สวยสมตำแหน่ง และสวยสมวัยจริงๆ สำหรับเจ้าของมงกุฎมิสทีนไทยแลนด์คนล่าสุด เจ้าหญิงวัยใสวันนี้ปรากฏตัวในชุดสีดำสุภาพเรียบร้อย แต่ความสวยโดดเด่นยังเป็นประกาย ร่างสูงเพรียว ผิวสีน้ำผึ้ง พร้อมรอยยิ้มแสนซนของน้องมะเหมี่ยว-พรชดา เครือคช วัย 15 ปี ยิ่งเพ่งพิศ ยิ่งทำให้รู้สึกอยากย้อนวันวานเป็นวัยรุ่นสุดสดใสเช่นเธอ
คว้ามงกุฎนางงามวัยใส
คว้ามงกุฎมิสทีนไทยแลนด์ การันตีความสวยน่ารักในวัยแรกรุ่นแล้ว เธอยังควบรางวัลขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน, มิสแม็กซิม คอนแทคเลนส์ และ มิส สวีท อายส์ สาวใสคนนี้ มะเหมี่ยว-พรชดา เครือคช ซึ่งเธอก็ไม่คาดคิดเช่นกันว่าความน่ารักสดใสจะสะดุดตาจนคว้าชัยชนะมาครอบครอง
"ตอนนั้นก็ตื่นเต้นค่ะ แล้วก็รู้สึกดีใจมากเลยค่ะ เพราะตัวเราก็ไม่นึกว่าตัวเองจะได้มาอยู่ในจุดๆ นี้เลย ไม่เคยคิดเลยค่ะว่าเราจะได้รางวัลหรือตำแหน่งอะไร คิดแค่ว่ามาเวทีนี้เพื่อหาประสบการณ์เท่านั้น แต่ยังไงก็จะพยายามทำหน้าที่ที่ได้รับมาให้ดีที่สุดค่ะ (ยิ้ม) แล้วการประกวด Miss Teen Thailand ก็ค่อนข้างเป็นเวทีการประกวดที่มีชื่อเสียงอยู่แล้ว มีการประกวดมานานหลายปีแล้ว อีกอย่างก็ค่อนข้างมีรุ่นพี่ดาราหลายคนเติบโตมาจากเวทีนี้ด้วยค่ะ"
สาวมะเหมี่ยวยิ้มด้วยแววตาสดใส ก่อนเล่าถึงที่มาว่า เริ่มแรกการสมัคร เธอแอบไปกรอกใบสมัครในอินเทอร์เน็ตก่อน แล้วค่อยไปบอกคุณพ่อ-คุณแม่ทีหลัง ซึ่งเวทีนี้เป็นเวทีแรกในการเปิดประสบการณ์ของน้องมะเหมี่ยว
"เวทีนี้ก็เป็นเวทีแรกของหนูเลยค่ะ ตัวเราก็คิดว่าอยากมาหาประสบการณ์ แล้วหนูตามรุ่นพี่มา รุ่นพี่ที่เป็นดาราอ่ะค่ะ (ยิ้มเขิน) เพราะหนูฝันเอาไว้ว่าอยากเป็นแบบพี่เซฟฟานี่ (Miss Teen Thailand ปี 2009) ที่ชอบพี่เค้า ติดตามพี่เค้า เพราะว่าเรารู้สึกว่าพี่เค้าเป็นทั้งผู้หญิงที่สวยและเก่ง แล้วก็เฟรนด์ลี่ด้วย เพราะหนูก็เคยเจอตัวจริงพี่เค้า ออกแนวเป็นแฟนคลับค่ะ ติดตามพี่เค้าอยู่ (หัวเราะ) ส่วนมากหนูก็จะชอบเข้าไปดูอินสตาแกรมพี่เค้า แล้วก็จะคอยตามไลค์รูปค่ะ ประมาณนี้ เพราะพี่เค้าถ่ายรูปสวยทุกรูปเลย คือจะชอบที่บุคลิก ท่าทางของพี่เซฟฟานี่เค้าค่ะ"
ความปลาบปลื้มในตัวสาวมิสทีนไทยแลนด์รุ่นพี่ จุดประกายให้เธอลองเข้ามาสมัครในเวทีนี้บ้าง ซึ่งสาวน้อยยิ้มเขินที่จะบอกว่า ความชื่นชอบนี้คิดว่าพี่ (เซฟฟานี่) เค้าคงไม่รู้ ดังนั้น เลยเปิดโอกาสเป็นสื่อกลางส่งสารจากน้องมะเหมี่ยวถึงพี่เซฟฟานี่ ว่าเธออยากบอกอะไรกับพี่สาวคนนี้
