ร่วมพูดคุย ถก เถียง แสดงความคิดเห็นเรื่องละครอย่างสร้างสรรค์ หรือจะด่าทอ ต่อว่า...ทีมงานได้ที่ แฟนเพจละครออนไลน์ facebook.com/ละครออนไลน์ เอเอสทีวี ได้แล้วจร้า...
รักประกาศิต ตอนที่ 1
ทะเลหมอกสวยสุดสายตาบนเทือกเขาของจังหวัดหนึ่งทางภาคเหนือ ห่มคลุมทั่วผืนฟ้ายามเช้าตรู่ จนแทบจะทำให้มองไม่เห็นอะไร เมื่อว่ายฝ่าคลื่นหมอกเข้าไปจะพบป้ายของไร่สุพัฒนาตระหง่านอยู่ บ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของไร่ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี
หญิงวัยกลางคนนางหนึ่งผู้ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ กระแทกฝ่ามือลงโต๊ะไม้ภายในโรงอาหารของไร่โครมใหญ่ด้วยความโกรธจัด จากนั้นก็ยืนจ้องหน้าลูกหนี้...คนงานหญิงที่กำลังยืนก้มหน้านิ่งด้วยความหวาดกลัว ไม่ไกลจากบริเวณนั้นมีแม่อุ้ยกับพรยืนอยู่ด้วย
“ตกลงยังไง นี่จะชักดาบกันเหรอ” หญิงเจ้าหนี้ฉุนเฉียว
“ไม่นะจ๊ะ ฉันไม่โกงเจ๊หงส์หรอก แต่ตอนนี้ฉันลำบากมากจริงๆ” คนงานละลักละล่ำตอบ
“โธ่...เจ๊หงส์ สงสารนังแก้วมันหน่อยเถอะ มันกำลังแย่จริงๆ” แม่อุ้ยช่วยพูด
“งั้นแม่อุ้ยก็ใช้หนี้แทนมันสิ” เจ้าหนี้หันมาพูดแบบมะนาวไม่มีน้ำ
แม่อุ้ยยิ้มแหยๆ อย่างหน้าเสีย เจ้าหนี้ค้อนใส่แม่อุ้ยแล้วเดินไปกระชากตัวคนงานเข้ามาใกล้
“ตอนนี้ในตัวลื้อมีเงินเท่าไหร่เอามาให้หมด”
เจ้าหนี้ค้นตามตัวของคนงาน แรงงานสาวพยายามปกป้องตัวเองและร้องขอความเห็นใจ แม่อุ้ยเข้าไปช่วยห้าม
“มีเรื่องอะไรกัน” เสียงกร้าวของชายหนุ่มดังทำลายความวุ่นวาย
ทั้งหมดหยุดนิ่งก่อนจะหันไปตามเสียง
ทุกคนเห็นภูชิชย์ หนุ่มเจ้าของไร่สุพัฒนายืนหน้าเข้มอยู่หน้ารถจิ๊ป ภูชิชย์เดินมาหาทั้งสามคน
“แก้วมันมายืมเงินฉันไปตั้งหมื่น” เจ้าหนี้ฟ้อง “ดอกร้อยละห้า บอกจะส่งคืนให้ในสามเดือน นี่มันจะครึ่งปีแล้วฉันยังไม่เงินสักบาท ไม่ต้องต้นส่งดอกมาก็ยังดี นี่อะไร...หายหมด”
คนงานหญิงร้องไห้ “ค่ะ พี่ชายหนูเขาจะไปทำงานที่ไต้หวันต้องจ่ายค่านายหน้าเจ็ดหมื่น พ่อกับแม่เลยเอานาไปติดเค้าไว้ แต่ไอ้นายหน้ามันเชิดเงินหนีไป หนูเลยต้องขอยืมเงินเจ๊หงส์ไปช่วยที่บ้านผ่อนค่านาค่ะ”
“มีปัญหาแบบนี้ทำไมไม่บอกให้ฉันรู้” ภูชิชย์ถาม
“หนูมาทำงานไม่ถึงปี หนูเกรงใจไม่กล้าบอกพ่อเลี้ยงค่ะ”
“ตกลงจะเอายังไงคะพ่อเลี้ยง ฉันส่งหมูส่งไก่ให้โรงอาหารพ่อเลี้ยงมาเป็นสิบปี พ่อเลี้ยงต้องเห็นใจฉันบ้างนะ “ เจ้าหนี้บอก
ภูชิชย์ เปิดกระเป๋าสตางค์แล้วหยิบเงินออกมานับก่อนจะส่งให้เจ้าหนี้รายนี้ทันที
“หมื่นสาม รวมดอกหกเดือนใช่ไหมเจ๊”
“ใช่ค่ะ ขอบคุณพ่อเลี้ยงมากนะคะ”
เจ้าหนี้รับเงินแล้วก็ขึ้นรถกระบะขับออกไป คนงานเดินมาทรุดตัวนั่งที่พื้นแล้วยกมือไหว้ขอบคุณภูชิชย์ “หนูขอบคุณพ่อเลี้ยงมากค่ะ แต่เอ่อ...หนูจะโดนหักเงินเท่าไหร่คะ”
“ถ้าหักเงินเดือนเธอแล้วจะเหลือเงินไปช่วยที่บ้านใช้หนี้เหรอ” ภูชิชย์ถาม
คนงานส่ายหน้าเศร้าๆ
“งั้นก็ไม่ต้องหัก” ภูชิชย์บอก คนงานยิ้มดีใจ “แล้วพี่ชายน่ะ ถ้าเขาเปลี่ยนใจไม่ไปทำงานต่างประเทศ ก็ให้มาทำงานที่นี่นะ”
คนงานดีใจ “จริงเหรอคะพ่อเลี้ยง แต่ตอนนี้คนงานเราก็เต็มนี่คะ”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ฉันหางานให้เขาทำได้แล้วกัน”
คนงานยกมือไหว้ขอบคุณแล้วหันไปยิ้มดีใจกับแม่อุ้ย ภูชิชย์ยิ้มแล้วเดินไปที่รถ คนงานกับแม่อุ้ยมองตาม
“แม่อุ้ย หนูนึกว่าพ่อเลี้ยงจะดุซะอีก” คนงานว่า
“ถ้าไม่ทำผิดเรื่องงานแกก็ไม่ดุหรอก เอ็งอยู่ๆไปก็จะรักพ่อเลี้ยงเหมือนคนงานทุกคนที่นี่” แม่อุ้ยบอก
รถจิ๊ปของภูชิชย์แล่นออกไป
รถจิ๊ปของภูชิชย์วิ่งผ่านส่วนต่างๆ ของไร่สุพัฒนาไปจนทั่ว ไร่กว้างใหญ่ท่ามกลางขุนเขาเต็มไปด้วยความอุดมสมบูรณ์ มีทั้งสวนดอกไม้ ไร่องุ่น ส่วนของพืชผักสวนครัว ฟาร์มปศุสัตว์ คอกม้า โดยมีคนงานจำนวนมากกระจายกันทำงานตามส่วนต่างๆ ของไร่อยู่
ที่ไร่กาแฟ คนงานจำนวนหนึ่งกำลังเก็บผลกาแฟที่ได้สุกที่ คนงานหลายคนดึงผลกาแฟที่เป็นสีแดงสดใส่ภาชนะทีละผล
รถจิ๊ปของภูชิชย์แล่นมาจอด ภูชิชย์ลงจากรถจิ๊ปแล้วเดินมาดูการทำงานของคนงาน นิพนธ์กำลังตรวจภาชนะที่ใส่ผลกาแฟที่เก็บมาแล้วอยู่อีกมุมหนึ่งอย่างขะมักเขม่น ผลกาแฟบางส่วนถูกยกขึ้นใส่รถไปแล้ว
ภูชิชย์เห็นคนงานคนหนึ่งแอบมองนิพนธ์ เมื่อเห็นนิพนธ์กำลังยุ่งคนงานคนนั้นเลยแอบเก็บผลกาแฟโดยรูดออกจากกิ่ง ภูชิชย์เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงเดินไปด้านหลังเงียบๆ แล้วจับมือคนงานคนนั้นทีนที คนงานตกใจ
“อย่ามักง่าย” ภูชิชย์เสียงดุ “ฉันบอกแล้วใช่ไหมว่าเก็บผลกาแฟน่ะให้เก็บทีละผล”
“เอ่อ...พ่อเลี้ยง!!! ขอโทษครับ” คนงานตัวสั่น
นิพนธ์ได้ยินเสียงภูชิชย์จึงรีบวิ่งมาหาแล้วเอ่ยถาม
“มีอะไรเหรอครับพ่อเลี้ยง”
“กำชับหัวหน้าคนงานเรื่องเก็บผลกาแฟด้วย” ภูชิชย์สั่ง
“ครับ” นิพนธ์รับคำ
ภูชิชย์เดินไปดูลังที่ใส่ผลกาแฟที่อยู่บนรถ นิพนธ์คอยเดินตาม ระหว่างนั้นมีคนงานอีกคนยกภาชนะใส่ผลกาแฟมาใส่ท้ายรถ ภูชิชย์หยิบผลกาแฟที่ยังไม่แดงสุกขึ้นมาดูแล้วโยนให้นิพนธ์ นิพนธ์รีบรับไว้
“ผลนี้ยังไม่แดงสุก เก็บมาได้ยังไง”
ภูชิชย์พูดแล้วก็เดินไปตรวจภาชนะอื่น นิพนธ์หันไปทางคนงานที่กำลังถือลัง คนงานรีบหลบตา
“พ่อเลี้ยงแกตาไวนะครับ” คนงานยิ้มเจื่อนๆ
นิพนธ์ส่ายหน้าอย่างระอาใจแล้วเดินไปสมทบกับภูชิชย์ ระหว่างนั้นลุงปั๋นขี่รถจักรยานยนต์เข้ามาอย่างเร่งรีบ ท่าทางลุงปั๋นร้อนรนจนเมื่อแกจอดรถใกล้ๆ ก็ทำให้รถล้ม
“พ่อเลี้ยงครับ” ลุงปั๋นตะโกน “พ่อเลี้ยง....คุณเล็กเป็นลมครับ”
ภูชิชย์กับนิพนธ์มีสีหน้าตกใจ
“คุณเล็กอยู่ที่ไหน” ภูชิชย์ถาม
“สำนักงานครับ”
สิ้นคำลุงปั๋น ภูชิชย์ก็วิ่งไปขึ้นรถจิ๊บโดยมีนิพนธ์วิ่งตามไปด้วย ภูชิชย์ออกรถเร็วชนิดที่นิพนธ์ปิดประตูแทบไม่ทัน
สุพัฒนา น้องสาวของภูชิชย์นั่งอยู่บนเก้าอี้รับแขกภายในห้องทำงานของภูชิชย์ที่สำนักงานของไร่ เธอมีอาการหอบและจวนเจียนจะเป็นลม บัวเกี๋ยงเอายาลมให้และช่วยโบกพัดให้ ห่างออกมา เจ้าทิพย์ดารายืนดูอาการของสุพัฒนาด้วยสีหน้าเครียด
ทันใดนั้น ภูชิชย์กับนิพนธ์ก็เปิดประตูวิ่งหน้าตื่นเข้ามา
“คุณเล็กเป็นยังไงบ้าง” ภูชิชย์ถาม แต่พอเขาเห็นเจ้าทิพย์ดาราก็ถึงกับชะงัก “เจ้าน้อย”
เจ้าทิพย์ดารายิ้ม “ภู.... น้อยกลับมาแล้ว”
สุพัฒนาหอบพลางพูด “ไหนพี่ภูว่าไม่ได้ติดต่อกับมันแล้วไง แล้วทำไมมันยังหน้าด้านกลับมาที่นี่อีก พี่ภูไล่มันไปมันจะทำให้เล็กตาย” สุพัฒนาหอบหนักขึ้น
“คุณเล็ก ฉันยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลยนะ” เจ้าทิพย์ดาราว่า “มีแต่คุณนั่นแหล่ะที่ด่าว่าฉันจนเป็นลม”
“แค่แกกลับมาที่นี่ก็เหมือนกับฆ่าฉันแล้ว......ออกไป นังหน้าด้าน ฉันเกลียดแก พี่ภูไล่มันไป”
สุพัฒนาหยิบหมอนและของทุกอย่างที่อยู่ใกล้มือขว้างใส่เจ้าทิพย์ดารา จนภูชิชย์กับนิพนธ์ต้องรีบห้าม
“พอเถอะค่ะคุณเล็ก” เจ้าทิพย์ดาราพูด “ฉันเป็นฝ่ายยอมคุณมามากแล้ว ต่อไปนี้ฉันจะไม่ยอมจากภูไปไหนอีก ไม่ว่าคุณจะขัดขวางเราสองคนยังไงก็ตาม”
“แก...นังบ้า...นังหน้าด้าน ฉันเกลียดแก....กรี๊ด” สุพัฒนากรีดร้องแล้วลงไปชักกับพื้นจนทุกคนตกใจ
“คุณเล็ก” ภูชิชย์เรียก
“รีบพาส่งโรงพยาบาลเถอะครับ” นิพนธ์เสนอ
ภูชิชย์กับนิพนธ์ ช่วยกันอุ้มเล็กออกจากห้อง เจ้าทิพย์ดาราจะตามไปแต่บัวเกี๋ยงรีบมาขวางไว้
เจ้าทิพย์ดาราจ้องหน้าบัวเกี๋ยงอย่างเอาเรื่องแล้วก็เดินผ่านบัวเกี๋ยงทำเหมือนว่าบัวเกี๋ยงไม่อยู่ในสายตา บัวเกี๋ยงมองตามด้วยความเจ็บใจ
“เชอะ...ทำหยิ่งไปเถอะ ยังไงพ่อเลี้ยงก็เข้าข้างคุณเล็กอยู่แล้ว”
แขกในงานศพเดินขึ้นมาวางดอกไม้จันท์แล้วไหว้รูปของ พล.อ. ณัฐ ขณะที่ที่ศาลา นริศรา พ.อ.ณรงค์ ลัคนา ลาวัลย์ ด.ช.นุ้ย ด.ญ.นุ่น กำลังยืนไหว้ส่งแขกอยู่ เวลาผ่านไปจนกระทั่งแขกคนสุดท้ายกลับไปแล้ว นริศราหันมองไปที่เมรุด้วยสีหน้าเศร้าแล้วเริ่มจะร้องไห้ ณรงค์เห็นก็รีบเข้ามาปลอบ
“พี่ณะคะ นิดคิดถึงคุณพ่อ”
“คุณพ่อท่านไปสบายแล้ว ถ้านิดคิดถึงท่าน นิดก็ต้องรีบกลับไปเรียนให้จบสมกับที่คุณพ่ออุตส่าห์ส่งไปเรียนถึงอเมริการู้ไหม” ณรงค์บอก
นริศรากอดณรงค์ร้องไห้ ลัคนากับด.ช.นุ้ยและด.ญ.นุ่นเดินเข้ามาสมทบ เด็กทั้งสองจับมือนริศราขึ้นมากุม
“โอ๋ๆๆ นุ่นก็คิดถึงคุณปู่นะคะอานิด แต่นุ่นก็เข้มแข็งไม่ร้องไห้”
“อานิดไม่ต้องร้องไห้นะครับ ต่อไปนี้นุ้ยจะดูแลอานิดเอง”
