xs
xsm
sm
md
lg

ชำแหละ “4 ประชานิยม” ฝันร้ายจากรัฐบาลปูแดง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


สืบเนื่องจากผลสำรวจของศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ(กรุงเทพโพลล์) พบว่า คนกรุงเทพฯ และปริมณฑลไม่พอใจกับนโยบายประชานิยมของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ โดยเห็นว่านโยบายมีส่วนเอื้อต่อการทุจริตสูง ทั้งยังมีความไม่พอใจต่อนโยบายที่ให้ประโยชน์ตนเอง(ชาวกรุงเทพฯ)โดยตรง
 
ชวนให้มองไปถึงนโยบายประชานิยมหลักๆ ของรัฐบาล ตั้งแต่ “จำนำข้าว” ที่นำเงินประชาชนไปถลุงถึงหลักแสนล้าน จนถึง “รถคันแรก” ที่ทำเอารถติดและหลายคนเป็นหนี้เป็นสินกันมากมายอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
 
จนถึงตอนนี้...ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะทบทวนประชานิยมทั้งหมดของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ว่าเป็นเพียงประชานิยมหาเสียง หาผลประโยชน์ หรือเป็นประชานิยมเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอย่างแท้จริง

ต่อไปนี้คือนโยบายเกินจริงที่รัฐบาลใช้หาเสียง จนถึงตอนนี้แม้บางนโยบายจะเป็นจริงได้ แต่ก็ส่งผลเสียหายมากมายต่อประเทศในระยะยาว ทำให้เห็นได้ชัดว่า ประนิยมเหล่านี้เป็นไปเพื่อการสร้างฐานเสียงเฉพาะหน้าเท่านั้น

ปริญญาตรีเงินเดือน 15,000 บาท
ประชาชนนิยมชั้นกลาง
 
ถือเป็นนโยบายที่ได้ใจคนเมืองเป็นอย่างมากกับการปรับเงินเดือนผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรีให้ได้เงินเดือนสูงถึง 15,000 บาท แต่ผลจากนโยบายดังกล่าว กลับทำให้นักศึกษาจบใหม่หางานยากขึ้น และในทางปฏิบัติ ชื่อนโยบายที่ฟังแล้วดูสวยหรู เพียงจบปริญญาตรีก็ได้เงินเดือน 15,000 ก็เป็นเพียงภาพฝันจอมปลอม เพราะความจริงที่เกิดขึ้นไม่ใช่แบบนั้น

จากการเปิดเผยของชลิตรัตน์ จันทรุเบกษา รองโฆษกประจําสํานักนายกรัฐมนตรี พบว่า ผู้ที่จบการศึกษาระดับปริญญาตรีกลับมีมีอัตราว่างงานสูงที่สุด โดยสถิติล่าสุดมีสูงถึง 1.3 แสนราย

ทั้งนี้ นโยบายดังกล่าวส่งผลให้ภาครัฐขึ้นเงินเดือนข้าราชการไปเป็น 15,000 บาท กลับกลายเป็นสร้างความเหลื่อมล้ำมากขึ้น จากผลการวิจัยของสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอ พบว่า ข้าราชการนั้นมีเงินเดือนที่มั่นคงกว่าลูกจ้างเอกชนอยู่แล้ว การขึ้นเงินเดือนให้จึงยิ่งจะเป็นการสร้างความเหลื่อมล้ำทางสังคมให้เกิดขึ้น

ขณะที่ ดร.ทนง พิทยะ อดีตร.ม.ว.กระทรวงการคลัง และอดีต รมว.กระทรวงพาณิชย์ วิเคราะห์ว่า ผลจากนโยบายนี้จะทำให้ผู้ที่จบปริญญาตรีจะตกงานมากขึ้น เพราะจากอัตราเงินเดือน 15,000 บาทเมื่อพิจารณาจากงบประมาณจะทำให้รัฐบาลรับคนได้น้อยลง

“โดยเทคนิคแล้ว รัฐบาลไม่สามารถรับคนจบปริญญาตรีมาทำงานได้ทั้งหมด จึงอาจรับเป็นลูกจ้างชั่วคราวซึ่งได้เงินเดือนไม่ถึง 15,000 บาท อยู่ดี และบริษัทเอกชนบางแห่งอาจจะไม่รับคนจบปริญญาตรี แต่หันไปรับคนจบปวส.ปวช.แทน”