"ถ้ามีโอกาสได้บอกพี่เค้า ก็คิดว่าอยากขอถ่ายรูปด้วย อยากคุยด้วยค่ะ อยากทำความรู้จักพี่เค้าค่ะ เพราะหนูชอบและติดตามพี่เค้ามาตลอด ก็ชอบมานานแล้วด้วยสักประมาณปี-สองปีได้ แรงบันดาลใจจากพี่เค้าน่าจะเป็นตรงที่ความสวย ความเก่งค่ะ"
สำหรับเส้นทางในอนาคต น้องมะเหมี่ยวก็กล่าวแบบอายๆ ว่าก็อยากลองชิมลางงานละครอยู่เหมือนกัน
"พอมาได้ตำแหน่ง ใจหนูก็หวังอยู่นะคะ ว่าจะได้เป็นดารา ส่วนบทที่คิดว่าอยากเล่นก็น่าจะออกแนวหวานๆ เรียบร้อยๆ หน่อยค่ะ เพราะหนูเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่ง" (ยิ้ม)
คุยไปคุยมา เริ่มสังเกตหน้าตาของสาวน้อยคนนี้ดูคมเข้มมีเสน่ห์ เลยถามไปว่า มีเชื้อลูกครึ่งหรือเปล่า น้องมะเหมี่ยวส่ายหัวปฏิเสธเบาๆ
"หนูนี่อยู่กรุงเทพฯ ตั้งแต่เกิดค่ะ แล้วก็เป็นคนไทยแท้ด้วย หลายคนอาจจะมองว่าหนูหน้าตาเหมือนเป็นลูกครึ่ง แต่ที่จริงไม่ใช่ค่ะ" (ยิ้ม)
สำหรับเสน่ห์ของเธอคนนี้ ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเป็นสาวตาสวยโดยไม่ต้องพึ่งคอนแทกต์เลนส์ตาโตเหมือนวัยรุ่นคนอื่นๆ ซึ่งเธอเองก็เพิ่งมารู้ตัวว่าตาสวยก็เมื่อตอนประกวดนี่เอง
"เสน่ห์ที่ประทับใจบนใบหน้าเหรอคะ หนูคิดว่าน่าจะที่ดวงตาค่ะ ทั้งตาสองชั้น ตาโต แล้วก็ตาสีน้ำตาล เลยได้ตำแหน่งสาวตาหวานมาด้วย แต่ความจริงหนูก็ไม่รู้นะว่าตัวเองตาสวย เพราะคนอื่นๆ ในกองประกวดก็ตาสวยกันทั้งนั้นเลย ก่อนหน้ามาประกวดก็ไม่เคยมีใครบอกว่าหนูตาหวานนะคะ จะมีก็แค่ชมว่าเป็นคนตาคมอย่างเดียว แล้วหนูก็ไม่ได้ใส่คอนแทกต์เลนส์ด้วยค่ะ หนูใส่ไม่เป็น"
ครอบครัวอบอุ่น
ในตอนแรก สาวมะเหมี่ยวยอมรับว่า ทางบ้านไม่ค่อยสนับสนุนเธอเท่าไหร่นัก แต่เมื่อเข้ารอบคุณพ่อ-คุณแม่ ก็เตรียมพร้อมจะเอาใจช่วยเธออย่างเต็มที่
ตอนแรกทั้งคุณพ่อ-คุณแม่ ก็ไม่อยากให้เข้ามาประกวดสักเท่าไหร่ค่ะ คุณพ่อ-คุณแม่ จะเป็นห่วงเรื่องของการเรียนอ่ะค่ะ กลัวหนูจะเรียนตามเพื่อนๆ ไม่ทัน กลัวเรียนไปแล้วเกรดจะได้น้อยลง แต่พอเข้ารอบมาได้ก็เปลี่ยนมาสนับสนุน มาให้กำลังใจค่ะ"
นอกจากจะมีคุณพ่อ-คุณแม่ที่น่ารักแล้ว เธอยังมีพี่ชายจอมกวนอีกหนึ่งคนด้วย
"หนูมีพี่ชายอีกคนนึงด้วยค่ะ อายุห่างกันปีครึ่งค่ะ นิสัยเหมือนกันมั้ย ก็ไม่นะคะ เพราะพี่เค้าก็จะชอบแกล้งหนูค่ะ เราก็เลยจะแอบทะเลาะกันบ่อย (หัวเราะ) อีกอย่างคือพี่ชายจะชอบแย่งค่ะ แย่งพูดหมดเลย แล้วก็แย่งกิน ของอร่อยจะเอาไปหมดเลย จะเหลือแต่เศษผักให้หนู