นริศราปาดน้ำตาแล้วหันมากอดหลานทั้งสอง
“ใกล้ถึงเวลาเผาจริงแล้ว ไปรวมกับญาติๆคนอื่นเถอะ” ณรงค์บอก
ทั้งหมดกำลังจะพากันเดินไปที่ศาลาแต่แล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นพิสุทธิ์ เพื่อนสนิทของนริศราเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าทุกคน
“นิด” พิสุทธิ์เรียก
ลัคนาเดินแยกออกมาจาก ณรงค์ นริศรา พิสุทธิ์ นุ้ย และนุ่นที่เดินลงมาจากเมรุ ลัคนาเดินมาหาลาวัลย์ที่นั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในศาลา ลาวัลย์พอเห็นพี่สาวมายืนมองตาขุ่นก็รีบวางสายทันที
“น่าจะไปช่วยกันดูแลแขกบ้างนะ” ลัคนาตำหนิ
“แหม...ก็วันไม่ใช่สะใภ้บ้านนี้เหมือนพี่นานี่ อุตส่าห์ลางานบินมาจากเชียงใหม่แล้วยังไม่พออีกเหรอ” ลาวัณย์แก้ตัว
ลัคนาทรุดตัวลงนั่งใกล้ๆ ลาวัลย์ด้วยสีหน้าเครียด ลาวัลย์เขยิบเข้ามาคุยใกล้ๆ
“คนที่สูงๆหล่อๆนั่นแฟนคุณนิดเหรอ”
ลัคนาตอบอย่างหงุดหงิด “ไม่รู้ ยังไม่ได้ถาม”
“เป็นอะไรไปอีกละคะคุณพี่ อ๋อ...ห่วงเรื่องพินัยกรรมท่านนายพลละสิ” ลาวัณย์รู้ทัน
“มันน่าห่วงไหมล่ะ คุณพ่อน่ะรักแต่ยัยนิด คอยดูนะถ้าเปิดพินัยกรรมมาแล้วไม่ยุติธรรมฉันไม่ยอมจริงๆด้วย” ลัคนาหน้าเครียด
นริศราเดินมาส่งพิสุทธิ์ที่รถ
“ขอบใจมากนะโป๊ะที่อุตส่าห์มา”
“ตอนนี้ละมาขอบใจ ตอนแรกจะบอกข่าวเราสักหน่อยก็ไม่ได้ ไม่งั้นคงมาช่วยตั้งแต่วันแรก” พิสุทธิ์ตัดพ้อ
“โธ่...ก็ใครจะคิดล่ะว่าโป๊ะจะบินกลับมาจากอเมริกาเพื่อมางานศพพ่อเรา”
“นิดก็น่าจะรู้ ถ้าเป็นเรื่องทุกเรื่องของนิด ต่อให้ไกลให้ลำบากแค่ไหน เราก็พร้อมจะไปอยู่เคียงข้างนิดนะ”
“เยอะไปแล้ว ไม่ต้องมามุขเลย” นริศนายิ้มขำ
พิสุทธิ์จ้องตานริศรา “นิดรู้ไม่ใช่เหรอว่าเราไม่เคยไม่ล้อเล่นกับความรู้สึกที่เรามีให้นิด”
นริศราเขินและเริ่มทำอะไรไม่ถูก
“จ้ะ กลับไปได้แล้ว เดี๋ยวเราต้องไปติดต่อเรื่องรับอัฐิกับทางวัด....ขับรถดีๆนะ”
นริศราลาพิสุทธิ์แล้วเดินกลับเข้าวัด พิสุทธิ์มองตามยิ้มๆแล้วขึ้นรถขับออกไป
หมอกับภูชิชย์กำลังนั่งคุยกันอยู่ภายในห้องทำงานของหมอที่โรงพยาบาล
“ผมตรวจอย่างละเอียดแล้ว คุณเล็กปกติดีทุกอย่างครับ” หมอรายงาน
ภูชิชย์งง “แต่คุณเล็กทั้งเหนื่อยทั้งหอบจนสลบ แล้วมันจะปกติได้ยังไง”
“ที่ผมพูดอย่างนั้นเพราะผมคิดว่าคุณเล็กไม่ได้ป่วยทางกาย เอ่อ....หากแต่เป็นการป่วยทางจิตครับ” หมอบอก
“คุณหมอพูดอะไรครับผมไม่เข้าใจ”
“คุณเล็กมารักษาตัวที่นี่หลายครั้งแล้ว จากประวัติคุณเล็กมักจะป่วยด้วยอาการเดียวกัน คือหอบเหนื่อย หายใจไม่ทัน เพียงแต่ครั้งนี้มีอาการเป็นลมถึงสลบ และถ้าดูถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ ทุกครั้งจะเป็นเพราะคุณเล็กเครียด หรือไม่ก็ต้องมีปัญหาขัดแย้ง หรือทะเลาะกับใครมาทั้งนั้น”
“แล้วจะมีวิธีรักษาให้หายไหมครับ” ภูชิชย์ถาม
“เอาอย่างนี้ดีไหมครับ ผมจะแนะนำให้พ่อเลี้ยงพาคุณเล็กไปตรวจกับเพื่อนผมที่เป็นจิตแพทย์ที่กรุงเทพฯ ผมเชื่อว่าคุณเล็กจะต้องดีขึ้น”
ภูชิชย์ได้ฟังก็ครุ่นคิดอย่างหนัก
สุพัฒนายังคงนอนหลับ ส่วนภูชิชย์กับนิพนธ์ยืนมองเธอด้วยสีหน้าคิดหนักอยู่ที่มุมห้อง
“พ่อเลี้ยงจะบอกคุณเล็กว่ายังไงครับ ถ้าบอกเธอตรงๆว่าจะส่งเธอไปตรวจกับจิตแพทย์เธอคงรับไม่ได้” นิพนธ์บอก
ภูชิชย์มีสีหน้าเครียดเพราะยังคิดไม่ออกว่าจะพูดยังไง อยู่ๆ ก็มีเสียงเคาะประตู แล้วเจ้าทิพย์ดาราก็เปิดประตูเข้ามามองหน้าภูชิชย์ ทั้งเธอและภูชิชย์ต่างก็มีสีหน้าเคร่งเครียดทั้งคู่
“ภูคะ น้อยอยากคุยกับคุณ” เจ้าทิพย์ดาราบอก
ที่มุมหนึ่งในโรงพยาบาล เจ้าทิพย์ดาราที่ปลีกตัวออกมากับภูชิชย์ยื่นช็อคโกแลตรูปหัวใจที่ซื้อจากอังกฤษให้ภูชิชย์
“ของฝากจากอังกฤษค่ะ ความหมายของมันก็คือหัวใจดวงนี้กลับมาอยู่ในมือของภูแล้ว”
ภูชิชย์ชะงักไปนิดนึงแล้วมองหน้าเจ้าทิพย์ดารานิ่งๆ
“แล้วมันจะหลุดมือผมไปอีกไหม” ภูชิชย์ถาม
เจ้าทิพย์ดารายิ้มให้ภูชิชย์ “น้อยเสียใจที่เป็นต้นเหตุของเรื่องวันนี้ค่ะ”
“เจ้าอย่าโทษตัวเองเลยครับ” ภูชิชย์บอก
เจ้าทิพย์ดาราจับมือภูชิชย์
“ภูน่ารักกับน้อยแบบนี้เสมอ นี่แหละ...น้อยถึงต้องกลับมาหาภู”
“แล้วเรื่องเก่าๆที่ผ่านมาล่ะครับ”
เจ้าทิพย์ดารายิ้มให้ภูชิชย์
ภาพในอดีตของทั้งคู่ย้อนกลับมา วันนั้น ภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดารานั่งรับประทานอาหารกับเจ้าเทพมงคลและเจ้าดาระกา บิดาและมารดาของเจ้าทิพย์ดาราในบรรยากาศแห่งความสุข
“ท่านผู้ว่าฯตอบรับที่จะมาเป็นประธานเจรจาสู่ขอแล้วครับ ไม่ทราบเจ้าพ่อจะว่ายังไง” ภูชิชย์ถาม
“สุดแท้แต่พ่อเลี้ยงเถอะ ทางผมก็ไม่ขัดข้องหรอก” เจ้าเทพมงคลตอบ
“แหมท่านคะ ขัดข้องพอเป็นพิธีก็ได้ พ่อเลี้ยงเขาแค่บอกแผนการ ยังไม่ได้ขอสักหน่อย รีบยกลูกสาวให้แล้ว” เจ้าดาระกาเย้า
ทุกคนหัวเราะกันรวมทั้งเจ้าดาระกาด้วย
“พ่อเลี้ยงเป็นคนดี แล้วก็คบหากับลูกสาวเรามาตั้งนาน นี่ถ้ายังไม่มาขอ ผมจะเป็นฝ่ายไปขอเองแล้วนะ” เจ้าเทพมงคลว่า
เจ้าทิพย์ดาราเขินอาย “เจ้าพ่ออ่ะ...ทำไมพูดอย่างนั้นล่ะคะ”
“ก็พ่อคิดอย่างนี้จริงๆนะ” เจ้าเทพมงคลหันไปพูดกับภูชิชย์ “พ่อเลี้ยง....ขอเจ้าน้อยไปแล้วห้ามเอามาคืนนะ ผมไม่รับคืนจริงๆด้วย”
ทุกคนหัวเราะอีก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงโวยวายของสุพัฒนาดังขึ้น
“พ่อเลี้ยงภูอยู่ไหน ไปตามมาเดี๋ยวนี้”
ทุกคนที่โต๊ะอาหารมองหน้ากันอย่างงุนงง
สุพัฒนากำลังจ้องหน้าคนรับใช้ด้วยความโกรธอยู่ในห้องรับแขก
“พ่อเลี้ยงอยู่ห้องอาหาร เชิญคุณสุพัฒนาที่ห้องอาหารก่อนไหมคะ” คนรับใช้บอก
“ไม่ไป....ฉันบอกให้ไปตามพ่อเลี้ยงมาที่นี่ก็ไปตามสิ มายืนโง่อยู่ได้” สุพัฒนาตวาด
คนรับใช้ยังลังเลไม่ไปไหน สุพัฒนาโมโหหยิบหนังสือบนโต๊ะรับแขกจะขว้างใส่คนรับใช้ แต่ภูชิชย์ เจ้าทิพย์ดารา เจ้าเทพมงคล เจ้าดาระกา เดินอย่างรวดเร็วเข้ามาพอดี
“มีอะไรกัน” เจ้าเทพมงคลถาม
เมื่อเจ้าทิพย์ดาราเห็นภูชิชย์ก็รีบวางหนังสือลงแล้วเดินไปเกาะแขนเขาจากนั้นก็ดึงให้ห่างจากเจ้าทิพย์ดารา
“พี่ภูคะ ภรรยาท่านผู้ว่าฯบอกคุณเล็กว่า พี่ภูจะมาสู่ขอ.” สุพัฒนาเหลือบมองเจ้าทิพย์ดาราอย่างเหยียดๆ “คนบ้านนี้เหรอคะ”
ภูชิชย์กุมมือน้องสาว “ใช่ พี่ก็กำลังคุยเรื่องนี้กับเจ้าพ่อพอดีเลย”
“ไม่นะคะ พี่ภูจะแต่งงานกับเจ้าน้อยไม่ได้ คุณเล็กไม่ยอม” สุพัฒนาโวยวาย
“คุณเล็ก ทำไมพูดแบบนี้ล่ะ” ภูชิชย์ถาม
“นั่นสิ เราสองครอบครัวก็เป็นเพื่อนบ้านกันมาตั้งแต่รุ่นคุณพ่อคุณแม่ของคุณ มีอะไรก็น่าจะพูดกันดีๆ” เจ้าดาระกาพูด
“วันนี้คุณเล็กรู้ข่าวมาว่าเจ้าเทพมงคลเอาไร่ไปเข้าแบงก์ เพื่อเอาเงินมาพยุงธุรกิจที่ขาดทุนสะสมมาหลายปี” สุพัฒนาบอก
“นั่นมันก็เรื่องธุรกิจ” เจ้าเทพมงคลแย้ง
“ธุรกิจที่เจ๊งแล้วเจ๊งอีกน่ะเหรอคะ ตอนนี้ครอบครัวเจ้าก็เท่ากับเหลือแต่หนี้สิน ฉันจะไม่ยอมให้ใครมาปอกลอกสมบัติของพวกเราเด็ดขาด” สุพัฒนาพูดด้วยเสียงจริงจัง
“คุณเล็ก....พอได้แล้ว” ภูชิชย์ปราม
“คุณเล็ก เธอควรจะให้เกียรติฉันบ้างนะ อย่างน้อยฉันก็เป็นเพื่อนกับพ่อเธอ” เจ้าเทพมงคลบอก
“ถ้าเจ้าอยากได้รับเกียรติก็เลิกคิดให้ลูกสาวมาจับพี่ภูสิคะ”
“พ่อเลี้ยง....คุณต้องจัดการเรื่องนี้นะ ผมไม่ยอมให้ใครมาหมิ่นเกียรติผมแบบนี้” เจ้าเทพมงคลไม่พอใจ
ภูชิชย์พูดกับสุพัฒนา “จริงอย่างที่เจ้าพ่อว่านะ เรื่องแต่งงานของพี่กับเรื่องธุรกิจมันคนละเรื่องกัน คุณเล็กอย่าคิดมากเลย”
“นี่หมายความว่ายังไงพี่ภูก็จะแต่งกับ.....ผู้หญิงคนนี้” สุพัฒนาถาม
“พี่ไม่มีวันที่จะแต่งงานกับผู้หญิงคนไหนได้นอกจากเจ้าน้อย” ภูชิชย์บอก
สุพัฒนาตกใจ “พี่ภู....ไม่จริง...พี่ภูบอกคุณเล็กสิว่า....ไม่จริง....ไม่จริง”
สุพัฒนาหอบหนักและทำท่าจะหมดแรง เธอค่อยๆ ร่วงลงไปกับพื้น ภูชิชย์ตกใจรีบเข้าไปประคองแล้วมองเจ้าทิพย์ดาราที่ยืนนิ่งอยู่
สุพัฒนานอนหอบอยู่บนเตียงในห้องพักของเธอ โดยมีภูชิชย์นั่งป้อนข้าวต้มให้แต่สุพัฒนาเบือนหน้าหนี
“พี่ภู...อย่าแต่งงานกับเจ้าน้อยเลยนะคะ เล็กรู้ยังไงพวกนั้นก็ต้องหวังสมบัติของเรา”
“พี่ว่าคุณเล็กมองพวกเขาในแง่ร้ายไปหน่อยนะ”
สุพัฒนาร้องไห้ “พี่ภูเห็นคนอื่นดีกว่าน้องสาวตัวเอง พี่ภูไม่รักคุณเล็กแล้ว”
“ไม่ใช่นะ พี่ไม่มีวันเห็นคนอื่นดีไปกว่าคุณเล็กหรอก”
“งั้นพี่ภูก็รับปากสิคะว่าจะไม่แต่งงานกับมัน จะไม่คบกับพวกไร่เทพมงคลอีก”
“คุณเล็ก....แต่พี่....”
