วงแรกที่อาการเริ่มฟ้อง นุ่นมีอาการแค่จุกเสียดท้องปกติ พอกินยาลดกรดแล้วก็หาย จึงไม่คิดว่าจะเป็นโรคร้ายแรงอะไร แต่ระยะหลังๆ เริ่มส่อเค้าไม่ดี “เริ่มเป็นถี่ จุกทุกวัน จู่ๆ จะเป็นก็เป็นขึ้นมา บางวันปวดข้างซ้ายบ้าง ข้างขวาบ้าง แต่ข้างขวาจะบ่อยหน่อย แล้วก็ปวดหัวด้วย ไปหาหมอ เขาบอกว่าเป็นเรื่องกรด ทานข้าวไม่ตรงเวลา ซึ่งก็ใช่ค่ะ เพราะเราทำเค้กขาย ยืนทำเค้กทั้งวัน เสร็จก็หอบไปขายที่ร้านตอนบ่าย กลับ 5 ทุ่ม กลับมาทำเค้กต่อถึง ตี 2 แล้วก็ต้องตื่นเช้า 7-8 โมงมาทำต่อ เป็นช่วงเปิดร้านใหม่ๆ เลยคิดว่าคงป่วยเพราะทำงานหนักเหมือนคนอื่นๆ”
มารู้ทีหลังว่า อาการท้องอืด-ท้องเฟ้อที่เป็นอยู่ เป็นผลมาจาก “ตับผิดปกติ” ก็ตอนได้พักปิดร้านไปเที่ยวช่วงเดือน มี.ค. ระหว่างนั่งสปีดโบ๊ตไปเสม็ดยกครอบครัว อาจเพราะแรงกระแทกจากเกลียวคลื่น จึงส่งให้อาการปวดท้องอย่างรุนแรงสำแดงฤทธิ์ออกมา จนเป็นที่มาของการตรวจหาสาเหตุและรู้ผลเรื่องตับโต และมาเฉลยว่าเป็นมะเร็งในที่สุด
“หมอนัดมาฟังผลอีกทีอีก 4 วันข้างหน้า แต่ผมรอไม่ไหว ด้วยความใจร้อนเลยไปขอผลมานั่งแปลเองก่อน และแนวโน้มผลการตรวจที่ออกมาทั้งหมดทุกครั้ง มันออกไปในทางมะเร็งหมดเลยทุกอย่าง ผลก็เป็นภาษาอังกฤษเหมือนเดิมและเป็นศัพท์เฉพาะทางด้วย แต่ผมอ่านรู้เรื่องแล้ว วันนั้นเก่งแล้วครับ (ยิ้ม) เลยได้รู้ว่าเขาเป็นมะเร็งเต้านมชนิดลุกลามเร็ว เบิกสิทธิอะไรไม่ได้เลย และต้องใช้เงินรักษาคอร์ส 1 ล้านกว่าบาท!”
ถ้าเป็นคนอื่น รู้ผลแบบนี้คงหงายหลังตึง แต่สำหรับตุลย์แล้ว เขาไม่ตื่นเต้นอะไรนัก เพราะตลอดทางการตรวจหาสาเหตุของโรคร้ายที่ผ่านมา ผู้ชายคนนี้เตรียมความพร้อมรับโรคมะเร็งอยู่เงียบๆ โดยไม่เคยปริปากบอกภรรยาเลยสักคำ
“เขาไม่ได้บอกนุ่นเองหรอก แต่นุ่นไปเล่นไลน์เขาแล้วเจอ เห็นเขาคุยกับน้องคนนึงที่เป็นดีเทลขายยาต้านมะเร็งค่ะ ก็เลยรู้ว่าผลออกมาไม่ดี” แม่นุ่นเผยความจริง ก่อนปล่อยให้เสาหลักของครอบครัวเป็นคนเล่ารายละเอียดเอง
“พาร์ตของเขา นุ่นเขาจะไม่รู้อะไรเลย เขามารู้อีกทีนึง ตอนกดโทรศัพท์ดูไลน์ของผมนั่นแหละครับ แต่พาร์ตของผม ผมทำงานหนักตั้งแต่วันแรกที่ไปตรวจ เริ่มค้นหาว่าต้องรักษายังไง หมอที่ไหนรักษาได้ดีที่สุด ใช้ยาตัวไหน แพงมั้ย เบิกสิทธิอะไรได้บ้าง ผมจะดำเนินการตรงนี้ของผมไปเงียบๆ ควานหา connection จนมาเจอน้องที่เขาขายยาให้กับโรงพยาบาลต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องมะเร็งโดยตรง ก็เลยเป็นคนที่ผมคุยกับเขาเกือบทุกวัน
