สาวตากลมที่ปลอมเป็นผู้ชายได้น่ารักที่สุด “พั้นช์ วรกาญจน์ โรจนวัชร” ซึ่งใครๆ ต่างรู้จักเธอในฐานะนักร้องเปื้อนฝุ่นที่มีลุคเป็นธรรมชาติ จริงใจ หลังจากที่เธอชิมลางในละครอีกครั้ง เรื่องท่านชายในสายหมอกกับบทถนัดที่ต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย แม้จะเปิดตัวในลุคห้าว ไม่ต่างจากบททัดดาว แต่หลายคนก็ต่างรอลุ้นว่านางเอกนักปลอมตัวในจอแก้ว พอสลัดคราบผู้ชายแล้วจะน่ารัก น่าหยิกขนาดไหนกัน
ทีมงาน M-Lite นัดพบเธอในวันที่ฟ้าฝนไม่เป็นใจนัก จากลุคสาวห้าว แต่งตัวทะมัดทะแมง ใส่เสื้อยืดกางเกงยีนส์ ซึ่งเป็นภาพที่เคยเห็นจนชินตา แต่วันนี้ เธออยู่ในชุดกระโปรงยาวสีขาวสวยงามราวกับเจ้าหญิงในเทพนิยาย กลายเป็นพั้นช์ในลุคสาวสวยสะพรั่ง แต่งหน้าอ่อนๆ ผมถูกม้วนเป็นลอนยาวสลวย ซึ่งช่างแต่งหน้าจัดเต็มให้ผู้จัดการโดยเฉพาะ จนเกือบจำแทบไม่ได้ แต่แววตายังสะท้อนภาพของพั้นช์ สาวสวยที่มีความสุขกับเสียงเพลงที่เธอรัก
ถนัดปลอมตัวเป็นผู้ชาย
ผ่านไปถึง 3 ปีแล้วกับบททัดดาว แต่หลายคนยังจดจำเธอได้ แม้ว่าจะเผยความสวยเฉพาะฉากจบ พอกลับมาอีกครั้งก็ยังรับบทที่ต้องปลอมตัวเป็นชายอีก คราวนี้แฟนละครภาวนาให้พระเอกจับได้สักที เพราะไม่อยากชื่นชมความน่ารักของสาวพั้นช์แบบชั่วครู่ชั่วยาม แล้วเธอก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวังจริงๆ
“สำหรับละครเรื่องท่านชายในสายหมอก จะเป็นโรแมนติกดราม่า พั้นช์เล่นเป็นขิง หลานเจ้าของโรงลิเก อาศัยอยู่กับยาย และยายมีหนี้สิน เราเลยต้องหางานทำ ทำทุกอย่างเพื่อจะหาเงินไถ่โรงลิเกนี้คืน ก็อาจจะมีเจ้าเล่ห์เจ้าเหลี่ยมบ้าง เพื่อที่จะเอาตัวรอด
ส่วนเจ้าชายโซว์ (หลุยส์ สก๊อต) ซึ่งเป็นเจ้าชายจากต่างแดน และโดนพ่อแม่บังคับให้แต่งงานแบบคลุมถุงชน ก็เลยหนีมาเที่ยวที่เมืองไทย โดยไม่บอกใครว่าตัวเองเป็นเจ้าชาย และมีทหารองครักษ์ (ลิฟท์ สุพจน์) มาปลอมตัวเป็นเจ้าชายแทน แล้วได้มาเจอกับขิง ซึ่งทำให้มีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น และพั้นช์ต้องปลอมตัวเป็นผู้ชาย เพราะการเป็นองครักษ์ของเจ้าชายเนี่ยต้องเป็นผู้ชาย เป็นผู้หญิงไม่ได้
เรามาเป็นไกด์ให้เจ้าชาย เพื่อพาเจ้าชายไปเที่ยวที่ต่างๆ ในเมืองไทย สาเหตุที่ยอมปลอมตัวเป็นผู้ชาย เพราะอยากได้งานนี้มาก จ้างเงินเยอะก็เลยต้องทำ ต่างจากเรื่องทัดดาวบุษยา ที่ปลอมเกือบทั้งเรื่องเลย ตอนจบเพิ่งรู้ว่าเป็นผู้หญิง สวยแค่ฉากจบ (หัวเราะ) แต่เรื่องนี้เราปลอมตัวเป็นผู้ชายแค่ช่วงแรก เพราะว่าถูกเจ้าชายจับได้ก่อน
สำหรับพี่หลุยส์ นอกบทเขาก็เป็นพี่ที่น่ารักนะคะ ตอนแรกที่เจอกันอาจจะเกร็งนิดหน่อย เราก็รู้ว่าพี่เขาเป็นแร็ปเตอร์ และก็มีชื่อเสียงมาก แต่พอได้เจอกัน ได้พูดกัน และร่วมงานกัน เขาก็เป็นกันเอง ยิ้มง่าย ทำงานด้วยจึงไม่กดดัน ตอนเล่นละครเขาจะส่งอารมณ์ได้ดี อย่างเวลาที่มีฉากซึ้ง ฉากกุ๊กกิ๊ก เขาจะส่งต่อให้เราง่าย น้ำตาไหลง่ายมาก”
