ความเป็นเอกลักษณ์ทั้งทางด้านการแต่งตัวที่สื่อถึงความเป็นไทย รวมทั้งน้ำเสียงที่ทำให้คนจดจำเขาไปเป็นอย่างดี ด้วยวลีที่ว่า “อย่างนี้ก็มีด้วยยยยย!” หรือ “ทิดเป้มาแล้วจ้า!” เป็นสิ่งที่ทำให้ อภิวัฒน์ จ่าตา หรือตัวจริงของภาพการ์ตูนแอนิเมชัน ‘ทิดเป้’ ที่เปิดตัวครั้งแรกในรายการเล่าข่าวช่วงดึก อย่างเจาะเกาะติด ของช่อง 7 ในยุคแรก ที่มีนรากร ติยายน เป็นผู้รายงานข่าว ทำให้หลายๆ คนติดใจว่า เจ้าการ์ตูนชายวัยกลางคนท่าทางใจดี หัวโล้น ที่ได้ยินเขาเล่าข่าวชาวบ้านนั้นเป็นใคร หน้าตาเป็นอย่างไร จนได้มาเจอตัวจริงก็ตอนที่มีการเปลี่ยนมาเป็นข่าวตอนเช้าตรู่นี่เอง ที่ทำให้ได้เห็นทิดเป้ตัวจริง ที่ลีลาการนำเนอข่าวไม่เหมือนใคร และเป็นขวัญใจชาวบ้านทุกหัวระแหง
ว่ากันว่า เขานี่แหละที่มาแทน คำรณ หว่างหวังศรี ที่ย้ายไปอยู่ช่องน้อยสี
ถึงเวลาต้องดึง ทิดเป้ตัวจริง มาให้คนได้รู้จักสักที จะได้รู้กันว่า ทิดเป้ตัวจริง กับการ์ตูนจะเหมือนกันหรือไม่?...อย่างไร?
ช่วยเล่าเรื่องงราวของตัวเองว่าเริ่มเข้ามาอยู่ในเส้นทางสายนี้ได้อย่างไร
เริ่มงานจริงๆ ก็จากทำกราฟิกดีไซน์ จับพลัดจับผลูได้เขียนเรื่อง เพราะนักเขียนส่งงาน ส่งต้นฉบับช้าบ้าง เราก็ต้องเข้าช่วย เริ่มต้นวิจารณ์เทปเพราะเจ้าของคอลัมน์เขาเริ่มขี้เกียจ ก็มาใช้เราเขียนให้หน่อย ผมก็เริ่มวิจารณ์มาสักพัก แต่งานนี้มันต้องคลุกคลีอยู่กับดารานักร้อง เพราะต้องไปงานเปิดตัวแถลงข่าว เราอยู่กับตรงนี้มากขึ้น เรียกว่ารู้เบื้องหลังดาราแทบหมดเลย ใครทำอะไรที่ไหนอย่างไร แฟนคนไหน ใครมาส่ง หลังๆ มา ก็เริ่มรับจ๊อบเขียนงานให้หนังสือบันเทิงหลายๆ เล่ม ที่เราเห็นอยู่ทุกวันนี้ เพราะเขาอยากรู้เบื้องหลังดาราแบบ จริงๆ
คิดว่าที่มาถึงจุดนี้ได้ เพราะโอกาสที่มีมากว่าคนอื่นหรือความสามารถของเราเอง
