xs
xsm
sm
md
lg

ธรรมปฏิบัติ ของ... บิ๊ก ทองภูมิ

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


คุณกำลังมองตัวตนผู้ชายคนนี้อย่างไร? คำถามนี้เกิดขึ้นเมื่อบทสนทนาระหว่าง M-Lite กับผู้ชายที่ชื่อ “บิ๊ก ทองภูมิ สิริพิพัฒน์” พิธีกรจาก รายการ มิวสิก สเปซ , รายการ น่ารักอ่ะ ทางช่อง Yaak Tv กำลังเริ่มต้นขึ้น คุณอาจจะเคยมองเขาในมุมของผู้ชายที่เคยมีข่าวกับนางร้ายตัวแม่ , มีข่าวว่าเขาเป็นไบเซHกชวล ,ทำผู้หญิงท้อง หรืออะไรต่างๆ ที่คุณจะมองเห็นเพียงแค่เปลือกนอกเท่านั้น … มากะเทาะความเป็นตัวตนให้ถึงแก่นแท้ของชายหนุ่มที่คุณเห็นเพียงเปลือกนอกกันว่าแท้จริงแล้ว ตัวตนอีกมุมหนึ่งของเขาแท้จริงเป็นอย่างไร

1

หลายคนที่หันเข้าสู่ทางธรรมอาจจะมีเหตุผลลึกๆ ส่วนตัว ไม่เครียดก็ต้องเจอกับปัญหาชีวิตที่ไม่สามารถแก้ไขได้เลยหันไปพึ่งธรรมะ บิ๊กเริ่มสู่ทางธรรมด้วยการชักนำของผู้ใหญ่ที่ทำให้เขาได้เริ่มรู้จักตนเอง ลองสังเกตจิตใจของตนเอง จนวันหนึ่งเขาได้เริ่มเข้าใจตัวเองมากขึ้น

บิ๊กเล่าว่า ครั้งแรกที่เขาสามารถรับรู้และแยกจิตกับกายออกจากกันได้ เขามีความปีติ ยินดี ถึงกับน้ำตาร่วง เขาเริ่มศึกษาและเรียนรู้ว่าตนเองถูกจริตกับสายของหลวงพ่อท่านหนึ่งที่เรียนรู้กายกับจิตของตนเองสามารถแยกออกจากกันได้ เมื่อไหร่ที่แยกได้ความเจ็บปวดก็จะน้อยลง

“การศึกษาจิตตนเองมีไม่เยอะหรอกครับ ผมศึกษาใช้เวลาไม่นาน อ่านหนังสือธรรมะบ้าง แล้วก็มาเรียนรู้กาย เรียนรู้ใจตัวเอง นี่คือคำของพระ อย่างเช่น ถ้าสายพระธรรมดาทั่วไปก็จะเหมือนว่าให้เรารู้ทุกขณะจิตของตนเองว่าเรากำลังยืน นั่ง เดินนะ ดูกายก็เห็นว่ากายเรานั่ง ดูใจก็เห็นว่าใจเราโกรธ แล้วพอเราโกรธเราก็ตัดไปได้ครึ่งนึง แล้วเราก็ทำใหม่จนกระทั่งหายโกรธ คือการที่มันตัดไป เราไม่ได้ทำให้มันตัดนะครับ ใจเราจะตัดความโกรธของเราเอง ”

เปรียบเทียบจิตใจคนเราเหมือนหลอดฟลูออเรสเซนส์ มันกะพริบเร็วมาก จนรู้สึกว่าแสงมันนิ่ง แต่งจริงๆมันแวบตลอดเวลา ใจคนเราก็เหมือนกัน มันสามารถแวบได้ตลอดเวลา บางทีใจเราเลื่อนไปอยู่ที่หู ที่ขา ถ้าตัดได้กิเลสต่างๆ จะลดน้อยลงไปและทำให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น

การดูกายเพื่อไม่ให้ยึดติด มันสามารถทำให้คนเราเจ็บได้น้อยลง เห็นกายแยกเป็นส่วนถ้าเราเอากายไปผูกกับจิตมันก็จะเจ็บมาก ถ้าเราทำไปเรื่อยๆ เวลาเราป่วยถ้าเราแยกกายกับใจออกจากกัน ใจเราก็จะไม่ผูกเจ็บ กายเราก็จะสามารถปรับสู่สภาพเดิมได้เร็วกว่าเดิมนะ มากกว่าใจที่เราบอกว่าเจ็บนะ ถ้าแยกได้มันสามารถบรรเทาได้นะ มีคนเก่งมากถึงขั้นผ่าตัดโดยไม่ใช้ยาได้นะ เขาแยกกายกับใจออกคนละส่วน เวลาหมอใช้ด้ายเย็บ เขาไม่ได้เจ็บขนาดนั้น ความเจ็บ ภาษาธรรมเรียกว่า เวทนา กายเจ็บ ใจไม่เจ็บ กายไม่ยึดติด ใจก็มีความสุขแล้วครับ อย่างพระอรหันต์ ตอนป่วยถึงกายจะเจ็บแต่เค้ายิ้มได้ตลอดเลย