หนูเลยจะเรียกพี่ชายว่าไอ้อ้วน เพราะว่าแต่ก่อนเค้าอ้วนค่ะ แต่ตอนนี้ไม่แล้วนะ ตอนนี้พี่เค้าผอมลงเยอะมาก ส่วนพี่เค้าจะเรียกหนูว่ามะตูด บางทีก็มะตูม คือพี่เค้าจะบอกว่าหนูหน้ากลมๆ บวมๆ แก้มตุ่ยๆ เค้าเลยจะชอบแซวหนูว่าหน้าเป็นตูด (ยิ้มเขิน) เพราะหนูจะชอบทำหน้าบึ้ง แล้วก็เป็นคนไม่ค่อยชอบยิ้มด้วยอ่ะค่ะ"
ถามถึงการเลี้ยงดูของคุณพ่อ-คุณแม่ สาวน้อยบอกว่า คุณพ่อ-คุณแม่ ไม่ค่อยโอ๋หรือตามใจ แต่ก็ไม่ได้ว่าดุกับเรามาก และลักษณะนิสัยบางส่วนของคุณพ่อ-คุณแม่ เธอก็ซึบซับเป็นนิสัยด้วย
"หนูคิดว่าหนูนิสัยก็เหมือนกับคุณพ่อ-คุณแม่ ทั้งคู่นะคะ เหมือนคุณพ่อตรงที่เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด ขรึมๆ ส่วนที่เหมือนคุณแม่ก็ตรงเป็นคนเจ้าระเบียบนิดนึง เห็นอะไรไม่เป็นที่ไม่เป็นทางไม่ค่อยได้ ต้องเก็บให้เป็นระเบียบตลอด"
อีกอย่างคือเธอเป็นสาวน้อยที่อยากมีพื้นที่เป็นส่วนตัวบ้าง สำหรับการอ่านหนังสือ ซึ่งมะเหมี่ยวก็เพิ่งขอมีห้องส่วนตัวเมื่อไม่นานมานี้
"ความรู้สึกหนู ที่บ้านจะเป็นแบบต่างคน ต่างอยู่อ่ะค่ะ แต่เวลามาเจอกันก็คุยกันปกตินะคะ อย่างหนูเองเนี่ยก็ขอแยกห้องออกมาคนเดียว ส่วนคุณพ่อ-คุณแม่ พี่ชาย จะอยู่ด้วยกันหมด หนูขออยู่ห้องคนเดียวมาประมาณปีนึงได้แล้วค่ะ ที่ขอแยกก็เพราะเวลากลางคืนเนี่ยคุณพ่อ-คุณแม่ จะดูทีวีค่ะ ส่วนพี่ชายก็จะเล่นเกม แล้วก็ทำเสียงดัง ส่วนหนูก็อยากอยู่เงียบๆ ทำการบ้าน อ่านหนังสือ พอหนูรู้สึกว่าไม่มีสมาธิ ก็เลยขอแยกห้องออกมาค่ะ"
เรียนดี กิจกรรมเด่น
ตอนนี้สาวมะเหมี่ยวกำลังศึกษาอยู่ชั้น ม.4 สายวิทย์-คณิตฯ โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี ซึ่งเธอพูดอย่างถ่อมตัวว่าเรียนได้ปานกลาง แต่พอถามถึงเกรดก็ต้องทึ่ง!! เพราะเธอเรียนได้เกรดสูงพอตัวทีเดียว
"ตอนนี้หนูเรียนอยู่ชั้น ม.4 สายวิทย์-คณิตฯ ค่ะ ก็น่าจะพอเรียนได้ปานกลางนะคะ ได้เกรดเฉลี่ย 3.88 ค่ะ แต่หนูเนี่ยมีความฝันอยากเป็นเชฟนะคะ ซึ่งมันก็ไม่น่าเกี่ยวกับสายวิทย์ฯ-คณิตฯ แต่ที่เลือกเพราะหนูเรียนแบบ English Program ไงคะ แล้วสายศิลป์-ภาษา อาจารย์ค่อนข้างจะโหด หนูก็เลยเลือกเรียนสายวิทย์-คณิตฯ ดีกว่า แล้วใจจริงหนูก็ชอบเรียนวิชาคณิตฯ นะคะ หนูคิดว่ามันเป็นวิชาที่เรียนแล้วสนุก ชอบฝึกสมองด้วยการคิดเลข อย่างถ้าวิชาการงาน หนูก็จะเรียนได้ไม่ค่อยเท่าไหร่ ตัวหนูจะชอบเรียนคณิตศาสตร์ เรียนวิทยาศาสตร์มากกว่า"
ด้านกิจกรรม น้องมะเหมี่ยวก็ทำได้ดี และส่วนมากก็จะถูกไหว้วานให้มาช่วยเป็นหน้าเป็นตาอยู่เสมอ
