xs
xsm
sm
md
lg

รักประกาศิต ตอนที่ 2

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 รักประกาศิต  ตอนที่ 2 

เจ้าทิพย์ดารายืนต่อโทรศัพท์อยู่ที่หน้าบ้านของเธอ แต่ปลายสายไม่มีคนรับ

“โทรหาใครน่ะลูก” เสียงเจ้าเทพมงคลดังขึ้น
เจ้าทิพย์ดาราสะดุ้งรีบกดวางสาย พอเธอหันกลับไปก็เห็นเจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกายืนอยู่
“พ่อเห็นโทรอยู่นานแล้ว” เจ้าเทพมงคลบอก
“เอ่อ..น้อยโทรหาเพื่อนค่ะ” เจ้าทิพย์ดาราอึกอัก
“พ่อเลี้ยงภูใช่ไหม” เจ้าเทพมงคลถาม
“เอ่อ....ค่ะ”
เจ้าเทพมงคลโมโหมากทำท่าจะเดินเข้าบ้าน เจ้าทิพย์ดารารีบไปดึงแขนไว้
“เจ้าพ่อคะ”
“น้อย...เมื่อกี้ในที่ประชุมน้อยก็เห็นว่าพวกไร่โน้นเขาหักหน้าพ่อ”
“เจ้าพ่ออย่าคิดมากสิคะ ก็เจ้าพ่อปฎิเสธที่จะรับนักศึกษาฝึกงาน ภูเขาก็จำเป็นต้องรับสิคะ”
“น้อย...ทำไมลูกถึงเจ็บแล้วไม่จำ” เจ้าเทพมงคลว่า
เจ้าทิพย์ดาราจะอ้าปากอธิบายแต่เจ้าเทพมงคลไม่พอใจเดินเข้าบ้านไปเสียก่อน เจ้าดาระกาจึงเดินเข้ามาหาบุตรสาว
“เจ้าแม่คะ”
“น้อย แม่เข้าใจน้อยนะว่าลูกรักพ่อเลี้ยงมาก แต่ลูกก็ต้องเข้าใจเจ้าพ่อด้วยนะ ที่เจ้าพ่อไม่อยากให้ลูกไปยุ่งกับพวกไร่โน้น เพราะเจ้าพ่อท่านเห็นแล้วว่าถ้าลูกแต่งงานไป ลูกไม่มีวันจะได้รับความสุขแน่ๆ”
“แล้วจะให้น้อยอยู่โดยไม่มีภู น้อยจะมีความสุขเหรอคะ” เจ้าทิพย์ดาราถามกลับ
เจ้าดาระกาอึ้งเพราะเถียงลูกสาวไม่ได้จึงได้แต่ยิ้มน้อยๆ แล้วเดินเข้าบ้านไป เจ้าทิพย์ดาราเดินไปมองทางไร่ภูชิชย์อย่างใช้ความคิด จากนั้นเธอก็เอาโทรศัพท์ออกมากดอีกครั้งแต่ก็ไม่มีคนรับสายอีก ในที่สุดเจ้าทิพย์ดาราก็ตัดสินใจวางสายไป

ภูชิชย์กับนริศรายังจ้องหน้าเอาเรื่องกันอยู่ในห้องทำงานของภูชิชย์ ภูชิชย์รำคาญที่โทรศัพท์สั่นจึงหยิบออกมากดตัดสายแล้วจ้องหน้านริศราต่อ
“เธอมาที่นี่ได้ยังไง” ภูชิชย์ถาม
“คุณวิทวัสส่งฉันมาทำงานที่นี่” นริศราตอบ
“ตกลงพ่อเลี้ยงกับคุณนิดรู้จักกันแล้วเหรอครับ” นิพนธ์งง
“ไม่!” ภูชิชย์กับนริศราตอบพร้อมกัน
นิพนธ์ถึงกับสะดุ้งและยิ่งงงเข้าไปใหญ่
ภูชิชย์มองนริศราแบบหัวจดเท้า “ฉันไม่รับเธอ กลับไปซะ” ภูชิชย์หันไปพูดกับนิพนธ์ “นิพนธ์ จัดการส่งผู้หญิงคนนี้กลับด้วย”
ภูชิชย์จะเดินไป นริศรารีบเข้ามาขวาง
“ฉันผ่านการสัมภาษณ์มาถูกต้อง คุณจะมาไล่กันง่ายๆแบบนี้ไม่ได้ ฉันจะฟ้องกระทรวงแรงงาน” นริศราขู่
“ฮึ....ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อฉันดูแล้วว่าเธอทำงานที่นี่ไม่ได้ ก็ถือว่าไม่ผ่านการทดลองงานไง แบบนี้ถูกต้องตามกฎหมายไหม”
“คุณรู้ได้ไงว่าฉันจะทำไม่ได้”
ภูชิชย์ยิ้มกวน “ก็ที่นี่มันงานสุจริต ไม่เหมือนงานประเภทหาเรื่องคนเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย นอกเสียจากว่าเธอคิดจะมาขุดทอง ซึ่งก็คงหมดหวังอีกเพราะฉันไม่ติดกับเธอเหมือนนายวัสแน่”
นริศราโกรธจัด “นายภูชิชย์”
“เอางี้สิ...กลับกรุงเทพฯแล้วไปหลอกอาเสี่ยแก่ๆรับรองเข้าทางเธอแน่”
นริศราโมโหจนลืมตัวเงื้อมือตบเต็มแรงแต่ภูชิชย์จับข้อมือเธอไว้ได้ทัน
“นี่ไม่ใช่ละครนะ ถ้าเธอคิดจะตบแล้วจะให้ฉันจูบ” ภูชิชย์กวน
นริศรากระชากมือกลับ แล้วเอาส้นรองเท้ากระทืบไปที่เท้าภูชิชย์อย่างแรงจนภูชิชย์ร้องลั่นพร้อมกับทรุดตัวลงกับพื้น นริศราหยิบแฟ้มที่วางบนโต๊ะใกล้ๆกระหน่ำฟาดเข้าไปที่ภูชิชย์ จนนิพนธ์ต้องเข้ามาห้าม
“คุณนี่มันเป็นผู้ชายที่น่าขยะแขยงที่สุด!” นริศราโวยวายแล้วเธอก็เดินออกไปจากห้อง ภูชิชย์มองตามด้วยความเจ็บใจ

นริศราเดินออกมาด้านนอกสำนักงานด้วยความหงุดหงิด เธอหยิบมือถือออกมากดโทรออก ที่กรุงเทพฯ วิทวัสกำลังนั่งพิมพ์งานที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ ทันใดนั้น เสียงมือถือของเขาก็ดังขึ้น วิทวัสเห็นหน้าจอก็ยิ้มแล้วกดรับ
Wครับคุณนิด..ที่ไร่เป็นยังไงบ้างครับ” วิทวัสหยิบกาแฟขึ้นมาจิบแต่แล้วก็ต้องตกใจจนสำลักกาแฟ “ว่าไงนะครับ คุณนิดจะ...”
นริศรายืนคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ลาออกค่ะ ยังไงนิดก็ทำงานกับผู้ชายนิสัยแย่ๆอย่างพี่ชายคุณวิทวัสไม่ได้”
วิทวัสงง “พี่ภูน่ะเหรอครับนิสัยแย่”
“ใช่ค่ะ ขอโทษนะคะถ้านิดจะพูดตรงไป คำว่าแย่ที่นิดบอกยังน้อยไปด้วยซ้ำ”
“ผมว่าคงมีอะไรเข้าใจผิดกัน เดี๋ยวขอผมคุยกับพี่ภูก่อนนะครับ”
“ไม่ต้องหรอกค่ะ ยังไงนิดก็จะกลับ”
“คุณนิดครับ... ผมรู้ว่าคุณนิดเหนื่อยกับการหางานมาไม่รู้กี่ที่แล้ว ถ้าคุณนิดมีทางไปผมก็ไม่ว่า แต่ถ้ายังไม่มีทำไมไม่อดทนทำงานนี้ไปก่อน คุณนิดอาจจะเลือกงานได้ แต่จะเลือกผู้ร่วมงานให้ได้อย่างใจคงยากใช่ไหมครับ”
นริศราอึ้งแล้วก็หยุดคิด
“คุณนิดครับ ยังฟังผมอยู่หรือเปล่า” วิทวัสเรียก
“ค่ะ แต่นิดคงทำงานที่นี่ไม่ได้แล้วจริงๆค่ะ...ก็นิดน่ะ...เอ่อ”
ภูชิชย์ยืนหน้าบอกบุญไม่รับอยู่ในห้อง โดยมีนิพนธ์ยืนฟังเขาอยู่
“ปากดี เถียงฉอดๆๆ ขาดการเคารพเจ้านาย นี่ขนาดยังไม่ทำงานด้วยกันนะ ยังทำร้ายฉันขนาดนี้”
“ก็พ่อเลี้ยงไปหาเรื่องเขาก่อนนี่ครับ” นิพนธ์บอก
ภูชิชย์หันขวับมามองนิพนธ์ทันที “นิพนธ์ นี่นายเห็นยายนั่นดีกว่าฉันเหรอ”
“พ่อเลี้ยงครับ การที่คุณวัสเลือกคุณนิดมา แสดงว่าคุณวัสต้องเห็นแล้วว่าเธอจะทำงานกับเราได้พ่อเลี้ยงน่าจะให้คุณนิดทำไปก่อน ไม่นานคุณเล็กก็กลับมาแล้วนะครับ”
ภูชิชย์ครุ่นคิดนิดหนึ่ง “เอาเถอะๆ ฉันขอคิดดูก่อน”
นิพนธ์ค้อมศีรษะรับแล้วเดินออกไป
ภูชิชย์พึมพำ “นี่น่ะเหรอคัดมาอย่างดี มีนอกมีในอะไรกันหรือเปล่าก็ไม่รู้”
ภูชิชย์นึกถึงตอนที่วิทวัสออกไปรับโทรศัพท์ก็พาให้คิดไปว่านริศราอาจจะมาจับน้องชายของเขาก็เป็นได้

ภาพในอดีตแวบขึ้นในหัวของภูชิชย์ วันนั้นโทรศัพท์ของวิทวัสดังขึ้น วิทวัสหยิบมาดูแล้วตัดสินใจไม่รับ ก่อนจะบอกภูชิชย์ด้วยท่าทีมีพิรุษ
“เอ่อ...สายลูกค้าน่ะครับ พี่ภูเดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ ลืมไปเลยว่านัดลูกค้าไว้”
“เดี๋ยวสิ แล้วกุญแจคอนโดล่ะ” ภูชิชย์ถาม
“ผมฝากไว้ที่รีเซฟชั่นแล้วครับ พี่ภูไปรับได้เลย”
วิทวัสรีบเดินไปแล้วค่อยรับโทรศัพท์ ภูชิชย์มองตามอย่างสงสัย

ภาพในอดีตอีกวันแวบเข้าในหัวของภูชิชย์
“พี่ก็แค่สงสัย ถามจริงๆเถอะ มีแฟนหรือเปล่า” ภูชิชย์ถามน้องชาย
“จะเอาเวลาที่ไหนล่ะครับ แค่ดูงานที่บริษัทคนเดียวผมก็ไม่มีเวลาแล้ว นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องไปพบลูกค้า สี่ทุ่มผมก็นอนแล้ว”
วิทวัสพูดจบก็รีบเดินเลี่ยงเข้าห้องนอนไป ภูชิชย์มองตามอย่างสงสัย
“นอนสี่ทุ่มเหรอ...ฮึ...ไม่ใช่ที่นี่ละสิ”

หลังจากนึกย้อนไปถึงอดีต ภูชิชย์ก็มีสีหน้าเหมือนจะแจ่มแจ้งในอะไรบางอย่าง
“หรือว่าจะเป็นคนนี้ที่นายวัสแอบคบอยู่” ภูชิชย์พึมพำ
ทันใดนั้นเสียงมือถือของภูชิชย์ก็ดังขึ้น ภูชิชย์ดูหน้าจอแล้วกดรับ
“ยายนั่นฟ้องหมดแล้วสิ”
วิทวัสหัวเราะร่าใส่โทรศัพท์
“งานนี้โดนจัดหนักเลยนะครับพี่ภู”
“นายเลือกคนแบบนี้มาได้ยังไง ดูแว่บแรกก็รู้ว่าเหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อ” ภูชิชย์บอกน้องชาย
“นั่นไง...พี่ไปดูถูกเขาจริงๆด้วย.. ผมว่าพี่ภูลองให้เธอทำงานดูก่อนแล้วค่อยตัดสินเธอดีไหมครับ”
“ทำไมนายหนุนยายนริศรานั่นนักนะ เขาเก่งมาจากไหน ฉันขอรู้ประวัติยายนั่นอย่างละเอียดหน่อยซิ”
ภูชิชย์ถาม วิทวัสอึ้งไปเพราะนึกถึงเรื่องที่คุยกับนริศราเมื่อครู่
บทสนทนาระหว่างเขากับนริศราเมื่อสักครู่ย้อนกลับมาในหัวของวิทวัส
“นิดจะอดทนค่ะ แต่นิดอยากจะขอร้องคุณอย่างนึง อย่าบอกเรื่องของนิดให้คุณภูชิชย์รู้นะคะ เพราะถ้าเขารู้ว่านิดยังเรียนไม่จบ เขาคงยิ่งดูถูกนิดมากกว่านี้แน่” นริศราขอร้อง
วิทวัสรับปาก “ได้ครับ รับรอง ปิดผนึกพร้อมแสตมป์ลับสุดยอด”

“ว่าไง ทำไมเงียบไป” ภูชิชย์ถามย้ำหลังจากเห็นวิทวัสนิ่งไปนาน
วิทวัสบ่ายเบี่ยง “เอาน่าพี่ภู ผมมั่นใจว่าคุณนิดจะทำงานให้เราได้ พี่ภูให้โอกาสเธอหน่อยแล้วกันนะครับ ถือว่าผมขอร้อง ตกลงตามนี้นะครับ”
วิทวัสพูดจบก็รีบวางสาย ภูชิชย์ยังไม่ทันตั้งตัวว่าน้องจะชิงวางสายก็ยิ่งฉุน
“เฮ้ย...เดี๋ยวสินายวัส”
ภูชิชย์กดวางโทรศัพท์แล้วเดินมานั่งที่เก้าอี้ทำงานด้วยความรู้สึกสงสัย
“ก็ดี...ฉันจะทำให้เธอรู้ว่าจะจับน้องฉันมันไม่ง่ายหรอก” ภูชิชย์พึมพำ

นิพนธ์กับนริศรากำลังขึ้นรถ ภูชิชย์รีบเดินออกมาแล้วเรียกไว้
“เดี๋ยวก่อน” ภูชิชย์ถามนริศรา “เธอจะไปไหน”
นริศรามองหน้านิพนธ์เพราะไม่รู้ว่าภูชิชย์จะมาไม้ไหน
“ผมจะพาคุณเขาไป..” นิพนธ์ตอบยังไม่ทันจบภูชิชย์ก็ชิงพูดขึ้นมาก่อน
“แค่นี้ก็ไม่อดทน จะกลับง่ายๆอย่างนี้น่ะเหรอ เสียแรงที่น้องฉันอุตส่าห์เลือกมา”
นริศราทำหน้างง เธอมองนิพนธ์เหมือนขอความเห็น
“เลิกทำหน้างงซะที เห็นแล้วหงุดหงิด ถ้ายังจะกลับก็เชิญ แต่ถ้าไม่ ก็เริ่มงานพรุ่งนี้ได้เลย” ภูชิชย์บอกห้วนๆ
“ใครว่าฉันจะกลับ เดี๋ยวนี้งานหาได้ง่ายๆซะที่ไหน ถ้าไม่อดทนก็อดตายกันพอดี”
“อ้าว แล้วนี่...” ภูชิชย์งง
“คือว่าผมจะพาคุณนิดเขาไปกินข้าวในเมือง ให้คุณเขาสบายใจก่อนแล้วค่อยกลับมาน่ะครับ” นิพนธ์ตอบแทน ภูชิชย์รู้ตัวว่าหน้าแตกไปแล้วเต็มๆ แต่เขาก็พยายามเก็บอาการเพื่อรักษาฟอร์ม
นริศรายิ้มกวน “ขอบคุณนะคะที่รับฉันเข้าทำงาน”
ภูชิชย์ยิ้มเหยียด “หึ ที่ฉันรับเพราะรู้ว่าไม่เกินเดือนเธอก็จะต้องมาลาออกเอง”
นริศราเจ็บใจได้แต่กำมือแน่น