เวลาไม่นานของการเรียนรู้และศึกษาอย่างจริงจังและนำไปปฏิบัติกับตนเอง เป็นเวลาไม่นานที่ทำให้เขาเรียนรู้การแยกส่วนเพื่อไม่ให้ตนเองเกิดทุกข์ได้ เขายกตัวอย่างให้เห็นชัดขึ้น ว่า ตัวตนคนเราเหมือนรถยนต์ ถ้ารถยนต์ไม่มีพวงมาลัย มีแต่ล้อก็ไม่เป็นรถยนต์นะ เหมือนเราแยกชิ้นส่วนรถนะ ถ้าแยกส่วนแล้วเอาประกอบกันถึงจะเป็นรถยนต์ คนก็เหมือนกัน ประกอบด้วยแขนขา ถ้าเอามาประกอบกันมันก็คือธาตุหนึ่งที่เน่าเสีย ถ้าดูไปเรื่อยๆ มันแยกออกได้

“ถ้าถามว่าแล้วแยกกายกับจิตอย่างไร ผมไม่ต้องทำอะไรเลย ลองให้คุณนั่งเฉยๆ แบบนี้สักสามชั่วโมง ถ้ากายเป็นของคุณจริงๆ คุณก็จะไม่ขยับมันเลย คุณสั่งมันได้ และถ้าใจเป็นของคุณจริงๆ มันบังคับได้ แต่เชื่อมั้ยว่ามันต้องมีที่แวบไปคิดเรื่องอื่นบ้าง สิ่งนี้แหละที่สอนให้ผมรู้ว่า จิตของมนุษย์มันแวบได้ตลอดเวลา จิตมันจะแวบ คิดเรื่องอื่นก็เป็นเรื่องธรรมชาติของจิตที่จะเป็นอย่างนั้น กายบอกว่า เออ เมื่อยนะ มันก็ธรรมดาของแต่ละส่วนไป ใครที่นั่งแล้วไม่เมื่อยลองมาบอกผมสิ ว่านั่งยังไงไม่เมื่อย เราจะรู้เองเลยว่าใจเราอีกส่วนหนึ่ง กายเราก็อีกส่วนหนึ่ง ใจเราบังคับได้ แต่กายมันอยู่ไม่ได้ถ้ามันปวด ถ้าคนที่ดูจิตลึกๆ จะเห็นเลยว่า กายเป็นท่อนๆ หนึ่งที่นั่งอยู่ มันไม่ใช่การถอดจิต เป็นมนุษย์ธรรมดาก็ทำได้ กายกับใจมันก็คนละส่วน จะมาให้นั่งสมาธิ 10 ชั่วโมงมันไม่ได้ ”


2

นิยามธรรมะของเขามองว่า ธรรมะก็คือ “ธรรมชาติ” บางคนศึกษาไม่นานก็เข้าใจได้ง่ายว่า ธรรมชาติสอนให้รู้ว่า ใจมันสามารถแวบได้ บิ๊กเคยสุดโต่งกับกายฝึกจิตจนรู้สึกว่าตนเองเครียดมากเกินไปกับสิ่งเหล่านี้ เขาจึงหันกลับมาและลองศึกษาธรรมะที่สามารถนำเอาไปใช้ในชีวิตประจำวันได้มากขึ้นกว่าการไม่รู้สึกเจ็บกับกายและใจ

“ช่วงนี้ผมจะเปลี่ยนสาย ธรรมะมีหลายสายนะครับ ไม่ว่าจะสายปัญญา สายอิทธิฤทธิ์ สายชีวิตประจำวัน กายใจ ผมหันมาศึกษาเรื่องชีวิตประจำวันมากขึ้น ผมเชื่อว่าแต่ละสายจะพาไปเจอในที่เดียวกัน กว่าที่เราจะไปถึงจุดนั้นต้องอาศัยหลายๆ อย่าง บางคนถูกจริตกับการเดินจงกรม นั่งสมาธิ เดินสมาธิก็ว่ากันไป พอผมมาศึกษาเรื่องจิตมันรู้สึกว่าตึงเครียดเกินไป ก็เลยเพลาๆ ลงบ้าง เลยเปลี่ยนมาสายชีวิตดู”