"สมัยเรียนหนูว่าหนูไม่ค่อยเป็นเด็กกิจกรรมเท่าไหร่นะคะ แต่ส่วนมากจะมีคนคอยช่วยดันให้มากกว่าค่ะ (ยิ้ม) อย่างส่งไปเป็นดรัมเมเยอร์ หรือบางทีให้ช่วยไปเล่นนั่นเล่นนี้ให้ แต่หนูก็ไปนะคะ (หัวเราะ) คือหนูว่าหนูเป็นคนขี้อาย แบบเป็นคนพูดน้อย ไม่ชอบเจอสังคมเยอะแยะ พอมาประกวดก็ต้องยิ้มให้เยอะมากขึ้นค่ะ ตอนนี้ก็เปลี่ยนตัวเองแล้ว (หัวเราะ) ที่เริ่มปรับตัวไม่ค่อยขี้อาย ก็หลังจากมาทำกิจกรรมที่ต้องเจอคนเยอะๆ อ่ะค่ะ อย่างเป็นดรัมเมเยอร์ ก็ได้เป็นตั้งแต่สมัยอนุบาล 3 ค่ะ ได้เป็นดรัมเมเยอร์ถือไม้เล็กๆ จากนั้นก็เป็นอีกตอน ป.2 - ป.3 แล้วก็มาเป็นอีกทีตอนม.1 - ม.3 แล้วก็นี่ล่าสุด ม.4 ก็กำลังจะเป็นดรัมเมเยอร์อีกค่ะ"
เรียกได้ว่าครองไม้คทาดรัมเมเยอร์มาตลอด น่าจะเรียกได้ว่าเป็นดาวดวงเด่นของโรงเรียน แต่ด้วยนิสัยนอบน้อมของเธอเลยรีบปฏิเสธทันควัน
"ก็ไม่ถึงขนาดเป็นดาวโรงเรียนอะไรนะคะ เพราะที่หนูได้มาเป็นดรัมเมเยอร์ เพราะพี่ๆ ในสีเค้าเลือก หนูยังไม่ได้เป็นขนาดดรัมเมเยอร์ของโรงเรียน จะเป็นแค่ดรัมเมเยอร์ของสีก่อน ซึ่งจะเป็นรุ่นพี่ในสีเดียวกันกับเราเป็นคนเลือกค่ะ ด้วยความที่สนิทกันกับรุ่นพี่ด้วยส่วนหนึ่งค่ะ แต่ว่าไม่ได้ใช้เส้นนะคะ พี่ๆ เค้าก็คงดูแล้วว่าใครเหมาะสม อาจจะเห็นจากตอนที่หนูประกวดนางสงกรานต์ตอนม.1 พอได้ตำแหน่ง พี่ๆ เค้าก็เลยน่าจะเลือกเอาจากตรงนี้ค่ะ"
นอกจากนั้น ในสมัยเด็กเธอยังเคยแสดงความสามารถพิเศษด้วยการเต้น ถึงแม้จะมีข้อผิดพลาดบ้างก็ตาม
"ตอนประถมก็ได้ขึ้นเวทีแสดงความสามารถ แต่เป็นเวทีเล็กๆ นะคะ เค้าให้หนูเต้น แล้วหนูก็ลืมท่าเต้น ทีนี้หนูก็เลยเต้นมั่ว แล้วหนูก็ล้มอ่ะค่ะ หนูก็เนียนๆไป เพราะเต้นอยู่คนเดียว พอลงจากเวทีไปเราก็คิดว่าเราเนียนแล้วนะ แต่ที่จริงคนอื่นๆ เค้ารู้หมดเลย (หัวเราะ)"
แต่ถึงอย่างไรก็ตาม คุณพ่อ-คุณแม่ ก็ไม่ได้อยากสนับสนุนเรื่องกิจกรรมมากเท่าไหร่นัก เพราะอยากให้มะเหมี่ยวมุ่งมั่นในด้านการเรียนมากกว่า
"คุณพ่อ-คุณแม่ก็สนับสนุนบ้างค่ะ แต่พอขึ้นมาตอนม. 1 คุณพ่อ-คุณแม่ก็สนับสนุนเรื่องเรียนเป็นหลักมากกว่าค่ะ แต่เราก็มีไปประกวดนั่นนี่บ้าง คือคุณพ่อ-คุณแม่ก็ไม่ถึงกับห้าม แต่ก็จะไม่ค่อยอยากให้ไปทำกิจกรรมมากอ่ะค่ะ คุณพ่อ-คุณแม่จะพูดประมาณว่า งานสงกรานต์ปีนี้ ไม่ต้องไปประกวดแล้วนะ คือจริงๆ ก็ไม่ได้ว่าประกวดทุกปีนะคะ แต่ก็บ่อยอยู่เหมือนกัน คุณพ่อ-คุณแม่เลยอาจจะเบื่อ ที่ต้องมาหาเสื้อผ้าให้ หาชุดไทยให้ แล้วยิ่งถ้าไม่ได้ตำแหน่งก็เสียค่าชุดฟรีๆ ประมาณนี้ค่ะ"