นอกจากนี้ นโยบายดังกล่าวเอกชนหลายแห่งก็ยังไม่ขานรับกับการปรับเงินเดือนของผู้จบปริญญาตรีให้สูงไปถึง 15,000 บาท บอกได้ว่าปริญญาตรีเงินเดือน 15,000 บาทเป็นเพียงนโยบายขายฝันเท่านั้น


ค่าแรงขั้นต่ำ 300 / วัน
ประชานิยมแรงงาน

การปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาททั่วประเทศ มุมหนึ่งถือเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตของแรงงานชั้นล่าง หากแต่อีกมุมหนึ่ง การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเร็วเกินไปก็ส่งกระทบหลายอย่าง จนท้ายที่สุด ค่าครองชีพที่พุ่งสูงขึ้นก็ไม่ทำให้คุณภาพชีวิตของแรงงานชั้นล่างดีขึ้นอย่างที่รัฐบาลได้วาดภาพไว้

สมชาย พรรัตนเจริญ นายกสมาคมค้าส่ง-ปลีกไทย บอกว่าผู้บริโภคจำใจต้องยอมรับ กับราคาสินค้าที่จะขยับเพิ่มสูงขึ้นในปีหน้า และจะต้องปรับพฤติกรรมการจับจ่ายใช้สอย

ทั้งนี้ เหยื่อที่ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ คือผู้ประกอบรายย่อยหรือเอสเอ็มอี สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รายงานว่า มีผู้ประกอบการประสบกับการขาดทุนถึงร้อยละ 80 ขณะที่ร้อยละ 10.42 ต้องปิดกิจการ นอกจากนี้ อาทิตย์ อิสโม รองปลัดกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า หลังรัฐบาลได้ประกาศปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาท มีสถานประกอบการได้รับผลกระทบทั้งหมด 64 แห่ง มีแรงงานถูกเลิกจ้างจำนวน 8,453 คน และมีแนวโน้มการเลิกจ้างรวม 34 แห่ง มีจำนวนลูกจ้าง 34,288 คน

ด้าน ชาลี ลอยสูง ประธานคณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย (คสรท.) เคยทำการสำรวจค่าใช้จ่ายของแรงงาน โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่คนละ 348 บาท ซึ่งการขึ้นค่าแรง 300 บาท แม้จะดีขึ้นแต่ก็ยังไม่เพียงพอกับค่าใช้จ่ายที่แท้จริง เพราะค่าครองชีพสูงขึ้น โดยผลสำรวจล่าสุดพบว่า ค่าใช้จ่ายเฉลี่ยของแรงงานอยู่ที่ 421 บาทแล้ว

“ถามว่าพอใจหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า พอใจ แต่ก็ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นด้วย จึงอยากให้รัฐบาลช่วยควบคุมดูแลราคาสินค้า โดยเฉพาะตัวแปรสำคัญ คือ ค่าแก๊สหุงต้ม และน้ำมันที่กระทบต่อราคาสินค้าอื่นๆ”

ด้าน ดร.ทนง มองในมุมเศษฐศาสตร์เห็นว่า นโยบายค่าแรง 300 นั้นไม่ได้ช่วยให้เศษฐกิจดีขึ้น

"ปัญหาไม่ได้อยู่ที่ 300 บาท แต่มันอยู่ที่โครงสร้างเศรษฐกิจประเทศไทย 300 บาทหรือ 15,000 บาท เป็นเรื่องจิ๊บจ๊อยสำหรับผม มันไม่ใช่ปัญหาเศรษฐศาสตร์อย่างแท้จริง ผมมองว่ายังมีอะไรอีกมากที่ต้องทำ"

จำนำข้าว
ประชานิยมรากหญ้า

โครงสร้างหลักของนโยบายนี้คือรัฐบาลจะรับจำนำข้าวทุกเม็ดในราคาสูงกว่าราคาตลาดและมีเป้าหมายว่าจะนำข้าวทั้งหมดนั้นไปขายในราคาที่สูงกว่าเพื่อให้ได้กำไร โดยใช้อำนาจต่อรองของการมีสต๊อกข้าวที่มากกว่า มีคุณภาพของข้าวที่สูงกว่าประเทศอื่นๆ