ตั้งแต่ช่วงแรกๆ ผมเริ่มค้นข้อมูลเองจากผลการตรวจของแพทย์แต่ละครั้งว่ามันแปลว่าอะไร ก็เจอแต่ข้อมูลที่บอกว่า อาการแบบนี้ “ตาย” มากกว่า “อยู่” พอเริ่มเห็นแบบนั้น ปิดข้อมูลที่บอกว่าตายหมดเลย เริ่มหลอกตัวเอง แต่ก็พยายามที่จะต่อสู้กับตัวเองให้ยอมรับมันให้ได้
ตั้งแต่ไหนแต่ไรมา ผมเป็นคนที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตา ทุกเรื่องจะสร้างกำลังใจมาจากตัวเราเองก่อน พอมองดูรอบๆ ตัวก็เห็นลูกๆ กำลังวิ่งเล่นอยู่ มานั่งคิดดู มันจะมีใครวะที่จะมีศักยภาพ จะเป็นหัวเรือใหญ่แก้ปัญหานี้ให้ผ่านพ้นไปได้ ถ้าไม่ใช่เรา แต่มันก็จะมีเรื่องอะไรเข้ามาทำให้เสียใจเป็นระยะๆ แต่เราก็ต้องปาดน้ำตาแล้วก็ลุกขึ้นใหม่ให้ได้ตลอด”
โคม่า! เงินไม่มี งานไม่เหลือ
มรสุมลูกใหญ่ที่สุดที่ซัดเข้ามาให้หัวเรือใหญ่ของบ้านต้องเป๋ไป คงหนีไม่พ้นช่วงที่แม่นุ่นอาการทรุดหนักถึงขั้นโคม่า ต้องนอนให้ออกซิเจน ไหนจะเงิน 1 ล้านบาทที่ต้องหาเตรียมมาจ่าย ซ้ำร้ายคุณพ่อลูกสองยังถูกให้ออกจากงานอีก
“ช่วงที่นุ่นนอนแอดมิทที่โรงพยาบาล 10 วัน นอนให้ออกซิเจนหน้าดำหน้าแดงอยู่ จะรอด-ไม่รอด ก็ไม่รู้ กลับมาที่บ้าน เจ้านายโทร.มาบอกว่าเป็นช่วงปรับลดพนักงาน ขอให้ผมออกจากงาน ตอนนั้นอึ้งเลยครับ แต่มันหลายเรื่องแล้วที่อยู่ในหัว หัวเราเหมือนน้ำเต็มแก้ว ไม่สามารถรับความเครียดอะไรได้อีกแล้ว ก็เลยรู้สึกชาๆ แล้วก็ทิ้งเรื่องนี้ออกไปจากหัวเลย คิดว่าก็ดีสิ ต่อไปจะได้มาทุ่มเทเรื่องแฟนอย่างเดียว วันนั้นยังคิดเรื่องหาเงินไม่ออก แต่ก็คิดว่าเดี๋ยวค่อยๆ คิด คงคิดออกเอง
ปัญหามันมีเข้ามาเยอะมาก โดยเฉพาะปัญหาของคนที่ไม่รวยอย่างเรา แต่แล้วจะให้ทำยังไง จะอยู่เฉยๆ เหรอ วิธีคิดของผมคือ ผมกลับไปนั่งลิสต์ว่าตั้งแต่เด็กจนโต ผมมีความสามารถอะไรบ้าง ความสามารถเหล่านั้นข้อไหนผมพอจะหยิบมาทำเงินได้บ้าง ผมเคยไปกวาดขี้ไก่ที่เล้าไก่ ปิดเทอม ผมเคยไปอยู่ศูนย์ฮอนด้า ขายอะไหล่ ผมเคยเป็นพนักงาน เคยขายเสื้อผ้าตลาดนัด ผมเคยทำเค้ก ผมก็ไล่มันออกมา อันไหนคิดว่าจะเป็นเงินได้ ผมก็เลือกหยิบมาทำ ก็เลยได้ตรง “ผมทำเค้ก” มาใช้ แล้วก็พยายามทุ่มกับมันให้เต็มที่