“สายชีวิตประจำวันจะทำให้รู้เลยว่า การติ ฉิน นินทา เป็นเรื่องธรรมชาติมาก เรื่องพวกนี้ผมโดนใกล้ตัวเกิน ผมอยู่สังคมแบบนี้ ผมเคยเจอแบบว่า ได้ยินข่าวผมมาแบบนี้ สมองผมตัดเลยนะ บทผมก็ขาดเลย พอรู้เสร็จ จิตผมถูกหั่นเป็นสองท่อนเลยนะ หลุดเลย คุยไม่รู้เรื่อง”

พอศึกษาทำให้รู้ว่า การ ติฉินนินทาเป็นเรื่องธรรมชาติของคน ทำยังไงถึงจะเอาใจคนหลายคนได้ จริงๆ แล้วก็คือ ความเมตตา หลายคนต้องการเอาชนะ มีเกียรติยศ บารมี เพื่อให้คนอื่นยกย่อง นับถือ มีเงินทองซื้อให้คนอื่นทำเพื่อตัวเองได้ แต่สิ่งที่ใช่ที่สุดคือ “ความเมตตา” สามารถทำให้คนก้มลงกราบเราได้ จริงๆ แล้ว เราแค่มีความเมตตาให้ เดี๋ยวนี้ผมจะฟังเรื่องคุณธรรมมากขึ้น

“บางทีผมไปเจอหลวงพ่อ ท่านสอนธรรมะ เดินสายบางอย่างมากไปก็ไม่ดี สายอิทธิฤทธิ์ มากไปก็ไม่ดี เขาก็เลยบอกให้เราเดินทางสายกลางจะดีที่สุด ผมเคยเกิดคำถามนะครับว่า เมื่อสายปัญญากับสายอิทธิฤทธิ์ เจอกัน ไม่ทะเลาะกันตายเลยเหรอ แต่ท่านทั้งสองเป็นเพื่อนกัน แล้วก็แต่ละคนจะเดินทางคนละสาย พระพุทธเจ้ามีศิษย์หลายสาย จริงๆ แล้วเขาภาวนาก็ภาวนาเหมือนกัน ปฏิบัติเหมือนพระพุทธเจ้า ก็ถึงอรหันต์เหมือนกัน อยู่ที่ว่าใครจะเจอทางเร็วกว่ากัน ใครอ้อมใครเดินทางลัดเร็วกว่ากัน”

3

หลายคนมองว่าการศึกษาธรรมะของหนุ่มบิ๊กเป็นเรื่องการขัดบุคลิกของตนเองอย่างที่ใครๆ ไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าเขากลับมีความสุขในมุมที่ไม่มีใครรู้เรื่องราวมุมนี้

“ผมว่ามันเป็นองค์ของคนครับจริงๆ นะ ผมมีความสุขนะ เพราะว่ามันดีนะที่ไม่มีคนมาคุยกับผมเรื่องนี้นะ มันรู้สึกรำคาญนะ ผมไม่ชอบคุยเรื่องนี้ คนจะมองว่าผมบ้า เพื่อนมองว่าผมบ้าผมก็ไม่คุย เรื่องธรรมะ จะผิดก็ต่อเมื่อมาคุยใส่กันว่าใครเก่งกว่ากัน คือ คนที่ศึกษาจริงๆ จะรู้ว่าไม่มีใครเก่งกว่าใคร ของที่รอบล้อมเรา หินก้อนนึงวางข้างๆเรามันก็เก่า ร่างกายเราเก่าขึ้นทุกวัน ใจเรายังเปลี่ยนเลย บางทีรู้มากก็ไม่ดี ”

เขายกตัวอย่างถึงเรื่องราวความรักที่ผ่านมาเฉกเช่นหนุ่มที่ไม่ปลงกับกิเลสความใคร่ได้แล้ว “คนเราเกิดมา ไม่เคยรักใคร จิตในเป็นเด็กบริสุทธิ์ อยู่ดีดีก็ไปรักกับคนคนนึง รักมาก และคิดว่ายอมตายแทนกันได้ ผมขอถามแค่ว่า เกิดมาคนเราไม่เคยรักใครเลยนะ อยู่ดีดีก็มารักคนคนนี้ แล้วคุณไม่คิดหรอครับว่าจะมีสักวันมั้ยที่อยู่ๆ ก็หมดรักคนนั้นขึ้นมาซะงั้น ผมถามแค่นี้ ทุกคนก็คิดนะ มันเป็นเรื่องตลกนะ มันทำให้ระบบชีวิตผมเพี้ยนไปพักนึงนะ ทำให้ผมนอยด์ไปพักนึงเลยล่ะ มันทำให้เราตรัสรู้ ปื๊งมันขึ้นมา เออ อยู่ดีดีก็ไม่รักเราขึ้นมาซะงั้น”