ถือเป็นประชานิยมชิ้นโบดำของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพราะเป็นเต็มไปด้วยเสียงทักท้วงและวิพากษ์วิจารณ์จากหลายภาคส่วนของสังคม ตั้งแต่ระบบการจำนำข้าวที่มีช่องโหว่ และการระบายข้าวออกที่หลายฝ่ายมองว่า เป็นไปได้ยาก
นับตั้งแต่ขั้นแรกของโครงการที่ต้องมีการปลูกข้าวเพื่อนำมาจำนำ “ข้าวผี” หรือ “ข้าวสวมสิทธิ์” กลายเป็นช่องโหว่ใหญ่ของระบบจำนำข้าวของรัฐบาลที่นำไปสู่การทุจริต

รายงานสถาบันวิจัยเพื่อพัฒนาประเทศไทย หรือทีดีอาร์ไอระบุว่า ผลประโยชน์ของเงินจำนำส่วนใหญ่จะตกแก่ชาวนาที่มีฐานะร่ำรวย และปานกลาง ชาวนารายเล็กยากจนได้รับผลประโยชน์น้อยมาก

สอดคล้องกับ เดชา ศิริภัทร ประธานมูลนิธิขวัญข้าว มองว่านโยบายนี้ของรัฐบาลไม่ได้ช่วยเหลือชาวนาอย่างแท้จริง ทั้งยังเป็นการทำลายระบบเกษตรอินทรีย์ด้วยการตั้งราคารับจำนำข้าวหอมมะลิเคมีให้สูงกว่าข้าวอินทรีย์ที่ตันละ 20,000 ขณะที่ข้าวอินทรีย์ขายได้ตันละ 17,000 บาท จึงไม่จูงใจให้ทำนาอินทรีย์เพราะเป็นกระบวนการที่ต้องลงแรง(ด้วยวิธีปักดำ)มากกว่า 

“สุดท้ายชาวนาต้องไปหวังพึ่งรัฐบาลให้ช่วยรับซื้อราคาแพงๆ เพราะตัวเองลดต้นทุนปุ๋ยไม่ได้อยู่แล้ว ถ้ารัฐบาลไม่ช่วยก็ต้องขาดทุน แต่ถามว่ารัฐบาลจะกู้เงินเป็นแสนล้านมาช่วยได้กี่ฤดู ถ้าชาวนาทำเกษตรอินทรีย์แล้วรวย ช่วยตัวเองได้ รัฐบาลจะเอาประชานิยมที่ไหนมาล่อใจให้เลือก”

ระบบส่งออกข้าวก็ถูกทำลาย จากเดิมที่ผู้ส่งออกจะรับออเดอร์จากต่างประเทศแล้วเข้ามาซื้อข้าวจากสต๊อกส่งออกไปขาย กลับกลายเป็นว่า ข้าวทั้งหมดถูกสต๊อกอยู่ที่รัฐบาล โดยที่รัฐบาลก็ไม่มีวี่แววว่าจะระบายข้าวออกไปได้แต่อย่างใด จนมีข่าวว่า พบความเสียหายมากมายในสต๊อกข้าวที่เก็บไว้

จนล่าสุดเมื่อรัฐบาลประกาศลดราคาจำนำข้าวเหลือตันละ 12,000 บาท ทันใดก็เกิดการรวมตัวเคลื่อนไหวของม็อบชาวนาจาก 22 จังหวัด ฐานเสียงใหญ่ของรัฐบาล เดินทางเข้ามาข้อเสนอที่จ่อคอนายกรัฐมนตรีถึงหน้าทำเนียบฯ กับการคงราคาจำนำข้าวไว้ที่ตันละ 15,000 บาท กลายเป็นนโยบายที่รัฐบาลปัจจุบันกลืนไม่เข้าคายไม่ออก

รถคันแรก
ประชานิยมคนเมือง

สุดยอดนโยบายที่กระตุ้นตลาดซื้อขายรถยนต์ เป็นประชานิยมในฝันของคนเมืองที่จะได้ครอบครองรถคันแรกในราคาที่ถูกลง โดยรัฐบาลจะคืนเงินภาษีสูงสุดถึง 100,000 บาท ทว่าคนเมืองก็มองไม่เห็นว่านโยบายจะเป็นสิ่งจำเป็น ทั้งยังเห็นแย้งว่าจะทำให้รถติดมากขึ้นอีกด้วย