พอเริ่มวางแผน ลงมือทำ ก็คิดต่อว่าจะทำยังไงให้มันได้ โพสต์ในเว็บฯ ที่เป็นร้านกาแฟก็น่าจะเวิร์กนะ หรือขายทางเฟซบุ๊ก มันก็เริ่มต่อยอดความคิดไปได้เรื่อยๆ แต่ถ้าเราจะมามัวแต่นั่งจมอยู่กับความเสียใจ ทำไมต้องไล่ฉันออกจากงาน เจ้านายใจร้าย บริษัทเฮงซวย มันก็คงไม่มีอะไรดีขึ้น”
แต่กว่าจะแกร่งได้อย่างที่พูด เบื้องหลังของตุลย์ก็เต็มไปด้วยบาดแผลและคราบน้ำตานับครั้งไม่ถ้วนเช่นกัน “ผมก็เสียใจครับ แต่จะเสียใจในแบบของผม ไปเสียใจที่อื่น ไปเสียใจในรถ เสียใจในห้องน้ำ หรืออย่างวันแรกที่ไปตรวจ หมอบอกว่ามีผลอ่านอยู่แค่นี้ ขึ้นรถมาเราก็ใจเสีย แต่เห็นนุ่นเขาร้องไห้อยู่ข้างๆ ผมก็ร้องไม่ได้”
ถึงแม้จะพยายามปิดบังบาดแผลสักแค่ไหน แต่ในฐานะคู่ชีวิตที่อยู่กินกันมากว่า 7 ปี ก็ย่อมรู้ใจกันเป็นธรรมดา “เขาจะไม่ร้องไห้ให้เราเห็น แต่กลับมาแล้วจะตาบวมตลอดค่ะ (หัวเราะ) อย่างวันที่รู้ผล เราโทร.ไปหาเขา เสียงเขาอึมครึมมาก เหมือนกำลังสูดขี้มูก (ยิ้มอย่างเอ็นดู) เราก็ถามเขา “ป๊า ร้องไห้เหรอ” เขาก็ทำเหมือนไม่ได้ยิน แต่นุ่นรู้แล้วแหละว่าเขาร้องไห้ พอได้ยินเสียงเขาสะอื้นเบาๆ เราก็น้ำตาไหลอยู่ปลายสายเหมือนกัน”
และไม่ว่าปัญหาที่เจอจะหนักหน่วงแค่ไหน ขอให้ท่องเอาไว้ว่า “มันต้องมีทาง ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง” นี่คือสิ่งที่ตุลย์ใช้บอกตัวเองมาตลอด “แต่ระหว่างที่กว่าจะค้นหาทางนั้น มันอาจจะเจออะไรบ้างก็ได้ ปัญหาใหญ่อย่างนี้มันไม่ได้แก้ภายในวันเดียวเสร็จหรอก เราก็ไม่ใช่หมอ ไม่ได้เป็นอัจฉริยะ ก็คิดแค่ว่า เออ... ถ้าวันนี้คิดไม่ออก เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยคิด พรุ่งนี้คิดไม่ออก ก็เมื่อรืน แต่เราก็พยายามวางแผนทุกอย่างมาตลอด
อันดับแรก เราต้องยอมรับความจริงให้ได้ก่อนว่ามันคือมะเร็ง แล้วก็ต้องค้นหาทางที่คิดว่าดีที่สุดให้ได้ แต่ช่วงยอมรับนี่แหละที่ยาก เพราะถ้ายอมรับไม่ได้ จะไม่มีสติคิดต่อไปเลยว่าจะต้องทำยังไง ต้องเชื่อความจริงที่ว่า “มะเร็งเป็นโรคน่ากลัว เป็นแล้วมีโอกาสตายสูง” และระยะสุดท้าย มีโอกาสที่จะมีชีวิตอยู่ได้เกิน 10 ปี มีอยู่ 10 เปอร์เซ็นต์
เพราะฉะนั้น 10 เปอร์เซ็นต์นี้ มันต้องมีถนนหนทางที่ถูกต้องไปให้ถึง ไม่ใช่ว่าคุณไปหาหมอพระรูปนี้มาก่อนเดือนนี้ เดือนหน้าไปหาพระรูปนั้น กลับมาอีกทีอาจจะเละแล้วก็ได้ ถ้าเลือกทางผิด เราอาจจะไปไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์นั้น งั้นมันต้องมีวิธีการที่ถูกต้องสิ ให้ไปให้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์นั้น