“โลกสมัยนี้น่ากลัว ฟังแล้วแบบอยากจะโกนหัวสะเดี๋ยวนี้ เหนื่อยใจกับการเป็นมนุษย์อยู่ทุกวันนี้ อยู่กับความทุกข์ทุกวินาที นั่งอยู่ในห้องเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวหิว ถ้าเกิดเราไม่มีร่างกายเราจะไม่หิวเลย ไอ้ร่างกายอันสกปรกของเรา มันสร้างภาระให้แก่ผมมากเลยนะ เดี๋ยวต้องพามันไปอาบน้ำอีกล่ะ บางทีผมนอนมันขี้เกียจแต่มันเป็นหน้าที่ที่ดูแลมัน บางทีจิตใจผมทำไมมันอ่อนแอจังเลย เดี๋ยวมีความสุข เดี๋ยวมีความทุกข์ มันไม่มั่นคงเลยว่ะ แต่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนให้เราจิตใจมั่นคง เขาบอกให้เรารู้ว่า นี่แหละจิตใจมนุษย์ จะเศร้า จะทุกข์ เรื่องธรรมดามาก และเป็นโรค ความตายก็เป็นเรื่องธรรมดา ใช้ชีวิตอย่าประมาท ผมเลยคิดว่าชีวิตผมได้ทำอะไรไปแล้วบ้าง”

การอยู่ในวงการบันเทิง เรื่องของติ ฉิน นินทา ถือเป็นเรื่องปกติ และการศึกษาในเรื่องการนำเอามาใช้ในชีวิตประจำวันสามารถทำให้หนุ่มบิ๊ก เรียนรู้และปรับตัวกับการอยู่ในวงการได้อย่างไม่เป็นทุกข์กับการครหา นินทา ว่าร้าย ซึ่งเป็นเป็นเรื่องธรรมชาติของวงการบันเทิง

“เอามาใช้ในวงการบันเทิงได้เยอะเลยนะ กระแสข่าวเดี๋ยวนี้เป็นเรื่องธรรมดา มีคนมาฟ้องผมว่าผมเป็นไบ ผมจัดได้ทั้งหญิงชาย มีคนเอารถให้ผมขับ ด่าผมไม่ซีเรียสหรอก เพราะผมเรียนธรรมะไง ที่ผมเซ็งคือ ไหนๆ ก็ด่ากันแล้ว กรุณาเอารถมาให้ใช้จริงๆ เหอะ คือเรื่องแบบนี้ธรรมดามาก ทำยังไงก็ต้องโดนด่า พระพุทธเจ้ายังโดนด่าว่าหูยานเลย นิ้วเท้าเท่ากันบ้าง”

บางครั้งที่ผมปฏิบัติธรรมอยู่ ผมยังคิดเลยนะว่า “พระพุทธเจ้ามีจริงป่าว”บางคนมันบอกว่า ห้ามสงสัย บ้าหรือป่าวว่าห้ามทำไม คุณเกิดทันหรอเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน ถ้าเขาาหลอกอ่ะ แต่ที่ผมเชื่อเพราะผมปฏิบัติไง

เรื่องข่าวในวงการบันเทิง ข่าวมันเป็นเรื่องธรรมดา วงการบันเทิงมันทำให้ผมเห็นนรกบนโลก เห็นอะไรที่เป็นโลกีย์จัดๆ มีพระอาจารย์ท่านนึงสอนผม “ลูก ระวังนะ บันเทิงถ้าจะช่วยคนก็จะช่วยได้มากสุด แต่ถ้าทำลายคนก็จะกลายเป็นเปรต คนที่อยู่ในวงการบันเทิงเป็นเปรตมีมากที่สุด” การแสดงต่างๆ ในพุทธกาลเป็นบาปทั้งนั้นแหละ ทำให้คนลุ่มหลง