ไม่แค่หลุยส์หรอกที่เจ้าน้ำตาในละคร เพราะซีนอารมณ์ของพั้นช์รับรองกินขาดไม่แพ้พระเอกเหมือนกัน แบบที่ว่าผู้กำกับนับ 5 4 3 2 1 น้ำตาก็ไหลพรากทันที พอสั่งคัตปุ๊บหยุดเหมือนกับปิดก๊อกน้ำ แต่พอเข้าฉากกุ๊กกิ๊ก ช่างยากสำหรับพั้นช์เสียเหลือเกิน
“ถ้าเป็นงานที่มันจำเป็นต้องร้อง ก็สามารถค่ะ แต่ถ้าอยู่เฉยๆ ก็ไม่นะคะ (หัวเราะ) พั้นช์เป็นคนเซนซิทีฟกับเรื่องครอบครัว หรือแม่ลูก ถ้าให้เทียบระหว่างซีนอารมณ์ กับฉากกุ๊กกิ๊ก คิดว่าซีนอารมณ์ง่ายกว่า เพราะกุ๊กกิ๊ก เราไม่รู้จะทำท่าทางมือไม้ยังไง แต่ซีนอารมณ์ ยืนร้องไห้ เรามีความรู้สึกจากข้างในออกมา มันง่ายกว่า หรืออาจเพราะว่าเราเคยเล่นเอ็มวีมาก่อน เอ็มวีไม่ต้องมีบทพูดอะไรเลย แต่ก็สร้างความรู้สึกมาจากข้างในได้”
ลองของยาก ฉากร้องลิเก
นักแสดงต้องเล่นได้ทุกบทบาท ไม่ว่าจะเป็นรถไฟ เรือเมล์ ลิเก ตำรวจ เพื่อเข้าให้ถึงบทบาท ซึ่งเรื่องนี้เธอต้องเล่นและร้องลิเกที่ไม่เคยทำมาก่อนเลย แม้ว่าจะมีพื้นฐานด้านการร้องเพลง แต่พอมาร้องลิเกจริงๆ ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย จนต้องเข้าคอร์สเรียนลิเกกับอาจารย์ชั้นครู “พงษ์ศักดิ์ สวนศรี”
“ละครเรื่องนี้เล่นยากนะคะ เพราะเราต้องเล่นและร้องลิเกด้วย เราต้องเรียนก่อนที่จะได้แสดงจริง อาจารย์พงษ์ศักดิ์ สวนศรี ท่านเป็นครูมาสอนลิเก ถ้าใครชอบลิเกต้องรู้จักคณะเขาแน่นอน เราเรียนอยู่ประมาณ 2-3 อาทิตย์ ถึงจะเริ่มถ่าย มันยากทั้งรำด้วย ร้องด้วย เพราะพั้นช์นี่เป็นคนที่รำไม่เป็น มือเราจะแข็งๆ ต้องคอยดัด ส่วนร้อง ถึงแม้เราจะมีพื้นฐานในการร้องเพลงด้วย แต่มันก็คนละแบบกัน ลิเกจะใช้ลูกเอื้อนเยอะมาก ใช้พลังเสียงค่อนข้างมากพอสมควร เขาไม่ได้ร้องใส่ไมค์นะ แต่เสียงดังก้องทั่วห้องเลย พลังดีมาก
พั้นช์เป็นคนชอบลิเกอยู่แล้วก็เลยรู้สึกว่าสนุก ชอบดูเขาแต่งหน้า แต่งตัวตั้งแต่อยู่หลังเวที ก็ไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้มาใส่ ได้ยืนร้องอยู่บนเวทีลิเก ฉากลิเกจึงเป็นฉากประทับใจมากที่สุดว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้เล่นลิเก ได้แต่งชุดลิเก ซึ่งตอนเด็กๆ เราชอบลิเกอยู่แล้ว ถึงแม้ว่าชุดจะหนักมากเพราะเป็นเพชร แต่ก็เป็นความประทับใจให้จดจำ”
แม้จะมีผลงานมาแล้วหลายอย่าง ทั้งงานละคร ภาพยนตร์ โฆษณา งานเพลง แต่เจ้าตัวก็ยังคงแน่วแน่ว่างานที่ถนัดยังคงเป็นนักร้องอยู่ดี “พั้นช์ยังถนัดร้องเพลงค่ะ แต่การละครเป็นช่วงเวลาที่เรามีโอกาสได้ทำ และแฟนๆ เพลงอยากเห็นพั้นช์เปลี่ยนบ้าง ลองเล่นละคร หรือทำอะไรที่มันแปลกไปบ้าง แต่งานละครเราก็ไม่ได้รับประจำ ดูว่าบทไหนเหมาะสมกับเรา”
“ในช่วงเราออกอัลบั้ม ก็จะมีงานจ้างค่อนข้างเยอะ แต่ถ้าช่วงอัลบั้มซาไปแล้วเนี่ย เราก็จะมีเวลามาเล่นละคร หรือทำอย่างอื่นได้ ช่วงนี้พอจบละครไปงานก็เบาลงแล้ว เดี๋ยวจะไปสปีดเยอะช่วงปลายปี ตอนทำอัลบั้ม ต้องมีถ่ายเอ็มวี โปรโมตเพลง”
