ยังจำเสียงใสๆ ของนักร้องหน้าหวานคนนี้กันได้ไหม "บัวชมพู ฟอร์ด" หลังประกาศเว้นวรรคงานในวงการและรับบทคุณแม่มือใหม่ ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนแปลงไปมาก จากที่เคยใช้ชีวิตเพื่อตัวเอง แปรเปลี่ยนมาเป็นการทุ่มเทชีวิตเพื่อลูก และสามีในฐานะ "ผู้สร้าง" และ "ผู้ดูแล"
ครั้งนี้นับเป็นโอกาสอันดีของ M-Open ที่ได้พบเธอในงานเสวนา 20 ปีแพรวเพื่อนเด็ก และงานเปิดตัวหนังสือชุด นิทานเด็กดี กับ ว.วชิรเมธี และนี่คือการล้วงลึกบทบาทคุณแม่ที่จะทำให้เห็นถึงความรัก และความทุ่มเทในการเลี้ยงลูก รวมถึงแง่มุมความคิดของอดีตนักร้องหน้าหวานท่านนี้กันมากขึ้น
ชีวิตวันนี้ของ "บัวชมพู"
จากเด็กสาวตัวเล็กๆ ที่ชอบทำงาน และมีความสุขกับการร้องเพลง หลังตัดสินใจอำลาวงการไปมีชีวิตคู่กับ "คุณช้าง-สมประสงค์ สหวัฒน์" ผู้บริหารระดับสูง บริษัท วนชัย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) และมีครอบครัวด้วยกัน ชีวิตก็มีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่โตขึ้น
"ปกติแล้วบัวเป็นคนชอบทำงานค่ะ ไม่ค่อยได้อยู่บ้านสักเท่าไร แต่พอแต่งงานแล้วชีวิตของบัวเปลี่ยนไปมาก เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของชีวิตบัวเลยก็ว่าได้ พอมามีลูกและกลายเป็นคุณแม่ ชีวิตก็อยากอยู่กับลูก และดูแลลูกมากขึ้น" คุณแม่หน้าหวานเริ่มเล่า
เธอขยายความต่อไปถึงการได้อยู่กับลูกว่าเป็นความสุขที่ไม่อยากออกไปไหนเลย
"ถ้าพูดถึงความสุขแล้ว มันมีมากกว่าความเหนื่อยนะ เพราะได้เห็นเขาเปลี่ยนแปลงไปทุกวัน มีพัฒนาการที่ดีขึ้น เวลาเขาอยู่กัน 3 คนนี่วุ่นวายมาก คนเล็กก็อยากเล่นกับคนโต คนโตก็อยากเล่นกับคนเล็ก บรรยากาศแบบนี้มันก็เป็นความสุขที่เรียกได้ว่าไม่อยากออกจากบ้านไปไหนเลย ทั้งๆ ที่ตัวบัวเองเคยเป็นคนทำงานนอกบ้านตลอด แต่พอถึงจุดๆ หนึ่งที่เราตัดสินใจแล้วว่าจะเป็นแม่คน บัวก็หยุดทุกอย่าง และอยู่บ้านเลี้ยงลูก"
แต่เมื่อถามถึงความเหนื่อย แน่นอนว่าเป็นสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนต้องเผชิญ เช่นเดียวกับคุณแม่ท่านนี้ที่ดูเหมือนจะเหนื่อยกว่าครอบครัวอื่นๆ หลายเท่า เพราะมีลูกแฝดที่ต้องเลี้ยงดูไปพร้อมๆ กับลูกชายอีกหนึ่งคน