ผมว่าชีวิตมันต้องมีอะไรที่เป็นความจริงของตนเองด้วย ไม่ใช่ว่าต้องอาศัยคนอื่นเสมอ เมื่อก่อน ตอนเป็นนักข่าวบันเทิง ผมคิดว่าตนเองเป็นดารานะ ผมแต่งตัวเหมือนกับดาราบ้าง ศิลปินเพื่อชีวิตบ้าง เราก็มานั่งดู ว่าทำไมเราต้องแต่งแบบนี้ด้วย ไปแกรมมี่เขาแต่งตัวอย่างนี้ต้องทำตาม มาดูข้อเท็จจริง เงินเดือนไม่ถึงเลย แค่หมื่นกว่าบาท แบกกล้องขึ้นรถเมล์ แล้วจะซื้อเสื้อหรูๆ มาใส่ทำไม เมื่อก่อนหลงตัวเอง เข้าไปกินข้าวกินไวน์ มันดูดีมาก กลับบ้านตกลงกลับไปกินมาม่าเหมือนเดิม
สมัยก่อน พอแถลงข่าวเสร็จก็มีกินเหล้าอะไรตามเรื่อง มันก็มีต่อยอดเราต้องไปหากินเหล้ากัน แต่เพื่อนๆ ทำทุกวัน เงินเดือนน้อย ยังต้องเป็นคนกลางคืนอีก ตกเย็นไปงาน แห่ไปกิน ข่าวก็ไม่ได้ไอเดียก็ไม่มี เป็นแค่ขี้เมาคนหนึ่ง ตั้งหลักดีกว่า เขียนงานเขียนอะไร พอเราไปเจอผู้ใหญ่ เห็นเรากินเหล้าอย่างเดียว ผู้ใหญ่ก็ไม่เห็นหัวเรา มันอยู่กับเราสร้างความน่าเชื่อถือมากแค่ไหน มันก็การันตีว่าเราไว้ใจได้ คนข่าว ผมบอกตรงๆ ว่า อยู่ที่ การวางตัว และการไว้ใจ จริงๆ ผมยกมือไหว้ ไปหมด ผู้ใหญ่ พ่อสอนให้มือไม้อ่อน ต่อยอดไปเรื่อยๆ หน้าตาต้องยิ้ม
ได้ข่าวว่าคุณเป็นต้นฉบับปาปาราซซีของเมืองไทยยุคแรกๆ เลยที่เดี่ยว
สมัยก่อนผมมีกล้องแคนนอนแบบฟิล์ม ก็รับงานหลายอย่าง งานด้านท่องเที่ยวก็ทำ ไปถ่ายงานที่ต่างจังหวัดมา บางทีก็แอบถ่ายดารามาบ้าง นิตยสารตอนนั้นจะเป็นพวกโวค แอล ก็มีพวกปาปาราซซี่ ผมนี่แหละก็เป็นส่วนหนึ่งที่ไปแอบถ่ายดาราพวกนั้นมาให้เขาก็ว่าได้นะ รายการเจาะใจยังเคยเชิญไปสัมภาษณ์เบื้องหลังปาปารัชซี่ด้วยนะ ผมยังใส่แว่นดำอำพรางตัวออกรายการอยู่เลย แต่ตอนนั้นถือว่าโดดเด่นอยู่สักพักเลยแหละ เพราะเขียนงานเยอะมาก
แล้วการเดินทางเข้ามาสู่การเป็นทิดเป้อย่างทุกวันนี้
พอทำงานได้พักหนึ่ง เราก็เริ่มอยู่ตัวเพราะเขียนมาได้สักพัก ก็หันมาทำหนังสือบันเทิงแบบวันหยุดรายสัปดาห์ เป็นหนังสือเกี่ยวกับไลฟ์ แอนด์ โฮม หรือหนังสือบ้าน แปลงสวนเกษตรอะไรอย่างนี้ เขียนไปเขียนมามันก็แตกหน่อก็เหมือนว่าดูคอลัมน์ทั่วๆ ไป เกือบหมด แล้วมันก็เริ่มอิ่มตัว
