“ไม่เจอแป๊ปเดียว โตเร็วจังลูก”
“โอ้โห....ปีที่แล้วยังตัวนิดเดียว ปีนี้สูงขึ้นมากเลย”
ล้วนเป็นคำทักทายที่ได้ยินคุ้นหูกันมาตลอดในยามที่ผู้สูงวัยกว่าต้องมาเจอะเจอกับผู้น้อยวัยเยาว์ บ่งบอกความรู้สึกว่า เด็กๆ สมัยนี้ เติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวค่อนข้างเร็ว และดูจะเร็วกว่าแต่ก่อนเสมอ ซึ่งจะว่าไปก็เป็นความรู้สึกของผู้ใหญ่ทุกยุคทุกสมัยเช่นกัน
ศาสตราจารย์มาร์ติน แอชลี่ย์ หัวหน้าทีมวิจัยของ คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเอดจ์ ฮิลล์ สหราชอาณาจักร ก็เป็นผู้ใหญ่ยุคนี้ที่รู้สึกเช่นนั้น จึงทำการศึกษากับเด็กชาย 1,000 คน ภายใต้ข้อสังเกตว่า เด็กผู้ชายสมัยนี้แตกเนื้อหนุ่มกันอย่างรวดเร็ว แค่อายุ 11-12 ปี ก็เสียงแตกกันเป็นแถว แตกต่างกับสมัยทศวรรษปี พ.ศ.2503 ที่ต้องมีอายุ 13-14 ปีก่อน จึงจะเปล่งเสียงแตกหนุ่มออกมาให้ได้ยิน รวมถึงหน้าอกหน้าใจหรือนมก็จะเริ่มแตกพานด้วย ศาสตราจารย์แอชลี่ย์ก็เลยทำการวัดการเติบโตของเด็กหนุ่ม โดยวิเคราะห์เสียงของเด็กหนุ่มด้วยคอมพิวเตอร์
ภายหลังการศึกษา ท่านก็ลงความเห็นว่า เด็กๆ โตเร็วเพราะผู้คนสมัยใหม่มีอาหารการกินอุดมสมบูรณ์กว่าแต่ก่อนมาก ที่สำคัญ การที่เด็กชายสมัยนี้แตกเนื้อหนุ่มกันเร็วขึ้นกว่าเดิม ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดช่วงสองพันปีเลยทีเดียว
ถ้าเป็นบ้านเรา เห็นเด็กโตเร็ว ไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง ผู้ใหญ่บางคนก็เหมารวมว่าเป็นเพราะกินไก่ ... ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ไม่เห็นมีใครพูดถึงประเด็นนี้ ทั้งๆ ที่ทุกประเทศก็มีไก่กินเช่นเดียวกับไทย และที่สำคัญคือมาตรฐานการผลิตไก่ของไทยสูงกว่าหลายๆประเทศในโลก
เมื่อไหร่ “ไก่ไทย” จะได้รับคำพิพากษาให้หลุดจากข้อกล่าวหานี้เสียที ทั้งๆที่มีหลักฐานยืนยันอย่างหนักแน่น น่าเชื่อถือ ... ยิ่งมีผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยเอดจ์ ฮิลล์ เข้ามาสนับสนุนว่าการที่เด็กโตไวมาจากอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ไม่ได้มีอะไรกล่าวพาดพิงไปถึง “ไก่” เลยสักนิด ก็เลยคิดว่าถึงเวลาทบทวนความบริสุทธิ์ของไก่ไทยกันอีกครั้ง
ประการแรก : สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข ได้ออกประกาศห้ามใช้ยาเฮ็กโซเอสตรอล (Hexoestrol) ซึ่งเป็นยาที่ใช้สำหรับตอนสัตว์ปีกและเป็นฮอร์โมนสำหรับรักษาสัตว์ โดยมีคำสั่งเพิกถอนทะเบียนตำรับยาที่มีเฮ็กโซเอสตรอล (Hexoestrol) ไม่ให้จำหน่ายในประเทศไทยมาตั้งแต่มิถุนายน 2529 หรือนานกว่า 20 ปี มาแล้ว ใครนำมาใช้ก็ถือเป็นการลักลอบและผิดกฎหมาย เสี่ยงต่อคุกตารางและค่าปรับมหาศาล ขณะที่ปัจจุบันไก่ไทยสามารถเลี้ยงให้โตได้ในเวลาเพียง 40-45 วัน ถ้าฉีดฮอร์โมนราคาแพงเข้าไป ฮอร์โมนยังไม่ทันทำงานเลย ไก่ก็ต้องถูกชำแหละเสียแล้ว ดูอย่างไรก็ไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย
ประการต่อมา : ประเทศไทยเป็นผู้ส่งออกไก่รายใหญ่ของโลก มีตลาดหลักที่สำคัญ คือ สหภาพยุโรป หรืออียู และญี่ปุ่น ซึ่งให้ความสำคัญในเรื่องมาตรฐานความปลอดภัยอาหารอย่างมาก และมีการตรวจสอบการใช้สารหรือฮอร์โมนอย่างเข้มงวด เพราะถือเป็นสารอันตราย ผู้ประกอบการไทย โดยเฉพาะบริษัทส่งออกไก่ เช่น ซีพีเอฟ จึงต้องยึดแนวทางการผลิตตามข้อกำหนดทางการค้าของอียูที่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของผู้บริโภคเป็นหลัก โดยให้ความใส่ใจตลอดกระบวนการผลิต ตั้งแต่การเลี้ยงจนถึงการแปรรูป เพื่อไม่ให้มีสารอันตรายใดๆ ปนเปื้อนหรือตกค้างในสินค้าเป็นอันขาด และในการส่งออกที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันยังไม่เคยมีการตรวจพบว่า ไก่ของประเทศไทยมีการใช้สารดังกล่าวเลยแม้แต่ครั้งเดียว
ประการที่สาม : การวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเลี้ยงสัตว์ของไทยพัฒนาไปมาก เริ่มตั้งแต่ 1.) การคัดสรรและพัฒนาสายพันธุ์ของตัวไก่ เพื่อให้ได้สายพันธุ์ที่แข็งแรง มีการเจริญเติบโตที่ดีตามธรรมชาติ 2.) การใช้โรงเรือนปิดปรับอากาศ ที่ทำให้ไก่อยู่สุขสบาย ไม่เครียด จึงไม่ป่วยและเจริญเติบโตได้ดีโดยไม่ต้องใช้ฮอร์โมนหรือสารเร่งใดๆ 3.) การเลี้ยงโดยใช้หลักมาตรฐานสวัสดิภาพและสุขอนามัยสัตว์ที่ดี มีระบบการจัดการฟาร์มที่ดี และมาตรการตรวจสอบย้อนกลับทั้งระบบ 4.) นักโภชนาการจะคิดและพัฒนาสูตรอาหารที่เหมาะสมกับความต้องการของสัตว์แต่ละสายพันธุ์หรือช่วงอายุ เพื่อให้สามารถแสดงออกถึงลักษณะเด่นทางพันธุกรรมได้อย่างเต็มที่….ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ไก่ไทยในปัจจุบันใช้เวลาเลี้ยงน้อยลง แต่กลับโตดีกว่าที่เลี้ยงกันในอดีต โดยไม่มีความจำเป็นใดๆ ที่จะต้องใช้สารเร่งโตเลยแม้แต่นิดเดียว
ประการที่สี่ : หลักฐานทางการแพทย์ยืนยันว่า เนื้อไก่ เป็นเนื้อสีขาว เป็นโปรตีนย่อยง่าย ไขมันน้อยถ้าเทียบกับเนื้อแดงอย่างเนื้อวัว กรดอะมิโนในเนื้อไก่ก็ไม่ค่อยมากหน้าหลายตาเท่าเนื้อวัว จึงทำให้ไก่ไม่ค่อยทำให้เกิดภูมิแพ้ และ เนื้ออกไก่บดที่ทำเป็นน้ำ หรือที่เรียกว่า นมไก่ นั้นยังให้เด็กทารกที่เป็นภูมิแพ้ใช้ดื่มแทนนมวัวได้อีกด้วย ถ้าเนื้อไก่มีฮอร์โมนหรือสารตกค้างใดๆ คงไม่มีแพทย์คนไหนนำไปให้ทารกดื่มเป็นแน่
ประการสุดท้าย : แพทย์สมัยใหม่จะระบุสาเหตุให้คุณพ่อคุณแม่ที่กังวลว่าลูกจะเป็น โรคหนุ่มสาวก่อนวัย ว่าสาเหตุหนึ่งของโรคก็คือ “ความอ้วน” หรือการที่มีมวลไขมันพอกตัวเยอะ ซึ่งความอ้วนนี้ย่อมเกิดจากอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ของครอบครัวนั้นๆ ตลอดจนอุปนิสัยการรับประทานของเด็ก เช่น ชอบทานอาหารประเภททอด ซึ่งมีไขมันค่อนข้างสูง ดังนั้น ไม่ว่าจะทานเฟรนช์ฟราย หรือ หัวหอมทอด หรือแม้แต่การรับประทานจุกจิก รับประทานแล้วไม่ออกกำลังกาย ก็ล้วนทำให้เกิดความอ้วน และนำไปสู่ โรคหนุ่มสาวก่อนวัย ได้เช่นกัน สอดคล้องกับผลงานวิจัยของศาสตราจารย์แอชลี่ย์เป็นที่สุด
ที่สำคัญ อย่าลืมว่าการที่เด็กๆ เติบโตเร็วขึ้น ไม่ได้เพิ่งเกิดในทศวรรษนี้ แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดช่วงสองพันปี ขณะที่อาหารการกินของมวลมนุษยชาตินั้น ก็มากมายหลากหลาย และอุดมสมบูรณ์ยิ่งกว่าอดีตกาลนัก...จึงอยากจะบอกว่า มันถึงเวลายุติข้อกล่าวหาว่า “ไก่” เกี่ยวกับฮอร์โมนเร่งโตได้แล้ว !!