ประทับใจการประกวด
สำหรับการประกวดครั้งนี้ น้องมะเหมี่ยวมีความรู้สึกว่ามีความสุข เพราะประสบการณ์ที่ได้รับเป็นสิ่งที่ดีมากสำหรับเธอ
"ตัวหนูประทับใจหลายอย่างเลยค่ะ ทั้งสถานที่ที่เก็บตัวก็สวยมากค่ะ คนเมืองกาญจน์ ก็น่ารักเป็นกันเอง เพื่อนๆ ก็เฟรนด์ลี่ น่ารักทุกคนเลยค่ะ (ยิ้ม) แล้วเวทีนี้ก็ให้ประสบการณ์มากมาย ทั้งการอยู่ร่วมกันกับคนอื่น จบจากเวทีนี้ไป หนูก็อยากทำสิ่งดีๆ และเผยแพร่สิ่งดีๆ ให้สังคมค่ะ"
ส่วนเรื่องการขัดหูขัดตากันในกองประกวด สาวๆ สวยๆ มารวมตัวกันเยอะขนาดนี้ก็ต้องมีอิจฉากันบ้าง สาวน้อยทำท่านึกคิด ก่อนกระซิบเรื่องราวให้ฟัง
"ตอนแรกหนูก็คิดว่าคงไม่มีการอิจฉาอะไรกันหรอก แต่พอมาประกวดจริงๆ ก็คิดว่ามันก็น่าจะมีกันบ้าง ก็คิดว่าน่าจะโดนกันทุกคน อย่างกับตัวหนูเอง พอได้รับตำแหน่ง ก็ต้องมีคนที่คิดว่าหนูเป็นเด็กเส้นหรือเปล่า ถึงได้ตำแหน่ง แต่จริงๆ มันไม่ใช่ค่ะ ซึ่งหนูคิดว่าที่หนูได้รับตำแหน่ง น่าจะเพราะว่าหนูทำตัวไม่ให้โดนหักคะแนนมั้งคะ (ยิ้ม) เพราะตลอดเวลาเค้าจะมีการให้คะแนน ก็เก็บกันมาตั้งแต่ช่วงเก็บตัวเลยค่ะ อย่างเรื่องการตรงต่อเวลา เวลาทำกิจกรรมก็ทำเต็มที่ ไม่เกี่ยงงอน ยิ้มแย้มแจ่มใสตลอดเวลา แต่ก็ยากอ่ะค่ะ เพราะหนูก็รู้ตัวว่าเป็นคนที่ชอบทำหน้าบึ้งด้วย"
และเมื่อถามถึงทริกในการประกวดของสาวขี้อาย มะเหมี่ยวก็พูดไปหัวเราะไปว่า เราต้องรู้สึกมั่นใจว่าเราสวยที่สุดบนเวทีค่ะ
"ตอนหนูอยู่บนเวทีก็จะคิดในใจว่า เราสวยสุดบนเวที เราต้องมั่นใจ มันเป็นทริกค่ะ (หัวเราะ) มีรุ่นพี่คนนึงเคยบอกหนูมาว่า เมื่อเราอยู่บนเวที เราต้องคิดว่าตัวเองเด่นสุด แล้วมันก็จะออกมาดีเอง ซึ่งตัวหนูเองก็ไม่คิดว่าจะได้มา 4 ตำแหน่งเลยค่ะ แบบมันเยอะจริงๆ"(หัวเราะ)
สาวน้อยนักดนตรี
นอกจากนั้น น้องมะเหมี่ยวยังสนใจการเล่นดนตรีทั้งดนตรีไทยและดนตรีคลาสสิก ตอนอยู่ ม.2 ได้เล่นเชลโลและเข้าร่วมวงออร์เคสตราของโรงเรียน พอขึ้น ม.3 ก็หันมาเล่นดนตรีไทยอย่าง สะล้อ ซอ ซึง ระนาดทุ้ม และพิณ ซึ่งได้ใช้การเล่นดนตรีซึ่งเป็นความสามารถพิเศษในการประกวดครั้งนี้ด้วย
"หนูสามารถเล่นดนตรีไทย อย่างซึง พิณ ได้ค่ะ อันนี้ไม่ได้ขนาดเรียนจริงจังนะคะ แต่จะเรียนเป็นคาบในห้องเรียน ทางโรงเรียนก็จะจัดตารางเรียนว่าปีนี้เรียนดนตรีไทย ปีนี้ เรียนดนตรีสากล แล้วให้เลือกว่าเราจะเรียนอะไรค่ะ ซึ่งหนูก็ชอบเรียนค่ะ อย่างตอนเย็นก็จะซ้อมอยู่วงที่โรงเรียน ส่วนดนตรีสากล หนูจะชอบเชลโลค่ะ แล้วหนูก็เล่นในวงออร์เคสตราด้วย แต่ตอนนี้ออกมาแล้ว ก็เล่นจริงจังเลยค่ะ ซึ่งวงออร์เคสตราหนูก็ขึ้นเวทีแสดงมาหลายครั้งแล้ว ล่าสุดก็เพิ่งมีงานใหญ่ที่อิมแพค หนูก็แบกเชลโลเอง เพราะเห็นใหญ่ขนาดนั้น แต่ที่จริงน้ำหนักมันเบามากค่ะ"