"ตอนนี้คนโต (แมตต์) เกือบจะ 4 ขวบแล้ว ส่วนลูกแฝด (มาร์กซ์ กับเหมา) กำลังจะ 7 เดือนค่ะ ถ้าจะพูดถึงความเหนื่อยนี่ก็..แทบจะเหนื่อยที่สุดในชีวิตเลยนะคะ คือปกติจะอยู่กับตัวเองเนอะ ทำโน้น ทำนี่ก็เหนื่อยแค่คนเดียว แต่ทุกวันนี้ วันที่ได้เป็นแม่ของลูก 1 คน และแฝดอีก 1 คู่ เหนื่อยนะ เหนื่อยจริงๆ
อย่างเวลาที่ลูกป่วย พูดได้เลยว่าเหนื่อยสุดๆ เหนื่อยทั้งกาย และใจ คือบัวสงสารลูกมากค่ะ จากที่ไม่เคยไอ เขาต้องมาไอ คอกๆๆ เห็นแบบนี้แล้วคุณแม่อย่างเราก็ปวดใจนิดนึงนะ หรือช่วงที่ให้นมลูกแฝด เป็นอะไรที่เหนื่อยสุดๆ เลยค่ะ เพราะต้องให้ 2 คนพร้อมกัน และคนโตก็ป่วนมาก (ลากเสียงยาว) ตอนนั้นต้องแบ่งความสนใจให้ได้สัดส่วนที่เหมาะสมทีเดียว เพราะไม่เช่นนั้นคนโตก็จะงอน" เธอเล่าถึงความเหนื่อย
กระนั้น แม้จะเหนื่อยแสนเหนื่อยขนาดไหน แต่เพื่อลูก เธอยอมได้เสมอ เพราะขนาดแม่คนเดียว ยังเลี้ยงเธอให้เติบโตขึ้นมาได้ อีกทั้งเวลาเหนื่อย หรือท้อแท้ คุณแม่ไม่เคยแสดงความเศร้าใจ เสียใจให้ลูกเห็นเลยสักครั้ง ดังนั้น แม่จึงเป็นฮีโร่ และเป็นต้นแบบที่ทำให้เธอเห็นว่า เราสามารถยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง และดูแลครอบครัวได้อย่างมีคุณภาพ
ตามไปดูวิธีเลี้ยงลูกของครอบครัวนี้
เมื่อถามถึงสไตล์การเลี้ยงลูกของบ้านนี้ มีหลักคล้ายๆ กันกับแม่ที่เลี้ยงเธอมา โดยจะเน้นสอนลูกให้มีความกล้าหาญ แต่ไม่ก้าวร้าว รวมไปถึงการปลูกฝังให้มีทัศนคติที่ดี
"บัวให้ความสำคัญกับการปลูกฝังทัศนคติลูกมากกว่าค่ะ อยากให้เขามีความกล้า แต่ไม่ก้าวร้าว มีจินตนาการ หรืออะไรก็ตามที่เป็นไปในแง่บวก อย่างเวลาไปหาคุณหมอ และจะต้องฉีดยา ลูกชายคนโตนี่ไม่กลัวเลย เพราะที่บ้านเราจะสร้างความประทับใจในครั้งแรกให้รู้ว่า ไม่น่ากลัวเลย เจ็บนิดเดียว จากนั้นก็จะให้ขนมเขาเป็นรางวัล คือบัวจะไม่หลอกหรือทำให้ลูกกลัว เช่น ถ้าดื้อจะถูกจับฉีดยานะ นอกจากนั้นจะสอนให้เขาเป็นเด็กอ่อนน้อมถ่อมตน พูดมีหางเสียง มีน้ำใจ ช่วยเหลือผู้ใหญ่ ซึ่งเราจะสอนเขาเวลาอยู่ที่บ้านเป็นปกติอยู่แล้วค่ะ" เธอเผย
ดังนั้น บ้านในความหมายของเธอ จึงเป็นโรงเรียนที่ดีที่สุดที่จะสอนเรื่องความรัก ที่ไม่ได้หมายถึงการรับความรักจากผู้อื่น แต่ยังครอบคลุมไปถึงการหยิบยื่นความรักให้ผู้อื่นด้วย ส่วนความคาดหวังในตัวลูกชายทั้ง 3 คน เธอในฐานะคุณแม่ ไม่ได้บังคับว่าลูกจะต้องเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ แต่จะปล่อยให้ลูกเป็นคนคิด และตัดสินใจเลือกเอง