สุพัฒนาพูดสวนขึ้น “ถ้าเมื่อไหร่ที่พี่ภูผิดคำพูด คุณเล็กจะออกไปจากที่นี่ แล้วเราก็ไม่ต้องมาเป็นพี่น้องกันอีก”
ภูชิชย์ตกใจ “คุณเล็ก อย่าบีบบังคับพี่สิ”
“นี่พี่ภูหาว่าคุณเล็กบังคับเหรอคะ พี่ภูลืมแล้วเหรอว่าคุณแม่สั่งไว้ก่อนตายให้พี่ภูดูแลคุณเล็ก นี่พี่ภูจะผิดสัญญาเหรอคะ”
สุพัฒนาโมโหปัดชามข้าวต้มในมือภูชิชย์ทิ้ง แล้วเริ่มหอบอีกครั้ง
“คุณเล็ก คุณเล็ก...อย่าเครียดนะ” ภูชิชย์เตือน
สุพัฒนาหอบพร้อมกับพูด “รับปากสิคะ รับปากคุณเล็กสิ พี่ภูจะไม่แต่งงานกับมัน”
“ได้...พี่รับปาก” ภูชิชย์จำใจ
เจ้าทิพย์ดาราถือตะกร้าผลไม้ยืนแอบฟังอยู่ด้านนอกห้องได้ยินเช่นนั้นแล้วก็ถึงกับร้องไห้ เธอวางตะกร้าผลไม้ไว้ที่โต๊ะหน้าห้องแล้วเดินออกไปทันที
.
ภาพในอดีตหยุดลงเพียงเท่านั้น แต่เจ้าทิพย์ดารากับภูชิชย์ยังคงนั่งคุยกันถึงเรื่องในอดีตต่อ
“วันนั้นน้อยทั้งโกรธและเสียใจมากกับสิ่งที่ได้ยิน น้อยจึงตัดสินใจกลับไปเรียนต่อที่อังกฤษ”
เจ้าทิพย์ดาราจ้องตาภูชิชย์ แต่ภูชิชย์หลบตา
“ผมขอโทษที่ผมปกป้องเจ้าไม่ได้” ภูชิชย์บอก
“เรื่องเก่าๆเราลืมมันให้หมดเถอะค่ะ แล้วมาเริ่มต้นกันใหม่นะคะ”
“แต่คุณเล็กคงไม่ยอม” ภูชิชย์กังวล
เจ้าทิพย์ดาราสวนขึ้นทันที “ภูอย่าลืมสิคะว่าสถานการณ์วันนี้มันแตกต่างจากเมื่อสองปีก่อน ธุรกิจของเจ้าพ่อมีกำไร หนี้สินต่างๆก็หมดแล้ว น้อยถึงกลับมาหาภูไงคะ น้อยเชื่อว่าจะทำให้คุณเล็กยอมรับในตัวน้อยให้ได้ค่ะ”
ภูชิชย์กับเจ้าทิพย์ดารามองตากันอย่างซาบซึ้ง ภูชิชย์เก็บช็อคโกแลตใส่กระเป๋าเสื้อด้านซ้ายของตัวเอง
“ผมก็เชื่อว่าคุณเล็กจะต้องยอมรับเจ้าได้ในที่สุด”
ภูชิชย์กอดเจ้าทิพย์ดาราอย่างมีความสุข
เวลาต่อมา สุพัฒนาที่ได้รู้เรื่องการไปรักษาตัวของเธอจากปากพี่ชายถึงกับหน้าบึ้งด้วยความโกรธ
“ไม่ค่ะ ยังไงคุณเล็กก็ไม่ยอมไปรักษาตัวที่กรุงเทพฯ แค่โรคเครียดคุณเล็กเป็นมาตั้งนานแล้ว เอายากลับไปกินเหมือนเคยเดี๋ยวก็หาย”
ภูชิชย์เดินเข้าไปจับมือแล้วลูบหัวสุพัฒนาด้วยความเอ็นดู
“คุณเล็กอย่าดื้อกับพี่สิ พี่เป็นห่วงสุขภาพคุณเล็กนะ”
“ห่วงคุณเล็ก หรือคิดจะส่งคุณเล็กไปอยู่ไกลๆ พี่ภูจะได้กลับไปหานังเจ้าน้อย”
สุพัฒนาสะบัดมือภูชิชย์ออก
“คุณเล็ก สำหรับพี่ตอนนี้ไม่มีอะไรสำคัญเท่ากับสุขภาพของน้องสาวคนนี้หรอก เชื่อพี่เถอะนะ”
สุพัฒนานิ่งไปครู่หนึ่ง “ได้ค่ะ คุณเล็กจะไป”
ภูชิชย์ดีใจที่น้องสาวยอมทำตาม แต่แล้วสุพัฒนาก็ยื่นข้อเสนอ
“แต่พี่ภูต้องไปอยู่กับคุณเล็กนะคะ ดีเหมือนกัน พี่ภูจะได้ห่างๆเจ้าน้อย แบบนี้จะตรวจกันเป็นปีคุณเล็กก็ไม่ว่าหรอกค่ะ ตกลงตามนี้นะคะ”
ภูชิชย์จำใจฝืนยิ้มให้ สุพัฒนาคว้ามือภูชิชย์มาแนบแก้มอย่างมีความสุข นิพนธ์ยืนมองสองพี่น้องอยู่ถึงกับถอนใจเพราะเครียดแทนภูชิชย์
นริศรา ลัคนา ณรงค์ และทนายกำลังนั่งประชุมกันอยู่ในห้องรับแขกบ้านนริศรา ทั้งสามตั้งใจฟังทนายอ่านพินัยกรรม
“ข้าพเจ้า พล.อ ณัฐ สุริยรักษ์ ได้เขียนหนังสือฉบับนี้ขึ้นโดยมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ เพื่อมอบหมายให้ พ.ต. ณรงค์ สุริยรักษ์ บุตรชายคนโต เป็นผู้จัดการมรดก พร้อมทั้งจัดแบ่งทรัพย์สินทั้งหมดตามเอกสารแนบท้ายให้แก่ นางสาว นริศรา สุริยรักษ์ อย่างยุติธรรมหลังจากที่ข้าพเจ้าได้เสียชีวิตลงแล้ว ลงชื่อ พล.อ ณัฐ สุริยรักษ์”
ทนายยื่นจดหมายพร้อมเอกสารแนบท้ายให้ณรงค์
“โธ่...คุณพ่อ พี่นึกว่าจะแบ่งทรัพย์สินไว้ให้เรียบร้อยแล้ว” ณรงค์ถอนใจ
“ลงแบบนี้จะทำยังไงดีล่ะคะ คุณก็จะบินคืนนี้ด้วย” ลัคนาเป็นห่วง
“ถ้าอย่างนั้นผมอาจจะต้องลาอยู่ต่อ” ณรงค์บอก
“ไม่ได้นะคะพี่ณะ” นริศราเป็นห่วง “พี่ได้ทุนหลวงจะมาเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ไม่ได้ เอาอย่างนี้สิคะ ไว้อีกสองสามปีพี่ณะกับนิดเรียนจบแล้วค่อยมาจัดการก็ได้”
“ก็ดีเหมือนกันนะคะ จะได้ไม่เสียเวลาเรียนของคุณณะกับน้องนิด” ลัคนาเห็นด้วย
“งั้นเรื่องค่าใช้จ่ายในการเรียนของนิดที่อเมริกา นาก็ช่วยดูแลด้วยแล้วกันนะ” ณรงค์บอก
“ได้ค่ะนาจัดการเอง” ลัคนารับปากแล้วยิ้ม ณรงค์กับนริศราโผเข้ากอดกัน
ลัคนามองสองพี่น้องแล้วแอบยิ้มอย่างร้ายกาจออกมา โดยที่ณรงค์กับนริศราไม่ทันสังเกตเห็น
อ่านต่อหน้า 2
ร่วมพูดคุย ถก เถียง แสดงความคิดเห็นเรื่องละครอย่างสร้างสรรค์ หรือจะด่าทอ ต่อว่า...ทีมงานได้ที่ แฟนเพจละครออนไลน์ facebook.com/ละครออนไลน์ เอเอสทีวี ได้แล้วจร้า...
รักประกาศิต ตอนที่ 1 (ต่อ)
ที่บ้านเจ้าทิพย์ดารา ระหว่างนั้นเจ้าทิพย์ดาราอยู่ในห้องนอน กำลังรื้อกระเป๋าเดินทางเพื่อเอาของออกมาจัด จังหวะหนึ่งเธอก็หันไปเห็นกรอบรูปที่ถ่ายคู่กับภูชิชย์ที่เอาไปอังกฤษด้วย เจ้าทิพย์ดาราหยิบขึ้นมาดูแล้วยิ้มอย่างมีความสุข
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกาเปิดประตูแล้วเดินเข้ามา พอเห็นกรอบรูปใบนั้นเจ้าเทพมงคลก็มองด้วยสีหน้าเครียด
“คนงานบอกพ่อแล้วว่าลูกไปที่ไร่โน้นมา”
เจ้าทิพย์ดาราหลบตาผู้เป็นพ่ออย่างสำนึกผิด
“เจ้าพ่อเจ้าแม่คะ น้อยขอโอกาสอีกครั้งได้ไหมคะ”
“ลูกลืมไปแล้วเหรอว่าพวกไร่สุพัฒนาเขาเคยหมิ่นศักดิ์ศรีของเรา” เจ้าเทพมงคลเตือน
“แค่คุณเล็กคนเดียวต่างหากล่ะคะ” เจ้าทิพย์ดาราแย้ง
“น้อย...ลูกก็รู้อยู่ว่าคุณเล็กเป็นแก้วตาดวงใจของคนที่นั่น ถ้าคุณเล็กไม่ชอบลูกมันก็ไม่ต่างอะไรกับการที่คนทั้งไร่เกลียดลูก ถ้าลูกยังคบกับพ่อเลี้ยงลูกจะมีความสุขเหรอ”
“แต่นอกจากภูแล้วน้อยก็ไม่สามารถรักใครได้อีกแล้วค่ะ”
เจ้าเทพมงคลกับเจ้าดาระกามองหน้ากันอย่างเครียดๆ
ภายในโรงพยาบาลสุดหรูที่ตั้งตัวอยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของกรุงเทพฯ จิตแพทย์ที่ทำการรักษาสุพัฒนากำลังนั่งคุยกับภูชิชย์
“ในเบื้องต้นผมคงทำตามแผนของพ่อเลี้ยงที่จะปิดคนไข้ไปก่อน ถ้าการรักษาดำเนินไปได้สักระยะและคนไข้ให้ความร่วมมือดี ผมก็คิดว่าคงไม่ต้องปิดบังคนไข้อีกต่อไป”
“แล้วจะใช้เวลานานไหมครับ” ภูชิชย์ถาม
“นานหรือไม่ขึ้นอยู่กับคนไข้และการดูแลของคนรอบข้างครับ แต่จากประวัติที่เพื่อนผมส่งมาให้ คิดว่าคงนานพอสมควรเพราะผมยังไม่แน่ใจว่า พฤติกรรมของคนไข้เกิดจากปัจจัยภายนอก เช่น การเลี้ยงดูจากคนรอบข้าง หรือเกิดจากสารเคมีในสมองของคนไข้ไม่สมดุล”
“ถ้าอย่างนั้นผมฝากน้องสาวผมด้วยนะครับ”
หมอยิ้มแล้วพยักหน้าให้ภูชิชย์
นริศราเปิดประตูห้องทำงานของบ้านเข้ามาก็เห็นลัคนากำลังนั่งทำบัญชีอยู่
“พี่นามีอะไรหรือเปล่าคะถึงให้คนไปตาม” นริศราเอ่ยถาม
“พี่ขอพูดตรงๆนะ พี่อยากจะตัดเงินค่าใช้จ่ายที่จะส่งนิดเรียนต่อออก” ลัคนาบอก
นริศราตกใจ “อะไรนะคะ ทำไมต้องตัดด้วย เหลืออีกแค่เทอมเดียวนิดก็จะจบแล้ว”
“อย่าลืมสิว่าตอนคุณพ่อป่วยเราก็หมดไปกับค่ารักษาคุณพ่อเป็นล้าน แล้วนี่นิดยังจะมาเอาส่วนที่เหลือไปเรียนอีกเหรอ”
“แต่เงินที่นิดเรียนก็เป็นเงินที่คุณพ่อตั้งใจจะให้นิด พี่ณะเองก็รับรู้”
“ก็เพราะคุณพ่อลำเอียงน่ะสิ”
นริศรางงกับสิ่งที่ได้ยิน “พี่นา....นิดไม่อยากจะเชื่อว่าพี่นาจะคิดแบบนี้”
“ก็มันจริงไหมล่ะ ลองคิดดูนะถ้าพี่แบ่งเงินก้อนนี้ให้นิดเรียนจนจบ พอกลับมานิดก็มาแบ่งเงินที่เหลือกับคุณณะ แล้วคุณณะจะเหลืออะไร นิดยังมีหลานอีกสองคนนะ ใจคอจะเอาเปรียบหลานเหรอ”
นริศราอึ้งเพราะพูดไม่ออก ลัคนาได้ทีก็รีบพูดซ้ำเติมนิดทันที
“คุณณะได้ทุนไปเรียนก็ยังมีเงินเดือนจากทางราชการให้พี่ใช้ แล้วนิดล่ะช่วยเหลืออะไรทางบ้านบ้าง....นอกจากแบมือขอเงิน”
“ได้ค่ะ ถ้าพี่นาคิดว่านิดเอาเปรียบทุกคน นิดก็จะหางานทำและหาเงินกลับไปเรียนต่อเอง” นริศราลุกขึ้น “แต่เมื่อไหร่ที่พี่นะกลับมา นิดจะขอแบ่งมรดกในส่วนของนิดทันที หวังว่าตอนนั้นนิดคงไม่โดนใครโลภโกงส่วนของนิดนะคะ”
นริศราเดินเชิดหน้าออกไป ลัคนามองตามด้วยความเจ็บใจ
นริศราเปิดประตูห้องนอนแล้วเดินเข้ามาด้วยความโมโห
“คนอย่างนริศราไม่เคยให้ใครมาดูถูก คอยดูนะ ฉันจะยืนด้วยลำแข้งของฉันเอง”
นริศราเปิดคอมพ์พิวเตอร์เพื่อหางานทำ เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง นริศรานั่งรอเครื่องพิมพ์พิมพ์รายชื่อบริษัท
“ให้มันรู้ไปสิว่าจะหางานทำไม่ได้”
ตึกสูงระฟ้ามากมายในย่านธุรกิจของกรุงเทพฯ มีหลายแห่งที่เป็นสำนักงานซึ่งกำลังรับสมัครพนักงานใหม่ ฝ่ายบุคคลของบริษัทแห่งหนึ่งกำลังนั่งอ่านประวัติของนริศรา โดยที่นริศรานั่งลุ้นอยู่ใกล้ๆ
“นี่คุณยังเรียนไม่จบนี่ครับ” พนักงานฝ่ายบุคคลถาม
“เอ่อ...คือว่าคุณพ่อป่วยหนักต้องกลับมาดูแลอยู่หลายเดือน ตอนนี้เพิ่งจะจัดการเรื่องงานศพเสร็จค่ะ” นริศราตอบ
ที่บริษัทถัดมา พนักงานบุคคลของอีกบริษัทนี้ตั้งคำถาม