ตรงกับจังหวะที่ผู้ใหญ่กลุ่มหนึ่งเข้าก็เริ่มจะทำงานทีวี จับรายการอยู่อันหนึ่ง ชื่อรายการเป็นข่าว อยู่ช่อง 5 ก่อนจะย้ายมาอยู่ช่อง 7 ทำงานอยู่บริษัทมีเดียสตูดิโอ ผมทำอะไรมาหลายอย่าง ทำงานที่นี่มันทำให้รู้เรื่องอะไรมากมาย การทำงานกับชาวบ้านเราก็จะได้รับอะไรกลับมาเหมือนกันนะ ต้องหาจุดของตัวเองให้เจอ ใช้ความไหลลื่น ความเป็นธรรมชาติของเรานี่แหละช่วย
แนวความคิดของทิดเป้คืออะไร ทำไมจึงใช้ผ้าขาวม้าพาดคอตลอดเวลา
คอนเซ็ปต์ทิดเป้ นี่คือเปิดหน้าให้เร้าใจก่อน ดึงเข้าเนื้อหา และจบให้ประทับใจ สิ่งไหนมันเป็นอะไรมันค้างอยู่ ก็ต้องทำให้คนเข้าใจ แล้วจึงยัดสีสันเข้าไป ผมก็ยังคงต้องทำงานแบบเดิม มีหลายคนสงสัยว่า ทิดเป้จะเอาผ้าขาวม้ามาไว้ที่คอทำไม (ขำ) คนถามเยอะ บางคนไม่รู้ แต่ใจจริงของผมนี่คือให้คนไทยยอมรับผ้าขาวม้าของเรา คนไทยลืมผ้าขาวม้ามีที่มีอยู่ทุกพื้นที่ แต่มันไม่เคยมีบทบาทตามสื่อหรืออะไรเลย มีคนเอาผ้าเขมรมาพาดคอก็เยอะ แต่ผ้าขาวม้าไทยไม่เคยออกไปข้างนอกเลย ผ้าไหมยังได้ขึ้นเครื่องบินได้ เราก็มีคอนเซ็ปท์ว่าอย่างไงต้องให้ผ้าขาวม้าออกทีวีทุกวัน สื่อความเป็นไทยออกมา แขวนพระเครื่องไปเมืองนอก โชว์เวลาไปจีน ไปลาวให้เขาเห็นว่านี่คือคนไทย ผมมาจากประเทศไทย
ถ้าจะเอาผูกเอวก็ดูเหมือนนักการเมืองไป ผมก็เอาพาดคอนี่แหละเป็นเอกลักษณ์ดี ผ้าขาวม้ามันเป็นไหมอย่างดี หลังๆ มา ชาวบ้านก็เอาผ้าไหมให้เรา บางที่ชาวบ้านก็ขอเราคืนกลับไป 4-5 ผืน หลังๆ คนขอเยอะมากเลย ก็เลยต้องหาไว้ให้เขาด้วย ผมต้องการให้มันมีเอกลักษณ์มากกว่านี้ หัวก็ต้องโลนตลอดเวลา ต้องสกินเฮดเบอร์ 1 ตลอดปกติผมของผมยักศกนะ เป็นทิศเป้ต้องเป็นอย่างนี้ ไม่ใช้คนหัวโลนนะ (หัวเราะ)
ซึ่งมันก็มีความสุขดี
ใช่ครับ มีความสุขดี แฟนก็เคยมันว่าอะไรนักหนาเหมือนกัน บางทีก็ใส่ชุดเหมือนกำนัน ลายจุด บางคนทำงานด้วยกันรับไม่ได้ แต่หลังๆ มาก็โอเคขึ้น ประมาณว่าไปยืนที่อื่นได้ไหมวะ ไม่ต้องมายืนใกล้ตู (หัวเราะร่า) จริงๆ ทิดเป้คนธรรมดากับคนในทีวีจะมีคาแร็กเตอร์ที่เหมือนกันมากเลย เป็นกันเอง ไม่ใช่ว่าจะพอได้เวลาถ่ายถึงดึงเอาผ้าขาวม้ามาใช้ ผ้ามันต้องไปกับผมตลอดเลย แค่โบ๊ะหน้าหน่อยก็ทำงานเลย ขาดผ้าขาวม้าไม่ได้ ขนาดใส่สูทยังต้องมีผ้าขาวม้าเลย บางที่ไปงานผูกไทต้องมีผ้าขาวม้า