อนาคตไม่ได้หยุดอยู่ที่งานเพลง
ในแต่ละปีมักจะเห็นนักแสดง และนักร้องหน้าใหม่เข้ามาในวงการบันเทิงไม่ขาดระยะ ผ่านเวทีประกวดต่างๆ มากมาย จนแทบจะไม่มีที่ยืนในวงการ จนคนบันเทิงรุ่นเก่าหลายคนเตรียมความพร้อมกับอาชีพใหม่ในอนาคตแบบแชร์ความเสี่ยง เพราะไม่รู้ว่าวันใดจะหมดยุค ถูกเขี่ยตกกระป๋อง อย่างที่พั้นช์คิดว่า “มันก็คงเป็นวัฏจักรของมันค่ะ”
“ตอนนี้มีเด็กรุ่นใหม่เข้ามาในวงการมากขึ้น จากการประกวดตามเวทีต่างๆ ค่อนข้างเยอะ จริงๆ แล้วมันก็เวียนไปเรื่อยๆ นะคะ และเด็กสมัยใหม่ก็มีความสามารถ มีความกล้าคิดกล้าแสดงออกก็เป็นสิ่งที่ดีนะ ถ้าวันหนึ่งเราจะร่วงลง หรือไม่เป็นที่นิยม มันก็คงเป็นวัฏจักรของมันค่ะ ไม่สามารถจะไปคาดการณ์อะไรได้ หากว่าเรายังมีโอกาส ยังมีหน้าที่ตรงนี้ เราก็ทำงานต่อไป และถ้าวันหนึ่งหมดยุคเราแล้ว ก็อาจไปทำธุรกิจอะไรของตัวเองต่อไป
พั้นช์คิดว่าศิลปิน รวมทั้งนักแสดงหลายๆ คนคิด น่าจะมีอะไรรองรับตัวเองไว้ เพราะว่าอย่างน้อยคือเราเป็นคนที่มีคนรู้จักประมาณหนึ่ง เพราะฉะนั้น เราทำงานทางด้านธุรกิจ การค้าขายอะไรก็แล้วแต่ มันจะได้เปรียบกว่าคนอื่น ใช่ไหมค่ะ ตอนนี้เราก็คิดไว้เหมือนกัน ถ้าเกิดว่าไม่ได้ทำงานวงการแล้ว เราก็อาจไปทำธุรกิจของเราเองกับครอบครัว จริงๆ ก็อยากทำอพาร์ตเมนต์ให้เช่า หรือว่าทำร้านอาหารกับครอบครัว เพราะว่าบ้านพั้นช์ทำกับข้าวกันได้หมดทุกคน เป็นคนชอบนั่งร้านอาหารแบบเอาต์ดอร์ สบายๆ เหมือนกับร้านก๋วยเตี๋ยวที่เขาทำร้านด้วยไม้ บรรยากาศธรรมชาติ”
ขณะที่พั้นช์ยุ่งกับงานแสดงละคร ฟากฝั่งงานเพลงสาวป็อป-ร็อกได้ซุ่มทำอัลบั้มที่วางแพลนไว้ว่าชุดนี้จะเปลี่ยนลุคในแบบที่แฟนแพลงหลายคนยังไม่เคยเห็น พร้อมกับแนวเพลงที่ดูมีสีสันมากขึ้น
“ตอนนี้งานเพลงก็ยังมีตลอด จะมีงานจ้างต่างจังหวัด ให้เราไปเล่นไปร้องตลอดค่ะ ส่วนอัมบั้มล่าสุดปลายปีนี้ก็จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของพั้นช์ที่ดูเป็นผู้หญิงขึ้น จากที่เคยเห็นว่าเราใส่ชุดทะมัดทะแมง ใครหลายๆ คนอาจจะคิดว่าเป็นทอม ดูห้าวๆ อันนี้จะดูเป็นผู้หญิงขึ้น คือสีอาจจะดูสว่างขึ้นมาหน่อย หลังจากที่หม่นๆ มาเยอะ
อัลบั้มที่ผ่านๆ มามันจะมีเพลงโปรโมตค่อนข้างเศร้าๆ และเป็นเพลงช้า แต่รอบนี้ก็มี เพราะมันเหมือนเป็นลายเซ็นพั้นช์ไปแล้ว แนวอกหัก ผิดหวัง เสียใจ ต้องมีติดอยู่ในอัลบั้มแน่นอน เพราะมีฐานแฟนเพลงที่เขารอแบบนี้อยู่ แต่เพลงเปิดตัวคราวนี้จะมีจังหวะที่ดูมีสีสันนิดหนึ่ง ถ้าให้เปลี่ยนแนวเพลงไปเลยคงยาก แต่ถ้าขอลองให้เป็นสีสันในอัมบั้ม อาจจะมีบ้าง แต่เราก็ร้องเพลงลูกทุ่งได้นะ เพราะครอบครัวเราเป็นครอบครัวดนตรี”
ครอบครัวนักดนตรีฟรีสไตล์
เสียงหัวเราะจากบ้านนักดนตรี สมาชิกหนึ่งในนั้นคือพั้นช์ หลานสาวที่มีคุณปู่เป็นเจ้าของเครื่องดนตรี ทั้งเล่นและร้องเองตามงานว่าจ้างในที่ต่างๆ เธอมักจะติดสอยห้อยตามครอบครัวไปด้วยทุกครั้ง จึงคุ้นเคยกับเสียงดนตรีมาตั้งแต่เด็ก และคุณปู่นี่เองที่เป็นป๋าดันให้เธอรักการร้องเพลงจนมีทุกวันนี้ได้