“แล้วทำไมไม่กลับไปเรียนต่อล่ะคะ”
“คือดิฉันอยากจะลองหาประสบการณ์ก่อนกลับไปเรียนต่อค่ะ เลยอยากออกมาหางานทำเพิ่มประสบการณ์ก่อนกลับไปเรียนต่อค่ะ”
ณ บริษัทที่สาม พนักงานบุคคลพูด
“แหม....ถึงแม้ว่าจะเรียนบริหาร มาสองปีแต่ก็ยังไม่จบ มันเท่ากับวุฒิการศึกษาที่ใช้ได้ก็คือ ม.6 นะคะ”
“แต่ดิฉันพูดภาษาอังกฤษได้ดีมากเลยนะคะ” นริศรารีบบอก
บริษัทที่สี่ พนักงานบุคคลของบริษัทนี้บอก “ที่โรงแรมของเราทุกคนพูดภาษาอังกฤษได้หมดครับ ถ้าคุณอยากได้งานคงต้องจบอย่างน้อยปริญญาตรีครับ”
“ขอบคุณค่ะ” นริศรากล่าวแต่สีหน้าหมดกำลังใจ ก่อนจะไหว้ลาด้วยความอ่อนแรง
ที่บริษัทของวิทวัส มีป้ายเขียนว่า 'บริษัท สุพัฒนาการเกษตร' วิทวัสกำลังนั่งอ่านเอกสารหลายแผ่นอยู่ภายในห้องทำงาน เขาวางเอกสารลงแล้วนั่งมองหน้านริศรา นริศรายิ้มเจื่อนๆ
“อยากฟังไหมคะว่าทำไมฉันเรียนไม่จบ” นริศราถอนใจ
วิทวัสยิ้ม “ช่วงนี้คุณคงเล่าหลายรอบแล้วก็หลายที่”
“ค่ะ...ยังไม่มีที่ไหนรับเลย”
“ถ้าให้ผมบอกตามตรง ผลการพิมพ์ การทดสอบภาษาอังกฤษ การใช้อุปกรณ์สำนักงาน คุณก็น่าจะผ่านที่จะมาเป็นเลขาผมได้ แต่ผมก็เสียใจด้วย เพราะงานเลขาเราต้องการคนมีวุฒิปริญญาตรีเหมือนที่อื่นๆครับ”
“ไม่เป็นไรค่ะ ดิฉันเข้าใจ ถ้าอย่างนั้นคุณมีงานที่เหมาะกับวุฒิ ม.6 ของฉันบ้างไหมคะ”
วิทวัสงง “นี่คุณพูดจริงพูดเล่นครับ”
“จริงสิคะ แม่บ้าน ยาม คนสวนก็ได้นะคะ ถึงตอนนี้ฉันไม่เลือกงานแล้ว” นริศราบอก
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์มือถือของวิทวัสก็ดังขึ้น วิทวัสกดรับสาย “หวัดดีครับพี่ภู” วิทวัสนิ่งฟังแล้วก็ตกใจ “อะไรนะครับ ได้ครับ ผมจะไปเดี๋ยวนี้” วิทวัสกดวางสาย “เอ่อ...ผมมีธุระด่วนต้องขอตัวก่อนนะครับ”
พูดจบวิทวัสก็รีบเดินออกไป นริศรามองตามเซ็งๆ ก่อนจะบ่นออกมา
“ไม่ได้อีกตามเคย”
สุพัฒนานั่งหน้าตึงอย่างไม่พอใจอยู่บนเตียงในห้องคนไข้ที่โรงพยาบาล โดยมีภูชิชย์กับวิทวัสยืนอยู่ด้วย
“คุณเล็กต้องการให้พี่ภูอยู่กับคุณเล็ก ไม่ใช่พี่วัส” สุพัฒนาพูดฉุนๆ
“เหมือนกันครับพี่ภู แค่ตรวจร่างกาย ผมไม่เห็นต้องมาดูแลอะไรเลย คนอย่างคุณเล็กเขาเก่งเขาอยู่ได้อยู่แล้ว” วิทวัสรีบบอก
“ไม่เอาน่า พี่น้องคู่นี้เจอกันทีไรทะเลาะกันทุกที” ภูชิชย์เบรค
“งั้นก็ไล่พี่วัสกลับสิคะ”
“คุณเล็กไม่ต้องไล่หรอก เดี๋ยวพี่ก็กลับแล้ว คุยกับคนอย่างคุณเล็กนานสุขภาพจิตพี่ก็เสียเหมือนกัน”
“กรี๊ด ไอ้พี่บ้า ไป๊....ออกไป....คุณเล็กไม่อยากเห็นหน้า!” สุพัฒนาโวยวายด้วยความโมโห เธอเอาหมอนและผ้าห่มขว้างใส่วิทวัส ส่วนวิทวัสก็โวยวายตอบ ภูชิชย์ต้องรีบเข้าไปห้ามทัพ
“นายวัสออกไปข้างนอกก่อนไป” ภูชิชย์สั่ง
วิทวัสเดินฉุนเฉียวออกไปจากห้องสุพัฒนาถึงได้สงบลง ภูชิชย์มองน้องสาวแล้วแอบส่ายหน้าด้วยความระอาใจ
วิทวัสกับภูชิชย์เดินคุยมาด้วยกันตามทางเดินในโรงพยาบาล
“ตกลงนี่คุณเล็กเป็นบ้าเหรอครับ ฮึ...อารมณ์แบบนี้ก็สมควรหรอก” วิทวัสบอก
“เฮ้ย...อย่าไปว่าน้องสิ มันก็แค่เป็นอาการทางจิต แต่นายก็อย่าพูดให้คุณเล็กได้ยินเชียวนะ ตอนนี้ก็บอกไปก่อนว่าจะตรวจร่างกายอย่างละเอียด”
“คร๊าบผม” วิทวัสรับคำ
“แล้วช่วงที่คุณเล็กรักษาตัว พี่อยากจะได้คนมาทำงานแทนคุณเล็ก นายช่วยส่งคนที่บริษัทให้สักคนสิ”
“ช่วงนี้ผมก็กำลังหาเลขาอยู่พอดี ไว้ผมจะดูๆให้แล้วให้พี่ภูสัมภาษณ์เองดีไหมครับ”
“ก็ดีเหมือนกันนะ พี่จะได้ดูด้วยว่าจะทำงานไปกันได้ไหม”
ทันใดนั้นโทรศัพท์ของวิทวัสก็ดังขึ้น วิทวัสหยิบขึ้นมาดูแล้วตัดสินใจไม่รับ
“เอ่อ...สายลูกค้าน่ะครับ พี่ภูเดี๋ยวผมไปก่อนนะครับ ลืมไปเลยว่านัดลูกค้าไว้” วิทวัสตัดบท
“เดี๋ยวสิ แล้วกุญแจคอนโดล่ะ” ภูชิชย์ถาม
“ผมฝากไว้ที่รีเซฟชั่นแล้วครับ พี่ภูไปรับได้เลย”
วิทวัสพูดแล้วรีบเดินไป จากนั้นจึงค่อยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมารับสาย ภูชิชย์มองตามอย่างสงสัย
นริศรานั่งเซ็งและรับประทานอาหารไม่ลงอยู่ในร้านอาหารภายในห้างสรรพสินค้า เธอเอาแต่มองเด็กเสิร์ฟที่ทำงานอยู่ในร้าน พิสุทธิ์มองอย่างสงสาร
“เราเพิ่งรู้นะว่างานมันหายากมาก ขนาดบอกว่าจะเป็นยามเป็นคนสวนยังไม่รับเลย” นริศราบอก
“นิด...เราว่ามันยังมีทางออกอื่นอีกนะที่จะทำให้นิดได้กลับไปเรียน” พิสุทธิ์เสนอ
“อย่าบอกนะว่าให้เรากลับไปขอเงินพี่สะใภ้ใจยักษ์นั่น นึกแล้วยังเจ็บใจ สมัยคุณพ่อยังอยู่อะไรๆก็ น้องนิดคะ น้องนิดขา พอคุณพ่อเสีย พี่ณะไปเรียนต่อก็ออกลายเลย ยิ่งพูดยิ่งเจ็บใจ”
นริศราโมโหจึงพ่นไม่หยุดจนพิสุทธิ์ต้องจับมือเธอก่อนพูด
“นิดๆๆ ใจเย็นๆ เราเข้าใจปัญหาของนิด ที่เราจะบอกคือนิดไม่ต้องหางานทำ แต่เราจะให้เงินนิดยืมไปเรียนจนจบ นิดจะว่ายังไง”
นริศราอึ้ง “โป๊ะ”
“คิดดูนะกว่านิดจะได้งาน กว่าจะเก็บเงินอีก มันนานนะ เราว่าใช้วิธีของเราดีกว่า”
“ขอบใจมากนะโป๊ะ แต่เราคงรับเงินของโป๊ะไม่ได้ แค่โป๊ะคอยอยู่เป็นเพื่อนเราก็ดีใจแล้ว”
“นิด....เราไม่อยากเป็นแค่เพื่อนของนิด”
พิสุทธิ์พูดพร้อมจ้องตานริศรา นริศรารีบดึงมือออกทันที
“นอกจากเรื่องเรียนแล้วเรายังไม่อยากคิดเรื่องอะไรอีก โป๊ะเข้าใจนะ”
พิสุทธิ์ยิ้ม “ถ้านิดยังไม่พร้อมก็ไม่เป็นไร เรารอได้”
รถของพิสุทธิ์แล่นมาจอดที่หน้าบ้านนริศรา นริศรานั่งคุยกับพิสุทธิ์โดยยังไม่รีบลงจากรถ
“ถ้านิดไม่อยากยืมเงินเรา งั้นให้เราช่วยหางานให้เอาไหม” พิสุทธิ์ถาม
“จริงเหรอ”
พิสุทธิ์พยักหน้า “เดี๋ยวเราจะคุยกับพ่อแม่ให้ รับรองนิดต้องได้ตำแหน่งดีๆในบริษัทของเราแน่”
“ไม่เอานะโป๊ะ ถ้าเราคุณสมบัติเราไม่ถึงต่อให้งานดีแค่ไหนเราก็ไม่ทำ”
“ไม่เห็นเป็นไรเลย นี่บริษัทของพ่อแม่เรา”
นริศรานิ่งไปครู่ใหญ่ “อย่าให้เราต้องรบกวนคุณพ่อคุณแม่โป๊ะเลยนะ เราไม่สบายใจ”
“แต่ว่า...”
นริศราตัดบท “เราไปก่อนนะ”
นริศราเปิดประตูลงจากรถแล้วรีบเดินเข้าบ้านไป พิสุทธิ์มองตามแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดทันที
“คุณพ่อครับ เดี๋ยวผมไปหาที่บริษัทนะครับ”
นริศราเดินเข้ามาในบ้านก็เห็นนุ้ยกับนุ่นกำลังนั่งทำการบ้านอยู่
“ไงคะหลานๆ ทำการบ้านกันอยู่เหรอ ให้อานิดสอนให้เอาไหม”
นุ้ยกับนุ่นหันมาเห็นนริศราก็ดีใจรีบวิ่งเข้าไปกอด
“อานิดสอนเลขให้นุ้ยนะครับ”
“สอนภาษาอังกฤษให้นุ่นก่อนค่ะ นะๆ”
เด็กทั้งสองทำท่าจะทะเลาะกัน นริศรามองอย่างขำๆ แล้วก็ดึงหลานทั้งสองมาหอมแก้มทั้งคู่ ระหว่างนั้นลัคนาเดินเข้ามาเห็นก็ไม่ค่อยพอใจแต่ก็พยายามตีสีหน้ายิ้มแย้ม
“เป็นไงจ้ะนิด ได้งานหรือเปล่า” ลัคนาถาม
นริศราหน้าเจื่อน “เอ่อ...ยังค่ะ”
ลัคนาชักสีหน้าทันที “นุ้ย นุ่น ดึกแล้วไปเข้านอน”
“แต่เด็กๆยังทำการบ้านไม่เสร็จนะคะ” นริศราบอก
“พีสอนเองได้” ลัคนาเห็นลูกๆ ยังเกาะแขนนริศราอยู่ก็รีบย้ำ “ไปสิคะ...อย่าดื้อกับคุณแม่นะ”
เด็กทั้งสองรีบเก็บของเดินเข้าห้องไป ลัคนาหันมาจ้องนริศราด้วยแววตาเย็นชา
“รีบๆหางานหน่อยก็ดีนะคะน้องนิด ลำพังเงินเดือนทหารของคุณณะคงพอจะเลี้ยงได้แค่พี่กับลูกๆเท่านั้น”
ลัคนาเดินเชิดหน้าตามเด็กๆไป นริศรามองตามแล้วถอนใจด้วยความเครียด
ที่คอนโดสุดหรูของวิทวัส ภูชิชย์เดินเข้ามาโดยมีพนักงานยกกระเป๋าเดินตามมาด้วย พนักงานที่เคาเตอร์เห็นภูชิชย์ก็รีบยกมือไหว้ “สวัสดีค่ะพ่อเลี้ยง”
“น้องชายผมเขาบอกว่าฝากกุญแจไว้ที่นี่แล้ว” ภูชิชย์บอก
พนักงานส่งกุญแจให้ “นี่ค่ะ อ้อ...แล้วดิฉันให้พนักงานไปจัดการทำความสะอาดทุกอย่างไว้หมดแล้วค่ะ”
“แหม...คุณพูดเหมือนกับห้องนี้ไม่เคยทำความสะอาด” ภูชิชย์พูดแล้วก็ฉุกคิดขึ้นมา “หรือว่าน้องชายผมไม่ได้พักที่นี่”
พนักงานหญิงยิ้มให้ภูชิชย์
เวลาต่อมา ภูชิชย์นั่งดูทีวีไปหาวไปอยู่ที่ห้องดูทีวีในคอนโด ทีวีเสนอรายการข่าวเช้าวันใหม่ สักพักวิทวัสก็เปิดประตูเข้ามา แล้วก็แปลกใจที่เห็นภูชิชย์ยังไม่นอน
“ผมนึกว่า...พี่ภูนอนแล้ว”
“กลับดึกอย่างนี้ทุกวันเหรอ” ภูชิชย์ถาม
“โธ่...พี่ภู ผมไม่ใช่เด็กๆแล้วนะ” วิทวัสบอก
“พี่ก็แค่สงสัย ถามจริงๆเถอะ มีแฟนหรือเปล่า”
“จะเอาเวลาที่ไหนล่ะครับ แค่ดูงานที่บริษัทคนเดียวผมก็ไม่มีเวลาแล้ว นี่ถ้าไม่ติดว่าต้องไปพบลูกค้า สี่ทุ่มผมก็นอนแล้ว”
วิทวัสพูดจบก็รีบเดินเลี่ยงเข้าห้องนอนไป ภูชิชย์มองตามอย่างสงสัย
“นอนสี่ทุ่มเหรอ...ฮึ...ไม่ใช่ที่นี่ละสิ”
เช้าวันต่อมา สุพัฒนาจ้องหน้าภูชิชย์กับวิทวัสตาแทบไหม้ด้วยความโมโห
“หมายความว่ายังไง จะรับคนมาทำงานแทนคุณเล็ก”
“แค่แทนชั่วคราวช่วงที่คุณเล็กรักษาตัวเท่านั้น” ภูชิชย์บอก
“แต่ก็น่าจะถามคุณเล็กก่อน ไม่ใช่ตัดสินใจกันเองโดยพลการ” สุพัฒนาฉุน
วิทวัสกวน “โอ๊ะโอ๊ว...พี่ภูทำคุณแม่โกรธซะแล้ว”
สุพัฒนาตวาด “พี่วัส!”