อยากให้เป็นคาแร็กเตอร์หรือเราติดเอง
แรกๆ ยอมรับว่าอยากให้เป็นคาแร็กเตอร์ แต่หลังๆ น่าจะเป็นที่ติด ชินกับมันมากกว่า วันไหนไม่มีก็ยังมีคนยังทักว่าผ้าไปไหน หลังๆ ก็ไม่มีการกระดากอาย ถ้ามันขึ้นเครื่องได้ ก็ไม่กังวลอะไรแล้ว แรกๆ ก็ดูตัวเองในหน้าจอก็ไม่ชิน หลังๆ ติดเลย ขับรถไปสระแก้วคนเดียว ตำรวจตั้งด่าน ตำรวจทางหลวงถาม ใช่ทิดเป้เปล่าครับ อ้าวไปๆๆ คนเริ่มคุ้น คนตื่นเช้า ตำรวจจะชอบ ส่วนใหญ่จะเป็นคนตื่นเช้า เขาก็ชอบให้ อย่างนี้ก็มีด้วยให้ดู
เป็นคนตลกอยู่แล้วด้วย ถึงทำงานออกมาสนุกๆ แบบนี้
เป็นคนอารมณ์ดีมากกว่า แต่เคยเห็นตลกเอามุกเราไปเล่นด้วยเหมือนกัน คาเฟ่ใช้ชื่อเราเลย หรือคนที่โพสต์ในเน็ตแซวกันก็มีคำที่พูดว่า ถ้าเป็นแบบนี้นะ ทิดเป้ ขอบอกเลยว่า อย่างนี้ก็มีด้วย
เสียงทิดเป้เป็นเอกลักษณ์มาก
สปอตวิทยุต่างจังหวัดยังมีการเลียนแบบเสียงผม ผมนั่งรถวิทยุชุมชนผ่าน นี่มันเสียงผมนี่น่า ใครเอาไปนะ (หัวเราะ)
ไปต่างจังหวัดบ่อยแบบนี้ครอบครัวว่าอย่างไร
บางทีแฟนก็ไม่เข้าใจ อะไรไปอีกแล้ว บ้างานเกินไป แฟนก็บอกขอเวลาให้เราบ้าง แต่หลังๆ ก็เข้าใจ เริ่มดีขึ้นแล้ว ว่าผมทำเพื่องานที่ดีและเพื่อครอบครัว ผมไม่มีลูก ซื้อบ้านให้ภรรยาอยู่กับ น้องๆ ญาติ ๆ (หัวเราะ) ไม่อยากพูดว่าแทบไม่ได้หยุดอยู่บ้านตัวเองเลย
เคยได้ยินคนพูดกันไหมว่า เหมือนทิดเป้ มาแทน คำรณ หว่างหวังศรี
ก็เคยได้ยินมาบ้างนะครับ แต่ความรู้สึกผมมันไม่ใช่ เพราะการทำงานแม้จะทำเกี่ยวกับชาวบ้าน เหมือนกัน แต่วิธีทำงานจะไม่เหมืนกัน เพราะทีมงานของผมมีนิดเดียว บางทีไปกับช่างภาพแค่สองคนก็ได้งานมาแล้ว ส่วนของคุณคำรณการทำงานของเขามีการวางแผน การเคลื่อนการทำงานเป็นแบบการเคลื่อนของคาพยพ มีทีมงานกับเขาหลายคน ผมเป็นการทำงานลุยๆ สบายๆ มากกว่า
>>>>>>>>>>>
………..
เรื่อง : นรินทร์ ใจหวัง
ภาพ : พลภัทร วรรณดี