“ปู่เป็นเจ้าของเครื่องดนตรี รวมถึงพ่อ ลุง อา ก็เป็นนักดนตรี พอมีลูกหลานก็ไปเล่นตามงานต่างๆ และเราได้เห็นได้ยินมาตั้งแต่เด็กๆ จึงไปหาประสบการณ์จากตรงนั้น และตอนนี้ก็ยังทำอยู่ แต่ปู่เสียไปแล้วก็ยังเป็นภรรยาปู่ที่ดูแลอยู่ บางครั้งเขาจ้างเฉพาะเครื่องดนตรี เฉพาะนักร้อง ก็แล้วแต่งาน สมัยตอนพั้นช์เด็กๆ ก็ไปทุกงาน ส่วนใหญ่รับเฉพาะในกรุงเทพฯ เลิกเรียนเราก็ไป ตอนเย็นปู่จะมาเรียกแล้ว งานแต่ง งานบวช งานปีใหม่ เราไปหมดเลย
เมื่อบ้านเราทำวงดนตรีมาแล้ว มันจึงเหมือนเป็นตัวเสริมให้เรามีพื้นฐานทางด้านดนตรี ด้วยความที่เราอยู่กับสิ่งนี้ เขาซ้อมดนตรีกันทุกวัน เรานอนก็ได้ยินเสียงเพลงทุกวัน ห้องซ้อมดนตรีปู่ก็มี คือทุกอย่างเขาเอื้อให้เราหมดแล้วค่ะ พอเห็นเขาร้องเราก็อยากร้อง พ่อก็สอนให้ร้องเพลงบ้างอะไรบ้าง และมันก็ได้ของมันเองโดยที่เราไม่ต้องเรียน
พั้นช์เริ่มร้องเพลงครั้งแรกเลยตอน 9 ขวบ จำได้ว่าน่าจะเป็นงานแต่งงาน เราก็ร้องไม่รู้เรื่องหรอก รู้สึกว่าจะร้องเพี้ยน หรืออะไรสักอย่างแหละ และก็มีคนมาตะโกนบอกว่า “หนูร้องเพี้ยนแล้ว” เราก็เลยลงไปร้องไห้ เหมือนกับว่าอาย ปู่ก็บอกว่าไม่เป็นไรเดี๋ยวงานหน้าค่อยว่ากันใหม่ ปู่คอยผลักดันให้ไปร้องตลอดเลยค่ะ จนเราเริ่มไม่กลัวเวทีแล้ว เพราะปู่นี่แหละค่ะ ถ้าอย่างนั้นคงไม่ได้ร้องเพลง ปู่ประหยัดด้วย เอาลูกหลานขึ้นไปร้องเองเลย ตอนแรกให้เป็นค่าขนม พอเริ่มโตขึ้นก็เป็นนักร้องประจำวง ทำให้มีประสบการณ์มากขึ้นด้วย ชื่อวงเป็นชื่อของปู่เลย “เปลวมิวสิค” เราก็ร้องกับวงมาตลอดจนกระทั่งอยู่ชั้น ม.5 และได้ออกอัลบั้มชุดแรก ประมาณอายุ 20 ซึ่งเริ่มต้นจากการประกวด”
เข้าแกรมมี่ได้ เพราะเนสกาแฟ
พั้นช์ไม่เคยคาดคิดมาก่อนเลยว่าการเข้าประกวดแข่งขันวงดนตรีครั้งแรกในชีวิต จะทำให้เธอกลายเป็นนักร้องที่มีชื่อเสียงในสังกัดค่ายเพลงดังอย่างแกรมมี่ หลังจากมีแมวมองมาติดต่อ เพราะเห็นแววการเป็นนักร้องที่ทางค่ายแกรมมี่ยังไม่เคยมี
“ตอนนั้นรู้สึกว่าเพื่อนของปู่นี่แหละ เขามีลูกชาย และลูกชายเขาเป็นมือกลอง และเป็นวงที่ชอบไปประกวดตามเวทีต่างๆ และด้วยความที่เขาอยู่ ม.ราชภัฏบ้านสมเด็จฯ ซึ่งเป็นสถาบันที่เก่งด้านดนตรี ชอบแข่งประกวด แล้วเขาก็มีแต่นักร้องผู้ชาย แต่อยากได้นักร้องผู้หญิง ก็เลยมาติดต่อพั้นช์ไป เราก็ลองดู เพราะมันเหมือนเป็นญาติๆ กันทั้งนั้นเลย เรารู้จักกัน เห็นกันมาตั้งแต่เด็กๆ
คราวนี้เราไปประกวดงานเนสกาแฟ และประกวดงานยามาฮ่า ซึ่งที่งานเนสกาแฟนี่แหละซึ่งเป็นเวทีใหญ่ เวทีแรกที่พี่ทางค่ายแกรมมี่ไปเห็น ก็เลยชักชวนเข้ามา แต่ก่อนที่จะชักชวนเข้ามา เราก็ติดประกวดอีกงานหนึ่งก่อน คือยามาฮ่ายังประกวดไม่เสร็จ เราก็เลยบอกเขาว่า เดี๋ยวประกวดงานนี้เสร็จก่อน แล้วจะเข้าไปคุยในแกรมมี่ พอเข้าไปคุยเขาก็สนใจ และเซ็นสัญญากับค่ายแกรมมี่มา 5 ปี แต่ได้ออกเทปปีที่ 5 เพราะต้องไปเรียนร้องเพลง ฝึกเต้น ทำอะไรอีกเยอะ แต่ว่าช่วงนั้นเราก็ร้องเพลงกับที่บ้านไปด้วย เลยรู้สึกไม่ได้นานมาก”