ทันใดนั้น ก็มีเสียงเคาะประตูห้องพักของสุพัฒนา มัลลิกาโผล่หน้าเข้ามา สุพัฒนาเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มทันที “มอลลี่”
สองสาวกอดกันแล้วก็กรี๊ดอย่างดีใจใส่กัน จนภูชิชย์กับวิทวัสงงที่สุพัฒนาเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้เร็วขนาดนั้น
วิทวัสกระซิบกับพี่ชาย “เมื่อกี้ยังเพิ่งจะเป็นนางยักษ์อยู่ พอเจอเพื่อนก็เปลี่ยนซะงั้น”
ภูชิชย์กระทุ้งท้องวิทวัสให้หุบปาก ส่วนมัลลิกาพอหันไปเห็นภูชิชย์กับวิทวัสก็ตะลึงในความหล่อของทั้งคู่
“มอลลี่ นี่พี่ภูกับพี่วัส” สุพัฒนาแนะนำให้เพื่อนรู้จักพี่ชายทั้งสอง แล้วหันมาหากับภูชิชย์และวิทวัส “มอลลี่หรือมัลลิกาเพื่อนคุณเล็กสมัยมัธยมค่ะ เป็นไงคะพี่ภู เพื่อนคุณเล็กสวยไหม”
มัลลิกาเขิน “ตายแล้วคุณเล็กมาชมกันแบบนี้เลยเหรอ”
“พูดความจริงต่างหาก” สุพัฒนาบอกแล้วพูดกับภูชิชย์ “พี่ภูคะ กลางวันนี้พามอลลี่ไปทานข้าวด้วยนะคะ”
ภูชิชย์กระอั่กกระอ่วนใจแต่ก็ฝืนยิ้มรับ วิทวัสเห็นอาการภูชิชย์ก็เข้าใจทันทีจึงรีบพูดออกมา
“ไม่ได้นะพี่ภู พี่รับปากแล้วว่าจะไปช่วยผมสัมภาษณ์งานพนักงานใหม่ไง” วิทวัสรีบทำเป็นดูนาฬิกา “ถึงเวลาพอดีเลยไปกันเถอะครับ” วิทวัสหันมาพูดกับมัลลิกา “ไปก่อนนะครับ”
วิทวัสรีบลากภูชิชย์ออกจากห้องไป สุพัฒนาจะเรียกแต่ก็ไม่ทัน เธอมองตามไปด้วยความรู้สึกขัดใจ ส่วนมัลลิกาก็มองตามไปด้วยสายตาเจ้าชู้
“พี่ชายคุณเล็กนี่หล่อทั้งสองคนเลยนะ” มัลลิกาพูด
“ใช่ โดยเฉพาะพี่ภูนี่แหล่ะที่คุณเล็กอยากให้มอลลี่รู้จัก” สุพัฒนาบอก
สองสาวยิ้มให้กันอย่างมีความสุข
วิทวัสลากภูชิชย์เดินมาตามทางในโรงพยาบาล
“ตกลงมีคนมาสมัครงานแล้วเหรอ ทำไมมันเร็วจังเราเพิ่งคุยกันเองนี่” ภูชิชย์ถาม
“ถ้าเอาความจริงก็คือยังไม่มีครับ” วิทวัสบอก
“อ้าว..”
“ถามจริงๆเถอะพี่ภูดูไม่ออกเหรอว่าคุณเล็กกำลังจะจับคู่ให้พี่” วิทวัสบอก
ภูชิชย์พยักหน้ารับ “คุณเล็กคงกลัวเรื่องเจ้าน้อย”
“หมดหน้าที่ผมแล้ว ผมแยกตรงนี้เลยแล้วกัน”
วิทวัสทำท่าจะเดินไปแต่ภูชิชย์ดึงแขนเขาเอาไว้
“เฮ้ย...จะทิ้งพี่ไว้อย่างนี้เหรอ นายไปไหนพี่ไปด้วยสิ”
“เอ่อ..ไม่ได้หรอกครับ...ผมนัดลูกค้าไว้ พี่ภูก็ไปเดินเล่นตามห้างแล้วกัน ผมไปก่อนนะครับ” วิทวัสตัดบท พอพูดจบวิทวัสก็รีบเดินไปทิ้งภูชิชย์เอาไว้ ภูชิชย์ยิ่งมองอย่างสงสัย
“เดี๋ยวนี้ชักมีอะไรแปลกๆ แฮะ”
ภูชิชย์เดินเล่นดูของอยู่ในห้างสรรพสินค้าแล้วรู้สึกเบื่อๆ เลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก
“สวัสดีครับเจ้าน้อย พอดีผมเดินเล่นอยู่ในห้าง เลยจะถามเจ้าว่าอยากได้อะไรจากกรุงเทพฯไหมครับ”
อีกด้านหนึ่ง เจ้าทิพย์ดารานั่งคุยโทรศัพท์อยู่ในสวนและกำลังหัดเพ้นท์เสื้อตามหนังสือไปด้วย
“แค่ภูโทรมาน้อยก็ดีใจแล้วค่ะ”
“ถ้าเจ้าน้อยอยากได้อะไรก็บอกผมได้นะครับ” ภูชิชย์บอก
“ขอบคุณมากค่ะ ไว้น้อยนึกออกแล้วจะรีบบอกนะคะ”
“ครับ....แค่นี้ก่อนนะครับ ผมคิดถึงเจ้าน้อยนะครับ”
“เช่นกันค่ะ” เจ้าทิพย์ดารานึกขึ้นได้ “อุ้ยๆ น้อยนึกออกแล้วว่าอยากจะได้อะไร หนังสือสอนเพ้นท์ค่ะ น้อยอยากได้ลายใหม่ๆมาเพ้นท์เสื้อด้วย ถ้าภูได้เข้าร้านหนังสือน้อยฝากซื้อด้วยนะคะ”
ภูชิชย์กดวางสายแล้วยืนยิ้มอยู่คนเดียว
นริศราเดินเลือกหนังสืออยู่ในมุมศิลปะของร้านหนังสือในห้างสรรพสินค้า แล้วเธอก็เห็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ถูกใจ นริศราเห็นหน้าปกหนังสือเป็นการสอนการเพนท์ของต่างชาติ เธอดีใจรีบหยิบมาดูทันทีเมื่อพลิกดูรูปอย่างละเอียดก็ชอบใจและมีความสุขมาก
ทันใดนั้น เสียงโทรศัพท์ของนริศราก็ดังขึ้น เธอจึงกางหนังสือแล้ววางไว้บนชั้น จากนั้นจึงหยิบโทรศัพท์มาดูแล้วกดรับ โดยยืนหันหลังให้กับหนังสือที่วางไว้ “ว่าไงโป๊ะ”
พิสุทธิ์กำลังคุยโทรศัพท์กับนริศราอยู่ที่บ้านของเขา
“จะโทรมาถามว่าพรุ่งนี้นิดว่างหรือเปล่า”
“ก็ว่างนะ มีอะไรเหรอ”
ขณะนั้น ภูชิชย์กำลังเดินหาหนังสือเรื่อยมาจนถึงหนังสือที่นริศรากางทิ้งไว้
“เราอยากชวนนิดมาทานข้าวที่บ้านเรา” พิสุทธิ์บอก
นริศรางง “เนื่องในโอกาสอะไรจ๊ะ”
“ไม่มีอะไรหรอก พอดีเราบอกพ่อกับแม่เรื่องที่นิดหางาน ท่านเลยอยากคุยกับนิด”
“ขอโทษนะครับ” ภูชิชย์พูดกับนริศรา นริศราที่ยืนหันหลังให้ภูชิชย์เขยิบออกห่างโดยไม่ได้หันไปดู ภูชิชย์หยิบหนังสือเล่มที่นริศรากางทิ้งไว้ขึ้นมาดูแล้วพอใจจึงถือเดินไป
“อะไรนะโป๊ะ ก็เราตกลงกันแล้วนี่ว่าเราจะหางานเอง”
“เราก็ไม่ได้ฝากนะ แค่ถามๆดู พ่อกับแม่ก็จะลงตำแหน่งที่เหมาะสมให้ แต่ถ้าคุยแล้วนิดไม่ผ่านก็คือไม่ผ่าน มาลองดูเถอะมันไม่มีอะไรเสียหายอยู่แล้ว ตกลงตามนี้นะ”
นริศรารีบกดวางสายแล้วครุ่นคิดอย่างหนัก
“ก็ลองดู เราไม่มีอะไรจะเสียอย่างโป๊ะว่านี่”
นริศราหันกลับไปหาหนังสือที่เธอวางไว้ก็เห็นว่าหายไปแล้ว นริศรานึกได้ว่าขณะคุยโทรศัพท์มีเสียงผู้ชายพูดขอโทษและเดินมาด้านหลัง เธอจึงรีบมองหาไปจนทั่ว
นริศราเห็นหลังของภูชิชย์ที่ในมือกำลังถือหนังสือเล่มนั้นเดินเลี้ยวมุมไป นริศรารีบวิ่งตามไปทันที
ภูชิชย์เดินมาต่อแถวรอจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ นริศราเดินตามมาแล้วรีบมองหนังสือในมือภูชิชย์ให้แน่ใจก่อนยิ้มหวานให้เขาแล้วพูด
“เอ่อ...โทษนะคะ”
ภูชิชย์กับนริศราหันมาสบตากัน ภูชิชย์ถึงกับตะลึงในความสวยของนริศรา
“มีอะไรครับ” ภูชิชย์ถาม
“คือหนังสือในมือคุณน่ะค่ะ พอดีดิฉันดูอยู่ก่อน”
ภูชิชย์งง “ผมไม่เห็นมีใครดูนี่ครับ”
“ฉันดูอยู่จริงๆค่ะ แต่พอดีหันไปคุยโทรศัพท์ ฉันขอคืนนะคะ”
“คงไม่ได้ครับ ก็คุณคุยโทรศัพท์แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าคุณดูอยู่”
นริศราเริ่มฉุน “เอ๊ะ...นี่คุณจะแย่งฉันเหรอ”
ภูชิชย์ฉุนเหมือนกัน “ผมแย่งอะไรคุณ ก็มันวางอยู่บนชั้น ถึงคุณจะดู แต่ผมน่ะจะซื้อครับ”
“ฉันดูก็เพราะจะซื้อเหมือนกัน คืนให้ฉันดีกว่า”
ภูชิชย์เสียงแข็ง “ไม่ หนังสือนี่สำหรับขายผมก็มีสิทธิ์ซื้อเหมือนกัน”
“คุณมีสิทธิ์ซื้อ แต่ไม่มีสิทธิ์มาแย่งฉัน”
“นี่คุณคิดดูดีๆสิครับ หนังสืออยู่ในมือผมแล้ว ใครกันแน่ที่จะแย่ง”
นริศราโมโหจะดึงหนังสือจากมือภูชิชย์ ภูชิชย์ก็ไม่ยอม ทุกคนในบริเวณนั้นรวมทั้งพนักงานเริ่มมองมาที่ทั้งคู่ พนักงานคนหนึ่งรีบวิ่งมาหา
“ขอโทษนะคะ เราจะเช็คให้ดีไหมคะว่ามีอีกเล่มหรือเปล่า”
“เร็วสิ” ภูชิชย์กับนริศราพูดพร้อมกัน
พนักงานรีบกดคอมพิวเตอร์ สักพักก็มองมาที่ภูชิชย์กับนริศรา ทั้งสองเลิกคิ้วถาม พนักงานส่ายหน้าแล้วตอบ “เล่มนั้นเล่มสุดท้ายค่ะ”
“งั้นฉันจะเอา” นริศราพูดขึ้น
“ผมก็ไม่ยอมเหมือนกัน” ภูชิชย์บอก
ทั้งสองยื้อแย่งหนังสือจนกลายเป็นการชักคะเย่อ ภูชิชย์ที่แรงเยอะกว่าคอยยักคิ้วกวนประสาทนริศราเป็นระยะๆ คนในร้านเริ่มมามุงกันมากขึ้น
“ปล่อยดีกว่า คุณสู้แรงผมไม่ได้หรอก” ภูชิชย์ขู่
“ได้งั้นเอาไปเลย”
นริศราพูดจบก็ตัดสินใจปล่อยมือทันที ทำให้ภูชิชย์หงายหลังไปชนกองหนังสือโปรโมชั่นจนล้มไปทั้งกอง ทุกคนพากันขำภูชิชย์ ระหว่างนั้นกองหนังสืออีกกองใกล้ๆกันก็ล้มครืนลงมาทับภูชิชย์อีก
นริศราเดินมายืนยิ้มเยาะอย่างสะใจแล้วเดินหนีไป ภูชิชย์มองตามด้วยความเจ็บใจ
อ่านต่อหน้า 3 วันนี้ เวลา 13.00 น.
ร่วมพูดคุย ถก เถียง แสดงความคิดเห็นเรื่องละครอย่างสร้างสรรค์ หรือจะด่าทอ ต่อว่า...ทีมงานได้ที่ แฟนเพจละครออนไลน์ facebook.com/ละครออนไลน์ เอเอสทีวี ได้แล้วจร้า...