ผมต้องมานั่งคิดว่า ทำยังไงให้ไปให้ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ คือ 1.ตรวจยังไงให้ผลออกมาเร็ว เราก็มีข้อจำกัดอยู่ว่า เราไม่ได้มีเงินเยอะถึงขนาดไปตรวจที่บำรุงราษฎร์ ตรวจภายในวันเดียวเสร็จ 2.ตรวจแล้วจะรักษายังไงกับหมอที่ดี โรงพยาบาลที่พร้อม และมีค่าใช้จ่ายยังไงบ้าง
ต้องวางแผนและค่อยๆ สับออกมาเป็นแผนย่อยๆ ถ้าที่ไหนบอกว่าต้องรอคิว 3 อาทิตย์ ผมไม่เอาเลยนะ เปลี่ยนโรงพยาบาลเลย เพราะเรารู้แล้วว่าไม่ว่าจะรักษาโรงพยาบาลไหน สูตรยามะเร็งก็เหมือนกัน งั้นเลือกโรงพยาบาลที่ให้คิวได้เร็วที่สุด เหมือนจับปูใส่กระด้งน่ะครับ เอาทุกอย่างมารวมกันก่อน แล้วมาเลือกตัวที่ดีที่สุดทีละตัว”
อ่านมาถึงตรงนี้ หลายคนคงอยากมอบตำแหน่ง “สามีที่แสนดี” และ “คุณพ่อที่แสนอบอุ่น” ให้กับผู้ชายคนนี้ แต่คนถูกชมขอค้านเสียงแข็งว่าเขาไม่ได้รักครอบครัวมากกว่าผู้ชายคนอื่นเลย
“เพียงแต่ว่าเราอยู่ด้วยกันมาอย่างนี้นานแล้วครับ อยู่ตั้งแต่อพาร์ทเมนต์ 4,000 บาท มีพ่อ มีแม่ มีลูก เขาอาบน้ำให้ลูก ผมก็ช่วยอาบ เขาป้อนข้าวลูก ผมก็ป้อน เขาให้นมลูก ผมก็ให้ (ยิ้ม) แต่เขาให้จากเต้า ผมให้นมจากขวด มันเลยขาดใครไม่ได้สักคน ก็เลยต้องสู้อย่างเดียวครับ เพราะไม่สู้แล้วยังไง ถอยไม่ได้ ถอยเขาก็ตาย มันไม่มีทางเลือกอื่น แต่แค่ต้องสู้ในวิธีที่ถูกต้องและฉลาดที่สุด”
“น้ำใจออนไลน์” ให้ “แม่นุ่นสู้มะเร็ง”
“ตัวอักษร” คือหนึ่งในวิธีสู้ที่ฉลาดที่สุดวิธีหนึ่ง ซึ่งตุลย์ไม่เคยคิดว่าจะผันมาทำเงินให้เขาได้อย่างทุกวันนี้ เรื่องราวที่เขาบอกเล่าเกี่ยวกับขั้นตอนการรักษาโรคมะเร็ง ผ่านแฟนเพจ “แม่นุ่น” มีคนกดไลค์และเข้ามาตามอ่าน ให้กำลังใจ และแชร์กันต่อไปเรื่อยๆ จากหลักร้อย สู่พัน กลายเป็นหมื่น เป็นแสน
บันทึกเส้นทางการรักษาผ่านสายตาของผู้ดูแลอย่างตุลย์ได้รับความนิยมมากจนถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือ “คุณแม่สู้มะเร็ง” ออกมา เพื่อเป็นวิทยาทานและเป็นเหมือนแผนที่คร่าวๆ ให้ผู้ป่วยที่ต้องเผชิญกับโรคร้ายชนิดเดียวกัน สามารถคลำทางเดินของตัวเองไปได้ถูก อย่างน้อยๆ ก็อาจช่วยให้ไม่หลงทางอยู่ในวังวนแห่งความมืดมนนานนัก