ลูกน่ารักตอนไหน
เมื่อถามถึงความน่ารักของลูกว่าน่ารักตอนไหน เธอนิ่งคิดก่อนจะเล่าความน่ารักของน้องแมตต์ ลูกชายคนโตให้ฟัง
"ความน่ารักจะเป็นเรื่องของเด็กช่างพูดค่ะ พูดทุกวัน อ้อนทุกวัน และที่สำคัญ เขาจะเป็นเด็กที่ชอบผู้หญิงเซ็กซี่มาก (ลากเสียงยาว) อย่างเวลาเห็นผู้หญิงผมยาว แต่งหน้าสวยๆ เดินมา เขาก็รู้สึกชอบ และมองตาม หรือเห็นนางแบบตามนิตยสาร เขาก็จะถามเราว่า หม่ามี้ ทำไมหม่ามี้ไม่ใส่แบบนี้บ้างอ่ะ ชุดบิกินี่อ่ะครับ เวลาไปว่ายน้ำ ต้องใส่บิกินี่นะ
คือเราฟังแล้ว แบบว่า เอ่อ..ลูกฉัน ไม่เว้นแม้แต่เพื่อนแม่ที่สวยๆ น่ารักๆ ก็มาสะกิดอยากได้เบอร์ และคุยเฟซไทม์ (หัวเราะ) คือมันก็ขำนะ แต่อีกอารมณ์หนึ่งก็แอบกลุ้มใจ (หัวเราะ) เพราะเด็กยังขนาดนี้แล้วโตขึ้นจะขนาดไหน คือตอนนี้ก็ต้องคุมให้ดีๆ ปล่อยไม่ได้เด็ดขาด" เธอเล่า
ถามต่อไปเล่นๆ ว่า 3 คนพอไหม อยากจะมีเพิ่มอีกหรือไม่้ เธอบอกว่า "ตอนนี้พักก่อน 3 คนแล้วนะคะคุณน้อง ไม่ไหวมั้งค่ะ"
เลี้ยงลูกในยุคที่โลกหมุนเร็ว
อย่างไรก็ดี หัวใจในการเลี้ยงลูกที่เธอให้ความสำคัญมาตลอดก็คือ ความรัก และความเข้าใจ เพราะเธอมองว่า การเลี้ยงลูกให้เติบโต และไปได้กับโลกเบี้ยว ๆ ใบนี้ถือเป็นความท้าทายอย่างมาก เพราะสังคมโลกทุกวันนี้เต็มไปด้วยภัยอันตราย และความเสี่ยงที่ล้วนสร้างความหนักอกหนักใจให้แก่พ่อแม่อยู่มากมายหลายเรื่อง หากไม่มีการเตรียมพร้อมเด็กสำหรับอนาคต อาจเสี่ยงต่อการถูกเหวี่ยงไปตามความเปลี่ยนแปลงนั้นได้ตลอดเวลา
"พ่อแม่ยุคนี้ ต้องใช้ความรัก และความเอาใจใส่มาก ๆ เพราะมีอะไรเข้ามานิดนึงก็สามารถฉุดลูกไปได้ง่ายๆ แล้ว อย่างสื่อสมัยใหม่ เช่น ยูทิ้วบ์ ดูแปปเดียวก็จำเอามาเลียนแบบละ มีครั้งหนึ่งลูกชายดูคลิปขี่จักรยานหกล้มแล้วกลายเป็นเรื่องตลก เขาก็เอามาทำตาม ซึ่งเราก็สอนว่า ถ้าเอามาทำตามน้องแมตต์อาจเจ็บตัวได้นะลูก นี่คือตัวอย่างที่เห็นว่า เราต้องอยู่ใกล้เขาตลอดเวลา คอยให้คำแนะนำเขาตลอดเวลา เพราะสมัยนี้อะไรมันเข้าถึงเด็กได้เร็วมาก พ่อแม่ยุคนี้ต้องรับบทหนักหน่อยนะบัวว่า โดยเฉพาะเวลาที่ควรจะให้ลูกพอสมควรเลยค่ะ"
ทุกวันนี้ครอบครัว "สหวัฒน์" จะใช้เวลากับลูกค่อนข้างมาก โดยเฉพาะคุณสามีที่หากวันไหนไม่ติดธุระอะไรก็จะรีบกลับบ้านมาเล่นกับลูก หรือในช่วงวันหยุดพักผ่อนก็จะมีโปรแกรมพาครอบครัวออกไปรับประทานอาหารนอกบ้านหรือไปเที่ยว และทำกิจกรรมสนุกๆ ร่วมกัน