พิสุทธิ์นั่งโทรศัพท์ไปหานริศรา แต่ก็ได้ยินเหมือนว่านริศราปิดเครื่องอยู่
“โธ่...นิด ปิดเครื่องทำไมเนี่ย ไม่รู้หรือไงว่าเราเป็นห่วง”
พิสุทธิ์มองดูโทรศัพท์ด้วยความเครียด แม่ของเขาเดินออกมาเห็นอาการลูกชายก็หงุดหงิด
“เมื่อเช้าลูกแอบไปไหนมา” แม่ถามเสียงเข้ม
“ผมไม่ได้แอบครับ ผมไปหานิด”
แม่ของพิสุทธิ์หงุดหงิด “เด็กคนนี้อีกแล้วเหรอ”
“คุณแม่ไม่ชอบนิดเขามากเลยเหรอครับ”
“โป๊ะ...ยังมีผู้หญิงดีๆอีกเยอะให้ลูกแม่เลือก อย่าไปยุ่งกับแม่ผู้ดีตกยากนี่เลยนะ”
“แต่นิดเขาเป็นคนดีนะครับ” พิสุทธิ์แย้ง
“ดีจริงเหรอ ไม่ทันไรก็คิดเกาะลูกแล้ว คุณพ่อกับแม่ตกลงกันแล้วว่าจะให้ลูกอยู่ห่างๆเขา”
“คุณพ่อคุณแม่ส่งผมไปเรียนไกลเพื่อให้รู้จักดูแลตัวเองใช่ไหมครับ”
แม่ของพิสุทธิ์อึ้ง “โป๊ะ”
“เรื่องที่ผมจะคบใครผมก็ขอเลือกเองนะครับ”
“ตาโป๊ะ”
พิสุทธิ์ยิ้มให้แม่แล้วลุกเดินหนีไป แม่มองลูกชายด้วยสายตาหงุดหงิด

ภูชิชย์ยื่นใบสมัครให้นริศรา นริศรารับไปดู
“ใบสมัครงานนี่” นริศราสงสัย
“ไหนๆฉันก็ต้องทนทำงานกับเธอแล้ว ฉันอยากจะรู้ประวัติของเธอโดยละเอียด”
ภูชิชย์บอก นริศราอึ้งไป
“กรอกสิ”
“ฉันกรอกไว้กับออฟฟิศที่กรุงเทพฯแล้วค่ะ”
“แต่ทางกรุงเทพฯยังไม่ส่งมาให้ฉัน”
“งั้นคุณก็ควรรอนะคะ”
“นี่เธอจะขัดคำสั่งฉันเหรอ”
“เปล่าค่ะ แต่ฉันผ่านขั้นตอนทุกอย่างมาหมดแล้ว ต่อไปคือการทำงานไม่ใช่หรือคะ ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณต้องย้ำคิดย้ำทำด้วย” นริศราว่า
ภูชิชย์อึ้งและฉุนแต่ก็ต้องสะกดอารมณ์เอาไว้
“ได้ งั้นเราจะเดินหน้าต่อ” ภูชิชย์กดโทรศัพท์ “นิพนธ์ เรียกประชุมคนงานทั้งหมดตอนนี้เลย”
ภูชิชย์ลุกขึ้นดึงใบสมัครจากมือนริศรามาเก็บทันที
“งั้นเราก็เริ่มงานกันเลยแล้วกัน”
ภูชิชย์เดินออกไป นริศราถอนใจเพราะโล่งอกแล้วรีบเดินตามภูชิชย์ไป

ภูชิชย์ยืนอยู่บนยกพื้นหน้าศาลาคนงาน โดยมีนิพนธ์กับนริศรายืนอยู่ข้างๆ คนงานมากมายมายืนออกันพร้อมหน้าแล้ว
“ที่เรียกทุกคนมาก็เพราะมีเรื่องจะแจ้งให้ทราบ” ภูชิชย์หันมาพูดกับนริศรา “ขึ้นมานี่สิ”
นริศราทำหน้างงๆ แล้วก็เดินขึ้นไปยืนข้างภูชิชย์
“นี่คือคุณนริศรา เพื่อนร่วมงานใหม่ของพวกเรา”
นิพนธ์และคนงานทุกคนปรบมือต้อนรับ นริศรายิ้มหวานให้ทุกคน คนงานในไร่ต่างพูดคุยซุบซิบด้วยความชื่นชม
“สวัสดีค่ะทุกคน เรียกว่านิดก็ได้นะคะ เราอาจจะไม่ค่อยเจอกันเพราะนิดจะทำงานเกี่ยวกับ...”
ภูชิชย์พูดแทรกทันที “คุณนริศราจะมาทำงานเป็นผู้จัดการไร่คนใหม่ของเรา”
นิพนธ์และคนงานต่างตกตะลึง นริศราเองก็ช็อคไม่แพ้ใคร
“ผู้จัดการไร่!” นริศราช็อค เธอหันไปกระซิบกับภูชิชย์ “เอ่อ..แต่คุณวิทวัสบอกว่าฉันจะทำงานเอกสารนี่”
ภูชิชย์กระซิบ “โทษทีนะ ฉันไม่เห็นใบสมัครงานของเธอ เลยไม่รู้ว่าเธอตกลงกับนายวัสไว้ตำแหน่งอะไร ไง...ทำไม่ได้เหรอ ถ้าทำไม่ได้ก็ลาออกไป”
ภูชิชย์ยิ้มกวนใส่ นริศราเชิดหน้าท้าทาย
“ได้ฉันจะเป็นผู้จัดการไร่” นริศราหันไปพูดกับนิพนธ์ “ดีใจด้วยนะคะที่เราจะได้ทำงานด้วยกัน มีอะไรก็แนะนำนิดด้วยนะคะ”
นิพนธ์พยักหน้ายิ้มรับอย่างงงๆ ภูชิชย์ยิ้มเจ้าเล่ห์ก่อนจะพูด
“เธอคงจะต้องผิดหวังแล้ว เพราะฉันจะให้นิพนธ์มาทำงานเอกสารที่สำนักงาน”
นิพนธ์ตกใจ “ผมน่ะเหรอครับ จะไปทำงานเอกสาร”
นิพนธ์กับนริศราพร้อมใจกันหันไปมองหน้าภูชิชย์แบบงงๆ คนงานต่างพากันพูดคุยกันอื้ออึง
“นี่คุณแกล้งฉันใช่ไหม” นริศราถาม
ภูชิชย์กระซิบ “โวยวายมากระวังคนงานรู้นะว่าเธอไม่มีน้ำยา”
นริศรามั่นใจว่าโดนแกล้ง เธอมองภูชิชย์อย่างเจ็บใจ ภูชิชย์ยิ้มเหยียดใส่
นริศราพึมพำ “ได้ เล่นกันอย่างนี้ก็ได้เลย” เธอแกล้งประกาศกับคนงาน “ค่ะ ไม่ว่าจะตำแหน่งไหน ฉันก็ยินดีเป็นอย่างยิ่งที่จะได้มาทำงานกับทุกคนที่นี่ ยังไงก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วย มีอะไรก็สอนกันได้นะคะ เพราะฉันไม่ถือยศถืออย่าง วางท่าเหมือนเจ้านายบางคน” นริศราเหล่ภูชิชย์
นิพนธ์ยิ้มขำที่เห็นนริศราเหน็บภูชิชย์ พวกคนงานต่างหัวเราะที่เห็นนริศราเหน็บภูชิชย์ มีเพียงบัวเกี๋ยงที่ยืนหน้าเบ้ไม่ชอบใจ ส่วนพรที่ยืนอยู่ข้างๆ บัวเกี๋ยงปรบมือดังลั่น
ภูชิชย์กัดฟันพูดกับนริศรา
“ถึงเธอจะรอดไปได้ในวันนี้ แต่พอเริ่มงานจริงฉันว่าเธอจบไม่สวยแน่”
นริศราอึ้งกับคำขู่ของภูชิชย์ แต่ภูชิชย์ไม่สนใจหันไปหาคนงาน
“ขอให้พวกเราปรบมือให้กับผู้จัดการไร่คนใหม่ของพวกเราอีกครั้ง”
คนงานปรบมือชื่นชมนริศรา นริศรายิ้มรับแหยๆ นิพนธ์มองนริศราแล้วหนักใจแทน

แม่อุ้ยกำลังเคี่ยวแกงในหม้อใบใหญ่อยู่ในโรงอาหารของไร่ เมื่อรู้เรื่องจากพรแล้วเธอถึงกับต้องพักทัพพี
“ห๊า...อะไรนะ สวยๆบอบบางอย่างคุณนิดน่ะเหรอ จะเป็นผู้จัดการ ก็ไหนตอนแรกที่คุณนิพนธ์บอก เธอจะมาเป็นเลขานี่นา”
พร กับบัวเกี๋ยงช่วยกันยกกองจานมาตั้งรอคนงาน โดยมีผลกับลุงปั๋นนั่งกินข้าวอยู่ใกล้ๆ
“แสดงว่าคุณนิดนี่ไม่ใช่สวยอย่างเดียว ต้องเก่งมากด้วย ยังไม่เริ่มงานเลยพ่อเลี้ยงก็เลื่อนตำแหน่งซะแล้ว” พรว่า
“แหม...เสียดายเมื่อเช้าน่าจะได้เจอกัน อยากรู้ว่าจะสวยสมกับที่คนพูดทั้งไร่หรือเปล่า” ผลพูด
บัวเกี๋ยงกระแทกจานอย่างไม่พอใจจนผลสะดุ้ง
“เชื่ออะไรกับลมปากนังพร คุณเล็กของฉันสวยกว่าตั้งเยอะ”
พรได้แต่แอบค้อนบัวเกี๋ยงแต่ก็ไม่ตอบโต้อะไร
“แต่ข้าว่ามันก็แปลกอยู่นา” ลุงปั๋นกล่าวขึ้น “คุณนิดมาเป็นผู้จัดการ แต่คุณนิพนธ์ไปเป็นเลขาพ่อเลี้ยงแกคิดอะไรของแก”
“สงสัยพ่อเลี้ยงปิ๊งมั้ง ตอนนี้ให้เป็นผู้จัดการไร่ อีกหน่อยก็เขยิบมาเป็นแม่เลี้ยงของพ่อเลี้ยงภูสุดหล่อ....กรี๊ดเหมาะสมกันที่สุด” พรเพ้อ
“ไม่จริง นังพร แกอย่ามาเพ้อเจ้อทุเรศทุเรศแบบนี้นะ” บัวเกี๋ยงว่า
“เอ้านังบัวเกี๋ยง เอ็งจะไปเอาสาระอะไรกับนังพรวะ” แม่อุ้ยงง
“ก็ฉันไม่ชอบฟังนี่”
“ทำไมถึงไม่ชอบฟัง พี่บัวเกี๋ยงไม่ได้เป็นแฟนพ่อเลี้ยงสักหน่อย” พรข้องใจ
บัวเกี๋ยงอึ้งเพราะพูดไม่ออก เธอมองไปที่ผลก็เห็นผลจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง
“แม่อุ้ย...ฉันเข้าไปเตรียมขนมนะ” บัวเกี๋ยงตัดบท
“เออ...ดีๆ จะได้เวลาพักเที่ยงแล้วเดี๋ยวคนงานคงมา” แม่อุ้ยบอก
บัวเกี๋ยงรีบเดินเข้าไปด้านในทันที
“อีบัวเกี๋ยงนี่มันคงหวงพ่อเลี้ยงแทนคุณเล็กนายรักของมัน” ลุงปั๋นพูด
ผลมองตามไปทางบัวเกี๋ยงพลางขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

บัวเกี๋ยงเดินอย่างอารมณ์เสียมาที่ด้านหลังโรงอาหาร แล้วก็หักกิ่งไม้มาฟาดกับต้นไม้หลายครั้ง
“เช๊อะ...แม่เลี้ยงเหรอ ฝันไปเถอะ ฉันจะฟ้องคุณเล็กให้มันกระเด็นไปจากไร่เลย”
ทันใดนั้นผลก็เดินเข้ามา
“เป็นอะไรของเอ็งวะบัวเกี๋ยง”
บัวเกี๋ยงรีบกลบเกลื่อน “เอ่อ...เปล่านี่จ๊ะ”
ผลเดินเข้าไปหาแล้วทำท่าจะกอด
“ไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว รู้ไหมพี่เป็นห่วง”
บัวเกี๋ยงรีบหลบ “พี่ผล เดี๋ยวใครมาเห็นหรอก”
“ก็ช่างสิ พี่น่ะอยากจะประกาศเต็มแก่แล้วว่าเราเป็นอะไรกัน”
“ไม่ได้นะพี่ผล พี่ก็รู้ว่าคุณเล็กไม่อยากให้ฉันมีแฟน เธอกลัวฉันจะดูแลเธอได้ไม่เต็มที่”
“งั้นชาตินี้เราไม่ต้องหลบๆซ่อนๆอยู่อย่างนี้เหรอ”
“ไม่หรอก...พี่ก็เร่งเก็บเงินให้ได้เยอะๆเลิกเที่ยวเลิกเล่นซะก่อนสิ พอเราตั้งตัวได้ก็จะได้กลับไปอยู่บ้านของเรา” บัวเกี๋ยงบอก
“ก็ได้...พี่จะทำเพื่อบัวเกี๋ยงนะจ๊ะ”
“พี่ผลไปก่อนเถอะ”
ผลยิ้มแล้วเดินไป บัวเกี๋ยงมองตามด้วยสายตาขุ่น
“ไอ้บ้านี่ก็ไม่รู้จะรังควานฉันไปถึงไหน อุตส่าห์หนีมาทำงานที่นี่แล้วยังตามมาอีก โอ๊ย...อยากจะบ้า”

ภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดารานั่งรับประทานอาหารเย็นแบบขันโตก เจ้าทิพย์ดาราตักน้ำพริกห่อใส่ผักส่งให้ภูชิชย์
“นี่หรือเปล่าคะ ที่เป็นสาเหตุที่ภูไม่รับสายน้อยเมื่อเช้านี้” เจ้าทิพย์ดาราถาม
“ครับ ผมขอโทษนะครับเจ้า” ภูชิชย์บอก
“เรื่องนั้นน่ะไม่เป็นไรหรอกค่ะ แต่น้อยว่าภูแกล้งผู้จัดการคนใหม่แรงไปหรือเปล่าคะ เธอไม่ได้สมัครมาเป็นผู้จัดการไร่ แล้วจะทำได้ยังไง”
“ผมก็อยากให้เขาทำไม่ได้ จะได้เลิกคิดปอกลอกนายวัส”
“เรื่องนี้ก็อีก ภูแน่ใจได้ยังไงว่าคุณนริศราอะไรนั่นเขาจะเป็นอย่างที่ภูเข้าใจ”
“เซนส์ผมบอก”
“เซนส์นี่เขาใช้เป็นพยานหลักฐานจับคนร้ายได้ไหมคะ”
“โธ่...เจ้าครับ อย่าดักผมแบบนี้สิ”
“เซนส์ ของคุณเล็กก็บอกว่าน้อยกับครอบครัวคิดจะเกาะครอบครัวภูนะคะ”
ภูชิชย์ได้ยินก็อึ้งไป
“ใช้เวลาและการกระทำตัดสินคนดีกว่านะคะภู”
เจ้าทิพย์ดาราพูดแล้วจ้องหน้าภูชิชย์ ภูชิชย์ยิ้มให้
“ได้ครับ ผมจะลองให้เวลาเขาดู เพราะผมมั่นใจว่าอีกไม่นานผู้หญิงคนนี้จะต้องออกลาย”
เจ้าทิพย์ดารามองหน้าภูชิชย์แล้วส่ายหน้าอย่างระอาใจ

ภูชิชย์ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านพักภายในไร่สุพัฒนา พอลงจากรถมาเขาก็มองไปในตัวบ้านที่ชั้นสองแล้วก็นึกสงสัย เพราะภูชิชย์เห็นหน้าต่างห้องวิทวัสเปิดอยู่ เขามองเห็นนริศรากับนิพนธ์ทำอะไรวุ่นวายอยู่ภายในห้อง
“พวกนั้นทำอะไรกันที่ห้องนายวัส”

เด็กรับใช้กำลังปัดเตียงของวิทวัส นิพนธ์ช่วยจูนทีวี นริศรากำลังเอาเสื้อผ้าออกจากกระเป๋าจัดเข้าตู้ ภูชิชย์เดินมายืนตรงประตูแล้วมองอย่างงงๆ
“นี่ทำอะไรกัน” ภูชิชย์ถาม
“เราไม่เคยมีผู้จัดการไร่เป็นผู้หญิงมาก่อน ผมเลยไม่ทราบจะให้คุณนิดพักที่ไหนเห็นห้องคุณวัสไม่ได้ใช้ก็เลยคิดว่าจะให้พักที่นี่ครับ” นิพนธ์ตอบ
“คงไม่ได้หรอกนิพนธ์ เพราะบ้านหลังนี้พักได้เฉพาะคนในครอบครัว”
“งั้นจะให้ฉันพักที่ไหนก็บอกมาเลยค่ะ ฉันยินดี” นริศราบอก
“บ้านพักคนงานหญิง” ภูชิชย์ตอบห้วนๆ
นริศรากับนิพนธ์อึ้งกับคำตอบของภูชิชย์
“งั้นผมยกให้คุณนิดใช้บ้านพักผู้จัดการของผมดีกว่าครับ ผมจะไปอยู่บ้านพักคนงานชายเอง” นิพนธ์บอก
“ไม่ต้อง ในเมื่อเราไม่มีบ้านพักผู้จัดการหญิงก็คือไม่มี” ภูชิชย์ยืนกราน
นริศราเจ็บใจที่ถูกภูชิชย์กลั่นแกล้งอีก
“แต่คุณนิดเธอเป็นผู้จัดการ” นิพนธ์พยายามบอก
นริศราพูดสวนขึ้น “ได้ค่ะคุณนิพนธ์ นิดจะนอนที่บ้านพักคนงานหญิง”
ภูชิชย์ยิ้มเหยียด แล้วเดินออกไป นริศราเอาเสื้อผ้าใส่กระเป๋าด้วยความเจ็บใจ นิพนธ์ช่วยเก็บของแล้วพูดให้กำลังใจ
“คุณนิดพยายามปรับตัวหน่อยนะครับ เดี๋ยวพ่อเลี้ยงแกก็ดีด้วยเอง”