“มันคือประสบการณ์ครับ ตั้งแต่วินาทีแรกที่รู้ว่าเป็นมะเร็งว่าผมเจอกับอะไรบ้าง ปัญหาระบบสุขภาพ บัตร 30 บาท ฯลฯ และแก้มันยังไง หมอหลายๆ คนที่อ่านบอกเลยว่า นี่มันเป็นคู่มือของคนเป็นมะเร็งได้เลยนะ อย่างน้อยก็น่าจะช่วยให้คนที่มึนตึ้บตั้งหลักได้นะครับ”
ย้อนกลับไปในตอนตั้งเพจบนเฟซบุ๊กขึ้นมา ในตอนนั้นเขาแค่อยากบอกเล่าวิธีคิดของตัวเองฝากเอาไว้บนโลกออนไลน์ด้วยเหตุผลส่วนตัวที่ว่า “ผมไม่อยากเล่าเรื่องนี้บ่อยๆ ครับ เพราะจะมีญาติๆ โทร.มาถามตลอด และตอนนั้นผมปิดตัวมาก ไม่อยากคุยกับใครเลย รู้สึกแค่อยากอยู่กับลูกกับเมีย อยากให้เวลาให้คุ้มค่าที่สุด”
ถึงตอนนี้ ไม่เพียงแต่ตัวอักษรในหน้าเพจ “แม่นุ่น” เท่านั้นที่ผันมาเป็นเงินได้ แต่กิจกรรม “การประมูล” ในนั้นก็ถือว่าช่วยเหลือครอบครัวได้มากทีเดียว
“จริงๆ แล้ว ผมไม่เคยขอเงิน ขอของประมูลจากใครเลยนะ เพราะผมกลัวที่สุดว่าจุดประสงค์ของเพจที่ผมตั้งมันจะถูกบิดเบือนไปเป็นอย่างอื่น แต่พอเขามาอ่านแล้วเห็นว่าเราออกจากงาน แฟนเข้าโรงพยาบาล ก็มีคนมาเมนต์ว่า ช่วยบอกเลขบัญชีหน่อยเถอะ อยากช่วยจริงๆ ผมเลยเริ่มเขียนประกาศว่าผมไม่ได้ทำเพจมาเพื่อหาเงิน แต่ถามว่าผมเดือดร้อนมั้ยตอนนั้น ผมก็ต้องบอกว่าใช่ แต่ถ้าใครอยากจะช่วย ผมก็ยินดีครับ
ถือว่าเราได้รับกำลังใจจากตรงนี้เยอะนะ นุ่นเขาซึมซับเยอะมาก ผมเองไม่เคยคิดว่าจะมีคนสนใจติดตาม ก่อนหน้านี้ ผมจะคิดเสมอ พูดภาษาหยาบๆ เลยว่า “ลำพังลูกเมียกู กว่าจะรอดแต่ละเดือนก็หมดไปเยอะ แทบจะไม่เหลือละ คนนั้นคนนี้ที่ป่วย ไม่รู้จริง-ไม่จริง หลอกเงินหรือเปล่าวะ” แต่ถึงวันนี้ผมรู้แล้ว ตอนนี้ผมก็มีช่วยผู้ป่วยคนอื่นอยู่บ้างเหมือนกันครับ เวลาผมได้อาหารเสริม บางอันไม่กิน ผมก็ส่งไปให้เขา ผมอยากได้รถเข็น พอบอกว่าอยากได้ปุ๊บ มาเป็น 10 เลย ผมก็จดไว้ แล้วถ้าใครอยากได้ เราก็ใช้ตัวเองเป็นช่องทาง กระจายของพวกนี้ให้คนที่เขาอยากได้ของพวกนี้แล้วไม่มีหนทาง เราก็เอาไปให้เขา”
เริ่มเผื่อแผ่ให้แก่คนอื่นได้แล้ว แต่ไม่ได้หมายความว่าครอบครัวนี้สบายแล้ว “ต้องบอกว่าตัวเราเองก็ลำบากอยู่ และยังไม่รู้จะต้องรักษาอีกกี่ปี ตอนนี้ค่ายาแต่ละเดือนก็ 120,000 แล้ว ยังไม่รวมค่าบ้านค่ารถที่ต้องผ่อน ลูกยังต้องเรียนหนังสือครับ แต่ทุกวันนี้ผมคิดว่าเราต้องช่วยเหลือตัวเองเป็นหลักอยู่ตลอด ผมต้องทำเค้ก ต้องเข้าใจว่าเฟซบุ๊ก โซเชียลมีเดียมันคือกระแส มีขึ้นก็ต้องมีลง แต่นุ่นเขาต้องรักษาไปอีกไม่รู้กี่ปี 5-10 ปีหรือเปล่า อาชีพนี้แหละมันคือความมั่นคงที่จะทำให้รอดไปในระยะยาว”