"บัวกับพี่ช้าง เราไม่ค่อยมีเวลาส่วนตัวด้วยกันเลยค่ะ ถามว่าเขาน้อยใจไหม เขาเข้าใจค่ะ อย่างช่วงให้นมลูก เราก็จะบอกเขาอยู่แล้วว่า เราไปไหนไม่ได้นะ ซึ่งจริงๆ แล้ว เราต่างหากเป็นฝ่ายอยากไป แต่เขาอยากอยู่กับลูก (หัวเราะ) ทุกวันนี้ก็ไปเที่ยวกัน แต่ไปเที่ยวในแบบครอบครัว พ่อแม่ และลูกๆ นอกจากนี้ยังมีพี่เลี้ยง คุณย่า คุณน้าไปเที่ยวด้วย กลายเป็นการท่องเที่ยวที่สนุก และอบอุ่นมากค่ะ" เธอเล่า
บ้านนี้เขาไม่ตีลูกกัน
ถ้าพูดถึงการลงโทษเด็ก "ไม้เรียว" มักเป็นตัวเลือกแรกๆ รองจากฝ่ามือ แต่สำหรับครอบครัวนี้ ไม่เชื่อว่าการลงโทษด้วยความรุนแรงจะเกิดผลในทางบวกแก่เด็ก แต่การใช้วิธี Time Out หรือการให้เด็กได้พักสงบสติอารมณ์ รวมถึงให้เด็กได้สำนึกผิดกับสิ่งที่ตนเองทำลงไปในระยะเวลาที่เหมาะสมกับอายุ เป็นวิธีหนึ่งในการปรับพฤติกรรมที่ดีกว่าการใช้ไม้เรียว
"บัวไม่ตีลูกค่ะ แต่จะใช้วิธีไทม์ เอาท์ คือ ถ้าทำผิดก็ให้ไปอยู่มุมนั้นคนเดียว ไม่มีใครยุ่งด้วย ซึ่งเขาก็จะรู้ตัวนะคะ มีอยู่วันหนึ่ง ตลกมาก เขารู้สึกว่าเขาเป็นเด็กไม่ดี เขาก็เข้ามาบอกเราว่า เขาจะขอไทม์ เอาท์ตัวเอง (หัวเราะ) และเขาก็จะไปยืนอยู่ในมุมนิ่งๆ คนเดียว (หัวเราะยาว)"
อย่างไรก็ดี แม้ว่า time out จะเป็นวิธีหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ก่อนจะมี time out ต้องมี time in ก่อน คือ เวลาที่ดีร่วมๆ กัน เด็กต้องมีความผูกพันกับผู้ที่จะลงโทษเขาก่อน มีความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า มีคนรัก เขาถึงจะมีพฤติกรรมที่ดีหลังทำ time out
"ปัจจุบันน้องแมตต์เรียนที่อีแอลซีค่ะ เป็นโรงเรียนอินเตอร์ค่ะ ถามว่าเลี้ยงยากไหม ไม่นะคะ เขาเป็นเด็กที่พูดรู้เรื่องค่ะ แต่อาจจะแรงเยอะไปหน่อย ต้องเข้าให้ถูกทาง ถ้าเข้าให้ถูกทางแล้วจะเลี้ยงง่ายค่ะ แต่ถ้าเข้าผิดทางเมื่อไร จะดื้อ และเลี้ยงยากไปเลย หลักๆ แล้วต้องปล่อยเขาค่ะ เห็นด้วยกับเขา ไปในทิศทางเดียวกับเขา ที่บ้านจะไม่พูดว่า 'ไม่' เพราะถ้าพูดว่าไม่ จะเป็นตรงกันข้ามทันที แต่ถ้าเรามีเทคนิค เช่น อันนี้ก็ดีนะ อันนี้น่าจะดีกว่า ลองชิมไหม (ทำเสียงน่ารักแบบเด็กๆ) เขาก็ไปในทิศทางที่เราต้องการ ต้องมีเทคนิคค่ะ" คุณแม่คนสวยบอก
อนาคตต่อจากนี้..