เห็นเป็นสาวตัวเล็ก แต่เธอก็แบกเชลโลไปไหนมาไหนเองทุกครั้ง ซึ่งน่าเสียดายที่เธอควรจะไปได้ไกลกับเครื่องดนตรีชิ้นนี้ แต่สุดท้ายก็มาสะดุดลง เพราะปัญหาบางอย่าง
"วงออร์เคสตรา ตอนนี้เลิกเล่นไปแล้วค่ะ เหมือนมีปัญหากันในวง อีกอย่าง ไม่มีเวลาซ้อมด้วยค่ะ เลิกเรียนเสร็จต้องซ้อมถึง 3 ทุ่ม พอวันรุ่งขึ้น จะมีการแสดงก็ต้องซ้อมกันดึกมากถึง 4 ทุ่มครึ่ง กลับถึงบ้านก็ดึกแล้ว ไหนจะต้องตื่นเช้าอีก..ก็เหนื่อยค่ะ ชีวิตค่อนข้างวุ่นเหมือนกัน ต้องขอคาบเรียนจากคุณครูเพื่อไปซ้อม แต่ก็ไม่ได้เสียการเรียนมากค่ะ ยังตามเพื่อนทันอยู่"
เมื่อถามเหตุผลที่เธอชอบเล่นดนตรี สาวน้อยก็เล่าให้ฟังอย่างหมดเปลือกว่าเพราอะไร
"อย่างเชลโล หนูชอบเพราะเสียงค่ะ มันทุ้มๆ แล้วสายก็กดง่ายด้วย อีกอย่างคือมันสามารถเล่นออกมาเป็นเพลงได้ เป็นเครื่องดนตรีเดี่ยวได้ อย่างบางเพลงจะใช้เชลโลเป็นพระเอกเลย ต้องเป็นเชลโลที่ใช้โซโล่เท่านั้น อย่างเพลงใกล้รุ่ง ยามเย็น หนูก็เล่นได้ ส่วนดนตรีไทยอย่างซึงก็เป็นวงภาคเหนือที่มีสะล้อ, ซอ, ซึง หนูก็จะชอบตรงที่เพลงเป็นทำนองช้าๆ แล้วซึงก็จะเป็นตัวหลักเหมือนกัน แล้วมันก็เล่นง่าย
ส่วนพิณ อันนี้อยู่ในวงโปงลาง อันนี้ก็จะเป็นตัวโซโล่เหมือนกัน เป็นเครื่องดนตรีเดี่ยวได้เหมือนกัน ซึ่งพิณเป็นสิ่งที่หนูชอบอยู่แล้วค่ะ พอได้เข้ามาประกวดก็นำมาเล่นโชว์ความสามารถ ซึ่งก่อนหน้านี้เล่นพิณมาได้ 1 ปีแล้วค่ะ พอจบม.3 ครูบอกว่าจะตั้งวงสะล้อ ซอ ซึงภาคเหนือขึ้นมา เพราะจะมีการแสดงนิทรรศการศิลปะ ดังนั้น ครูก็ชักชวนหนูไปเล่นซึงเพราะเรามีพื้นฐานพิณที่ดี พอได้ลองแล้วก็ดีค่ะ เล่นง่ายดี ตอนนี้ก็ยังเล่นอยู่ค่ะ แต่อาจจะมีห่างๆ บ้างนิดนึงค่ะ ถ้ามีนัดรวมวงกัน หนูก็ไปรวมอยู่ค่ะ โดยทางโรงเรียนมีการสนับสนุนในเรื่องดนตรีไทยมาตลอดค่ะ เพราะไม่อยากให้ดนตรีไทยหายไป"
ทั้งนี้ น้องมะเหมี่ยวก็เชิญชวนให้ทุกคนอนุรักษ์ดนตรีไทย ซึ่งเป็นมรดกสำคัญของชาติ
"ดนตรีไทย หนูมองว่า เป็นเครื่องดนตรีที่เล่นแล้วเพลินมากนะคะ สนุก ไม่น่าเบื่ออย่างที่ใครคิดนะคะ ถึงแม้ว่าจะเล่นในทำนองช้าๆ เนิบๆ แต่ในจังหวะเร็วๆ ก็มีค่ะ สนุกๆ อยากให้ลองเล่นกันดูค่ะ เพราะถ้าลองแล้วจะรักเหมือนที่หนูรักและมีความสุขที่ได้อยู่กับดนตรีไทย"