พัฒนเดช อาสาสรรพกิจ ผู้คร่ำหวอดในวงการยานยนต์ มองนโยบายนี้ว่าเป็นการกระตุ้นตลาดโดยไม่จำเป็น ทั้งยังเป็นการสร้างภาระหนี้ให้แก่คนอยากมีรถอย่างคาดไม่ถึง

จากเหตุการณ์น้ำท้วมที่จะทำให้มีการย้ายฐานการผลิตนั้น เขามองว่า ไม่จริง เพราะตลาดรถในเมืองไทยนั้นโตขึ้นทุกปี อีกทั้งตลาดรถในต่างประเทศจะมีแต่หดเล็กลงเพราะการคมนาคมของต่างประเทศที่ดีขึ้น

“ธุรกิจรถยนต์มันเป็นธุรกิจเฟื่องฟู ทำเท่าไหร่ก็ขายไม่พออยู่แล้วสำหรับประเทศไทย จะเห็นว่าแม้จะผ่านน้ำท่วมมาแล้วก็ยังขายถล่มทลาย ไม่มีรถคันแรกก็ตั้งเป้าอยู่แล้วว่า 1,100,000 คัน มันเป็นการไปช่วยธุรกิจที่ยืนได้อยู่แล้ว และทำให้มันเสียระบบ”

การส่งเสริมแบบโปรโมชันของรัฐบาลทำให้การผลิตต้องเร่งปรับตัวจนเสียระบบที่กำลังโตขึ้นตามกลไกของตลาด โดยธุรกิจยานยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากยอดการขายที่ตกลง จนล่าสุดรถล้นสต๊อกจนต้องมีการจัดโปรโมชันเข้ามาช่วย จากการเปิดเผบของบริษัทรถหลายแห่ง ชาญวิทย์ เขียวนาวาวงศ์ษา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท เชฟโรเลต เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า

“การที่รถล้นสต๊อกเกิดจาก 2 ส่วนคือ การสั่งซื้อล่วงหน้าแต่ยกเลิกการรับรถ และการเกิดอุปาทานหมู่ เนื่องจากหลายคนตัดสินใจซื้อรถคันแรกเพื่อให้ได้สิทธิ์ลดภาษีเหมือนคนอื่นๆ ทั้งที่ไม่มีความจำเป็นใช้จริง ขณะที่บริษัทรถยนต์ก็ต้องรองรับคำสั่งซื้อแล้วก็ต้องผลิต

"ปีที่แล้วแม้กระทั่งรถตัวโชว์ก็ถูกขอซื้อ ผู้ค้าแทบไม่มีสต๊อกครึ่งปีหลัง และคำสั่งซื้อที่มีเข้ามาทางโรงงานก็ต้องเดินหน้าผลิตทำให้เกิดภาวะล้นสต๊อก แต่การมีแคมเปญส่งเสริมการขาย จะทำให้ปริมาณสต๊อกลดลง และกลับสู่ภาวะปกติในเร็วๆนี้"

ผลเสียใหญ่ของนโยบายนี้คือ การเป็นหนี้ของคนซื้อรถบุษบา จิราธิวัฒน์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เผยถึงภาวะเศษฐกิจที่มีปัญหาอันเป็นผลพวงมาจากนโยบายรถคันแรก พบว่า พฤติกรรมผู้บริโภคลดลงอย่างน่าตกใจ จากภาระหนี้ของครัวเรือนที่มากขึ้น

…..

นโยบายประชานิยมมากมายของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ดูจะเต็มไปด้วยภาพฝันที่สวยงาม และความพยายามที่จะจูงใจประชาชนเพื่อขยายฐานเสียง แต่ท้ายที่สุดแล้วจุดเริ่มต้นนโยบายที่ไม่ถูกต้องทั้งกระบวนการอย่างไรก็ไม่มีทางนำมาซึ่งผลที่ถูกต้องได้อย่างนั้น ภาพฝันสวยงามที่รัฐบาลสร้างให้แก่ประชาชน ท้ายที่สุดก็ปรากฏออกมาเป็นฝันร้าย ที่นับวันจะย้อนกลับไปทำลายรัฐบาลเสียเอง
 
ข่าวโดย ASTV ผู้จัดการ LIVE





กำลังโหลดความคิดเห็น