ถามตรงๆ ว่าทุกวันนี้ เผื่อใจรับความผิดหวังเอาไว้แค่ไหน? ผู้ชายที่อยู่ตรงหน้านิ่งไปพักนึง ก่อนยิ้มบางๆ แล้วตอบว่า “ก็เผื่อเหมือนกันนะ ผมอยู่กับหลักความเป็นจริงอยู่แล้วครับ คือเผื่อใจได้ แต่อย่าเยอะ ไม่งั้นจะทำให้เราไม่สู้เต็มร้อย สู้แบบเผื่อๆ สำหรับผม ผมจะมองว่าความหวังมันมีเสมอ ขอให้เราอดทนและค่อยๆ ทำไป ผมก็สู้ในส่วนของผม ในส่วนของนุ่น ก็ขอแค่เขาอดทนครับ สิ่งเดียวที่ผมช่วยเขาไม่ได้คือความอดทน นอกนั้นผมทำได้หมด เพราะถ้าเขาโบกมือลาเมื่อไหร่ ทุกอย่างก็จบ”
และแน่นอนว่า ผู้หญิงแกร่งคนนี้ย่อมไม่ยอมยกธงขาวง่ายๆ เช่นกัน จากล้มหมอนนอนเสื่อ ตอนนี้ก็สู้จนลุกขึ้นมาเดิน กวาดบ้าน ทำเค้ก ทำทุกอย่างเองได้อย่างกระฉับกระเฉง ขนาดว่าให้เล่าช่วงเวลาที่เศร้าที่สุด เธอยังเล่าไป ยิ้มไป พูดติดตลกไปด้วยจนจบบทสนทนา
“วันนั้นเพิ่งทำคีโมฯ มาค่ะ กลับมาจากโรงพยาบาล ส่องกระจกแล้วรู้สึกว่าตัวเองขี้เหร่มากเลยอ่ะ (หัวเราะ) ผมเหลืออยู่หรอมแหรมมาก เราก็บอกเขาว่า “เฮ้ย! เค้าเหมือนผีอีเม้ยเลยอ่ะป๊า” (ยิ้ม) เขาก็บอกว่าถ้าไม่อยากเป็นผีเม้ยก็ให้มาโกนผม เขาก็โกนผมให้ ตอนโกน น้ำตาเราก็ไหลเหมือนกันนะ แต่พอโกนแล้ว มามองอีกทีก็รู้สึกว่ามันดูดีกว่านะ เอ้อ! ทำไมเราไม่โกนตั้งแต่ทีแรกนะ นุ่นมองทุกอย่างให้มันเป็นเรื่องขำน่ะค่ะ เปรียบเทียบตัวเองเป็นผีตัวนั้นตัวนี้บ้าง บางทีก็เอาผ้าห่มมาคลุมโปง หลอกผีลูก ลูกก็ขำ
ช่วงที่อาการแย่มากๆ ก็มีนะ เวลานุ่นให้คีโมฯ แล้วจะเจ็บปากมาก ทานอะไรไม่ได้เลย กินน้ำยังกินไม่ได้เลยค่ะ กลืนแล้วเจ็บเข้าไปถึงในคอ บางทีกินข้าวไปคำนึง 2 คำ น้ำตาร่วงละ พอไม่มีแรงมากๆ บางทีล้มตึงไปเลยก็มี
แต่ก็ไม่ได้คิดท้อหรืออะไรนะ ไม่เคยเบื่อตัวเอง คิดแค่ว่า เออ... เดี๋ยววันนี้ก็ผ่านไปละ เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันก็ดีขึ้น วันไหนไม่ไหว ก็แค่บอกให้เขาพาไปให้น้ำเกลือ เดี๋ยววันถัดไปเราก็ดีขึ้นเอง นุ่นว่าถ้าเรายอมรับความจริงได้ เราก็จะไม่เครียดและไม่จมปลักกับมันค่ะ”
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LITE
เรื่อง: อิสสริยา อาชวานันทกุล
ภาพ: พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพและข้อมูลบางส่วน: เพจ “แม่นุ่น” และ หนังสือ “คุณแม่สู้มะเร็ง”