ฝันอยากเป็นเชฟ
นอกจากนี้สาวมะเหมี่ยวยังชอบทำอาหาร ซึ่งหากไม่ได้มาประกวดในครั้งนี้ก็มีความใฝ่ฝันอยากเป็นเชฟ เพราะชอบทำอาหารทานเอง โดยเฉพาะข้าวผัด ส่วนอาหารจานโปรด คือ ส้มตำ ลาบและโป๊ะแตก ส่วนเรื่องกีฬาไม่ค่อยชอบ เพราะเล่นไม่เป็น
"หนูวางแผนอนาคตไว้คร่าวๆ ว่า หนูอยากเป็นเชฟค่ะ ตอนนี้ก็ยังอยากเป็นเชฟอยู่ คุณพ่อก็อยากให้หนูเป็นเชฟมากค่ะ ส่วนตัวเป็นคนทำอาหารไม่เก่งเลยค่ะ (ยิ้ม) แต่ถึงจะไม่เก่ง แต่หนูก็ชอบทำอาหารค่ะ ชอบทำมั่วๆ หยิบอะไรก็ใส่ๆ เหมือนประดิษฐ์เมนูเอง เช่นข้าวผัด หมูกระเทียม ส่วนคุณแม่ เป็นคนทำอาหารอร่อยค่ะ ก็เป็นลูกมือคุณแม่บ้างนะ เช่น หั่นผัก หยิบของในตู้เย็น ปอกกระเทียม เป็นต้น
ส่วนตอนเด็กๆ หนูมีความฝันอยากเป็นแอร์โฮสเตสค่ะ หนูมองว่าคนเป็นแอร์โฮสเตสเนี่ยสวย สูง ดูสง่า คือเป็นผู้หญิงที่ดูดีอ่ะคะ (ยิ้ม) ซึ่งที่หนูชอบเนี่ย เพราะว่ามีโอกาสได้ขึ้นเครื่องบินบ่อย เวลาไปเยี่ยมญาติๆ ที่จังหวัดศรีสะเกษ จังหวัดลำพูน จังหวัดลำปาง ประมาณนี้ แต่พอโตมาก็เปลี่ยนใจอยากเป็นเชฟแทน แล้วก็ถ้ามีโอกาสได้รับงานแสดงก็อยากเป็นนักแสดงเหมือนกันค่ะ (ยิ้ม)"
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-นามสกุล : พรชดา เครือคช
ชื่อเล่น : มะเหมี่ยว
อายุ : 15 ปี
การศึกษา : ชั้น ม.4 โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี
ตำแหน่ง : มิสทีน ไทยแลนด์ 2013 พร้อมตำแหน่ง มิสแม็กซิม คอนแทกต์เลนส์, ขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน และ Miss Sweet Eyes
/////////////////////
สาวมิสทีนห่วงปัญหาเด็กวัยรุ่นไทย
มะเหมี่ยว-พรชดา เครือคช มิสทีนไทยแลนด์ 2013
"อย่างเรื่องการพิมพ์ภาษาไทย ตอนนี้ภาษาวิบัติมากขึ้นทั้งภาษาพูดและภาษาเขียน เห็นใครพิมพ์ผิดบนเฟซบุ๊กหรือสังคมออนไลน์ต่างๆ แล้วมันขัดตาหนูมาก เช่น คำว่า ค่ะ มักจะเขียนเป็น ขร่ะ อะไรแบบนี้ บอกตามตรงว่า ไม่ชอบคนเขียนภาษาแบบนี้เลย บางครั้งถึงกับเข้าไปลบเพื่อนบางคนที่เขียนภาษาแบบนี้กันเลยทีเดียว เพราะหนูไม่ชอบ"
เตย-ชลธิชา ชัยชิต รองอันดับ 1 มิสทีนไทยแลนด์ 2013
"ขอพูดเรื่องยาเสพติดค่ะ ง่ายๆ เลยเรื่องสูบบุหรี่ค่ะ เดินไปเดินมาก็เห็นผู้หญิงสูบแล้วนะ เคยเดินไปตามห้าง เห็นผู้หญิงยืนสูบๆ พ่นๆ กันใหญ่ ท่าทางเหมือนคนสูบเพราะอยากอวดให้คนอื่นเห็นว่าตัวเองสูบเป็นน่ะค่ะ ซึ่งหนูมองว่าถ้าจะอวดเรื่องอะไรแบบนี้ อย่าอวดเลยดีกว่า เพราะมันไม่ได้น่านับถือหรือน่าชื่นชมอะไรเลย คนสูบอาจจะมองว่าสูบแล้วเท่ สูบแล้วดูเก๋ๆ คือตัวเขาเองอาจจะรู้สึกอย่างนั้น แต่จริงๆ แล้ว คนภายนอก คนอื่นๆ ที่มองเขา มองอีกแบบมากกว่า ห่วงเรื่องนี้ค่ะ"