“สมัยนั้นมันไม่มีประกวดร้องเพลงด้วย มาช่วงหลังๆ นี้เยอะมาก เราเลยไม่คิดว่าจะโชคดีได้มาอยู่แกรมมี่ด้วยซ้ำ เพราะไม่ได้มาประกวดของค่ายแกรมมี่โดยตรง อย่างเดอะสตาร์ แต่ที่เรามามันไม่ใช่ จึงเหมือนเป็นความโชคดีของเรา อาจเพราะเราเป็นเด็กบ้านๆ ลุคแบบนี้ของแกรมมี่ยังไม่มี เขาก็เลยทำพั้นช์ขึ้นมาคนหนึ่ง ดูจับต้องได้ ให้เป็นแบบบ้านๆ ดินติด นั่นแหละเป็นที่มาของเรา
รุ่นพั้นช์ที่มาด้วยกันเลยนะ ก็จะมีพั้นช์ เป๊ก ไอซ์ ดา โปเตโต้เนี่ย เราเรียนร้องเพลงมาด้วยกันเลย เราก็ออกมา 6 อัลบั้มแล้ว ประทับใจอัลบั้มแรกมากที่สุด เพราะว่ามันเป็นการเปิดตัวของเราด้วย และในเอ็มวีหลายๆ คนจะจำได้ เป็นภาพขับมอเตอร์ไซค์ซิ่ง รวมถึงเพลง เราคงต้องเป็นแฟนกัน ซึ่งเป็นเอ็มวีที่พูดถึงเยอะ และทุกคนจะจำกันได้จากเพลงพวกนี้”
เพลงที่ทำให้เธอดังเปรี้ยงปร้าง นั่นคือเพลง “ยิ่งกว่าเสียใจ” ซึ่งเรียกแฟนเพลงได้มากที่สุด เป็นอัลบั้มชุดที่ 2 หลังจากที่อัลบั้มแรกก็ทำยอดขายไม่น้อยหน้ามาแล้ว
“เราได้ฐานแฟนเพลงมาจากอัลบั้มแรกด้วย จากเด็กๆ ดูใสๆ น่ารักๆ พอมาเพลง ยิ่งกว่าเสียใจ มันจะมีความเศร้าผสมด้วย อาจจะโดนใจผู้ใหญ่ หรือวัยรุ่นที่กำลังอกหักอยู่ อัลบั้มนี้ได้รับรางวัลยอดเยี่ยมเยอะเลย โชคดีมาก หลายๆ คนบอกว่ากดดันเยอะไหม เพราะว่าอัลบั้มแรกมันออกมาดีเหมือนกันนะ ยอดขายถือว่าโอเค แต่พออัลบั้มที่ 2 ออกมาก็รู้สึกดี และอัลบั้มต่อไปก็มีแฟนคลับเริ่มติดตาม บางคนเป็นแฟนคลับตั้งแต่เรียนไม่จบจนเรียนจบ ตอนนี้มีสามี มีลูกแล้ว อยู่นานมาก และก็ยังเจอกันตลอดด้วยค่ะ”
“พั้นช์ก็ไม่ได้เป็นนักร้องที่เก่งอะไรมากนะ แต่ว่าร้องเพลงได้ ร้องเพลงเป็น เราใช้เสียงเราทำมาหากินได้ และมันเป็นสิ่งที่เราชอบ เราทำแล้วมีความสุข บางทีเราอยากมีโอกาสไปแต่งเพลงบ้าง ชุดแรกก็เคยแต่งเอง ที่ชื่อเพลงว่า “ไม่รักช่างปะไร” เขาให้โอกาสเรามากเลยนะ ให้เกียรติเพลงเราเข้าไปอยู่ในอัลบั้มแรก เนื้อเพลงบางทีเราก็เอามาจากคนรอบข้าง ความรักของคนอื่นแล้วเอาเรื่องราวมาแต่งเป็นเพลง ถ้าทางค่ายชอบ เขาก็ซื้อ เรารู้สึกดีใจมากที่ได้เซ็นชื่อเป็นผู้ประพันธ์เพลง”
สาวน้อยตาดำก๊อกแตก
หากใครเคยดูเอ็มวีเพลงของพั้นช์ ซึ่งส่วนใหญ่เธอจะเล่นเป็นนางเอกเจ้าน้ำตาเอง จนเป็นที่มาของฉายา “สาวน้อยตาดำก๊อกแตก” เพราะแต่ละเอ็มวีร้องไห้มากจนคนดูอิน และอาจเป็นผลมาจากเอ็มวีนี่เองที่ทำให้เธอได้เล่นละคร จึงถือเป็นความโชคดีแบบสองเด้ง ก่อนที่เธอจะพาย้อนไปในวัยเด็กอีกครั้ง
“ตอนเด็กเหมือนเด็กผู้ชายเลย เพราะที่บ้านเด็กผู้ชายจะเยอะ อยู่ละแวกบ้านที่ติดๆ กัน มีบ้านพั้นช์ บ้านลุง บ้านน้า เป็นครอบครัวใหญ่อยู่ในบริเวณใกล้ๆ กัน ย่านจรัญสนิทวงศ์ แล้วก็จะมีเพื่อนบ้าน เล่นดีดลูกแก้ว เขี่ยไพ่ ปั้นดินน้ำมัน เราเป็นเด็กสวน มีท้องร่อง มีปีนต้นไม้เล่น บุคลิกเราจึงออกห้าวๆ หน่อย ไม่ได้เรียบร้อยค่ะ