นริศรายิ้มรับอย่างเหนื่อยใจ

อ่านต่อหน้า 2




 รักประกาศิต  ตอนที่ 2(ต่อ) 

นริศราและนิพนธ์ยืนคุยกับแม่อุ้ยที่หน้าบ้านพักคนงานหญิง โดยที่รถกระบะของนิพนธ์จอดอยู่ด้านหลัง

“โถ...น่าสงสาร ไม่เป็นไรค่ะถ้าคุณนิดไม่รังเกียจที่นี่ก็พักด้วยกัน” แม่อุ้ยชวนคุย
“ขอบคุณแม่อุ้ยมากค่ะ” นริศราตอบ
“อาจจะไม่สะดวกเท่าไหร่ แต่รับรองได้ว่าปลอดภัยครับ เพราะที่นี่จะแยกบ้านพักเป็นสามส่วน มีบ้านพักคนงานชายอยู่ด้านนอกสุด ถัดมาก็เป็นบ้านพักสำหรับคนงานที่มีครอบครัวจะใหญ่หน่อย แล้วก็ที่นี่ของคนงานหญิงครับ” นิพนธ์อธิบาย
“แต่ตอนนี้ห้องพักที่นี่เต็มหมด จะมีก็ห้องนังบัวเกี๋ยงน่ะค่ะที่กว้างใหญ่หน่อย เพราะคุณเล็กให้มันพิเศษกว่าคนอื่น อยู่กันสองคนได้สบายมาก” แม่อุ้ยบอก
“ได้ค่ะ ฉันนอนที่ไหนก็ได้”
“ถ้ายังไงฝากคุณนิดกับแม่อุ้ยด้วยนะ” นิพนธ์หันมาพูดกับนริศรา “ผมคงส่งได้แค่นี้เพราะที่นี่ผู้ชายห้ามขึ้นครับ”
“แล้วพรุ่งนี้จะเริ่มงานยังไงล่ะคะ” นริศราถาม
นิพนธ์ถอนใจ “ตัวผมเองก็ยังไม่ทราบเลยครับว่าจะเริ่มงานจากอะไร เอาเป็นว่าเรารอพ่อเลี้ยงสั่งแล้วกันนะครับ”
“ขอบคุณมากนะคะ” นริศรายกมือไหว้
นิพนธ์ยิ้มแล้วขึ้นรถกระบะขับออกไป
บัวเกี๋ยงยืนโวยวายอยู่ที่หน้าห้องพักของตัวเอง
“แต่นอนที่นี่ไม่ได้”
นริศรากับแม่อุ้ยยืนเจรจาอยู่ที่หน้าห้อง
“ทำไมจะไม่ได้ ก็ห้องเอ็งออกกว้างกว่าคนอื่นพักสองคนได้สบาย ก็มีน้ำใจหน่อยสิ” แม่อุ้ยว่า
“แต่คุณเล็กสั่งให้ฉันพักห้องนี้คนเดียว ฉันมีสิทธิ์ที่จะไม่ให้ แม่อุ้ยมีน้ำใจมากก็ให้ไปนอนกับแม่อุ้ยสิ” บัวเกี๋ยงปัด
“ห้องข้ามันเล็กกว่าเอ็งตั้งครึ่งจะอยู่เข้าไปได้ยังไงสองคน”
“ไม่รู้ล่ะยังไงฉันก็ไม่ให้”
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะแม่อุ้ย บัวเกี๋ยงเขาคงไม่สะดวก ฉันไม่รบกวนเขาดีกว่า” นริศราบอก
“งั้นคุณนิดไปอยู่ห้องฉันก็ได้ ห้องเล็กแต่น้ำใจฉันไม่เล็กค่ะ” แม่อุ้ยชวนพลางแดกดัน
บัวเกี๋ยงยิ้มเยาะอย่างสะใจ พรเดินมาจะเข้าห้องแต่พอผ่านห้องบัวเกี๋ยงก็หยุดดูเพราะเห็นนริศรายังถือกระเป๋าอยู่
“อุ๊ย...คุณนิด ยังไม่ได้ห้องอีกเหรอคะ” พรถาม
บัวเกี๋ยงหัวเราะ “นังพรเอ๊ย...ที่เอ็งคิดว่าผู้จัดการคนใหม่จะเป็นคนของพ่อเลี้ยงน่ะผิดไปแล้ว ขนาดที่ซุกหัวนอนยังไม่มีเลย”
พรมีท่าทางดีใจ “ไม่มีที่นอนเหรอ ดีจังเลยค่ะ”
“ต๊าย...นังพร วันนี้เอ็งเพิ่งพูดถูกใจข้าจริงๆ” บัวเกี๋ยงคิดว่าพรจะสมน้ำหน้านริศรา
พรไม่สนใจบัวเกี๋ยงรีบเดินไปดึงกระเป๋ามาจากมือนริศรา
“ถ้าคุณนิดไม่มีที่นอน มาอยู่ห้องพรก็ได้ค่ะ ห้องเล็กหน่อยแต่พรไม่ค่อยมีข้าวของอะไร ไปอยู่กับพรนะคะ”
นริศราดีใจ “จริงเหรอ...ขอบคุณมากนะจ๊ะ”
บัวเกี๋ยงมองนริศราแล้วเชิดหน้าเข้าห้องของตัวเองไป แม่อุ้ยกับพรเห็นอาการแล้วก็ส่ายหน้าอย่างระอาใจ

นริศรา พร และแม่อุ้ยช่วยกันปูที่นอนกับพื้นเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชุด
“ฉันขอโทษนะคะคุณนิด ที่ลืมไปว่ายังมีคนดีอย่างพรมัน ไม่น่าพาคุณมาขอความช่วยเหลือคนแล้งน้ำใจอย่างนังบัวเกี๋ยงมันเลย” แม่อุ้ยกล่าว
“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะแม่อุ้ย บัวเกี๋ยงเขาคงไม่สะดวกใจจริงๆ ฉันเองก็เกรงใจที่ทำให้คนอื่นต้องมาเดือดร้อนโดยเฉพาะพร” นริศราบอก
“อุ๊ย ไม่เป็นไรเลยค่ะ พรอยากให้คุณนิดมานอนกับพร คนอื่นๆมันต้องอิจฉาพรแน่ๆที่ได้อยู่บ้านเดียวกับคุณนิดคนสวย”
“โห ถึงกับต้องอิจฉากันเลยเหรอ” นริศราเขิน
“ค่ะ ก็พวกเราน่ะ ชมคุณนิดกันทั้งวันเลย คุณนิดสวยอย่างกับนางเอกละครแน่ะ”
นริศรายิ้ม “เหรอ งั้นก็คงมีแต่พ่อเลี้ยงกับบัวเกี๋ยงที่ดูจะเกลียดฉัน”
“พ่อเลี้ยงแกไม่เคยเกลียดใครหรอกค่ะ ท่าทางแกดุแต่ก็ดุเรื่องงาน ส่วนอีบัวเกี๋ยงปล่อยมันไปเถอะค่ะ มันถือว่าเป็นคนโปรดคุณเล็กเลยวางก้ามไปทั่ว” แม่อุ้ยบอก
“แต่ไม่ต้องห่วงนะคะคุณนิด ถ้าพี่บัวเกี๋ยงรังแกคุณนิด พรจะจัดการมันเอง”
“ใช่ค่ะคุณนิด นังสองคนนี่มันกัดกันประจำ” แม่อุ้ยเสริม
พรค้อนใส่แม่อุ้ยแบบทีเล่นทีจริง และแล้ว นริศรา แม่อุ้ย และพรก็หัวเราะกันอย่างมีความสุข

บัวเกี๋ยงนั่งหวีผมอยู่หน้ากระจกภายในห้องพัก ทันใดนั้นโทรศัพท์มือถือของเธอก็ดังขึ้น
“สวัสดีเจ้า คุณเล็ก บัวเกี๋ยงกำลังคิดถึงคุณเล็กอยากคุยกับคุณเล็กม๊ากมาก”
สุพัฒนานั่งคุยโทรศัพท์อยู่บนเตียงในห้องพักที่โรงพยาบาล
“นี่บัวเกี๋ยง ฉันจะโทรมาฝากให้แกช่วยดูแลมัลลิกาเพื่อนของฉันด้วยนะ”
“มัลลิกา....มัลลิกาไหนคะ” บัวเกี๋ยงงง
สุพัฒนาชักหงุดหงิด “ก็คนฉันส่งไปทำงานแทนฉันที่ไร่ไงล่ะ เขาบินไปตั้งแต่เช้า แกไม่เจอหรือไง มัวไปเซ่อทำอะไรอยู่”
“ไม่มีจริงๆนะคะ บัวเกี๋ยงเห็นมีแต่คนชื่อนริศราค่ะ”
สุพัฒนาตาลุกวาว “นริศราไหน?”
บัวเกี๋ยงยิ้มเจ้าเล่ห์แล้วก็แสดงสันดานขี้ฟ้องขึ้นมาทันที
“ก็คุณนริศราที่คุณวิทวัสส่งมาไงคะ ทั้งสวยทั้งเก่ง แถมพ่อเลี้ยงยังให้เป็นผู้จัดการไร่ แล้วเขี่ยคุณนิพนธ์ไปทำสำนักงานแทนด้วยล่ะค่ะ”
“แกว่ายังไงนะ”
สุพัฒนาฟังอยู่ดีดีก็หอบหายใจอย่างโมโห เธอวางสายไปด้วยความโกรธแล้วกดโทรออกอีกครั้ง

ภูชิชย์กำลังยืนถอดนาฬิกา และหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาวางบนโต๊ะ จากนั้นก็เดินไปหยิบเสื้อคลุมเตรียมจะอาบน้ำ ทันใดนั้นโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ภูชิชย์รีบไปรับทันที
เสียงสุพัฒนาตวาดลั่นออกมาจากปลายสาย “พี่ภู.....พี่ภูโกหกคุณเล็ก”
ภูชิชย์งง “คุณเล็กมีเรื่องอะไร พี่ไปโกหกอะไรคุณเล็ก”
“นังนริศรามันเป็นใคร ทำไมมันไปอยู่ที่ไร่กับพี่ภู พี่ภูกับพี่วัสคิดจะหลอกอะไรคุณเล็ก”
“คุณเล็กใจเย็นๆก่อนนะ พี่เองก็เพิ่งมาเจอเขาตอนเขามาถึงไร่นี่เอง” ภูชิชย์อธิบาย
“งั้นพี่ภูก็ไล่มันไปสิ คุณเล็กไม่อยากให้มันอยู่ที่นั่น พี่ภูต้องไล่มัน”
“คุณเล็กเราจะทำแบบนั้นกันเองคงไม่ได้ เพราะนายวัสเขารับมาเราก็ต้องฟังเขาด้วยนะ”
“ได้ค่ะ....งั้นคุณเล็กจะจัดการพี่วัสเอง”
สุพัฒนารีบกดวางสายทันที แม้ภูชิชย์จะพยายามเรียกแต่ก็ไม่ทัน
“คุณเล็ก...คุณเล็ก” ภูชิชย์ดูโทรศัพท์จึงเห็นว่าสุพัฒนาวางสายไปแล้ว “เพราะเธอคนเดียวนริศราทำบ้านฉันยุ่งไปหมด”
สุพัฒนาพยายามกดโทรออก แต่ก็เป็นเสียงสัญญาณว่าสายไม่ว่าง
“พี่วัส นี่กล้าปิดเครื่องเหรอ”
สุพัฒนาโมโหมากจนต้องทุบเตียงเพื่อระบายอารมณ์

นาฬิกาในห้องพักของสุพัฒนาที่โรงพยาบาลบอกเวลาสี่ทุ่ม สุพัฒนานั่งหน้าเครียดอยู่บนเตียง มือของเธอกำแน่นและหอบหายใจด้วยความโมโห โดยมีวิทวัสยืนอยู่ข้างเตียง
“ทำไมขัดคำสั่งคุณเล็ก! ทำไมไม่เป็นมอลลี่ แล้วนังนริศรานี่มันเป็นใคร” สุพัฒนาตะคอกถาม
“คุณเล็ก ใจเย็นๆก่อน พี่จะอธิบายให้ฟัง” วิทวัสบอก
“ไม่ฟัง... คุณเล็กโทรหาพี่วัสเมื่อตอนค่ำ พี่วัสปิดเครื่องทำไม”
“เอ่อ...พี่ทานข้าวกับลูกค้า”
สุพัฒนาสวนทันที “โกหก! พี่วัสคงไปอยู่กับอีผู้หญิงขายตัวที่ไหนมาล่ะสิ แล้วนังนริศรา ที่พี่วิทส่งไปให้พี่ภูก็คงเป็นผู้หญิงหากินที่พี่วัสไปติดด้วยอีกคนใช่มั้ย”
วิทวัสเสียงเข้ม “คุณเล็กมันจะมากไปแล้วนะ”
“ก็มันจริงไหมล่ะ คุณเล็กเกลียดพี่วัส คุณเล็กจะไม่เชื่ออะไรพี่วัสอีกแล้ว”
วิทวัสเริ่มไม่ยอม “ก็ดี! คุณเล็กไม่ต้องมาเชื่ออะไรพี่ พี่จะตัดสินใจทำอะไรหรือส่งใครไปทำงานที่ไร่ คุณเล็กก็อย่ามาก้าวก่ายหน้าที่พี่อีกก็แล้วกัน”
“พี่วัส! กล้าพูดกับคุณเล็กอย่างนี้เหรอ”
“ก็คุณเล็กไม่ยอมฟังอะไรเลย”
“ไม่ฟัง คุณเล็กไม่ฟัง” สุพัฒนาต่อสายโทรหามัลลิกาทันที “มอลลี่ เธอมาหาฉันเดี๋ยวนี้เลย”
“คุณเล็กนี่มันดึกแล้วนะเกรงใจคนอื่นบ้าง” วิทวัสปราม
“มอลลี่เป็นเพื่อนคุณเล็กพี่วัสอย่ายุ่ง” สุพัฒนาพูดโทรศัพท์ต่อ “จะนอนเหรอ นอนไม่ได้ เธอต้องมาพบคุณเล็กเดี๋ยวนี้”
พูดจบสุพัฒนาก็วางสายทันที
วิทวัสส่ายหน้าอย่างระอาใจกับน้องสาวแล้วเดินออกจากห้อง สุพัฒนาพูดไล่หลัง
“คุณเล็กจะส่งมอลลี่ขึ้นไปแทนนังนริศราเดี๋ยวนี้! ให้มันรู้ไปว่าพี่วัสจะชนะคุณเล็ก”
วิทวัสอึ้งกับคำพูดของสุพัฒนา สุพัฒนามองหน้าวิทวัสอย่างเอาเรื่อง

เวลาผ่านไปไม่นาน มัลลิกาก็มายืนยิ้มหวานให้วิทวัส จากนั้นก็หันมาบอกสุพัฒนา
“คุณเล็กอย่าโกรธมอลลี่นะจ๊ะ มอลลี่ไม่ชอบต่างจังหวัดคุณเล็กก็รู้ แล้วอีกอย่างอยู่ที่นี่เป็นเลขาพี่วัส มอลลี่ก็แฮปปี้เหมือนกันนะ”
สุพัฒนาโกรธจัด “มอลลี่ นี่เธอกล้าหักหลังคุณเล็กเหรอ....ทำไมทุกคนถึงทำร้ายฉันแบบนี้ กรี๊ด”
สุพัฒนาโกรธมากจนหอบและหายใจไม่ออก เธอเริ่มชักมือหงิกงอ
“คุณเล็ก !” วิทวัสกับมัลลิกาตกใจ
วิทวัสรีบกดโฟนอินเรียกหมอ
“ช่วยด้วยครับ น้องผมหายใจไม่ออก”
วิทวัสเข้ามาประคองสุพัฒนาไว้ มัลลิกาจะหาอะไรมาพัดให้เพื่อนแต่ก็ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก

ระหว่างที่นั่งรอหมอตรวจอาการ วิทวัสเดินวนไปมาอยู่หน้าห้องแล้วก็มานั่งเก้าอี้ที่ห่างจากมัลลิกา มัลลิกาเห็นก็รีบเขยิบเข้าไปใกล้
“แหม...มอลลี่รู้สึกแย่จัง ไม่คิดว่าคุณเล็กเขาจะโกรธมากขนาดนี้ มอลลี่ต้องขอโทษด้วยนะคะ”
วิทวัสพูดด้วยท่าทีเฉยชา “ไม่ต้องขอโทษผมหรอก มันไม่ใช่ความผิดของคุณ”
“จะไม่ใช่ได้ยังไงล่ะคะ ก็พี่วัสกลุ้มใจขนาดนี้ มอลลี่เป็นห่วง”
มัลลิกาพูดจบก็ยิ้มหวานให้กับวิทวัส วิทวัสเห็นแล้วก็ถึงกับถอนใจ
“คุณกลับบ้านเถอะ ดึกแล้ว”
“มอลลี่เป็นเลขาพี่วัส นายอยู่ไหน เลขาก็ต้องอยู่ด้วยสิคะ”
“แต่งานของผมเลิกห้าโมงเย็น”
วิทวัสพูดอย่างหงุดหงิด เขาลุกพรวดขึ้น มัลลิการีบลุกตามทันที
“พี่วัสจะไปไหนคะ”
“ไปห้องน้ำชาย จะตามไปไหม”
มัลลิกาหน้าเสีย วิทวัสจะเดินไปแต่หมอออกมาจากห้องพอดีจึงรีบเรียกไว้
“คุณวิทวัสครับ ผมขอคุยด้วยได้ไหมครับ”
วิทวัสหันมาตามเสียงเรียก

วิทวัสนั่งคุยกับหมอด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ในมือของวิทวัสถือรายงานการตรวจร่างกายของสุพัฒนาเอาไว้
“ผลการตรวจอย่างละเอียดที่ออกมาแสดงว่า อาการป่วยของคุณเล็กไม่ใช่เกิดจากร่างกาย แต่เป็นภาวะ hyperventilation ไม่ใช่โรคแต่เป็นอาการ ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อถูกขัดใจหรือกระทบกระเทือนใจกะทันหัน หรือจากอารมณ์เครียดในใจ แล้วแสดงออกมาทางร่างกายทั้งเช่นภาวะหายเร็ว หายใจไม่ทันหรือแม้แต่การชักครับ” หมออธิบาย
“น้องผมเป็นบ้าหรือเปล่าครับ” วิทวัสถาม
“ไม่ถึงขนาดนั้นครับ แต่ความเครียดต่างๆก็เป็นตัวกระตุ้นให้สารเคมีในสมองของคนไข้ไม่สมดุลกัน”
“ถ้าอย่างนั้นก็มีทางรักษาให้หายได้ใช่ไหมครับ”
“ครับ จะเร็วหรือช้า ประสบผลสำเร็จหรือไม่ ตัวคนไข้ สภาพแวดล้อมและบุคคลรอบข้างล้วนมีผลกับการรักษาหมดครับ ผมอยากให้คุณเล็กพักรักษาตัวอยู่ที่นี่สักระยะก่อนคงไม่เป็นไรใช่ไหมครับ”
วิทวัสมีสีหน้าหนักใจ

วิทวัสนั่งคนกาแฟอยู่ในห้องรับแขก เขาครุ่นคิดอย่างเคร่งเครียด เวลาผ่านไปครู่ใหญ่ รัชนิดา คนรักของวิทวัสก็เดินเข้ามาคุยด้วย
“จะกินกาแฟเย็นเหรอคะ” รัชนิดาแซว
วิทวัสเริ่มรู้สึกตัว “ดา..”
“ตั้งแต่กลับมาจากเยี่ยมคุณเล็ก คุณก็เอาแต่นั่งเงียบ แล้วก็นั่งหน้านิ่งคิ้วขมวดอยู่เป็นชั่วโมงแล้วนะคะ “
“ผมรู้สึกว่าผมทำเกินไปกับคุณเล็ก” วิทวัสบอก
“แต่ตอนนั้นคุณยังไม่ทราบนี่คะว่าคุณเล็กป่วยเป็นอะไร”
“นี่ถ้าคุณเล็กรู้ว่ากำลังรักษากับจิตแพทย์แกคงไม่ยอม” วิทวัสเดาใจน้องสาว
“แต่ถ้าจะปล่อยไว้ แล้วต้องตามใจกันตลอดชีวิต คุณเล็กจะยิ่งแย่ไปกว่านี้นะคะ”
“ผมกับพี่ภูทำถูกแล้วใช่ไหม” วิทวัสขอความเห็นใจ
รัชนิดายิ้มปลอบ “ถึงเวลาที่คุณเล็กจะมองโลกอย่างที่มันเป็น ไม่ใช่มองโลกอย่างที่เธออยากให้เป็นแล้วค่ะ”
วิทวัสกับรัชนิดายิ้มให้กันแล้วกอดกันอย่างมีความสุข

ไก่ตัวใหญ่โก่งคอขันใกล้ๆ บ้านพักคนงานหญิง นาฬิกาตั้งโต๊ะในห้องพรแสดงเวลาตีสี่ครึ่งก่อนที่มันจะส่งเสียงปลุก นริศรากับพรนอนเบียดกันอยู่บนเตียง พรลุกขึ้นกดปิดนาฬิกาแล้วก็งัวเงียปลุกนริศรา
“คุณนิด....คุณนิดขา...ตื่นได้แล้วค่ะ เช้าแล้ว”
นริศรางัวเงีย “กี่โมงแล้ว”
“ตีสี่ครึ่งแล้วค่ะ” พรตอบ
นริศราตกใจ “ตีสี่ครึ่ง....โอ๊ย...เช้าไป เดี๋ยวฉันตื่นเอง”
“แต่ว่า...”
“ไม่เป็นไรหรอก อยู่ที่นี่รถไม่ติดเหมือนกรุงเทพ ฉันไม่รีบ”
พรพยักหน้าแล้วเดินงัวเงียออกไป ก่อนออกจากห้องพรดึงประตูมาโดนหัวตัวเองจนตื่นได้เต็มตัว

นาฬิกาแขวนผนังที่อยู่ในบ้านภูชิชย์แสดงเวลาตีห้า พรถืออุปกรณ์ทำความสะอาดเดินเข้าห้องรับแขก ภูชิชย์ที่แต่งตัวเตรียมออกไปทำงานที่ไร่เดินลงมาจากชั้นบน
“ได้ข่าวว่าคุณนิดนอนห้องเธอใช่ไหม” ภูชิชย์ถาม
“ค่ะ” พรตอบ
“อึดอัดไปไหม”
“ไม่เป็นไรค่ะพ่อเลี้ยง คุณนิดเธอไม่ได้มีของเยอะแยะอะไร อยู่กันได้ค่ะ”
ภูชิชย์พยักหน้ารับ “แล้วนี่เขาไปไร่หรือยัง”
“คุณนิดเหรอคะ เอ่อ....ยังค่ะ”
“ยัง....แล้วเขาทำอะไรอยู่”
“เอ่อ...นอนอยู่ค่ะ”
“ให้มันได้อย่างนี้สิ”
ภูชิชย์ขบกรามแน่นด้วยความโมโห

ภูชิชย์เปิดประตูเข้ามาในห้องของพรแล้วเปิดไฟจนสว่างไปทั้งห้อง นริศราที่นอนอยู่รู้สึกหงุดหงิดที่แสงไฟแยงตาจึงรีบเอาผ้าห่มคลุมโปงทันที
ภูชิชย์ฉุนจัดเดินไปตลบผ้าห่มให้เลิกขึ้น “ตื่น!”
นริศรางัวเงียลืมตาขึ้นมาเห็นว่าภูชิชย์ยืนหน้าถมึงทึงอยู่ก็ตกใจ
“อะไรของคุณเนี่ย เข้ามาได้ยังไงนี่มันบ้านพักคนงานหญิงนะ หรือว่า....ไม่นะ” นริศรารีบเอาผ้าห่มมาปิดร่างกาย “คิดจะปล้ำฉันเหรอ”
ภูชิชย์ส่ายหน้าอย่างเซ็งๆ “ฉันแค่มาปลุกเธอต่างหาก”
“โกหก...ปลุกฉันแล้วทำไมมาคนเดียว เรียกพรก็ได้นี่”
ภูชิชย์ถอยออกมาทำให้นริศราเห็นพรยืนอยู่ด้านหลัง แต่นริศราก็ยังรู้สึกงงๆ
“มาปลุกฉันจริงๆเหรอ” นริศรามองนาฬิกา “แล้วทำไมมาซะเช้าเลย”
ภูชิชย์ฉุนจัด “ฉันให้เวลาเธอสิบห้านาที รีบลงไปหาฉันที่โรงรถแทร็คเตอร์”
ภูชิชย์เดินโมโหออกไป นริศรามองตามตาขุ่นแล้วหันไปพูดกับพร “พ่อเลี้ยงเขาบ้าหรือเปล่า มาแกล้งปลุกฉันตอนนี้”
พรยิ้มแหยๆ “ไม่บ้าหรอกค่ะคุณนิด ปกติงานในไร่ก็เริ่มตีห้าค่ะ”
นริศราตกใจ “ห๊า...ตีห้า”
นริศรารีบคุ้ยของหาผ้าเช็ดตัว แปรงสีฟัน และยาสีฟันแล้วรีบวิ่งออกจากห้องไป
“สงสัยถ้าจะไม่ปิ๊งกันอย่างพี่บัวเกี๋ยงมันว่า” พรพึมพำ

ภูชิชย์ยืนดูคนงานกำลังซ่อมเครื่องรถแทร็กเตอร์จนติด นริศราวิ่งกระหืดกระหอบมาหาภูชิชย์ ภูชิชย์จ้องหน้าเอาเรื่อง
“ฉันขอโทษค่ะ ฉันนึกว่างานที่นี่ก็เริ่มแปดโมง แปดโมงครึ่งเหมือนงานทั่วไป” นริศราแก้ตัว
“ก็ยังดีที่ไม่นึกว่าจะมีรถไฟใต้ดินมาที่ไร่ฉัน” ภูชิชย์กัด
นริศราฉุน “นี่พ่อเลี้ยง ฉันก็ขอโทษแล้วไง ก็คนไม่รู้อ่ะ”
“ไม่รู้แล้วทำไมไม่ถาม”
“ฉันถามคุณนิพนธ์แล้ว แต่เขาบอกให้ฉันรอคุณสั่ง”
“ไม่คิดจะถามหรือสงสัยบ้างเหรอว่าทำไมคนอื่นเขาตื่นกี่โมง”
นริศราอึ้ง “ฉันไม่ทันคิดค่ะ”
“แสดงว่าเธอขาดคุณสมบัติในการทำงานร่วมกับผู้อื่น” ภูชิชย์ยิ้ม “หวังว่าฉันคงจะได้เห็นข้อเสียข้ออื่นๆของเธออีกนะ”
พูดจบภูชิชย์ก็เดินไปดูรถแทร็คเตอร์คันอื่นต่อ นริศรามองตามพร้อมกับกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บใจ แล้วตัดสินใจเดินตามไป
“แล้วจะให้ฉันเริ่มงานจากอะไร”
“ขับรถแทร็คเตอร์สำรวจไร่” ภูชิชย์บอก
นริศราตกใจ “ขับแทร็คเตอร์?”
นริศราหันไปมองรถแทร็กเตอร์แล้วก็ถึงกับเหวอไป
“ทำไม ขับไม่เป็นใช่ไหม” ภูชิชย์ถาม
นริศรามองภูชิชย์ด้วยความหมั่นไส้แล้วมองสำรวจรถคร่าวๆ ก่อนจะตัดสินใจประกาศก้อง
“ฉันขับเป็น มันก็เหมือนขับรถนั่นแหละ ไม่เห็นจะยากเลย” นริศราเชิดหน้าท้าทาย
ภูชิชย์ผายมือให้นริศราขึ้นรถทันที


นริศราขับรถแทร็กเตอร์มาที่ไร่องุ่นอันกว้างใหญ่อย่างทุลักทุเล เธอประคองรถอย่างยากลำบาก และเต็มไปด้วยความตื่นกลัว ภูชิชย์ที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็เสียอาการรีบปรามนริศรา
“ระวังหน่อยสิ ถ้าเธอชนองุ่นฉันแม้แต่ลูกเดียวฉันเอาเรื่องเธอแน่”
นริศรามองค้อนด้วยความเจ็บใจแล้วก็พยายามประคองรถไปต่อ แต่พวงมาลัยหนักและทางไม่ดีทำให้ขับได้ลำบากมากจนรถเป๋ ยิ่งทางลงเนินยิ่งขับยากมากขึ้น
“ตกลงเธอขับไม่เป็นใช่ไหม.......จอดเลย ฉันขับเอง” ภูชิชย์บอก
นริศรามองหา “แล้วเบรกมันอยู่ตรงไหนอ่ะ”
“ก็อยู่ตรงหน้าเธอไงล่ะ”
นริศราพยายามดึงเบรก แต่รถก็ยังไม่หยุด
“ไม่เห็นหยุดเลย”
“ดึงเบรกมือให้ตึงสิ” ภูชิชย์ตะโกนสั่ง
นริศราดึงจนสุดแรง แต่รถก็ยังแล่นอยู่
“ทำไมรถยังไม่หยุดล่ะ” นริศราตกใจ
ภูชิชย์จับมือนริศราที่ยังดึงเบรกอยู่ แล้วช่วยดึงขึ้นมาอีกแต่รถก็ยังไม่หยุดยังคงไหลลงเนินไปอีก
“เหยียบเบรคกับคลัชพร้อมกันสิ” ภูชิชย์สั่ง
นริศราพยายามออกแรงเหยียบ แต่รถก็ยังไม่หยุด เธอยิ่งลนลานมากขึ้น
นริศราก้มมอง “ทำไมรถไม่หยุด ฉันเหยียบถูกหรือเปล่าเนี่ย”
เมื่อนริศราเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นว่ารถกำลังพุ่งจะไปชนต้นไม้ นริศราและภูชิชย์ร้องลั่น แล้วรถก็ไถลไปชนต้นไม้เต็มแรงจนทำให้กิ่งไม้โค่นลงมาใส่ที่นั่ง ภูชิชย์ต้องรีบดึงนริศราหลบแบบเกือบเอาชีวิตไม่รอด

ภูชิชย์ดึงนริศราตกลงไปในบ่อน้ำใหญ่ จนเปียกปอนด้วยกันทั้งคู่

อ่านต่อหน้า 3




 รักประกาศิต  ตอนที่ 2 (ต่อ) 

พรกับแม่อุ้ยช่วยกันทายาทำแผลให้นริศราที่เปลี่ยนชุดเรียบร้อยแล้วอยู่ในศาลาภายในไร่จนเสร็จ

“ขอบคุณมากจ้ะแม่อุ้ย พร”
“เฮ้อ..พ่อเลี้ยงน่าจะสอนขับสักหน่อย กลับให้ไปขับเลย ใครมันจะไปทำได้” แม่อุ้ยบ่น
บัวเกี๋ยงเดินเข้ามายืนมองแล้วยิ้มเยาะ
“ก็เพราะคุณเล็กไม่ได้เลือกไง ถึงได้คนที่ทำอะไรไม่ได้สักอย่างมาแบบนี้ แถมยังทำให้พ่อเลี้ยงเกือบตายตาย เห็นทีไร่สุพัฒนาจะพินาศก็ฝีมือเธอนี่แหล่ะ”
“พี่บัวเกี๋ยง ฉันว่าพี่พูดเกินไปแล้วนะ” พรตำหนิ
“เกินไปที่ไหน คนงานเขาพูดกันทั่วแล้วว่าไม่นานผู้จัดการไร่คนใหม่ก็ต้องไป แต่ถ้ายังมียางอายอยู่บ้างก็น่าจะรีบเก็บของไปซะตอนนี้ดีกว่า”
บัวเกี๋ยงพูดจบแล้วก็เชิดหน้าเดินออกไป นริศรารีบลุกขึ้นดึงแขนบัวเกี๋ยงไว้แล้วพูดกับเธอ
“บัวเกี๋ยง ฉันไม่รู้ว่าทำไมเธอไม่ชอบฉัน แต่ถ้าฉันทำอะไรให้เธอไม่พอใจก็บอกฉันได้นะ ฉันพร้อมจะขอโทษและปรับความเข้าใจกับเธอถ้าฉันผิด”
“อู๊ย..ไปขอโทษมันทำไมคะคุณนิด คนแบบนี้หนูยังไม่อยากจะเรียกมันว่าพี่เลย” พรบอก
บัวเกี๋ยงหันขวับมาจ้องพรอย่างเอาเรื่อง แม่อุ้ยดึงพรเอาไว้แล้วจุ๊ปากเพื่อไม่ให้ยุ่ง
“ฉันมาทำงานที่นี่ ต้องอยู่ร่วมกับทุกคน ฉันก็อยากเข้ากับทุกคนให้ได้” นริศราบอก
“วิธีเดียวที่จะทำให้ฉันชอบเธอได้ ก็คือไปจากที่นี่ซะ” บัวเกี๋ยงเสียงหนักแน่น
“อีบัวเกี๋ยง มันจะมากไปแล้วนะ” แม่อุ้ยว่า
“ก็มาถามฉันเองนี่” บัวเกี๋ยงหันไปพูดกับนริศรา “ว่าไง ฉันบอกแล้วทำให้ฉันได้หรือเปล่า”
บัวเกี๋ยงจ้องหน้านริศราอย่างท้าทายและไม่ยอมลดราวาศอก นริศรายิ้มแล้วตอบ
“ไม่ได้ เพราะที่ฉันถามก็เพื่อปรับความเข้าใจกับเธอ แต่ไม่ใช่ให้เธอมาสั่ง”
“งั้นก็อย่าหวังว่าฉันจะชอบคุณ”
บัวเกี๋ยงพูดแล้วจะเดินไปแต่นริศรามายืนขวางหน้าเอาไว้
“ในเมื่อฉันทำดีกับเธอแล้วเธอไม่ดีด้วย ต่อไปนี้ก็อย่ามาล้ำเส้นฉัน “
นริศราจ้องหน้าอย่างเอาเรื่อง บัวเกี๋ยงเจ็บใจแต่ไม่รู้จะทำยังไงจึงเดินเชิดหน้าออกไปทันที
“เห็นนุ่มนิ่มอย่างนี้ คนจริงเหมือนกันนะ” แม่อุ้ยพูดกับพร