รักประกาศิต ตอนที่ 1 (ต่อ)
ภูชิชย์นั่งดูปกหนังสือเพ้นท์อยู่ภายในห้องของคอนโดวิทวัสด้วยความเจ็บใจ เขานึกถึงเหตุการณ์ตอนที่ยื้อแย่งหนังสือกับนริศราจนกลายเป็นการชักคะเย่อ ตอนนั้นภูชิชย์ที่แรงเยอะกว่าคอยยักคิ้วกวนประสาทนริศรา คนในร้านเข้ามามุงกันมากขึ้น
“ปล่อยดีกว่า คุณสู้แรงผมไม่ได้หรอก” ภูชิชย์ขู่
“ได้งั้นเอาไปเลย”
นริศราตัดสินใจปล่อยมือทันที ภูชิชย์จึงหงายหลังไปชนกองหนังสือโปรโมชั่นจนล้มทั้งกอง ทุกคนต่างพากันขำภูชิชย์ แล้วกองหนังสืออีกกองใกล้ๆ ก็ล้มครืนลงมาทับภูชิชย์อีก
นริศราเดินมายืนยิ้มเยาะอย่างสะใจแล้วเดินหนีไป ภูชิชย์มองตามด้วยความเจ็บใจ
“ผู้หญิงบ้าอะไร หน้าตาก็ดี นิสัยแย่มาก” ภูชิชย์ฉุน
ทันใดนั้นวิทวัสเปิดประตูห้องเข้ามาเห็นภูชิชย์นั่งเหม่ออยู่ก็ตกใจ ภูชิชย์ดูนาฬิกาที่แขวนอยู่ที่ผนังก็เห็นว่าเป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว
“ตกลงนายนอนสี่ทุ่มทุกวันจริงเหรอ” ภูชิชย์ถาม
“คือวันนี้ผม....เอ่อ...” วิทวัสอึกอัก
“นายมีใครซ่อนไว้ใช่ไหม”
“โธ่..พี่ภูครับ อย่าทำตัวเป็นคุณเล็กอีกคนได้ไหม”
ภูชิชย์ได้ยินน้องชายพูดก็ได้สติ “ขอโทษนะ พี่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะยุ่งเรื่องของนายหรอก แค่เป็นห่วงตามประสาพี่ชายน่ะ”
ภูชิชย์ลุกขึ้นแล้วหันหลังจะเดินเข้าห้องนอน วิทวัสตัดสินใจพูดขึ้น
“ผมไม่อยากให้คุณเล็กมาทำลายความรักของผม เหมือนที่เธอเคยทำลายความรักระหว่างพี่กับเจ้าน้อย”
ภูชิชย์ชะงัก วิทวัสพูดต่อ
“เมื่อไหร่ที่คุณเล็กเลิกระแวงว่าคนอื่นจะมาแย่งสมบัติ เราค่อยมาคุยกันนะครับ”
ภูชิชย์พยักหน้ารับรู้แล้วเดินเข้าห้องนอนไป วิทวัสพูดเบาๆ กับตัวเอง
“ขอโทษนะครับพี่ภู ผมไม่อยากให้ผู้หญิงที่ผมรักต้องเจ็บปวดเหมือนที่เจ้าน้อยโดนครับ”
พระอาทิตย์ยามเช้าขึ้นพ้นตึกของโรงพยาบาล สุพัฒนานั่งยิ้มอย่างมีความสุขอยู่ในห้องพัก ภูชิชย์ วิทวัส และมัลลิกายืนอยู่รอบเตียงของเธอ มัลลิกายืนส่งยิ้มให้สองหนุ่มอยู่
“พี่ภูไม่ต้องหาคนไปทำงานแทนคุณเล็กแล้วนะคะ คุณเล็กจะให้มอลลี่ทำค่ะ” สุพัฒนาบอกพี่ชาย
ภูชิชย์กับวิทวัสได้ยินเช่นนั้นก็ถึงกับอึ้งอ้าปากค้าง
“แต่คุณมอลลี่ต้องไปอยู่ต่างจังหวัดนะครับ จะไหวเหรอ” ภูชิชย์ถาม
“ไม่มีปัญหาค่ะ เพราะตอนเรียนที่อังกฤษคอลเลจของมอลลี่ก็อยู่นอกเมือง แต่มอลลี่มีเงื่อนไขนิดหน่อยที่คุยกับคุณเล็กแล้วค่ะ” มัลลิกาบอก
“เงื่อนไข?” ภูชิชย์กับวิทวัสเอ่ยขึ้นพร้อมกัน
“ข้อแรก...มอลลี่ขอเงินเดือนๆละ 50,000 บาท เพราะมอลลี่จบจากเมืองนอก ข้อสอง มอลลี่ขอคนรับใช้ส่วนตัวหนึ่งคน และข้อสุดท้าย มอลลี่ขอตั๋วเครื่องบินกลับกรุงเทพฯทุกอาทิตย์เพื่อกลับมาทานข้าวกับคุณพ่อคุณแม่ค่ะ ส่วนข้ออื่นๆที่มอลลี่ยังนึกไม่ออกคงต้องไปว่ากันอีกทีเมื่อมอลลี่ไปถึงไร่ของคุณเล็กแล้วค่ะ” มัลลิการ่ายยาว
ภูชิชย์กับวิทวัสถึงกับเหวอหลังจากฟังเงื่อนไขของมัลลิกา
สุพัฒนาจับมือภูชิชย์แล้วออดอ้อน “ตกลงรับมอลลี่เลยนะคะพี่ภู”
“คุณเล็กตัดสินใจแล้วเหรอ” ภูชิชย์ถามน้องสาวโดยที่ตัวเขารู้สึกอึดอัดบอกไม่ถูก วิทวัสเห็นท่าไม่ดีจึงรีบแทรกทันที
“พี่ว่าเราคงรับคุณมอลลี่ไม่ได้ตั้งแต่เงินเดือนห้าหมื่นแล้วละ มันมากเกินไป”
“พี่วัสไม่เกี่ยวเรื่องนี้อย่ายุ่ง” สุพัฒนาว่าแล้วพูดกับภูชิชย์ “พี่ภูเขาเห็นด้วยกับคุณเล็กแล้ว”
วิทวัสเลิกคิ้วอย่างงุนงงแล้วหันไปมองภูชิชย์ เขาเห็นพี่ชายยืนนิ่งเพราะตอบอะไรไม่ถูก
ภูชิชย์กับวิทวัสเดินคุยกันมาตามทางเดินในโรงพยาบาล
“ยัยมอลลี่นั่นทำงานเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมว่าขยำเงินขว้างทิ้งยังดีกว่าจ้างยัยนั่นทำงาน” วิทวัสหงุดหงิด
“เอาน่า มันก็แค่ชั่วคราวช่วงคุณเล็กป่วย” ภูชิชย์ปลอบ
“พี่ภูก็เหมือนคุณพ่อคุณแม่ ตามใจคุณเล็กซะจนเสียคน”
“แล้วนายจะให้พี่ทำยังไง ถ้าเราขัดใจคุณเล็กก็ทะเลาะกันเปล่าๆ พี่ว่าทำให้เธอสบายใจจะดีกว่านะ”
“ถามจริงๆเถอะครับ พี่ภูจะร่วมงานกับยัยมอลลี่นั่นได้เหรอ” วิทวัสถามจริงจัง
ภูชิชย์อึ้งไป “พี่ก็ไม่แน่ใจ”
“ไม่แน่ใจคือไม่อยาก เอางี้ผมจะจัดการเอง”
“นายจะทำอะไร ระวังคุณเล็กจะโกรธนะ”
“ผมจะให้พี่ภูสัมภาษณ์คนๆหนึ่ง เพราะผมคิดว่าเขาน่าจะเหมาะกับงานนี้มากกว่ายัยมอลลี่น่ะสิครับ ที่สำคัญสวยกว่ายัยนี่เยอะ” วิทวัสพูดด้วยตาเป็นประกาย
สุพัฒนานั่งคุยกับมัลลิกาอยู่ภายในห้องพักที่โรงพยาบาล มัลลิกาได้ยินเรื่องจากเพื่อนก็หัวเราะร่วน
“ต๊าย...มีกฎแบบนี้ด้วยเหรอ ห้ามคนหน้าตาสวยมาทำงานในไร่”
“คุณเล็กตั้งกฎเองแหล่ะ คิดดูสิ ถ้าขืนปล่อยให้พวกผู้หญิงสวยๆมาทำงานได้คนงานผู้ชายก็ไม่มีสมาธิทำงานกันพอดี” สุพัฒนาบอก
“ไม่ใช่มั้ง มอลลี่ว่าคุณเล็กกลัวพวกนั้นจะมาจับพี่ชายของคุณเล็กมากกว่า”
สุพัฒนาทำเป็นค้อน “แหม...รู้ทันจริงนะ”
“แบบนี้มอลลี่ก็ไม่ควรไปทำงานที่นั่นนะ เพราะมอลลี่สวย......มาก” มัลลิกาเน้นคำ
“มอลลี่น่ะนอกจากจะเป็นข้อยกเว้นแล้ว มอลลี่ต้องสวยทุกวันด้วยนะ พี่ภูจะได้รักได้หลงชนิดที่ลืมนังเจ้าน้อยไปเลย”
“แสดงว่าเจ้าน้อยอะไรนี่ก็สวยเหมือนกันสิ” มัลลิกาถาม
“สวยสู้มอลลี่ไม่ได้ แถมรวยก็ไม่เท่า พูดง่ายๆว่าไม่ผ่าน คนดีๆอย่างพี่ภูน่ะไม่เหมาะกับแม่นั่นหรอก”
“คุณเล็กพูดถึงแต่พี่ภู ไม่เห็นคุยเรื่องพี่วัสบ้างเลย หรือเขามีแฟนแล้ว” มัลลิกาถาม
“ก็ลองดูสิ ถ้าพี่ภูกับคุณเล็กไม่ยอมซะอย่าง ผู้หญิงหน้าไหนก็มาจับพี่วัสไม่ได้” สุพัฒนาบอก
“แสดงว่าเคยมีมาแล้ว”
สุพัฒนาพยักหน้ารับแล้วสงสัย “เอ๊ะ...ทำไมถามแต่พี่วัสอ่ะ”
มัลลิกายิ้มกลบเกลื่อนพร้อมยักไหล่เหมือนไม่มีอะไร
ที่โต๊ะอาหารบ้านของพิสุทธิ์ นริศราที่ได้รับเชิญมาเป็นแขกร่วมรับประทานอาหารกับพ่อและแม่ของพิสุทธิ์
“เห็นโป๊ะบอกว่าคุณพ่อหนูเสียเลยต้องลาเรียนกลับมา” พ่อของพิสุทธิ์ถาม
“ค่ะ” นริศราตอบ
“แล้วทำไมจะต้องหางานทำล่ะ น่าจะกลับไปเรียนต่อให้จบ”
“หนูต้องทำงานเก็บเงินก่อนค่ะ”
“แบบนี้นี่เอง ก็เลยต้องมาพึ่งโป๊ะ” แม่ของพิสุทธิ์พูดขึ้นทำเอานริศราสะอึกทันทีแต่ก็พยายามยิ้มให้
“ฉันเข้าใจนะ คนที่พยายามหาทางไปเรียนเมืองนอกก็อยากได้เพื่อนได้สังคมดีๆ” แม่ของพิสุทธิ์พูด “โป๊ะเองก็มีคนอยากมาสนิทด้วยเยอะ ก็ต้องช่วยๆกันดู ยิ่งคนสมัยนี้.......ดูยาก”
แม่ของพิสุทธิ์พูดจบก็ไม่มองหน้านริศราแต่หันไปกินข้าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย พิสุทธิ์จึงรีบดึงกลับเข้าเรื่องทันที “ตกลงคุณพ่อคิดว่านิดควรจะทำตำแหน่งอะไรดีครับ ถึงตอนนี้จะยังไม่จบแต่ว่านิดเรียนเก่งมาก ทั้งเกรดทั้งภาษานิดเขาก็ดีกว่าผมเยอะ ให้นิดเป็นเลขาสิครับ”
“ตำแหน่งเลขาผู้บริหารทุกคนของบริษัทเรายังไม่มีว่าง” พ่อของพิสุทธิ์ตอบทันที
“แล้วตำแหน่งอื่นละครับ” พิสุทธิ์ถามต่อ
“ตำแหน่งอื่นก็คงจะยาก ที่จริงก็คงยากทุกตำแหน่ง เพราะหนูคนนี้ยังเรียนไม่จบถ้าฝ่ายบุคคลรู้ว่าพ่อเอาคนไม่มีวุฒิมาทำงาน ถึงจะเป็นบริษัทของเรา แต่มันก็จะดูไม่ดี”
“ผมไม่เข้าใจ เพื่อนคุณพ่อคุณแม่ก็ยังฝากคนมาทำงานกับเราตั้งหลาย ทำไมผมฝากนิดไม่ได้”
แม่ของพิสุทธิ์เสียงเข้มขึ้นทันที “โป๊ะ...คุณพ่อว่าไม่ได้ก็คือไม่ได้สิ อยากทำให้คุณพ่อเสียผู้ใหญ่เหรอ”
พิสุทธิ์มีสีหน้าหงุดหงิดและจะอ้าปากพูด แต่นริศรารีบห้ามทันที
“โป๊ะ....ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจท่านทั้งสองดี”
พิสุทธิ์ถอนใจด้วยความเครียด เขามองนริศราอย่างสงสาร นริศรายิ้มรับ พ่อกับแม่ของพิสุทธิ์มองเด็กทั้งสองด้วยสายตาไม่พอใจ
นริศรากับพิสุทธิ์เดินออกมาถึงหน้าบ้าน โดยมีพ่อกับแม่ของพิสุทธิ์เดินออกมาส่งด้วย นริศราไหว้พ่อกับแม่ของพิสุทธิ์แล้วเอ่ยขอบคุณ
“ขอบคุณมากนะคะที่ให้โอกาสหนูมาคุย”
พิสุทธิ์ทำท่าจะพานริศราเดินไปแต่แม่ของเขาเรียกไว้
“ที่จริงให้คนรถไปส่งเพื่อนโป๊ะคนนี้ก็ได้นะ”
“ผมไปรับนิดมาก็ต้องพาไปส่งสิครับ” พิสุทธิ์บอก
“เรากลับเองได้” นริศราบอก
“ไม่ได้ ยังไงเราก็ต้องไปส่ง” พิสุทธิ์ยืนกราน แล้วเขาก็พานริศราเดินไปขึ้นรถแล้วขับออกไปทันที
พ่อกับแม่ของพิสุทธิ์ยืนมองอยู่ที่เดิม
“ฉันไม่ชอบเด็กคนนี้เลย เหมือนจะทิ้งเรียนมาจับตาโป๊ะของเราเลยนะคะ” แม่พูดขึ้น
“ดูๆลูกเราไว้ด้วยแล้วกัน อนาคตเจ้าโป๊ะมันยังอีกไกล” พ่อของพิสุทธิ์บอก
พิสุทธิ์ขับรถมาตามทางที่ทอดยาว นริศรานั่งเงียบมาตลอดทาง ส่วนพิสุทธิ์ก็ขับรถด้วยความเครียด
“เราไม่เข้าใจจริงๆว่าทำไมมันเป็นแบบนี้ ถ้าคิดว่าจะไม่รับแล้วจะให้นิดมาทำไม” พิสุทธิ์โพล่งออกมา
“คุณพ่อคุณแม่โป๊ะคงอยากบอกอะไรกับเรา”
พิสุทธิ์งง “บอกอะไร ทำไมเราไม่รู้เรื่อง”
“คุณพ่อคุณแม่โป๊ะท่านไม่ได้ต้องการให้งาน แต่ท่านต้องการเรียกเรามาเตือนว่าอย่ามายุ่งกับลูกชายสุดที่รักของท่านมั้ง” นริศราพูดถึงสิ่งที่เธอรู้สึกได้