วันนี้ ไม่เพียงแต่ความทุ่มเทเพื่อลูกเท่านั้น เธอยังมีแพลนว่าจะทำธุรกิจเสื้อผ้าด้วย
"ตอนนี้นอกจากเป็นคุณแม่เลี้ยงลูกแล้ว บัวกำลังทำแบรนด์เสื้อผ้าค่ะ ซึ่งทำกันหลายคน ส่วนฤกษ์เปิดตัวคงรอกันอีกสักนิดนึง เพราะตอนนี้เพิ่งเริ่มๆ ทำกันค่ะ"
ส่วนงานในวงการ เป็นสิ่งที่เธอคิดถึง และอยากกลับไปทำ แต่ขอเลี้ยงลูกให้โตกว่านี้ก่อน
"คืองานในวงการ เวลาเห็นคนอื่นทำแล้ว บัวก็รู้สึกอยากทำตลอด รู้สึกคิดถึงมากๆ แต่อีกใจก็ไม่อยากทิ้งลูกเลย เพราะชีวิตตอนนี้คงไม่ได้ใช้ชีวิตเพื่อตัวเองเนอะ แต่ใช้ชีวิตเพื่อลูก อะไรก็ลูกมาก่อนเสมอ อดหลับอดนอน อดข้าวก็ไม่เป็นไร พูดง่ายๆ คือ บัวเป็นคนห่วงความรู้สึกของลูกค่ะ เราอยากเลี้ยงเขาด้วยความรัก และความเข้าใจ อยากเห็นเขาทุกวัน เล่นกับเขา สนุกกับเขา เพราะบัวมองว่า ความรักของพ่อแม่จริงๆ มันคือความเสียสละเพื่อลูก
"เอาเป็นว่า ถ้าถึงจุดหนึ่งที่เริ่มจะปล่อยลูกได้แล้ว ก็อาจจะกลับไป ตอนนี้ขอเลี้ยง 3 หนุ่มก่อนเนอะ อีกอย่างการทำเพลง หรือเล่นละคร ไม่เพียงแต่ตัวเองที่พร้อมแล้ว ขึ้นอยู่กับโอกาสจากผู้ใหญ่ด้วย ถ้าอนาคตหวนคืนสู่วงการจริง ก็คงรอดูว่าผู้ใหญ่จะให้โอกาสไหม ให้บทอะไรมาเล่น เพราะบทในวัยแบบนี้แล้วก็ค่อนข้างยากนิดนึงนะ (หัวเราะ) บัวเองก็ไม่รู้จะไปอยู่ในตำแหน่งไหน" เธอเผยความรู้สึกก่อนจะฝากคำแนะนำไปถึงคุณแม่มือใหม่ทุกๆ ท่าน
"คุณแม่มือใหม่จะเครียด และไม่ค่อยมีเวลาให้กับตัวเอง บัวอยากให้ผ่อนคลายบ้างค่ะ นอนบ้าง พักบ้าง หาคนช่วยบ้างเพราะบัวเชื่อว่า เด็กจะปรับตัวได้ตามธรรมชาติของเขาเอง ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือตัวคุณแม่ ถ้าคนเป็นแม่สุขภาพทรุดก็จะส่งผลถึงตัวลูกด้วย"
////////////////////
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : บัวชมพู สหวัฒน์ (ฟอร์ด)
ชื่อเล่น : บัว
วันเกิด : 17 มีนาคม 2523
การศึกษา
- ปริญญาโท คณะนวัตกรรม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- ปริญญาตรี คณะศิลปศาสตร์การละคร มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
- มัธยมศึกษา โรงเรียนศึกษานารี
- ประถมศึกษาโรงเรียนศึกษานารี
- อนุบาลโรงเรียนอนุบาลลอออุทิศ
ผลงานละคร
- ผลงานละครเรื่อง ตี๋ตระกูลซ่ง
- ผลงานละครเรื่อง สะดุดรัก
- ผลงานละครเรื่อง เสน่ห์รัก นางซิน
- ผลงานละครเรื่อง นางนกต่อ
- ผลงานละครเรื่อง นังเหมียวย้อมสี
- ผลงานละครเรื่อง สงครามดอกรัก
- ผลงานละครเรื่อง กากเพชร
- ผลงานละครเรื่อง มัสยา
- ผลงานละครเรื่อง กิจกรรมชายโสด
- ผลงานละครเรื่องแรก คุณชาย
ผลงานเพลง
- ผลงานเพลง อัลบั้มร่วมกับเพื่อน ฟอร์ วูแมน โอนลี่ (พ.ศ. 2550) สังกัดแกรมมี่
- ผลงานเพลง อัลบั้มชุดที่ 4 ไบร์ทไซด์ (พ.ศ. 2549) สังกัด แกรมมี่
- ผลงานเพลง อัลบั้มชุดที่ 3 บัวตี้ฟูล โมเมนต์ (พ.ศ. 2547) สังกัดแกรมมี่
- ผลงานเพลงอัลบั้มชุดที่ 2 ซันไชน์เดย์ (พ.ศ. 2545) สังกัดแกรมมี่
- ผลงานเพลง อัลบั้มชุดแรก บัวชมพู (พ.ศ. 2544) สังกัดแกรมมี่
- ผลงานพิธีกร รายการ T-HEALTH
รางวัลที่ได้รับ :
- รางวัลลูกกตัญญู ปี 2549
- รางวัลเยาวชนดีเด่นแห่งชาติ ปี 2548
สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ LITE