บัวเกี๋ยงเดินอารมณ์เสียกลับมานั่งที่หน้าบ้านพักคนงานหญิง โดยมีผลเดินเข้ามานั่งด้วย
“โมโหคุณนิดเหรอ” ผลถาม
“ฉันเจ็บใจที่มันมาด่าฉัน” บัวเกี๋ยงบอก
“แต่พี่ว่าเอ็งก็ทำเกินไป คุณนิดเขาเป็นถึงผู้จัดการไร่ เขามีความรู้ มีการศึกษามากกว่าพวกเรา แล้วเอ็งไปทำกร่างเหยียบหัวเขาอย่างนั้นน่ะ เขาก็ต้องโกรธ”
บัวเกี๋ยงเชิดหน้า “ฉันไม่สนหรอกว่ามันเป็นใคร คุณเล็กเกลียดใครฉันก็เกลียดด้วย”
“คุณเล็กเขาบอกเอ็งแล้วเหรอว่าเขาเกลียดคุณนิด” ผลถาม
“คุณเล็กเป็นนายฉันทำไมจะไม่รู้ใจเธอ”
“แค่รู้ใจคุณเล็กก็ดี เพราะพี่กลัวเอ็งจะเกลียดเพราะสาเหตุอื่น” ผลพูดดัก
บัวเกี๋ยงหน้าเจื่อนไปเพราะถูกดักคอแต่เธอก็รีบพูดกลบเกลื่อน
“พี่ผลมาพูดบ้าอะไรเนี่ย ฉันจะไปมีสาเหตุอื่นอะไร”
“ไม่มีก็ไม่มี พี่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่ตอนนี้ถ้าเอ็งว่างงานก็ไปนวดให้พี่หน่อยสิ พี่เมื่อยมาก”
ผลจับมือบัวเกี๋ยงแต่บัวเกี๋ยงสะบัดมือออก
“ไม่ได้หรอก เดี๋ยวฉันต้องไปรับใช้พ่อเลี้ยง ไว้เจอกันตอนเย็นแล้วกัน”
พูดจบบัวเกี๋ยงก็เดินหนีไปทันที ผลมองตามตาขุ่น
“ทำเป็นเล่นตัวไปเหอะ ถ้าได้เมียใหม่เมื่อไหร่ เอ็งตกกระป๋องแน่”

วิทวัสคุยโทรศัพท์กับภูชิชย์อยู่ที่ทำงานของเขา สีหน้าของวิทวัสตกใจเป็นอย่างมาก
“หา! พี่ภูให้คุณนิดขับแทร็กเตอร์ด้วยเหรอครับเนี่ย”
ภูชิชย์ที่ยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่ห้องทำงานที่ไร่สุพัฒนาพูดเสียงเข้ม
“จะมาทำไร่ก็ต้องทำได้สิ”
“แต่ผมส่งให้เขาไปทำงานเอกสารตามคำขอของพี่ภูนะครับ” วิทวัสรีบบอก
“ก็ประวัติอะไรของเขานายก็ไม่ส่งไม่บอกฉันสักอย่าง จะให้ฉันไว้ใจมาทำงานเอกสารได้ยังไง ฉันก็ต้องให้นิพนธ์ทำแทนสิ”
“โธ่...พี่ภู แบบนี้มันแกล้งกันชัดๆ”
“ว่าไง...จะส่งประวัติให้ฉันได้หรือเปล่า” ภูชิชย์ถาม
“ฮัลโหล...ฮัลโหล....พี่ภูได้ยินผมไหม” วิทวัสแกล้งเอามือไปเกาตรงโทรศัพท์ให้มีเสียงเหมือนสัญญาณรบกวน
“นายวัส...ว่าไง”
“พี่ภูสงสัยสัญญาณไม่ดีไว้ผมโทรไปใหม่นะครับ”
วิทวัสรีบตัดบทแล้ววางสายไป ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งออก พอรู้ว่าสายหลุดภูชิชย์ก็กดวางสายด้วยสีหน้าสงสัย
“สัญญาณไม่ดีงั้นเหรอ?”

รถแทร็กเตอร์ที่ฝากระโปรงเปิดอยู่จอดนิ่งบริเวณต้นไม้ที่โค่นลง นริศรายืนดูลุงปั๋นซ่อมรถอยู่ นิพนธ์เดินลิ่วเข้ามาหาทั้งคู่
“คุณนิด เป็นอะไรหรือเปล่าครับ ผมขอโทษนะครับที่ไม่ได้มาแนะนำงาน เพราะคิดว่าพ่อเลี้ยงจะสอนคุณนิด แต่ไม่คิดว่า วันแรกก็จะเป็นแบบนี้” นิพนธ์สำนึกผิด
“อย่าโทษตัวเองเลยค่ะ นิดเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก แต่มันเจ็บใจที่นิดทำไม่ได้”
นริศรามีสีหน้าเศร้าลงไป สักพักลุงปั๋นก็พูดเสียงดัง
“สายเบรกมันขาดนี่ครับ อย่างนี้ใครขับก็ชนทั้งนั้น”
นิพนธ์กับนริศราชะโงกหน้าดู ทั้งสองเห็นสายเบรกที่ขาดอยู่บนมือลุงปั๋น
“เป็นอันว่าไม่ใช่เพราะคุณนิดแล้วนะครับ ผมจะไปอธิบายให้พ่อเลี้ยงฟังเอง” นิพนธ์บอก
“ไม่มีประโยชน์หรอกค่ะ มันดูเหมือนเป็นการแก้ตัวซะเปล่าๆ สู้นิดพิสูจน์ด้วยผลงานดีกว่า”
“ถ้างั้นผมจะสอนขับไอ้เจ้าแทร็กเตอร์นี่พร้อมทั้งการติดอุปกรณ์ของมันด้วย คุณจะได้ใช้มันเป็นอย่างร้อยเปอร์เซ็นต์”
นริศราดีใจ “ขอบคุณมากค่ะคุณนิพนธ์”

สุพัฒนานอนหลับอยู่บนเตียงที่โรงพยาบาล มัลลิกาค่อยๆ เปิดประตูแล้วย่องเข้ามา ระหว่างนั้นสุพัฒนาก็ตื่นขึ้นมาพอดี
“มอร์นิ่งจ้ะคุณเล็ก” มัลลิกาทักทายแล้วยิ้มหวานให้ สุพัฒนาหยิบกล่องทิชชู่มาขว้างใส่เพื่อน มัลลิกาถึงกับสะดุ้งทันที
“คุณเล็ก ทำไมทำแบบนี้ล่ะ มันเจ็บนะ”
“มาทำไม ออกไปเลย เธอขัดคำสั่งฉัน ต่อไปนี้เธอไม่ใช่เพื่อนฉัน” สุพัฒนาไล่
“โธ่คุณเล็กใจเย็นๆสิ ฟังมอลลี่ก่อน”
“ฉันไม่ฟัง ฉันอุตส่าห์ยกพี่ภูให้ แต่เธอก็ไม่เอา เราไม่มีอะไรต้องพูดกันแล้ว”
มัลลิกาถอนใจ “โอเค...ถ้าคุณเล็กจะโกรธก็ตามใจ แต่มอลลี่สารภาพตรงๆนะ พี่ภูถึงจะหล่อกว่าพี่วัส แต่จะให้มอลลี่ไปอยู่ป่าอยู่เขาอ่ะมอลลี่ก็รับไม่ไหวนะ แล้วมอลลี่ก็ไม่ชอบพี่ภูเท่าพี่วัสด้วย”
สุพัฒนาตกใจ “อะไรนะ นี่มอลลี่ชอบพี่วัสเหรอ คุณเล็กก็ยังแอบคิดอยู่แล้วเชียว”
“แล้วพี่วัสก็เสนอให้มอลลี่เป็นเลขาเอง แสดงว่าเขาอาจจะมีใจให้มอลลี่ก็ได้นะ”
สุพัฒนานิ่งคิด ก่อนจะมองมัลลิกาอย่างสำรวจโดยละเอียด
“ก็ดีเหมือนกัน จะว่าไปเธอก็นิสัยยังไม่ถูกใจคุณเล็กร้อยเปอร์เซ็นต์ เอาพี่วัสไปน่ะเหมาะแล้ว นิสัยไม่ดีทั้งคู่” สุพัฒนาสรุป
มัลลิกาค้อนเพื่อน “จ้ะ...ขอบใจที่อนุญาต” มัลลิกานึกขึ้นได้ “เอ...แล้วยัยนริศราที่พี่วัสส่งไป มันเป็นใคร”
สุพัฒนาขมวดคิ้วด้วยความเครียดแล้วก็เริ่มหอบหนักขึ้นๆ จนมือไม้สั่น เธอหยิบแก้วมาขว้างลงพื้นจนมัลลิกาตกใจ
“มันจะเป็นใครก็ช่าง แต่แค่ได้ยินชื่อคุณเล็กก็เกลียดมันแล้ว” สุพัฒนาบอก

ภูชิชย์นั่งต่อโทรศัพท์แต่สายก็ไม่ว่าง
“นายวัส ตกลงสัญญาณไม่ดีหรือนายไม่ยอมรับสายกันแน่”
ภูชิชย์พึมพำกับตัวเองแล้ววางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะด้วยความหงุดหงิด พอคิดได้ก็หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดใหม่
“สวัสดี ผมภูชิชย์นะ ผมอยากจะได้ประวัติของนริศราที่ทางกรุงเทพฯส่งมาทำงานที่ไร่........อะไรนะ นายวัสก็ยังไม่ส่งให้ฝ่ายบุคคล....แล้วเขาบอกจะส่งให้ได้เมื่อไหร่...เอาละๆ ไว้ผมคุยกับนายวัสเอง”
ภูชิชย์วางสายอย่างหัวเสีย
“ทำไมนายวัสต้องปิดประวัติยัยนั่นขนาดนี้ด้วย”
ภูชิชย์ลุกขึ้นเดินวนไปวนมาในห้องมอง สักพักเขาก็ไปนอกห้องแล้วนึกได้
“จริงด้วย ลืมไปได้ยังไง” ภูชิชย์รีบวิ่งออกไปจากห้องทำงานทันที

ภูชิชย์เปิดลิ้นชักโต๊ะในห้องนอน แล้วหยิบกระดาษที่พับไว้แผ่นหนึ่งมาคลี่ออก เห็นเป็นกระดาษถ่ายเอกสารบันทึกประจำวัน
ภูชิชย์อ่าน “เป็นเหตุให้ นางสาว นริศรา สุริยรักษ์ ผู้ซ้อนท้ายได้รับบาดเจ็บ”
ภูชิชย์ยิ้มอย่างพอใจ
“อย่างน้อยฉันก็มีชื่อกับนามสกุลเธอแล้ว”

ภูชิชย์นั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในห้องนอน หน้าจอเป็นการค้นหาชื่อและนามสกุลของนริศราผ่านเว็บไซต์ Google ภูชิชย์เห็นแต่ข่าวและชื่อของ พล.อ. ณัฐ สุริยรักษ์ กับ พ.อ. ณรงค์ สุริยรักษ์
ภูชิชย์อ่านอย่างขมักขเม่น “แต่งตั้ง พล.อ. ณัฐ สุริยรักษ์.....กำหนดการพระราชทานเพลิงศพ พล.อ. ณัฐ สุริยรักษ์......รายชื่อนักเรียนทุนรัฐบาล ศึกษาต่อ สวีเดน พ.อ. ณรงค์ สุริยรักษ์”
ภูชิชย์พิงเก้าอี้แล้วถอนหายใจ
“เฮ้อ...ไม่เห็นจะมีนริศรา สุริยรักษ์เลย” อยู่ๆ ภูชิชย์ก็นึกขึ้นได้ “หรือว่ายัยนั่นจะเป็นอะไรกับพล.อ.ณัฐกับ พ.อ.ณรงค์”

นิพนธ์ช่วยสอนการขับรถแทร็กเตอร์ให้นริศราในถนนบริเวณไร่องุ่นจนนริศราขับรถแทร็กเตอร์ได้ ต่อมานริศราหัดใช้คันยกอุปกรณ์ที่ติดกับรถแทร็คเตอร์ นิพนธ์กับนริศราดีใจที่นริศราทำได้ นิพนธ์ยกนิ้วให้เป็นการชมว่าเก่งมาก
นริศราขับรถแทร็คเตอร์มาจอดแล้วทั้งคู่ก็ลงจากรถมา
“ขอบคุณมากนะคะคุณนิพนธ์ ถ้าไม่ได้คุณนิพนธ์นิดคงแย่” นริศราบอก
“ไม่เป็นไรครับ” นิพนธ์ตอบ
บริเวณนั้นต้นองุ่นเลื้อยค้างเต็มไปหมด นริศราเห็นแล้วก็ถาม “ทำไมถึงต้องทำให้องุ่นค้างอย่างนั้นด้วยเหรอคะ”
“เพราะองุ่นเป็นพันธ์ไม้เลื้อย ถ้าไม่ทำค้างให้เกาะมันก็จะเลื้อยไปตามพื้นดิน ทำให้เจริญเติบโตช้า เกิดโรคได้ง่าย แล้วผลที่ออกมาก็จะกองอยู่ตามพื้นเกิดการเน่าเสียได้ครับ” นิพนธ์อธิบาย
นริศราพยักหน้ารับ “อ๋อ...แล้วค้างต้องทำแบบนี้หมดทั้งไร่เหรอค่ะ”
“ไม่จำเป็นครับ การทำค้างมีหลายแบบ แต่ที่ไร่ของเราจะทำค้างแบบตัวทีครับ เพราะมีข้อดีคือ ใบองุ่นสามารถรับแสงแดดได้เต็มที่ ง่ายต่อการตัดแต่งและการป้องกันโรค แล้วพวกวัสดุอุปกรณ์ที่นำมาใช้ทำ เราก็จะใช้วัสดุที่มีอยู่ในท้องถิ่น เช่น ไม้ไผ่ ไม้รวกก็ได้ตามความเหมาะสม ทำให้สะดวกแล้วก็ประหยัดด้วยครับ”
“คุณนิพนธ์นี่เก่งจังเลยนะคะ” นริศราชม
“ก็ผมเรียนจบมาทางนี้โดยตรงนี่ครับ” นิพนธ์เห็นนริศราถอนหายใจด้วยความเครียด “ไม่ต้องห่วงครับ งานพวกนี้มันจะซ้ำๆกันทุกวัน คุณนิดทำงานไปสักระยะก็จับทางได้เอง”
นิพนธ์เดินนำมาที่รถกระบะที่จอดอยู่แล้วส่งกุญแจให้นริศรา
“รถคันนี้เป็นรถประจำตำแหน่งผู้จัดการไร่ ตอนนี้มันเป็นของคุณนิดครับ”
“แล้วคุณนิพนธ์จะใช้อะไรล่ะคะ” นริศราถาม
“ที่สำนักงานจะมีรถอีกคันไว้ใช้ทำธุระครับ” นิพนธ์บอก
นริศรากับนิพนธ์ขึ้นรถแล้วขับออกไป
เวลาผ่านไป นิพนธ์อธิบายงานในหน้าที่ของผู้จัดการที่เขาเคยทำให้นริศราฟังที่ไร่กาแฟ หลังจากนั้นนิพนธ์ก็พานริศราไปดูกระบวนการทั้งหมดตั้งแต่เริ่มต้นเก็บกาแฟ
“สาเหตุที่เราต้องตื่นเช้ามาเก็บกาแฟก็เพราะว่า เราจะต้องเอามาทำการสีเปียกก่อนเวลาสี่โมงเย็น เพื่อกันไม่ให้เกิดการบูดเปรี้ยวเพราะจำทำให้กาแฟมีกลิ่นหืน ซึ่งถ้าเราตื่นสายกระบวนการต่างๆก็จะล่าช้าตามไปด้วยน่ะครับ”
คนงานจำนวนหนึ่งกำลังตากกาแฟอยู่ที่ลานตากกาแฟ นิพนธ์พานริศราเดินมาดู
“ผลกาแฟที่เก็บได้เราจะนำมาสู่กระบวนการแปรรูปวันต่อวัน โดยเวลาประมาณสี่โมงเย็นเราจะเริ่มการสีเปียกก่อน แล้วนำไปล้างเมือกอีกประมาณ 6 ชม. แล้วค่อยมาหมักน้ำ 14-16 ชม. จนคัดสรรให้ได้กาแฟกะลาเพื่อนำมาตากแดดอย่างที่เห็นนี่ละครับ”
นิพนธ์พานริศราชมกระบวนการต่างๆ จนได้ผลผลิตของไร่ในส่วนต่างๆ ทั้งฟาร์มเลี้ยงสัตว์ สวนลำใย สวนผัก ฯลฯ
นริศราที่ได้รู้กระบวนการทำงานทั้งหมดภายในไร่กล่าวของคุณนิพนธ์ขณะเดินกลับมาพร้อมกัน
“ขอบคุณนะคะคุณนิพนธ์ที่สอนงานนิด”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมเต็มใจ เดี๋ยวเราไปดูด้านอื่นนะครับ” นิพนธ์บอก