พั้นช์เป็นลูกคนเดียว แต่มีลูกพี่ลูกน้องเยอะ พั้นช์เลยไม่เหงาเลย แต่เราจะสนิทกับแม่มากที่สุด คือแม่ดูแลทุกอย่างค่ะ เสื้อผ้าหน้าผม ร้องเพลงเขาก็พาไป ทำทุกอย่างเลย เรานอนด้วยกัน แม่เขาเหมือนวัยรุ่น พูดคุยกันง่าย วันนี้ปกติก็มา แต่ติดธุระ เรื่องรายละเอียดของงานทางค่ายแกรมมี่จะคอยจัดการให้ แต่เรื่องเงินแม่จะคอยดูแล (หัวเราะ) อย่างคิวงานอย่างนี้ แม่จะไม่รู้เรื่อง แฟนคลับรู้มากกว่าอีก (หัวเราะ) บางทีพั้นช์ยังจำไม่ได้เลย วันนี้ทำอะไรบ้าง แฟนคลับต้องมาบอก พี่พั้นช์มีตารางงานมาให้ด้วยนะ”
“ความฝันถ้าเป็นตอนเด็กๆ อยากเป็นคุณครู แบบว่าขโมยชอล์กที่โรงเรียนมาเขียนกระดานที่บ้าน เวลาลบทีหนึ่งฝุ่นตลบเต็มบ้าน ด้วยความที่เราชอบเขียนด้วย บางทีเห็นครูไปเขียนบนกระดาน เราอยากทำบ้าง แต่ลายมือทุเรศ แบบไก่เขี่ยเลยล่ะ เพื่อนอ่านไม่รู้เรื่อง เรารู้เรื่องคนเดียว ตอนนี้ก็ยังเหมือนเดิม ก็เลยต้องลักชอล์กไปเขียนที่บ้าน (หัวเราะ)
แต่ที่เห็นว่าเรียนนิเทศศาสตร์เพราะคิดว่ามาทางด้านการแสดงแบบนี้ ก็เลยเรียนคณะนี้ แต่ก็ยังไม่รู้เลยว่าจะได้ใช้รึเปล่า (หัวเราะ) แต่ก็ได้ใช้ค่ะ แม้จะไม่ได้เยอะนะ เพราะที่เรียนมาจะเกี่ยวกับการทำงานเบื้องหลังมากกว่า แต่งานของพั้นช์จะเป็นการร้องเพลงอยู่เบื้องหน้า”
สบายๆ สไตล์พั้นช์
เหมือนกับว่าเส้นทางงานเพลงของพั้นช์ยังผ่านมาไม่นานนัก แต่เมื่อเธอยืนยันว่าอยู่ในวงการเพลงมานานถึง 19 ปีแล้ว กลับทำให้คิดถึงอัลบั้มแรกๆ ของเธอ ภาพสาวน้อยที่มีรอยยิ้มสดใส ดวงตากลมโต น่ารัก ดูมีชีวิตชีวา และมีความสุขกับเสียงเพลง และทุกสิ่งที่อยู่รอบข้างเสมอ
“งานเพลงเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราทำแล้วไม่รู้สึกว่าฝืน มันเป็นการทำงานที่เหมือนไม่ได้ทำงาน บางครั้งมาทำงาน อย่างเช่นการถ่ายเอ็มวี เราตื่นเช้าก็จริง แต่มันก็เป็นช่วงเวลานั้น แค่การโปรโมตเพลง พอเวลาผ่านไปก็จะมีงานจ้างเข้ามา เราก็ไปแต่ตัวกับเสียงของเราแค่นั้นเอง แล้วขึ้นไปร้องเพลง เราไปด้วยความพร้อม”
“เคยคิดเหมือนกันว่า ถ้าเราไม่ได้เป็นนักร้องค่ายแกรมมี่ก็คงไปร้องเพลงตามร้านอาหารทั่วๆ ไป แบบวิ่งรับงานหลายๆ ร้าน วันหนึ่งอาจจะ 3-4 ร้าน มันก็คงสนุกไปอีกแบบ แต่พั้นช์คงไม่ไปทำงานออฟฟิศแน่นอน เพราะตั้งแต่เด็กรู้ตัวเลยว่าเราไม่ใช่แนวนั้น ตื่นเช้านั่งอยู่ออฟฟิศ ถึงเราจะเรียนมาทางด้านนี้นะ แต่เราก็ไม่ถนัด เป็นคนนอนดึก และมักจะตื่นสาย คือเป็นเหมือนชีวิตคนกลางคืน เวลาคิดงานอะไรออกได้ตอนกลางคืนทั้งนั้น”