“นิด.....เราขอโทษนะที่ช่วยนิดไม่ได้ แถมคุณพ่อคุณแม่ยังมาทำแบบนี้อีก”
นริศรายิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก ยังไงเราก็ขอบคุณโป๊ะนะที่อุตส่าห์มีน้ำใจกับเรา”
“เพราะนิดเป็นคนพิเศษของเราไง”
พิสุทธิ์หันมายิ้มจริงใจให้นริศรา
นริศรารีบพูดกลบเกลื่อน “นี่คุณโป๊ะ....วันหลังเราไปไหนด้วยกันเราจะไม่กินของหวานแล้วนะ”
“เอ้า...พูดจากใจจริงก็หาว่าปากหวานซะงั้น”
ทั้งคู่หัวเราะออกมาด้วยกัน
ลัคนาช่วยนุ้ยกับนุ่นจัดกระเป๋าตามตารางสอนเพื่อไปโรงเรียนวันรุ่งขึ้นอยู่ภายในห้องนอน
นุ่นปิดกระเป๋า “ของนุ่นเสร็จแล้วค่ะ”
“ดีมากลูก” ลัคนาชมแล้วดูตารางก่อนจะหันไปหานุ้ย “นุ้ย ลืมชุดพละหรือเปล่า”
นุ้ยลุกขึ้นไปหยิบเสื้อในตู้แล้วมองไปนอกหน้าต่าง
“อานิดกลับมาแล้ว”
นุ่นรีบวิ่งไปดูที่หน้าต่างด้วยความดีใจ
“เอ๊ะ...ใครมาส่งอานิดอ่ะพี่นุ้ย”
“เพื่อนอานิดที่มางานศพคุณปู่ไง” นุ้ยบอกน้องสาว
ลัคนาหูผึ่งรีบเดินมาดูทันที สามแม่ลูกมองไปที่หน้าบ้านเห็นนริศรากำลังยืนคุยกับพิสุทธิ์อยู่
นริศรายืนคุยกับพิสุทธิ์อยู่ที่หน้ารั้วบ้าน
“ขอบใจมากนะโป๊ะ ขับรถกลับบ้านดีๆล่ะ”
พิสุทธิ์เดินเข้ามาใกล้นริศรา
“เมื่อกี้ที่เราบอกนิดว่านิดเป็นคนพิเศษของเรา เราหมายความอย่างนั้นจริงๆนะ”
“นี่...จะมาหวานต่อเนื่องอีกเหรอ” นริศราพูดทีเล่นทีจริง
“นิด เรารู้ว่าวันนี้เราเป็นได้แค่เพื่อนนิด แต่อนาคตเราจะเปลี่ยนเป็นคนรักของนิดให้ได้ ยังไงเราก็ไม่ยอมแพ้หรอก”
นริศราไม่รู้จะตอบอะไรจึงได้แต่ยิ้มรับ พิสุทธิ์ยิ้มให้แล้วขึ้นรถขับออกไป นริศราโบกมือส่ง
นริศราเดินเข้ามาในห้องรับแขกก็เห็นลัคนายืนรออยู่
“นี่เป็นวิธีการหางานของนิดเหรอ” ลัคนาถามด้วยเสียงเย้ยหยัน
“พี่นาหมายถึงอะไรคะ” นริศรางง
“ก็ที่นิดทำอยู่น่ะสิ ปากบอกไปหางาน แต่กลับมาค่ำๆมืดๆมีผู้ชายมาส่ง พี่จะไปรู้เหรอว่านิดไปหางานหรือไปทำอะไรกับใคร
นริศราโกรธ “พี่นาคะ กรุณาให้เกียรตินิดด้วยนะคะ”
“ก็เพราะให้เกียรติ พี่ถึงได้คอยเตือนเธอไง ไม่อยากให้ใครมาว่าได้ว่าลูกสาว พล.อ. ณัฐ ทำตัวไม่ดี”
“คนอื่นว่าน่ะไม่เท่าไหร่หรอกค่ะ แต่พี่นาเป็นสะใภ้บ้านนี้ไม่ควรแม้แต่จะคิดนะคะ”
“นิด อย่าก้าวร้าวกับพี่นะ”
“เปล่าค่ะ นิดแค่ปกป้องศักดิ์ศรีของนิดเท่านั้น”
ลัคนายิ้มเยาะ “ฮึ....ถ้าเธอมีศักดิ์ศรีมากมายนักก็ช่วยหางานให้ได้เร็วๆนะ เพราะศักดิ์ศรีของเธอมันเปลืองเงินของครอบครัวพี่”
ทันใดนั้น นุ้ยกับนุ่นก็เดินลงมายืนดูทั้งสองคุยกันตาแป๋ว
“คุณแม่กับอานิดทะเลาะกันเหรอคะ” นุ่นถามขึ้น
“เอ่อ...เปล่าค่ะ แค่คุยกันนิดหน่อย” นริศรารีบบอก
“คุยกันทำไมเสียงดังจังครับ” นุ้ยสงสัย
นริศราจะเดินมาหาหลานแต่ลัคนารีบเดินไปจับมือเด็กทั้งคู่แล้วดึงเอาไว้
“ขอโทษนะดึกแล้วพี่ต้องพาหลานขึ้นนอน”
ลัคนารีบจูงลูกทั้งสองขึ้นบันไดแต่ก็แกล้งพูดลอยๆให้นริศราได้ยิน
“คุณแม่บอกแล้วไงคะให้อยู่ห่างๆอานิด คนไม่ทำงานทำการน่ะไม่น่ารักหรอกรู้ไหม”
นริศราได้ยินก็ได้แต่ถอนใจ
เช้าวันใหม่ ภูชิชย์นั่งมองวิทวัสเปิดแฟ้มเลือกคนด้วยความหงุดหงิดอยู่ในห้องทำงาน บนโต๊ะมีแฟ้มอยู่หลายแฟ้ม แต่ภูชิชย์ยังงงเพราะไม่เข้าใจว่าวิทวัสทำอะไร
“ไม่ใช่....นี่ก็ไม่ใช่” วิทวัสส่งแฟ้มคืนให้พนักงาน “แฟ้มอื่นไม่มีแล้วเหรอ”
“แต่พวกนี้เป็นแฟ้มที่คุณวัสเลือกๆไว้เพื่อจะเรียกมาสัมภาษณ์รอบสองนะคะ” พนักงานบอก
วิทวัสถอนใจด้วยความเซ็ง เขาพยายามคิดจนภูชิชย์ที่คอยอยู่ชักสงสัย
“ไม่ต้องเลือกมากหรอก ที่จริงฉันว่าใครก็ได้นะ ขอแค่ให้อยากทำงานกับเราก็น่าจะพอ” ภูชิชย์บอก
“ไม่ได้ครับพี่ภู ขืนเลือกสุ่มสี่สุ่มห้าคุณเล็กก็จะอ้างว่ายัยมอลลี่คุณสมบัติดีกว่า”
ภูชิชย์ส่ายหน้าอย่างระอาใจ วิทวัสยังเปิดแฟ้มค้นต่อไป
“คุณวัสต้องการคนไหนคะ เผื่อดิฉันพอจะจำได้” พนักงานถาม
“ก็คนสวยๆที่มาช่วงบ่าย” วิทวัสบอก
พนักงานพยายามนึก “อ๋อ...จำได้แล้วค่ะ เอ๊ะ...แต่วันนั้นคุณวัสไม่เลือกเธอนี่คะ ดิฉันเลยใส่ไว้ในแฟ้มที่เราคัดออก”
“นั่นแหล่ะ ใช่เลย ไปตามมาด่วน เป็นไปได้บอกให้มาภายในหนึ่งชั่วโมงถ้าเขายังอยากทำงานกับเรา” วิทวัสสั่ง
พนักงานกับภูชิชย์มองหน้าวิทวัสอย่างงงๆ แล้วพนักงานก็รีบรวบแฟ้มบนโต๊ะก่อนจะเดินออกไป
“นี่นายจะเอาคนที่ไม่ผ่านรอบแรกมาแข่งกับคนของคุณเล็กงั้นเหรอ” ภูชิชย์ข้องใจ
วิทวัสยิ้มเจ้าเล่ห์ ภูชิชย์ยังงงเพราะตามน้องชายไม่ทัน
นริศรารีบแต่งหน้าทำผมอย่างรวดเร็วแบบทำไปบ่นไปอยู่ภายในห้องนอนของเธอ
“อะไรกัน นึกจะเรียกก็เรียก จะให้ทำตำแหน่งอะไร เงินเดือนอะไรก็ไม่บอก แล้วหนึ่งชั่วโมงจะไปทันไหมเนี่ย”
นริศราตรวจดูความเรียบร้อยของตัวเองอย่างรวดเร็วแล้วรีบวิ่งออกไปทันที
เพียงครู่เดียวเธอก็เปิดห้องวิ่งกลับมาเอากระเป๋าสตางค์แล้ววิ่งออกไป
อีกครู่ใหญ่ๆ เธอก็วิ่งกลับมาเปิดลิ้นชักหาโทรศัพท์มือถือก่อนจะเจอว่าวางอยู่บนเตียงแล้วรีบวิ่งไป
นริศราหอบเอกสาร กระเป๋าถือ ส่วนอีกมือหิ้วรองเท้าพะรุงพะรังออกมาหน้าบ้าน เธอใส่รองเท้าอย่างรวดเร็วแล้วก็ต้องตกใจที่เห็นว่ารถของเธอไม่ได้อยู่ในโรงรถ นริศรารีบหยิบโทรศัพท์มาโทรออกทันที
“พี่นาคะ ทราบไหมคะว่ารถนิดหายไปไหน”
ลัคนาที่กำลังขับรถอยู่รับสายแล้วคุยโทรศัพท์กับนริศราไปด้วย
“อ๋อ..พี่เอามาใช้เองหนะ”
“อ้าว...แล้วรถพี่นาหละคะ”
“พี่ขายเต้นท์ไปแล้ว”
นริศราตกใจ “ขายแล้ว นี่พี่กำลังทำอะไร”
“พี่ว่าบ้านเรามีรถสองคันมันมากเกินไป ตอนนี้นิดก็ไม่ได้มีรายได้เข้าบ้าน พี่จำเป็นต้องตัดค่าใช้จ่าย หวังว่านิดคงเข้าใจนะ”
“แต่ตอนนี้นิดต้องใช้รถนะคะ”
“พี่ก็ต้องใช้เหมือนกัน แค่นี้ก่อนนะพี่ต้องรีบไปหาเพื่อน”
ลัคนาวางสายแล้วยิ้มอย่างร้ายกาจ
นริศราดูเวลาแล้วรีบวิ่งออกไปทันที
รถรามากมายเต็มท้องถนนในกรุงเทพฯ นริศรายืนรอโบกรถแท็กซี่อยู่ที่ริมฟุตบาท แต่พอบอกสถานที่คนขับแท็กซี่ทุกคันก็ส่ายหน้าจนนริศราอารมณ์เสีย
“โอ๊ย...ให้มันได้อย่างนี้สิ ทำไมไม่ยอมไปกันนะ”
นริศราก้มดูเวลาแล้วก็ต้องตกใจ
“อีกครึ่งชั่วโมงเอง”
นริศราเห็นมอเตอร์ไซด์รับจ้างคันหนึ่งแล่นมาแต่ไกล เธอตัดสินใจรีบโบกมือเรียกทันที
“ไปซอยวัชรพลค่ะ” นริศราพูดเมื่อมอเตอร์ไซด์จอดตรงหน้า
“มันไกลมากเลยนะน้อง” คนขี่มอเตอร์ไซด์บอก
“ไกลแค่ไหนแพงเท่าไหร่ก็ไปค่ะ ขอให้ถึงภายในครึ่งชั่วโมง”
“ได้เลยเดี๋ยวพี่จัดให้”
คนขี่ส่งหมวกกันน๊อคให้นริศรา เธอเอามือลูบผมเพราะกลัวเสียทรง
“พี่คะ หนูไม่ใส่ได้ไหมคะ พอดีจะไปสัมภาษณ์งาน”
“งั้นพี่จะขับหลบๆตำรวจแล้วกัน” คนขี่บอก
นริศรารีบก้าวขึ้นไปนั่ง รถมอเตอร์ไซด์กระชากออกไปอย่างรวดเร็ว
นาฬิกาแขวนผนังภายในห้องทำงานของวิทวัสบอกเวลา 09:30 น. ภูชิชย์ที่นั่งอยู่ในห้องเริ่มอารมณ์เสียเนื่องจากนั่งรอสมภาษณ์นานแล้วแต่นริศราก็ยังไม่มา
“นี่มันครบชั่วโมงแล้วนะ ฉันว่าคนที่นายเลือกคงไม่มาแล้วหละ”
วิทวัสหน้าเสีย ทันใดนั้นเสียงโทรศัพท์มือถือของภูชิชย์ก็ดังขึ้น ที่หน้าจอขึ้นชื่อนิพนธ์ ภูชิชย์รีบกดรับสายทันที
“ว่าไงนิพนธ์...มีอะไรหรือเปล่า”
นิพนธ์คุยโทรศัพท์อยู่ที่ไร่สุพัฒนา
“ทางหอการค้าจังหวัดขอเชิญพ่อเลี้ยงประชุมด่วนพรุ่งนี้ตอนแปดโมงเช้าครับ”
“ประชุมเรื่องอะไร” ภูชิชย์ถาม
“ยังไม่ได้แจ้งครับ บอกแต่ว่าเป็นเรื่องสำคัญและท่านผู้ว่าฯก็จะเข้าประชุมด้วย”
“ได้ คุณตอบรับไปเลยนะ ผมจะกลับวันนี้เลย”
ภูชิชย์บอกแล้ววางสายจากนั้นก็ลุกขึ้นทำท่าจะกลับไร่
“พี่ต้องกลับไร่วันนี้เลย เดี๋ยวพี่จะรีบไปบอกคุณเล็ก นายช่วยให้คนจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินด้วยนะ”
“แล้วนัดสัมภาษณ์ล่ะครับ” วิทวัสถาม
“ยกเลิกไปเถอะ พี่คงไม่มีเวลาแล้ว”
“พี่ภู....นี่พี่จะยอมทำงานกับยัยมอลลี่เหรอครับ” วิทวัสสงสัย
“คนของนายมาสาย”
ภูชิชย์ตบไหล่วิทวัสแล้วเดินออกไป วิทวัสทำหน้าเซ็งๆ
ภูชิชย์เดินจ้ำอย่างเร่งรีบมาขึ้นรถที่จอดอยู่ที่หน้าบริษัทของวิทวัส แล้วก็รีบสตาร์ทขับออกไปทันที
รถมอเตอร์ไซด์รับจ้างแล่นเข้ามาจากถนนใหญ่หน้าบริษัทพอดี
“เลี้ยวตรงมุมถนนนั่นเลยค่ะพี่” นริศราบอกคนขี่
จังหวะนั้นรถของภูชิชย์กับกับมอเตอร์ไซด์รับจ้างก็มาชนกันตรงทางเลี้ยวพอดี
“พี่...ระวัง....กรี๊ด” นริศราตกใจ
รถมอเตอร์ไซด์หักหลบ ภูชิชย์รีบเบรกรถแต่ล้อหน้าของมอเตอร์ไซค์ก็ชนกับรถของภูชิชย์จนเสียหลักล้มลง นริศราหล่นจากรถไปกองอยู่ที่พื้น
ภูชิชย์เปิดประตูลงมาดูด้วยความตกใจ เขารีบวิ่งไปดูนริศรากับคนขี่มอเตอร์ไซด์ที่ล้มฟุบอยู่ที่พื้น แล้วรีบช่วยประคองให้ลุกขึ้น
“เป็นยังไงบ้างครับ”
นริศราพูดทั้งๆ ที่ยังก้มหน้าอยู่ “นี่คุณขับรถภาษาอะไร”
นริศราเงยหน้าขึ้นมาแล้วพอเห็นเป็นภูชิชย์ก็ตกใจมาก ส่วนภูชิชย์ก็ตกใจเช่นกัน
“ว๊าย....คุณเองเหรอเนี่ย!”