นิพนธ์พานริศรามาจนถึงแปลงดอกไม้ที่ไม่ค่อยออกดอก จึงทำให้ดูไม่ค่อยสวยงามเท่าไหร่ นริศราเห็นเข้าก็สงสัย
“ทำไมที่นี่มันเป็นอย่างนี้ล่ะคะ”
“ช่วงนึงคุณเล็กเธอเห่อดอกไม้ก็เลยให้คนทำสวนดอกไม้นี่ขึ้นมา แต่ไม่นานก็เบื่อเลยไม่มาสนใจอีกครับ” นิพนธ์บอก
“เสียดายนะคะ ถ้าได้รับการดูแลตรงนี้คงดูสวย สดชื่นมาก”
“พ่อเลี้ยงเคยบอกว่า อยากจะเปลี่ยนไปปลูกอย่างอืนที่บริโภคได้ครับ”
นริศราพึมพำกับตัวเอง “คนแบบนั้นจะไปรู้จักความสวยงามอะไร”
“คุณนิดว่าอะไรนะครับ?”
“เอ่อ...คือนิดกำลังคิดว่าน่าเสียดาย แปลงสวนดอกไม้นี้นิดอยากทำให้มันสวยงามมีชีวิตชีวาค่ะ”
“ก็ดีนะครับ”
นริศราดีใจ “นิดทำได้เหรอคะ”
นิพนธ์ยิ้ม “ถ้าคุณนิดทำให้สวนนี้ให้คุณเล็กชอบได้รับรองพ่อเลี้ยงไม่กล้าขัดหรอกครับ”
นริศรามองดูแปลงดอกไม้ด้วยสายตาแวววาวและมีความสุข

มัลลิกาเอาเอกสารมาวางไว้บนโต๊ะของวิทวัส วิทวัสไม่อยู่ในห้องแต่ลืมมือถือไว้ ทันใดนั้นรัชนิดาก็โทรเข้ามาพอดี มัลลิกาเห็นมีสายเข้าก็หยิบมือถือขึ้นมาดูหน้าจอ เธอเห็นชื่อขึ้นว่า “ดา”
“ผู้หญิงเหรอ” มัลลิกายิ้มอย่างร้ายกาจก่อนจะกดรับ “สวัสดีค่ะ”
รัชนิดาได้ยินเสียงผู้หญิงก็มีสีหน้าแปลกใจ
“เอ่อ...ขอสายคุณวิทวัสค่ะ”
“พี่วัสไม่ว่างรับสาย ไม่ทราบว่าใครโทรมาคะ” มัลลิกาพูด
รัชนิดาอึ้งที่ได้ยินปลายสายใช้คำว่าพี่วัส
“ขอโทษนะคะ คุณเป็นเลขาคุณวิทวัสหรือเปล่าคะ” รัชนิดาถาม
“ค่ะ แต่จริงๆก็สนิทกันเป็นการส่วนตัวด้วย ไม่ทราบจะให้บอกพี่วัสว่าใครโทรมาคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ไว้ดิฉันโทรมาใหม่ดีกว่า”
รัชนิดารีบกดวางสายทันที มัลลิกามองโทรศัพท์ด้วยสีหน้าสงสัยก่อนจะพูดพึมพำกับตัวเอง
“มีพิรุธนะเนี่ย”

วิทวัสเดินมาส่งลูกค้าหน้าบริษัท ทั้งสองไหว้ลากันแล้วลูกค้าก็ขึ้นรถขับออกไป ทันใดนั้นมัลลิกาก็เดินถือโทรศัพท์มาส่งให้วิทวัส
“เมื่อกี้มีผู้หญิงโทรมาค่ะ เห็นชื่อว่าดา ใครคะ”
วิทวัสโกรธทันที “ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับโทรศัพท์ของผม”
“แหมก็มอลลี่เป็นเลขานี่คะ แต่ยัยนี่ก็แปลกนะคะพอถามว่าจะติดต่อเรื่องอะไร ก็ไม่ยอมบอก แล้วก็วางไปเลย คนอะไรเสียมารยาทมาก” มัลลิกาว่า
วิทวัสตกใจนิดๆ แต่ก็รีบเก็บอาการ
“คุณไม่มีสิทธิ์ไปว่าลูกค้าแบบนี้นะ”
มัลลิกามองสงสัยอย่างสงสัย “ลูกค้าเหรอคะ? แล้วทำไมไม่โทรหามอลลี่ที่เป็นเลขา ทำไมต้องโทรตรง”
วิทวัสรีบพูดกลบเกลื่อน “ผมไม่ได้จ้างคุณมาเป็นเจ้านายผมนะ”
วิทวัสพูดแล้วเดินเข้าบริษัทไป มัลลิกามองตามอย่างสงสัย“นี่ก็มีพิรุธเหมือนกัน”
รัชนิดาในชุดผู้จัดการแบงก์กำลังยืนให้คำแนะนำงานกับลูกน้องที่บริการลูกค้าอยู่ พอลูกน้องเข้าใจรัชนิดาก็หันไปคุยกับลูกค้าวัยชรา ลูกค้าลูบแขนรัชนิดาอย่างขอบคุณแล้วเดินออกจากโต๊ะ ทันใดนั้นรัชนิดาก็รู้สึกว่ามีคนมองอยู่พอหันไปเธอก็เห็นวิทวัสกำลังยืนยิ้มอยู่
บานประตูกระจกมีป้าย “ผู้จัดการ” ตืดอยู่ รัชนิดานั่งคุยกับวิทวัสอยู่ข้างในห้องนั้น
“จริงๆก็ไม่มีอะไรหรอกค่ะ แค่จะโทรไปบอกว่าบ่ายนี้ดาต้องไปพบลูกค้าแถวโรงเรียนยัยลูกหนู เลยจะแวะรับแกเลย คุณจะได้ไม่ต้องไป แต่ไม่คิดว่า....”
“มัลลิกาเขาเป็นเลขาใหม่ของผม” วิทวัสถอนหายใจยาว “เป็นเพื่อนกับคุณเล็กมาก่อน”
“มิน่า...เขาถึงพยายามถามคาดคั้นแบบนั้น”
“ดา...ผมขอโทษนะ”
“ไม่ต้องขอโทษดาหรอกค่ะ ดาเองก็ไม่ได้โกรธคุณมัลลิกาเขา”
“ผมไม่ได้ขอโทษเรื่องนั้น แต่ผมขอโทษเรื่องที่คุณเป็นภรรยาของผมแท้ๆ แต่ต้องมาอยู่แบบหลบๆซ่อนๆ เพียงเพราะกลัวคุณเล็กรู้” วิทวัสรู้สึกผิด
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ แค่คุณยอมจดทะเบียนอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดาก็ถือว่าคุณให้เกียรติดามากแล้วนะคะ”
“อดทนหน่อยนะ ผมสัญญาว่าจะต้องทำให้คุณเล็กยอมรับดากับลูกของเราให้ได้ ดาจะต้องเป็นสะใภ้ของบริรักษ์กิจเกษตรอย่างมีเกียรติ”
วิทวัสมองตารัชนิดาอย่างหวานซึ้ง

นริศรากำลังนั่งใช้คอมพิวเตอร์ของนิพนธ์พิมพ์งาน โดยมีนิพนธ์นั่งอ่านเอกสารอยู่ใกล้ๆ ไม่นานนักนริศราก็พิมพ์เสร็จ
“เสร็จแล้วเหรอครับ” นิพนธ์ถาม
“ค่ะ ขอบคุณๆนิพนธ์นะคะที่ให้นิดส่งเมล์”
“ไม่เป็นไรครับ เที่ยงกว่าแล้วไปทานข้าวกันเถอะครับ” นิพนธ์ชวน
นริศรายิ้มแล้วทำท่าจะเดินออกไป แต่นิพนธ์เรียกไว้
“ห้องอาหารอยู่ทางนี้ครับ”
นริศรามองนิพนธ์อย่างงงๆ
“คุณนิดเป็นผู้จัดการไร่ โดยตำแหน่งพ่อเลี้ยงแกให้ทานที่ห้องอาหารกับพ่อเลี้ยงได้ครับ”
นิพนธ์ผายมือให้นริศราเดินไปอีกทาง นริศราลังเลแล้วตัดสินใจจะเดินไปแต่ทันใดนั้นก็มีเสียงอีเมล์เข้าดังขึ้นที่คอมพิวเตอร์
“โทษนะครับ มีเมล์เข้า” นิพนธ์เดินไปดู “เอ่อ...เมล์คุณนิดครับ”
นริศรายิ้มอย่างดีใจ “สงสัยพี่ชายนิดตอบมาแล้วค่ะ เร็วจัง”
นริศราเดินมาเปิดดูอีเมลล์แล้วก็หน้าเสีย นิพนธ์สงสัยจึงถามขึ้น
“มีอะไรเหรอครับ”
“เครื่องมันบอกว่าส่งไม่ได้ค่ะ”
นิพนธ์เดินมาช่วยดู “แอดเดรสถูกแน่เหรอครับ”
“ถูกแน่นอนค่ะ ก็นิดเซฟเอาไว้ส่งตลอด”
“หรือว่าพี่ชายคุณนิดจะเปลี่ยนแอดเดรส?”
นริศราหน้าเสียทันทีแต่ก็ฝืนยิ้ม
“ไม่เป็นไรค่ะ ธุระไม่สำคัญเท่าไหร่ เราไปทานข้าวกันเถอะ”
นิพนธ์เดินนำไป นริศรามองที่คอมพิวเตอร์สักพักแล้วก็ตัดใจเดินตามไป

นิพนธ์เดินนำนริศราเข้ามาในห้องอาหาร บัวเกี๋ยงจัดโต๊ะอาหารเสร็จพอดี พอเห็นนริศราเธอก็ไม่พอใจ
“บัวเกี๋ยงจัดไว้สองที่สำหรับพ่อเลี้ยงกับคุณนิพนธ์เท่านั้นนะคะ”
“ก็จัดเพิ่มสิ คุณนิดมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการเท่ากับฉันก็ต้องทานอาหารที่นี่” นิพนธ์บอก
บัวเกี๋ยงเดินหน้างอออกไปสวนกับภูชิชย์ที่เดินเข้ามาพอดี
“นิพนธ์ เมื่อเช้าหายไปไหน” ภูชิชย์ถาม
“ผมไปสอนงานคุณนิดครับ” นิพนธ์ตอบ
“ฉันไม่ได้สั่งนี่”
นิพนธ์หน้าเสียและตอบไม่ถูก นริศรามองภูชิชย์ ภูชิชย์มองกลับแบบประสานสายตากัน
“คุณนิพนธ์เขามีน้ำใจมาช่วยฉัน ถ้าไม่ได้คุณนิพนธ์ ฉันก็คงไม่รู้งานสักที”
ภูชิชย์ยิ้มเยาะ “แสดงว่าการที่ฉันจ้างเธอมานี่ นอกจากไม่ช่วยแบ่งเบางานแล้ว กลายเป็นว่างานที่เคยมีคนทำแค่คนเดียว แต่ต่อไปนี้ต้องใช้คนถึงสองคน”
“คุณนิพนธ์คะ นิดขอโทษ ต่อไปนี้คุณนิพนธ์ไม่ต้องไปสอนงานนิดแล้วนะคะ ถ้ามีปัญหาอะไรนิดจะมาถามคุณนิพนธ์เองดีกว่า”
นริศราจะเดินออกไปแต่ภูชิชย์เรียกไว้
“เธอจะไปไหน ไม่กินข้าวเหรอ”
“ฉันจะไปทานที่โรงอาหาร พ่อเลี้ยงจะได้ไม่สิ้นเปลืองไงคะ” นริศราตอบ
“ตามใจ แต่ก่อนไป เธอกับฉันมีเรื่องต้องคุยกัน”
ภูชิชย์เดินนำนริศราออกไป บัวเกี๋ยงถือถาดใส่จานของนริศราเข้ามาก็รีบตรงเข้าไปถามนิพนธ์
“ตกลงพ่อเลี้ยงไม่ให้คุณนิดร่วมโต๊ะเหรอคะ เห็นเดินหน้าตึงกันออกไป”
นิพนธ์มองหน้าบัวเกี๋ยงอย่างไม่พอใจ
“มีงานอะไรก็ไปทำไป” นิพนธ์บอก
บัวเกี๋ยงยิ้ม “งั้นบัวเกี๋ยงเก็บจานส่วนเกินนี่เลยนะคะ”
บัวเกี๋ยงถือถาดเดินออกไป นิพนธ์มองตามแล้วส่ายหน้า


ภูชิชย์นั่งคุยกับนริศรา
“เธอเป็นอะไรกับ พล.อ. ณัฐ แล้วก็ พ.อ. ณรงค์ สุริยรักษ์” ภูชิชย์ถาม
นริศราอึ้งแล้วนิ่งเงียบ
“ตกใจเหรอที่ฉันเจอญาติเธอ”
นริศราพยายามพูดกลบเกลื่อน “เปล่าค่ะ ฉันกำลังนึกว่ามีญาติชื่อที่คุณพูดหรือเปล่า แต่ก็นึกไม่ออก”
“นึกไม่ออกทั้งๆที่นามสกุลเดียวกัน” ภูชิชย์ชูใบบันทึกประจำวัน “นางสาว นริศรา สุริยรักษ์”
นริศราพยายามเก็บอาการ “ในประเทศไทยมีคนนามสกุลซ้ำกันเยอะไปนี่ค่ะ”
“แล้วชื่อเธอก็คล้องกับนายทหารทั้งสองคน ณัฐ ณรงค์ นริศรา” ภูชิชย์บอก
“ฉันไม่รู้จักจริงๆค่ะ ถ้าฉันมีญาติเป็นนายพล คุณคิดเหรอว่าฉันจะยอมทนลำบากทำงานที่นี่”
ภูชิชย์จ้องนริศราจนนริศรารู้สึกอึดอัด
“ถ้าคุณไม่เชื่อก็เชิญคุณไปถามทหารสองคนนั่นแล้วกัน นี่ก็เลยเที่ยงมาเยอะแล้ว ฉันขอไปทานข้าวนะคะ จะได้มีแรงทำงานให้คุณ”
นริศราลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไป ภูชิชย์มองตามแล้วหยิบใบลงบันทึกมาดูอีกครั้งด้วยความเซ็ง
“แล้วจะไปสืบต่อยังไงวะ คนหนึ่งก็ตายไปแล้ว อีกคนก็เรียนอยู่เมืองนอก”
นริศราปิดประตูห้องแล้วก็ถอนใจ

“คุณพ่อ พี่ณะ นิดขอโทษนะคะ นิดจำเป็นที่ต้องพูดแบบนั้น”

อ่านต่อหน้า 4




 รักประกาศิต  ตอนที่ 2 (ต่อ) 

คนงานจำนวนมากกำลังทานอาหารอยู่ที่โรงอาหาร แม่อุ้ยกับพรกำลังตักอาหารให้คนงานสองคนสุดท้าย เสร็จแล้วทั้งคู่ก็ตักข้าวใส่จานตัวเองก่อนจะเดินไปนั่งโต๊ะเดียวกับนริศรา ลุงปั๋น และผล