“จริงๆ พั้นช์เป็นคนสบายๆ ไม่คิดมากกับเรื่องอะไรที่ผ่านเข้ามาในชีวิต หมายถึงว่ามีปัญหาอะไร พั้นช์คิดว่ามันมีหนทางแก้ไขได้แหละ ถึงเวลาจะช้าจะเร็ว แต่ก็แก้ได้ และก็จะเป็นคนที่มีกำลังใจให้แก่ตัวเองตลอด ไม่ว่าจะมีปัญหาอะไร เราจะมีวิธีคิดของเราเองให้มีกำลังใจ แล้วมันจะไม่มาบั่นทอนความรู้สึกต่างๆ ของเรา และเป็นคนที่ชอบอยู่กับครอบครัว ชอบสังสรรค์อยู่กับที่บ้าน เพราะเราอยู่ด้วยกันมาตั้งแต่เด็ก ด้วยความที่เราเป็นเด็กญาติเยอะ มีวันเกิดใครหรืองานอะไร เราต้องอยู่ที่บ้าน อีกอย่างหนึ่งเราไม่คาดหวังอะไรสูง อย่างออกอัลบั้ม คิดว่าเราได้ออกก็บุญแล้ว คนจะชอบหรือไม่ก็แล้วแต่ นั่นเป็นผลพลอยได้ไป”
ด้วยความที่เป็นคนสบายๆ แบบนี้ พอมารับเล่นละคร แค่เหตุผลที่ว่า “แม่อยากดู” เท่านั้นก็เป็นแรงหนุนให้เธอตัดสินใจรับงานทันที พั้นช์เสริมขึ้นว่า “เรื่องแรกทัดดาวบุษยา แม่บอกว่าเล่นเถอะ แม่อยากดู เราก็อืม!...ลองดูก็ได้ และเวลาจะรับงานเราต้องถามก่อนว่าผู้กำกับกดดันไหม ทีมงานเครียดรึเปล่า เราไม่ชอบแบบซีเรียส เพราะเราไม่ใช่คนแบบนั้นไง อยากทำงานด้วยความสบายใจ เราไม่ใช่คนงี่เง่านะ ทำงานอยู่ดึกยันเช้าเราอยู่ได้ ขอให้คนร่วมงานยิ้มแย้มแจ่มใส เราก็มีความสุขพอแล้ว”
เรื่องรักอย่าคิดให้ยาก
ความรักยังคงเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ เช่นเดียวกับไลฟ์ไตล์สบายๆ ตามแบบฉบับครอบครัวนักดนตรี และด้วยความเป็นคนรักครอบครัว ข้อกังขาเดียวที่มีหากใครจะเข้ามาเป็นที่รัก คือต้องเข้ากันได้กับแม่ และคนในครอบครัวของเธอ เข้าทำนองที่ว่ารักฉัน รักแม่ของเธอ ก็คงไม่ใช่เรื่องยากหากหนุ่มคนนั้นจะรักสาวสวยตาโตคนนี้จริง
“พั้นช์เป็นคนไม่คาดหวังอะไรมากเกี่ยวกับเรื่องความรัก คือถ้ามีความรู้สึกดีๆ ให้กัน รับได้ในสิ่งที่เราเป็น เมื่อเขารู้เราเป็นแบบนี้ ถ้าคลิกกันลงตัวก็โอเคแล้ว ไปต้องเยอะอะไรมากมาย เขาต้องรักครอบครัวเราด้วย อย่างน้อยก็คือต้องรักแม่ รักน้องก็โอเค เพราะเราจะไปกับแม่ตลอด ถ้าเขาไปด้วยก็ต้องมีแม่ มันเป็นความเคยชินค่ะ ถ้าไปเห็นตลาดที่เขาเปิดท้าย จะคิดถึงแม่ตลอด เพราะแม่ชอบเดินตลาดเปิดท้าย ถ้าไปห้างจะไม่ชอบ แกจะชอบรื้อกับดิน”
“เรื่องสเปก พั้นช์ไม่มีสเปกหรอก แต่คนในใจที่คุยอยู่น่ะมี แค่เป็นคนที่เรารู้สึกถูกชะตา คุยกันแล้วรู้เรื่องลงล็อก นิสัยพั้นช์จะเหมือนผู้ชาย ไม่ชอบให้จู้จี้จุกจิก ให้ตื๊อให้ตาม ชอบชิลๆ เพราะเราไปทำงานก็เหนื่อยมากพอแล้ว วันไหนว่างๆ จะไปเที่ยวทะเลใกล้ๆ กรุงเทพฯ อย่างหาดเจ้าสำราญ จ.เพชรบุรี พักผ่อนกับครอบครัว ส่วนใหญ่ไปกับแม่ และลูกพี่ลูกน้องกันคนหนึ่ง ชอบอาหารทะเลด้วย ประเภทยำหอยแครงลวก และชอบไปนวดแผนโบราณ แม่ชอบพาไป เพราะบางทีนั่งรถตู้ไปร้องเพลงต่างจังหวัดนานๆ แล้วหลังมันแข็ง จริงๆ แล้วมันไม่น่าจะเป็นหรอก แต่พอนวดครั้งเดียวแล้วมันติด ถ้ามีโอกาสก็อยากไปอีก”
“พั้นช์ไม่มีใครเป็นไอดอลเป็นพิเศษ แต่ถ้าถามว่าทำเพื่อใคร จะเป็นแม่ ที่เราทำงานนั้นทำงานนี้ ก็นึกถึงเขาเป็นหลักด้วย เพราะเราเคยร้องเพลงงานจ้าง 300-400 บาท แบบนี้อยู่ทั้งวันทั้งคืนนะ แต่ตอนนี้เรามีมากกว่านั้น เราเคยคิดว่าถ้าจะกลับไปอยู่แบบ 300 บาท ก็อยู่ได้นะ เพราะว่าตอนนั้นเราก็อยู่ได้ แต่ตอนนี้ก็สร้างไว้เพื่ออนาคตของเรา”