“ผมเห็นเรื่องของการมีสติขึ้น ว่าถ้าผมต้องอยู่แบบนี้ต้องทำยังไงให้เป็นประโยชน์มากสุด เราเป็นคนของประชาชน มีวัยรุ่นมองเราอยู่นะ บางทีเราจะทำยังไง ผมก็จะสอนเรื่องความกตัญญู บางคนเอาของมาให้เรา ก็บอกเลยนะ ว่า น้องเอาของมาให้พี่ น้องให้พ่อแม่รึยัง ถ้าน้องให้พ่อแม่ พี่จะดีใจมากกว่ามาให้พี่ ผมก็จะสอนแบบนี้ เราจะทำยังไงให้เขาโอเค ก็ต้องให้เขารู้ เราใช้ชีวิตธรรมดากินข้าวกล่อง อ่านข่าวแล้วเห็นว่าธรรมะสอนให้รู้ถึงกระแสนิยม ช่วงนี้กระแสนี้มา กระแสนี้ไป ชีวิตคนเรามีขึ้นลงเป็นเรื่องธรรมดา ต่อให้ซูเปอร์สตาร์ก็ต้องมีมุมพักผ่อน ใครมันจะมานั่งร้องเพลง แต่งเพลงตลอดเวลา ชีวิตคนเรามันพลิกนะ มันไม่มีใครยิ่งใหญ่คนเดียวหรอก พระพุทธเจ้ายังต้องมีทีมเผยแพร่เลย มันก็เป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งอยู่ก็ไม่ทุกข์นะ อยู่แล้วเข้าใจมันมากขึ้น ยังไงก็ต้องโดนอยู่แล้ว สิ่งไหนให้ความสุขมากมันก็ทำให้ทุกข์มาก คนไหนที่เรารักมากคนนั้นก็จะทำให้เราทุกข์มากเหมือนกัน แต่คนที่เพื่อนคนไหนที่ไม่ค่อยรัก พอจากไปก็เฮ้อ! เศร้าใจจัง แต่เดี๋ยวก็หันไปคุยกับคนข้างๆ ล่ะ”

ถึงวัยรุ่นสมัยนี้จะห่างจากวัดไปมาก ยังไงหนุ่มบิ๊กก็บอกว่า “ถ้าจะให้บอกว่าเข้าวัดเหอะ ผมไม่บอกนะ ให้คุณห่างไปเลย ไม่บอกให้เข้าหรอก ผมจะบอกว่าเหล้ากินไปเลย เที่ยวไปเลย เครียดเที่ยว เที่ยวสักตั้ง แล้วทำอะไรที่ประชดชีวิตไปเลย ผมให้คุณจดไว้เลยว่าทำแล้วแก้ไขได้คุณทำไปเลย แต่ถ้าแก้ไม่ได้คุณค่อยเข้าวัด ผมว่าวันหนึ่งเขาก็อยู่ไม่ได้หรอก ผมเชียร์ให้เที่ยวเลยนะ ถ้าสมมติหนีไปทำพวกนั้นแล้วไม่หายทุกข์ ก็ลองหันมาสิ เข้าวัดมันเสียตังค์ที่ไหนล่ะ พระไม่ใช่ตำรวจจะมาตั้งด่านจับ เข้าไปเหอะวัด นั่งฮาๆ ไปนั่งแล้วจะเจอทีเด็ด ผู้หญิงเข้าวัดนี่ สวยกว่าผู้หญิงเที่ยวตรึม ไปวัดเวียนเทียนเปิดไฟมา ขาวๆ ทั้งนั้น สวยจริงๆ แนะนำวัดใหญ่ๆ เจอแน่นอน บางคนอยากเจอคนสวยให้มาวัด มาแล้วสบายใจ มาวัดเลยไม่ต้องเจอผู้หญิงก็มาวัดนะ ผมก็แนะนำขำขำนะ การไปวัดคือการไปทำให้ตนเองสงบขึ้นถ้าเที่ยวแล้วแก้ไขได้ ผมคงเที่ยวไปแล้วล่ะ คุณจะอ้อมโลกแล้วค่อยเจอความสบายใจก็เรื่องของคุณ ไม่ต้องกลัวว่าไปวัดแล้วจะร้อน บางคนมาวัดเพราะแฟชั่นอย่างน้อยมันก็ยังรู้สึกดีนะ มันเจออะไรดีดี บางคนเจอเนื้อคู่ตามวัด อย่างน้อยก็เป็นคนดีนะ ดีกว่าไปเจอตามผับนะ ” หนุ่มบิ๊กฝากทิ้งท้าย


ประวัติส่วนตัว

ชื่อ ทองภูมิ สิริพิพัฒน์
ชื่อเล่น บิ๊ก
เกิด 26 กุมภาพันธ์ 2531
ผลงาน พิธีกร รายการ มิวสิก สเปซ , รายการ น่ารักอ่ะ ช่อง Yaak TV
 
ข่าวโดย M-Lite/ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย  ธัชกร กิจไชยภณ
 



กำลังโหลดความคิดเห็น