“ที่จริงคุณนิดเป็นผู้จัดการน่าจะทานข้างบนนะคะ” แม่อุ้ยบอก
“ทานที่นี่สบายใจกว่าค่ะ” นริศราบอก
“ดีเหมือนกันครับ คุณนิดกับคนงานจะได้ใกล้ชิดกันมากขึ้น” ลุงปั๋นพูด
นริศรายิ้มเจื่อนๆ ผลรีบไปหยิบน้ำมาเสิร์ฟให้ “น้ำเย็นครับผู้จัดการ”
นริศรารับแก้วน้ำ ผลถือโอกาสย้ายจานมานั่งใกล้ๆ นริศราทันที จนนริศราต้องเขยิบไป
“ผู้จัดการครับ เห็นคนงานบอกว่าผู้จัดการยังไม่คล่องงาน ถ้ามีอะไรเรียกใช้ผมได้นะครับ ผมยินดีช่วยผู้จัดการเสมอ”
ผลพูดพร้อมส่งยิ้มให้ นริศรารู้สึกอึดอัด ทันใดนั้นบัวเกี๋ยงก็เดินมาที่โต๊ะแล้วจ้องหน้านริศราอย่างไม่พอใจ
“พี่ผล พ่อเลี้ยงถามว่ารถเอาไปเช็คหรือยัง” บัวเกี๋ยงบอก
“พี่จะเอาไปเดี๋ยวนี้” ผลตอบ แล้วเขาก็เดินออกไป บัวเกี๋ยงเดินตาม นริศรามองตามอย่างงงๆ
“สองคนนั่นเขาเป็นแฟนกันเหรอ” นริศราถาม
“ไม่รู้เหมือนกันค่ะ อีพี่บัวเกี๋ยงดูเหมือนไม่ค่อยสนใจพี่ผล แต่พี่ผลคุยกับผู้หญิงสาวๆทีไร มันก็จะฟาดงวงฟาดงาแบบนี้แหล่ะค่ะ” พรบอก
นริศราพยักหน้ารับรู้

นริศรากับเป็งเดินมาที่ฟาร์มวัว เป็งแนะนำงานต่างๆ ที่ฟาร์มให้นริศรา ทั้งสองเดินเรื่อยมาจนมาถึงบ่อเก็บมูลวัว
“มูลวัวพวกนี้เราจะมาพักไว้ที่บ่อเพื่อที่รอนำไปหมักทำปุ๋ยครับ โดยเราจำทำให้เหลวก่อนนำไปใช้” เป็งอธิบาย
นริศรารู้สึกเหม็นแต่ก็พยายามเก็บความรู้สึก เป็งและคนงานสังเกตเห็นก็ขำ ทันใดนั้นบัวเกี๋ยงก็เดินเข้ามาหาแล้วพูดขึ้น
“ฉันขอคุยกับผู้จัดการ พวกแกจะไปไหนก็ไป”
เป็งและคนงานเดินหลบไปอย่างกลัวๆ นริศรามองตามอย่างงงๆ
“เธอน่าจะถามฉันก่อนนะว่าฉันจะคุยกับเธอหรือเปล่า ไม่ใช่มาไล่คนของฉันแบบนี้” นริศราตำหนิ
นริศราไม่พอใจแล้วทำท่าจะเดินไป แต่บัวเกี๋ยงพูดไล่หลัง
“ฉันจะมาเตือนคุณ”
นริศราชะงัก “เตือนฉัน เรื่องอะไร”
“อยู่ที่นี่น่ะ ถ้าจะมาทำดัดจริตอ่อยผู้ชายไปทั่วระวังจะอยู่ไม่นาน” บัวเกี๋ยงพูด
นริศราโกรธ “บัวเกี๋ยงนี่เธอจะมาเตือนหรือมาด่าฉันกันแน่”
“ก็จริงไหมล่ะ ตั้งแต่มาก็อ่อยคุณนิพนธ์ คิดจะขึ้นไปจับพ่อเลี้ยงขอกินข้าวด้วย แต่เขาไม่สนก็เลยหันมาหาพี่ผล”
“บัวเกี๋ยง ตอนแรกฉันคิดว่าจะอธิบายให้เธอเข้าใจนะ แต่พอเธอพูดมาแบบนี้ ฉันเลยรู้ว่าคนที่โง่และจิตใจสกปรก ฉันไม่ควรจะยุ่ง”
นริศราพูดจบก็จะเดินไป บัวเกี๋ยงได้ยินคำพูดเช่นนั้นก็โกรธมาก
“หนอย...ด่าฉันเหรอ”
บัวเกี๋ยงวิ่งไปกระชากแล้วก็ตบหน้านริศราฉาดใหญ่
“มันจะมากไปแล้วนะ”
นริศราโมโหจะตบคืนแต่บัวเกี๋ยงผลักนริศราจนกระเด็น
“มีแรงแค่นี้เองเหรอ” บัวเกี๋ยงเย้ย
นริศราวิ่งเข้าใส่แต่ก็สู้แรงบัวเกี๋ยงไม่ได้ คนงานที่อยู่แถวนั้นเริ่มเข้ามาเชียร์ ภูชิชย์เดินมาเห็นคนงานมุงและส่งเสียงเชียร์อะไรกันอยู่ก็สงสัยจึงเดินเข้าไปดู
นริศรากับบัวเกี๋ยงยังคงฟัดกันอยู่ บัวเกี๋ยงผลักนริศราโดยตั้งใจจะให้ตกไปที่บ่อมูลวัว แต่นริศราหลบได้ เธอจึงหยิบถังตักมูลวัวขึ้นมา บัวเกี๋ยงเห็นเข้าก็ตกใจ
“อย่านะ...มันเหม็น” บัวเกี๋ยงบอก
“ทำไม...กลัวเหรอ...เสียใจนะ ขอฉันเอาคืนเธอบ้างแล้วกัน”
นริศราหยิบถังใส่มูลวัว ตั้งท่าแล้วสาดเข้าเต็มเปา
บัวเกี๋ยงกระโดดหลบทัน คนงานที่อยู่ด้านหลังบัวเกี๋ยงก็กระโดดหลบพร้อมๆ กัน ภูชิชย์ที่กำลังเดินหน้าเข้มเข้ามาจึงโดนมูลวัวเข้าไปเต็มๆ
ทุกคนเห็นดังนั้นก็ถึงกับหน้าเหวอ คนงานต่างแยกย้ายวิ่งหนีหายไป จนเหลือแต่บัวเกี๋ยงกับนริศราที่ยืนตกใจทำอะไรไม่ถูก

ภูชิชย์อาบน้ำเสร็จก็เดินตัวเปียกออกมาจากห้องน้ำ เขาเช็ดหัวเช็ดตัวแรงๆ จนตัวเองเจ็บ
“ฉันจะต้องเอาเรื่องเธอให้ถึงที่สุด เจอทีไรซวยทุกที”
ภูชิชย์ได้กลิ่นเหม็นจึงเอาผ้าเช็ดตัวมาดมแล้วก็รีบขว้างทิ้งพร้อมกับทำท่าจะอ้วก ภูชิชย์ดมแขนตัวเองแล้วก็เหม็นอีก เขาจึงรีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำใหม่
ภูชิชย์วิ่งเข้าวิ่งออกห้องน้ำอีกหลายครั้ง และเปลี่ยนผ้าเช็ดตัวอีกหลายผืน พอใส่เสื้อแล้วยังเหม็นเขาก็ถอดแล้ววิ่งเข้าไปอาบน้ำใหม่ จากนั้นก็ฉีดน้ำหอมทั่วตัวอีกหลายขวด

ภูชิชย์นั่งจ้องหน้านริศรากับบัวเกี๋ยงที่ยืนอยู่ตรงหน้าด้วยความไม่พอใจ
“บัวเกี๋ยง แค่อยากจะเตือนคุณนิดว่าอยู่ที่นี่ต้องทำงานเอง” บัวเกี๋ยงเล่าแล้วก็ร้องไห้ “แต่คุณนิดก็มาด่าบัวเกี๋ยงว่าบัวเกี๋ยงโง่ จิตใจสกปรก”
“ไม่จริง ที่ฉันว่าเธอเพราะเธอมากล่าวหาว่าฉันมาจับผู้ชาย แล้วเธอก็เป็นฝ่ายตบฉันก่อน ฉันต้องป้องกันตัว” นริศราบอก
“แล้วคุณมาด่าฉันทำไม”
“บัวเกี๋ยง เธอนี่มันอันธพาลจริงๆ ฉันทำงานของฉันดีๆ เธอมาหาเรื่องนะ”
“นี่ไงคะพ่อเลี้ยง มันด่าอีกแล้ว” บัวเกี๋ยงฟ้อง
ทั้งสองคนเถียงกันดังลั่น จนภูชิชย์ต้องทุบโต๊ะแล้วตะโกน
“หยุดได้แล้วทั้งสองคน”
นริศรากับบัวเกี๋ยงเงียบทันที
“บัวเกี๋ยง เธอมีงานอะไรถึงต้องไปที่คอกวัว” ภูชิชย์ถาม
“เอ่อ...คือ...เอ่อ ไม่มีค่ะ” บัวเกี๋ยงอึกอักตอบ
“ขอโทษคุณนิดซะ” ภูชิชย์บอก
บัวเกี๋ยงยืนหน้าบึ้งมองนริศราอย่างไม่พอใจ
“ว่ายังไง” ภูชิชย์ย้ำ
บัวเกี๋ยงพูดแบบสะบัดเสียง “ขอโทษ”
“ไปได้แล้ว” ภูชิชย์สั่ง บัวเกี๋ยงเดินออกไป นริศราจะเดินไปด้วยแต่ภูชิชย์เรียกเอาไว้ “ผู้จัดการอยู่ที่นี่ก่อน”
นริศราชะงัก บัวเกี๋ยงเห็นก็ยิ่งโกรธเดินสะบัดหน้าออกไปทันที

บัวเกี๋ยงเดินอย่างหงุดหงิดออกมาที่หน้าสำนักงาน
“พ่อเลี้ยงนะพ่อเลี้ยง นี่คงหลงเสน่ห์มันอีกคน นังนิดถึงแกจะสวยจะเป็นผู้จัดการแต่อีบัวเกี๋ยงก็ไม่ยอมแพ้แกแน่”
บัวเกี๋ยงรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วกดโทรออกทันที


ภูชิชย์กับนริศรายังคงจ้องหน้ากันอยู่
“เริ่มงานไม่ทันไรก็มีเรื่องซะแล้ว” ภูชิชย์ว่า
นริศรางง “แต่เมื่อกี้คุณก็ได้ยินว่าฉันถูกหาเรื่อง”
ภูชิชย์สวนทันที “เธอเป็นถึงผู้จัดการทำไมไม่ควบคุมอารมณ์”
“ควบคุมอารมณ์ของคุณหมายถึงต้องให้บัวเกี๋ยงตบเอาตบเอาใช่ไหม” นริศราฉุน
“คิดเองสิ ว่าทำตัวยังไงถึงจะเรียกว่าเหมาะสมกับคำว่าผู้จัดการ เพราะถ้าเธอจัดการกับตัวเองยังไม่ได้ แล้วจะมาจัดการไร่ให้ฉันได้ยังไง”
นริศรายืนนิ่งเพราะเถียงไม่ออก
“หรือว่างานที่นี่มันจะยากเกินไปสำหรับเธอ” ภูชิชย์ถาม
นริศรามองหน้าภูชิชย์ด้วยความเจ็บใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้จึงได้แต่กำมือแน่น
บัวเกี๋ยงต่อสายถึงสุพัฒนา แล้วยืนคุยโทรศัพท์อยู่ที่มุมหนึ่งภายในไร่
“บัวเกี๋ยง ไม่อยากจะเล่าเลยนะคะ ก็อีนังนริศราผู้จัดการคนใหม่สิคะ ท่าทางมันคงจะคิดอ่อยพ่อเลี้ยงค่ะ”
สุพัฒนานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ที่โรงพยาบาล ถามขึ้นอย่างมีอารมณ์
“แล้วแกปล่อยอยู่ได้ยังไง”
“อุ๊ย...บัวเกี๋ยงจะไปทำอะไรได้คะ พ่อเลี้ยงโอ๋มันขนาดนี้ อย่างตอนนี้ คุณนิพนธ์ไม่อยู่เข้าไปธุระในเมือง พ่อเลี้ยงก็เรียกมันเข้าไปคุยจ๊ะจ๋ากันอยู่ในห้องทำงานเลยนะคะ”
“แกไปบอกนังนั่นเลยนะ ว่าฉันไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับพี่ชายฉัน” สุพัฒนาสั่ง
“ก็เพราะบัวเกี๋ยงไปบอกน่ะสิคะ มันถึงได้เย้ยเข้าไปอี๋อ๋อพ่อเลี้ยงเลย มันยังบอกอีกนะคะว่า คุณเล็กไม่พอใจก็ไม่เกี่ยวกับมัน”
“กรี๊ด” สุพัฒนากรี๊ดลั่น
บัวเกี๋ยงรีบเอาโทรศัพท์ออกห่างเพราะแสบแก้วหู “คุณเล็ก คุณเล็กของบัวเกี๋ยง อย่าโกรธนะคะเดี๋ยวไม่สบาย บัวเกี๋ยงเป็นห่วง”
“งั้นแกก็ต้องช่วยทำให้ฉันหายโกรธ”
“สั่งมาเลยค่ะ ถึงตายบัวเกี๋ยงก็จะทำเพื่อคุณเล็ก”
“ฉันให้อภิสิทธิ์แกเต็มที่ แกจะทำอะไรยังไงก็ได้ให้นังนี่ออกไปจากไร่ให้เร็วที่สุด แล้วฉันจะมีรางวัลให้แกอย่างงาม
บัวเกี๋ยงวางสายด้วยสีหน้าเปี่ยมสุข
“รางวัลที่บัวเกี๋ยงอยากได้ก็คือพ่อเลี้ยงภูนะคะคุณเล็ก”

สุพัฒนานั่งหน้าเครียดอยู่ในห้องพัก
“นังนริศรา แกจะเป็นใครก็ช่าง แต่ฉันจะไม่ยอมให้แกสมหวังแน่”
ทันใดนั้นหมอก็เคาะประตูแล้วเดินเข้ามา
“สวัสดีครับ คุณเล็ก วันนี้หมอจะขอคุยอะไรด้วยนิดหน่อยนะครับ”
“ไม่...ฉันไม่คุย รำคาญ เบื่อ ออกไป” สุพัฒนาไล่
“มันไม่มีอะไรมากครับ เรามาคุยกันสบายๆ” หมอพยายามหว่านล้อม
“สบายบ้าอะไร บอกให้ออกไป ออกไป กรี๊ด”
สุพัฒนาโมโหถีบผ้าห่มจนหล่นลงพื้น หมอกับพยาบาลจะมาจับตัวสุพัฒนาเพราะเห็นเธอหยิบโทรศัพท์ของโรงพยาบาลเงื้อขึ้นเหมือนจะขว้าง
“กล้าขัดคำสั่งฉันเหรอ” สุพัฒนาโวยวาย
หมอกับพยาบาลชะงัก จากนั้นก็พยักหน้าให้กันแล้วรีบวิ่งออกไป

นริศราในชุดนอนเดินมานั่งที่ม้าหินหน้าห้องพักคนงานหญิงอย่างใช้ความคิด
“หรือว่าพี่ชายคุณนิดจะเปลี่ยนแอดเดรส?” คำถามของนิพนธ์ดังก้องขึ้นมาในหัว
นริศรามีสีหน้าโกรธและสิ้นหวัง
“นี่เราเหลือตัวคนเดียวจริงๆหรือเนี่ย” นริศราพึมพำ