อีฟ-อิสรียา ชื่นชอบ รองอันดับ 2 มิสทีนไทยแลนด์ 2013
"อีฟอยากพูดเรื่องการใช้โซเชียลเน็ตเวิร์กของวัยรุ่นค่ะ บางคนเล่นไม่เป็น ก็ใช้มันไปในทางที่ผิดๆ อย่างอีฟเอง ส่วนใหญ่เราจะใช้ไว้คุยกับเพื่อน ถามเรื่องงาน แต่ก็จะมีบางกลุ่มที่ใช้ไปในแง่ไม่ดี มีล่อลวง โพสต์ด่ากันแล้วเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมาก็เห็นมีเยอะแยะค่ะ
อันนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงๆ เลย เพื่อนในโรงเรียนเขาโพสต์ด่ากันบนเฟซบุ๊ก จนเป็นเรื่องกัน บานปลายมาทะเลาะกันในชีวิตจริง กลายเป็นเรื่องใหญ่เลยค่ะ หนูก็เลยมองว่ามันไร้สาระมากเลย ถ้าจะใช้โซเชียลมีเดียก็ควรใช้ให้เกิดประโยชน์ ใช้ให้ถูกทางดีกว่าค่ะ"
เบสท์-ภัทราวีย์ เบ้าสุวรรณ รองอันดับ 2 มิสทีนไทยแลนด์ 2013
"ในฐานะที่หนูเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง หนูขอพูดเรื่องเด็กผู้หญิงที่ตั้งครรภ์ก่อนวัยอันควรดีกว่าค่ะ เบสว่าเรื่องพรหมจรรย์ก็ยังเป็นเรื่องสำคัญสำหรับเบสอยู่นะคะ หรือถ้าคบใครหรือมีอะไร เบสก็จะบอกคุณแม่ตลอด รับรู้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นโลกอินเทอร์เน็ต คุณแม่ก็สกรีนของเบสได้ทุกอย่าง ในเฟซบุ๊กก็เป็น friend กันค่ะ คุณแม่ก็มี password ของเราด้วย สามารถเข้าไปดูได้หมดเลย หนูก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรค่ะ แลกกันคนละครึ่งทาง ในเมื่อหนูอยากเล่นโซเชียลเน็ตเวิร์ก คุณแม่ก็ขอรับรู้ในสิ่งที่หนูเล่น เพื่อนหนู คุณแม่รู้จักทุกคน"
โฟน-สิริพิม ตันสุวรรณรัตน์ รองอันดับ 2 มิสทีนไทยแลนด์ 2013
"โฟนห่วงเรื่องติดเกมค่ะ เห็นเพื่อนๆ หลายคนติดเกมจนไม่เป็นอันเรียน ไม่ไปเรียนเลยก็มีค่ะ เล่นแต่เกมอย่างเดียว คือถ้าจะเล่นก็เล่นได้นะคะ แต่ควรจะแบ่งเวลาค่ะ การแบ่งเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญมากเลยนะหนูว่า หรือถ้ารู้ตัวว่าแบ่งเวลาไม่ได้จริงๆ ก็อาจจะค่อยเล่นช่วงปิดเทอมทีเดียวค่ะ จะได้ไม่เสียการเรียน อย่างทุกวันนี้ หนูก็พยายามแบ่งเวลาตัวเองอยู่เหมือนกัน หลักๆ จะแบ่งเป็น เวลาให้ครอบครัว เวลาให้เพื่อน แล้วก็เวลาให้ตัวเอง กิจกรรม แล้วก็การเรียนค่ะ"
สัมภาษณ์โดย ASTVผู้จัดการ LITE
ภาพโดย ธัชกร กิจไชยภณ และภาพประกอบจาก เฟซบุ๊กแฟนเพจ Missteenthailand