“คติในการใช้ชีวิตของพั้นช์ ก็คือไม่คิดมากนี่แหละ มันจะทำให้จิตใจเราสดใส ถ้าคิดมาก อะไรมันก็ดูเครียด ซึ่งครอบครัวดนตรีเนี่ย จะเป็นแบบบ้านสุขสรรค์ ทะลึ่งตึงตัง และเวลาทะลึ่งมันจะมีเสียงหัวเราะออก บ้านพั้นช์เขาเรียกกันว่า “วังสังกะสี” เพราะบ้านจะล้อมรอบด้วยสังกะสี ข้างในจะเป็นบ้านปู่ บ้านลุง บ้านอา คืออยู่ในรั้วเดียวกันหมดเลย ขนาดเราไปซื้อบ้านให้แม่ใหม่ก็ยังอยู่ละแวกนั้นอยู่ดี ใกล้กัน บางทีแม่อยู่คนเดียว แล้วเราไปทำงาน แม่จะได้เดินมาหาญาติได้ แต่ถ้ามีใครเสียชีวิตสักคนหนึ่งมันจะรู้สึกเศร้า อย่างปู่ที่เสียไป เรารู้สึกว่าเขาเป็นคนริเริ่ม เป็นคนทำให้มีชีวิตชีวา”
ขณะนี้ พั้นช์ได้เตรียมงานอัลบั้ม ชุดที่ 7 ปลายปีนี้ และกำลังมีละครเรื่อง “ท่านชายในสายหมอก” เล่นคู่ กับ หลุยส์ สก็อต ทางช่อง 3 ซึ่งพั้นช์ยังได้ร้องเพลงประกอบละครเรื่องนี้อีกด้วย ชื่อเพลงว่า “อย่าปล่อยให้ฉันฝันไปคนเดียว” สำหรับแฟนเพลงที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยผลงานของเธออยู่ รับรองว่าไม่ผิดหวังกับลุคและเพลงที่สดใสน่ารักกว่าเดิม
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-นามสกุล : วรกาญจน์ โรจนวัชร (พั้นช์)
น้ำหนัก-ส่วนสูง : 45 กก./ 160 ซม.
การศึกษา : มัธยมศึกษา-โรงเรียน ฤทธิณรงค์รอน แขวงวัดท่าพระ เขตบางกอกใหญ่ กรุงเทพฯ (สายศิลป์-คำนวณ) และปริญญาตรี-จบหลักสูตรนิเทศศาสตร์ (วิทยุ-โทรทัศน์) มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
ผลงานอัลบั้ม : อัลบั้มที่ 1ผู้หญิงตาดำๆ, อัลบั้มที่ 2 ผู้หญิงกลางสายฝน, อัลบั้มพิเศษ-วันพิเศษ, อัลบั้มที่ 3 นักร้องเปื้อนฝุ่น, อัลบั้มที่ 4 Woman Story,อัลบั้มพิเศษ พั้นช์ เพลงรัก, อัลบั้มที่ 5 ปรากฏการณ์ธรรมชาติ และอัลบั้มที่ 6 คนสนิท
งานเพลงสร้างชื่อ : เราคงต้องเป็นแฟนกัน, ยิ่งกว่าเสียใจ, เปลืองหัวใจ, วางมือบนบ่า น้ำตาก็ไหล, แปลว่ายังหายใจ, สาบานส่งส่ง, นี่คือคนเสียใจ, คนไร้ค่าที่มาก่อน และให้ฉันเป็นคนสุดท้าย
การถ่ายแบบ : นิตยสาร Herworld, นิตยสาร ทีวีพูล, นิตยสาร LISA, นิตยสาร แพรว, นิตยสาร ชีวจิต และนิตยสาร Spice
การถ่ายโฆษณา : รถจักรยานยนต์ Fino(2550), ทรูมิวสิคซิม (2550), กาแฟกระป๋อง เบอร์ดี้ (ประมาณปี 2551) และโฆษณา To be number 1
ผลงานการแสดงละคร : รับเชิญ ซิทคอม พ่อแกกับแม่ฉัน, รับเชิญ ซิทคอม บางรักซอยเก้า, ละคร ทัดดาวบุษยา รับบทเป็น ทัดดาว คู่กับ ปอ ทฤษฎี สหวงษ์ ทางช่อง 3 (2553) และละคร ท่านชายในสายหมอก รับบทเป็น ขิง (กำลังออกอากาศ ทางช่อง 3)
ผลงานการแสดงภาพยนตร์ : ภาพยนตร์ โปรแกรมหน้า วิญญาณอาฆาต รับบทเป็น ส้ม
ภาพโดย พลภัทร วรรณดี
ขอบคุณภาพจากเฟซบุ๊ก “Punch Club สมาคมคนรักพั้นช์”