เช้าวันใหม่ คนงานทุกคนกำลังตั้งใจฟังที่บัวเกี๋ยงพูด
“ฉันได้รับคำสั่งมาจากคุณเล็กสั่งห้ามทุกคนไปยุ่งหรือช่วยเหลืออะไรผู้จัดการคนใหม่”
“นี่เอ็งไปเพ็จทูลอะไรคุณเล็กอีกแล้วใช่ไหม” แม่อุ้ยถาม
บัวเกี๋ยงฉุนที่แม่อุ้ยรู้ทัน “ฉันไปฟ้องอะไร คุณเล็กเธอโทรมาหาฉันต่างหาก”
“แล้วคุณเล็กมีเหตุผลอะไรที่ต้องห้ามไม่ให้พวกเราช่วยเหลือคุณนิดวะ” ลุงปั๋นถาม
“เพราะคุณเล็กเธอรู้ทันว่า ยัยคุณนิดเธอไม่ได้มาที่นี่เพื่อทำงาน แต่คิดจะมาจับพ่อเลี้ยง”
คนงานจับกลุ่มพูดกันอย่างฮือฮาทันที บัวเกี๋ยงยิ้มพอใจ
“ถ้าฉันเห็นใครให้ความร่วมมือกับผู้จัดการคนใหม่ ฉันจะถือว่าคนๆนั้นขัดคำสั่งคุณเล็กและจะถูกไล่ออกเมื่อคุณเล็กกลับมา ถึงตอนนั้นฉันคงช่วยอะไรไม่ได้นะจ๊ะ”
“แบบนี้มันก็เท่ากับพวกเราไปรังแกคุณนิดน่ะสิ” พรพูด
“เลือกเอาก็แล้วกัน คุณนิดหรือคุณเล็ก แต่บอกได้เลยว่ายัยคุณนิดอะไรนี่อยู่ไม่นานแน่ แต่ถ้าอยู่ข้างคุณเล็ก ก็รู้ใช่ไหมว่าถ้าทำให้คุณเล็กพอใจ ฉันจะช่วยรายงานคุณเล็กให้ เห็นแว่วๆว่าอาจมีรางวัลให้ด้วยนะ”
บัวเกี๋ยงพูดจบก็เดินเชิดหน้าออกไป ผลรีบลุกตามออกไปทันที พวกคนงานยังจับกลุ่มแสดงความเห็นกันอยู่ พร แม่อุ้ย และลุงปั๋นเห็นพวกคนงานจับกลุ่มกันแบบนั้นก็ถึงกับถอนใจ
“ข้าละสงสารคุณนิดจริงๆ โดนใครเกลียดไม่โดนไปโดนคุณเล็ก เจ้าแม่ตัวจริง” ลุงปั๋นบอก
“คุณเล็กอยู่กรุงเทพฯ จะไปรู้อะไร นอกจากพี่บัวเกี๋ยงจะไปฟ้อง” พรมั่นใจ
“แล้วนี่พวกเราจะเอายังไงดี” แม่อุ้ยถาม
แม่อุ้ย ลุงปั๋น และพรต่างก็นั่งคิดหนัก

บัวเกี๋ยงเปิดประตูห้องเข้ามาแล้วก็จะปิดห้อง แต่ผลจับบานประตูจากด้านนอกเอาไว้
“พี่ผล มานี่ทำไม เดี๋ยวใครมาเห็นเข้า” บัวเกี๋ยงว่า
“ก็พี่คิดถึงเอ็งนี่” ผลบอก
“พี่อยากซวยถูกไล่ออกทั้งสองคนหรือไง”
บัวเกี๋ยงจะปิดประตูแต่ผลไม่ยอมให้ปิด เขาจ้องหน้าบัวเกี๋ยงอย่างเอาเรื่อง
“ถ้าไม่ให้พี่เข้าพี่ก็จะรออยู่ตรงนี้” ผลบอก
บัวเกี๋ยงจำใจเปิดประประตูให้ผลเข้ามา พอปิดประตูได้ผลก็กอดบัวเกี๋ยงทันที แต่บัวเกี๋ยงพยายามปัดป้อง
“นี่พี่ไม่มีอะไรทำเหรอ”
“ไม่มี พ่อเลี้ยงไม่ได้ไปไหน”
บัวเกี๋ยงสะบัดแขนหนีจนผลรำคาญ
“เป็นอะไรอีกวะ” ผลถาม
“พี่นั่นแหล่ะ อย่ามาทำเป็นพูดดี ฉันรู้นะว่าชอบนังนิดนั่นใช่ไหม”
“เฮ้ย...เอ็งเอาอะไรมาพูด”
“ก็เอาที่เห็นเมื่อวานน่ะสิ ฉันรู้ว่าพี่ชอบมันเพราะมันสวยใช่ไหม”
“บัวเกี๋ยง เราเป็นผัวเมียกัน หอบหิ้วกันมาที่นี่ เรื่องอะไรพี่จะไปชอบคนอื่น”
บัวเกี๋ยงเริ่มนิ่งให้ผลกอด
“ถ้างั้นพี่ก็ต้องช่วยฉันกำจัดนังนิดมันนะ” บัวเกี๋ยงกล่อม
ผลชะงักไป บัวเกี๋ยงถามย้ำ
“ว่าไงล่ะ”
“จ๊ะๆๆ ได้จ้ะ แล้วแต่เมียจะสั่ง”
ผลซุกไซ้ซอกคอบัวเกี๋ยง บัวเกี๋ยงยิ้มอย่างร้ายกาจ

นริศราเดินเข้ามาที่โรงเรือนเพาะชำต้นกาแฟ เธอเห็นคนงานกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งเล่นหมากรุกกันอยู่จึงเข้าไปถาม
“นี่มันเวลางานนี่ ทำไมมานั่งเล่นกันล่ะ”
“งั้นผู้จัดการก็สั่งมาสิครับจะให้ทำอะไร” คนงานชื่อหนานบอก
นริศราอึ้งเพราะตอบไม่ถูก พวกคนงานมองหน้ากันแล้วก็ยิ้มกวน
“แล้วงานพวกเธอมีอะไรบ้างล่ะ เอ่อ...คือฉันก็ยังไม่ค่อยรู้งานน่ะ ยังไงก็แนะนำฉันได้นะ”
นริศราบอก แต่คนงานทั้งหมดหัวเราะ
“โถ....สวยๆแบบนี้ไม่น่ามาเป็นผู้จัดไร่เลยว่ะ กลับกรุงเทพฯไปนั่งเป็นคุณนายอยู่บ้านเถอะครับ” หนานบอก
“แต่ถ้าชอบบรรยากาศที่นี่ก็มาเป็นคุณนายบ้านผมก็ได้นะครับผู้จัดการ” คนงานอีกคนแซว
“เฮ้ยๆๆ พูดจาอะไรเจียมตัวหน่อย มีคนเตือนไม่ใช่เหรอว่าคุณนิดน่ะเขามาจับพ่อเลี้ยง เขาจะไปสนใจอะไรเอ็งวะ” หนานทักเพื่อน
แล้วคนงานทั้งหมดก็หัวเราะพร้อมกันอย่างสะใจ
นริศราได้ยินดังนั้นก็ยิ่งโกรธ “นี่ พูดจาอะไรเกรงใจกันบ้างนะ”
“ขนาดโกรธยังสวยเลยวะ ฮา..ฮา” หนานแซวไม่หยุด
“หยุดคำพูดพล่อยๆของพวกนายแล้วกลับไปทำงานได้แล้ว” นริศราฉุน
คนงานทั้งหมดหยุดหัวเราะแล้วพร้อมใจกันลุกขึ้นยืนจ้องหน้านริศราอย่างเอาเรื่อง นริศราผงะถอยไปแต่ยังพยายามแสดงออกว่าเข้มแข็ง
“เก่งนักก็ลงมือทำเองล่ะกัน” คนงานคนหนึ่งพูดขึ้น
แล้วคนงานทั้งหมดก็พากันเดินออกไป นริศรามองตามด้วยความโกรธ คนงานชายที่เดินสวนกับคำแก้วคนงานหญิงที่วิ่งเข้ามาพอดี
“คุณนิด...ไปดูที่ไร่องุ่นหน่อยค่ะ”
“มีอะไรเหรอ” นริศรางง

นริศรายืนอยู่กับคนงานชายและหญิงจำนวน 6 คนที่หน้าเครื่องสูบน้ำในไร่องุ่น
“ตกลงเป็นยังไงบ้าง” นริศราถาม
“ใช้ไม่ได้ครับ เสียแน่ๆ” คนงานตอบ
“แล้วจะเอาอะไรรดน้ำล่ะ เมื่อเช้าก็ยังใช้ได้นี่” คนงานหญิงชื่อฝ้ายถาม
“มีเครื่องสำรองไหม” นริศราถาม
“เสียทุกเครื่องครับ ไม่ใช่แค่เครื่องสูบน้ำนะครับ ปุ๋ยที่ผสมไว้จู่ๆก็หายหมดเลยครับ” เป็งบอก
“แล้วมันหายได้ยังไง” นริศราสงสัย
คนงานทั้งหมดส่ายหน้าแล้วพากันนิ่งเงียบ
“แล้วนี่ฉันจะต้องทำยังไง” นริศราถาม
“อ้าว...คุณนิดเป็นผู้จัดการ ถ้าไม่รู้จะทำไงพวกหนูก็ไม่รู้ค่ะ แต่ถ้าถึงเวลาแล้วไม่มีน้ำรดต้นไม้คงเป็นเรื่องใหญ่ พวกเราไปก่อนนะคะ” ฝ้ายตัดบท
คนงานต่างพากันเดินคุยกันไปอย่างมีความสุขห ทิ้งให้นริศรายืนอยู่คนเดียว
“เดี๋ยวสิทุกคน อยู่ช่วยกันก่อน”

บัวเกี๋ยงยืนยิ้มอย่างพอใจ โดยที่ผลยืนอยู่ข้างๆ
“พี่กำชับคนงานทุกคนแล้วว่าไม่ต้องให้คำแนะนำอะไรทั้งนั้น” ผลรายงาน
“น่ารักมากพี่ผล ดูสิ...นังหน้าสวยนั่นจะทนไปได้กี่น้ำ”
“เราไม่แกล้งคุณนิดแรงไปเหรอวะ บัวเกี๋ยง เพราะองุ่นระยะแรกๆขาดน้ำไม่ได้เอ็งก็รู้”
“นี่พี่ผล พูดเนี่ยสงสารองุ่นหรือนังนิดกันแน่”
บัวเกี๋ยงจ้องหน้าสามีและจะอ้าปากด่า แต่เธอเห็นลุงปั๋นถีบจักรยานมา บัวเกี๋ยงจึงรีบขวางทันที
“ลุงปั๋นจะไปไหน”
“เครื่องสูบน้ำเสีย ข้าจะไปซ่อม” ลุงปั๋นตอบ
“ไม่ต้องยุ่งเลย กลับไปนอนเล่นที่ห้องเถอะ วันนี้ลุงไม่มีงานทำแล้ว”
“นี่ก็ฝีมือเอ็งเหรอนังบัวเกี๋ยง” ลุงปั๋นมองผล “ไอ้ผลเอ็งก็ด้วยเหรอวะ”
“ฉันกับพี่ผลทำตามคำสั่งคุณเล็ก คนงานคนอื่นเขาก็ทำเหมือนกัน หรือลุงอยากจะตกงานอยู่คนเดียว”
ลุงปั๋นมองบัวเกี๋ยงกับผลแล้วหยุดคิด

ภูชิชย์ขับรถมาถึงไร่กาแฟ แต่กลับไม่เห็นคนงานสักคนแถมเครื่องมือก็วางเกะกะ
ภูชิชย์ถึงกับโมโห “นี่มันหายไปไหนกันหมด”

นริศรากำลังยืนดูปั๊มกดสวิทช์ปิดเปิด เธอเดินตรวจไล่สายไฟ ดูท่อ แล้วก็ทรุดนั่งอย่างเหนื่อยใจ
นริศราทุบเครื่อง “โอ๊ย...ใช้ได้ซะทีสิ”
รถของภูชิชย์แล่นมาจอด ภูชิชย์เดินหน้าตึงลงมาจากรถ นริศราเห็นก็ถอนใจ
“เธอไล่คนของฉันออกหมดหรือไง ทำไมไม่มีคนทำงานสักคน” ภูชิชย์ถาม
“ฉันน่ะเหรอ จะไปกล้าไล่ใคร แค่จะกราบให้มาทำงานยังไม่มีใครทำเลย”
ภูชิชย์งง “หมายความว่าไง”
“คนงานไม่ทำงาน เครื่องสูบน้ำเสีย ปุ๋ยหาย ฉันถามอะไรขอความช่วยเหลืออะไร ไม่มีใครให้ฉันได้สักอย่าง” นริศรายืนจ้องหน้าภูชิชย์ “หรือนี่เป็นแผนพ่อเลี้ยงค่ะ”
“แผน...แผนอะไร” ภูชิชย์งง
“หาเรื่องไล่ฉันไง”
ภูชิชย์มองนริศราแต่ยังไม่พูดอะไร แล้วเขาก็เดินไปดูที่เครื่องสูบน้ำเช็คสวิทช์ เช็คปลั๊ก และท่อ
“ฉันเช็คทุกอย่างหมดแล้ว” นริศราบอก
ภูชิชย์ยังดูเครื่องอยู่แล้วอยู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นมองหน้านริศรา
“มีอย่างหนึ่งที่เธอไม่ได้ดู”
“อะไร” นริศราถาม
“น้ำมัน”
นริศรางง “ใช้น้ำมันด้วยเหรอ ทำไมที่บ้านฉันแค่ต่อท่อ เสียบปลั๊ก กดปุ่ม”
ภูชิชย์ส่ายหน้าอย่างระอาใจ “เครื่องสูบน้ำเข้าไร่ก็ใช้ทั้งนั้น”
นริศราหน้าเหวอไป ภูชิชย์มองไปรอบๆ ก็เห็นเหมือนดินนูนๆ อยู่ เขาไปคุ้ยดูก็เจอถังน้ำมันหมกอยู่ ภูชิชย์จึงหยิบมาเติมแล้วกดปุ่ม น้ำจากสปริงเกิ้ลก็พุ่งออกมารถน้ำต้นไม้ได้ปกติ
นริศราดีใจ “อุ๊ย...น้ำมาแล้ว”
ภูชิชย์หันขวับมามองนริศรา นริศราหน้าจ๋อยทันที
“ต่อไปก็เรื่องปุ๋ยใช่ไหม” ภูชิชย์ถาม

ภูชิชย์ นริศรา และคนงานยืนอยู่หน้าโรงปุ๋ย
ภูชิชย์พูดกับคนงาน “รายงานล่ะ”
คนงานส่งรายงานให้อย่างกลัวๆ แล้วก็ยืนก้มหน้า ภูชิชย์ยืนอ่านรายงาน
“คนงานบอกหรือเปล่าว่าปุ๋ยชนิดไหนหมด” ภูชิชย์ถาม
“เอ่อ...เปล่า....ค่ะ” นริศราตอบ
“ถ้าเธออ่านรายงานพวกนี้ออก เธอก็คงไม่ถูกคนงานหลอก”
“นี่คุณ ฉันไม่ได้อ่านหนังสือไม่ออกนะ แต่ฉันไม่รู้ว่ามีรายงานแบบนี้ด้วย”
“การทำธุรกิจ...จะซื้อจะขายอะไรเขาต้องมีรายงานไว้ตรวจสอบกันทั้งนั้น เรียนหนังสือมาหรือเปล่า” ภูชิชย์แขวะ
นริศราโกรธจัดกำมือและกัดริมฝีปากแน่น ภูชิชย์แอบยิ้มสะใจแล้วส่งรายงานให้นริศรา
“ทั้งหมดก็คงพิสูจน์แล้วว่าเธอทำงานนี้ไม่ได้ แค่ทำให้คนงานให้ความร่วมมือซึ่งเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของหัวหน้างาน เธอก็ทำไม่ได้ซะแล้ว ฉันจะแนะนำให้ว่าเธอควรทำยังไง”
ภูชิชย์เดินมากระซิบข้างหูนริศรา
“ลาออกไปซะ” ภูชิชย์นึกขึ้นได้ “อ้อ...แล้วฉันมีโปรโมชั่นให้ด้วยนะ ถ้าเธอลาออกภายในสิบนาทีนี้ ฉันจะแถมฟรีตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพฯ สนใจไหม”
ภูชิชย์เดินไป นริศรามองตามด้วยความรู้สึกเจ็บใจ

ภูชิชย์เดินมาที่รถ นริศรารีบวิ่งตามมาขวาง
“คิดว่าใช้ลูกไม้ตื้นๆแค่นี้แล้วฉันจะยอมแพ้เหรอ”
“นี่เธอยังมองว่าเป็นแผนของฉันงั้นเหรอ”
“ถ้าไม่ใช่คุณสั่ง มีเหรอคนงานจะมาแกล้งฉันแบบนี้”
“จะบอกให้เอาบุญนะ คนอย่างฉันไม่แกล้งเธอด้วยวิธีแบบนี้หรอก เพราะอะไรรู้ไหม เพราะฉันรู้ว่าเธอจะทำงานไม่ได้และต้องไปเอง แทนที่เธอจะมานั่งหาว่าใครแกล้งเธอ ฉันว่าเธอเอาเวลากลับไปทบทวนดูตัวเองดีกว่า ว่าดันทุรังทำงานที่เธอไม่มีวันทำได้ต่อไปเพื่อจุดประสงค์อะไรบางอย่าง หรือจะกลับไปทำอย่างอื่นก่อนที่จะอายมากไปกว่านี้”
พูดจบภูชิชย์ก็ขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที
 
นริศราเดินไปทรุดตัวนั่งกับพื้นหน้าโรงปุ๋ยแล้วดูรายงานไปปาดพร้อมกับน้ำตาไปด้วย

อ่านต่อตอนที่ 5 เวลา 18.00 น. วันนี้ (16 ก.พ. 55)



กำลังโหลดความคิดเห็น