“โอ๊ย...ทำไมซวยอย่างนี้”
นริศราสะบัดแขนออกจากมือของภูชิชย์ “พูดให้ดีๆนะ ฉันต่างหากที่จะต้องซวยแต่เช้าที่มาเจอคุณ”
นริศรารีบเก็บของแล้วลุกขึ้น คนขี่มอเตอร์ไซด์กับภูชิชย์รีบลุกตาม
“ตกลงจะรับผิดชอบยังไงก็ว่ามา ฉันจะได้รีบไป”
“จะให้รับผิดอะไร ก็ฝ่ายเธอเป็นคนผิดชัดๆ” ภูชิชย์รีบบอก
“อ้าวพี่ทำไมพูดอย่างนี้ล่ะ” คนขี่มอเตอร์ไซด์งง
“ก็จริงไหมล่ะ เลี้ยวพรวดพราดมาแบบนี้ใครจะเห็น” ภูชิชย์บอก
“แต่รถใหญ่ยังไงก็ผิด คุณต้องจ่ายค่าเสียหายให้เราสองคน”
“ขับรถมาชนฉันเอง แล้วยังกล้ามาเรียกร้องเอาค่าเสียหายเหรอ” ภูชิชย์นึกขึ้นได้ “เอ๊ะๆๆ นี่หากินกันเป็นทีมหรือเปล่า”
“นี่ชนฉันแล้วยังมาด่าฉันอีกเหรอ” นริศราฉุน
“พูดจาแบบนี้ลุยเลยดีกว่า” คนขี่มอเตอร์ไซด์กำหมัด
นริศราเงื้อกระเป๋าจะฟาดภูชิชย์ คนขี่มอเตอร์ไซด์ก็เงื้อมือจะชก ภูชิชย์จ้องหน้าแล้วยิ้มกวนท้าทาย “เอาสิ จะได้โดนข้อหาทำร้ายร่างกายอีกข้อ”
นริศรากับคนขี่มอเตอร์ไซด์ชะงักทันที
“ถ้าพวกเธอไม่เป็นอะไรมากก็แยกย้ายกันไป ตกลงไหม” ภูชิชย์พูด
“ไม่” นริศรากับคนขี่มอเตอร์ไซด์ตอบพร้อมกัน
“อุวะ...แล้วจะเอายังไง”
“ตกลงกันได้หรือยังครับ” เสียงของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นจากด้านหลังของทั้งสามคน
ทั้งสามหันไปก็เห็นตำรวจจราจรยืนอยู่
“พวกคุณกำลังกีดขวางทางจราจรนะครับ” ตำรวจบอก
ตำรวจกำลังเขียนเอกสารลงบันทึกประจำวันอยู่ที่สถานีตำรวจ โดยมีภูชิชย์ นริศรา คนขี่มอเตอร์ไซด์นั่งคอยอยู่ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี
“คุณภูชิชย์ ตกลงคุณจะจ่ายค่าทำขวัญให้กับคุณนริศราและคุณสมานคนละ ห้าพันบาทนะครับ”
“มากันเป็นทีมขนาดนี้ผมก็ต้องจ่ายละครับ” ภูชิชย์กล่าวหน้าจ๋อย
“นี่...อยากโดนข้อหาหมิ่นประมาทอีกข้อเหรอ” นริศราขู่
ภูชิชย์มองหน้านริศราด้วยความเจ็บใจแต่ก็เงียบเพราะเถียงไม่ออก ตำรวจเอาสมุดบันทึกประจำวันและบัตรประชาชนของทั้งสามไปถ่ายเอกสารแล้วเอามาคืนทั้งสามคน
ตำรวจพูดกับภูชิชย์ “งั้นเดี๋ยวคุณไปจ่ายค่าปรับข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับบาดเจ็บ แล้วก็จ่ายค่าทำขวัญให้คุณนริศรากับคุณสมานเท่านี้ก็เรียบร้อย”
นริศราไหว้ตำรวจอย่างสวยงาม “ขอบคุณๆตำรวจมากนะคะ เป็นที่พึ่งของประชาชนคนดีๆอย่างพวกดิฉันได้จริงๆ”
นริศรากับคนขี่มอเตอร์ไซด์ยิ้มเยาะใส่ภูชิชย์แล้วก็จะลุกไป
ภูชิชย์พูดเสียงดังกับตำรวจเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ “คุณตำรวจครับ ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคุณนริศราไม่ได้สวมหมวกกันน๊อค แบบนี้ต้องโดนปรับด้วยใช่ไหมครับ”
นริศราชะงักแล้วยิ้มเจื่อนมองตำรวจ ตำรวจผายมือให้เธอลงนั่งอีกครั้ง นริศราลงนั่งช้าๆ แล้วหันไปมองภูชิชย์ด้วยความเจ็บใจ
ทั้งสามเดินลงมาจากโรงพัก คนขี่มอเตอร์ไซด์พูดกับนริศรา “เดี๋ยวผมเอารถไปซ่อมก่อนนะครับ”
นริศราพยักหน้ารับ คนขี่มอเตอร์ไซด์เดินแยกไป นริศราจะเดินไปภูชิชย์แกล้งพูดขึ้นมาลอยๆ
“หวังว่าคราวหน้าฉันคงไม่โชคร้ายเจอเธออีกนะ”
นริศรายิ้มกวนๆ “สำหรับฉันน่ะไม่มีแน่นอน แต่คุณน่ะสิ”
“ฉันทำไม”
“ถ้าคุณยังมีชีวิตคอยเดินเพ่นพ่านพบปะผู้คนอยู่แบบนี้ คงมีคนที่จะรับเคราะห์ร้ายอย่างฉันอีกเยอะเลย บอกตรงๆฉันสงสารคนพวกนั้น” นริศราแขวะ
พูดจบเธอก็เชิดหน้าเรียกรถแท็กซี่ ภูชิชย์ที่มัวแต่อึ้งเพราะถูกด่าเพิ่งได้สติ
“นี่เธอด่าว่าฉันเป็นตัวซวยเหรอ....มาพูดกันให้รู้เรื่องเลย”
นริศรากำลังจะขึ้นรถแท็กซี่ ภูชิชย์รีบวิ่งตามมา นริศราแกล้งเปิดประตูอย่างแรงจนขอบประตูชนเป้าของภูชิชย์เข้าอย่างจังจนจุก
“อุ๊บส์” นริศรายิ้มกวน
แล้วเธอก็ขึ้นรถแท็กซี่ออกไปทันที ทิ้งให้ภูชิชย์นั่งกองอยู่กับพื้นแล้วมองตามด้วยความเจ็บใจ
“เจอเธอทีไรฉันเจ็บตัวทุกทีตกลงใครกันแน่ที่เป็นตัวซวย อูย” ภูชิชย์เอามือกุมเป้า
ภูชิชย์พยุงร่างขึ้นมาแล้วเดินหนีบๆ กลับไปขึ้นรถอย่างยากลำบาก
อ่านต่อหน้า 4
ร่วมพูดคุย ถก เถียง แสดงความคิดเห็นเรื่องละครอย่างสร้างสรรค์ หรือจะด่าทอ ต่อว่า...ทีมงานได้ที่ แฟนเพจละครออนไลน์ facebook.com/ละครออนไลน์ เอเอสทีวี ได้แล้วจร้า...
รักประกาศิต ตอนที่ 1 (ต่อ)
หลังจากได้ฟังเรื่องราวจากปากนริศราจบลง วิทวัสก็นั่งมองเธออย่างนิ่งคิดพิจารณา
“เรื่องทั้งหมดก็เป็นอย่างที่เล่าล่ะค่ะ ถ้าไม่เกิดอุบัติเหตุดิฉันคงไม่มาสาย” นริศรายกมือไหว้ “ดิฉันขอโทษจริงๆ” นริศราวางกระดาษลงบนโต๊ะ “นี่เป็นสำเนาการลงบันทึกประจำวันค่ะ”
วิทวัสไม่อ่าน เขาหยิบกระดาษส่งคืนให้นริศรา
“ผมเชื่อใจคุณครับ ชีวิตก็อย่างนี้ยิ่งรีบก็ยิ่งมีอุปสรรค”
“คิดแล้วยังโมโหคู่กรณีดิฉันเลยนะคะ หน้าตาก็ดี...ไม่สิ...ไม่เห็นจะดีเลย ขนาดตำรวจบอกว่าผิดยังมาหาว่าดิฉันเป็นมิจฉาชีพอีก ถ้ามีเวลาจะแจ้งความหมิ่นประมาทอีกสักกระทง” นริศราใส่เป็นชุด
“ช่างมันเถอะครับ เรื่องมันผ่านไปแล้ว” วิทวัสบอก
นริศราอึ้ง “นี่หมายความว่าสิทธิ์การสัมภาษณ์ของดิฉันผ่านไปด้วยหรือเปล่าคะ”
“ครับ” วิทวัสตอบสั้นๆ
นริศราฝืนยิ้ม “ดิฉันก็ทำใจไว้บ้างแล้วค่ะ สายสองชั่วโมงใครจะรับเข้าทำงาน”
“แต่ผมรับครับ” วิทวัสพูด
นริศราตกใจ “อะไรนะคะ”
“ผมจะรับคุณเข้าทำงาน เพราะชอบที่คุณไม่เกี่ยงงาน ยิ่งได้ฟังเรื่องเมื่อเช้าผมว่าคุณเข้มแข็งและสู้คน ผมเชื่อว่าคุณจะทำงานให้เราได้”
“แล้วเรื่องวุฒิการศึกษาล่ะคะ”
“ผมไม่สนหรอกครับ ถ้าคุณคิดว่าจะไปทำอยู่ที่ไร่ของเราที่จังหวัดลำพูน เงินเดือนหนึ่งหมื่นห้าพันบาท พร้อมอาหารทุกมื้อและที่พัก คุณว่ายังไงครับ”
นริศราดีใจ “ขอบคุณมากค่ะ” นริศรายกมือไหว้
“คุณจะเริ่มงานกับเราอย่างเร็วที่สุดเมื่อไหร่ครับ” วิทวัสถาม
“พรุ่งนี้เลยก็ได้ค่ะ”
วิทวัสหัวเราะชอบใจ “นี่แหล่ะคนที่ผมต้องการ งั้นผมจะให้คนจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินแล้วจะนัดหมายเวลากับคุณนะครับ”
วิทวัสกับนริศรายิ้มให้กัน
สุพัฒนาวางแก้วกาแฟลงโต๊ะที่อยู่ในห้องพักที่โรงพยาบาลอย่างไม่พอใจ
“รีบกลับไปประชุมหรือนังเจ้าน้อยมันตามตัวกลับกันแน่คะ”
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเจ้าน้อย พี่จะไปประชุมจริงๆ” ภูชิชย์บอก
“ไม่เอาอ่ะ ยังไงคุณเล็กก็ไม่ให้พี่ภูกลับ”
“คุณเล็กอย่าดื้อสิ” ภูชิชย์ลูบหัวน้องสาว “พี่เองก็ไม่ได้อยากทิ้งคุณเล็กนะ”
“ฮึ...ไม่อยากทิ้งแต่ก็ทิ้ง”
ภูชิชย์ยิ้มแล้วปลอบ “เอางี้ไหม ถ้าหมออนุญาตเมื่อไหร่พี่จะรีบมารับคุณเล็กกลับไร่ทันที”
สุพัฒนาทำสีหน้าครุ่นคิดแล้วเปลี่ยนเป็นยิ้มกว้าง
“งั้นก็ให้มอลลี่ไปกับพี่ภูวันพรุ่งนี้เลยนะคะ”
ภูชิชย์นิ่งไปด้วยความอึดอัด
“พี่ภูรับปากสิคะ ไม่อย่างนั้นคุณเล็กจะกลับไปกับพี่ภูนะ” สุพัฒนารบเร้า
“จ๊ะ..พี่รับปาก” ภูชิชย์ตอบรับ
สุพัฒนายิ้มพอใจแล้วรีบต่อสายหามัลลิกา
“มอลลี่ เดี๋ยวรีบไปที่บริษัทนะ ไปบอกพี่วัสให้จัดการเรื่องตั๋วเครื่องบินไปเชียงใหม่ ก็ใช่น่ะสิ คุณเล็กจะให้บินไปกับพี่ภูวันพรุ่งนี้เลย”
ภูชิชย์มองน้องสาวแล้วก็ถอนใจด้วยความเครียด
มัลลิกาที่กำลังนั่งคุยกับวิทวัสในห้องทำงานของเขามีสีหน้าดีใจมาก
“นี่พี่วัสจะให้มอลลี่เป็นเลขาของพี่เหรอคะ?”
“ครับ หรือมอลลี่อยากไปทำงานที่ไร่กับพี่ภู” วิทวัสถาม
“จริงๆแล้วจะทำงานกับพี่ภูหรือพี่วัสมอลลี่ก็ไม่เกี่ยงหรอกค่ะ เพราะว่าหล่อพอกัน” มัลลิกาตอบ
“อะไรนะครับ”
“เอ่อ..มอลลี่บอกว่าพี่สองคนเก่งพอกัน มอลลี่ทำงานกับใครก็ได้ค่ะ แต่ถ้าพี่วัสเสนอมาแบบนี้มอลลี่ขอทำงานที่นี่ดีกว่า มอลลี่ไม่อยากไปอยู่ไร่กลัวผิวเสีย อีกอย่างพี่วัสดูมีเสน่ห์น่าทำงานด้วยมากกว่าพี่ภูเยอะเลย”
“ถ้างั้นมอลลี่พร้อมทำงานเมื่อไหร่ก็มาแล้วกันนะครับ”
“พรุ่งนี้เลยก็ได้ค่ะ” มัลลิกาตอบ
วิทวัสตกใจ “พรุ่งนี้เลยเหรอครับ”
มัลลิกาพยักหน้ารับ “ค่ะ แต่ตอนนี้มอลลี่ขอไปช้อปปิ้งเสื้อผ้ากระเป๋าร้องเท้าสำหรับใส่ทำงานก่อนนะคะ”
มัลลิกายิ้มหวานก่อนเดินออกจากห้องไป วิทวัสมองตามแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์
“ถ้าได้แต่งงานกับเจ้าน้อยเมื่อไหร่ก็มาขอบคุณผมแล้วกันนะพี่ภู”
นริศรานั่งคุยกับพิสุทธิ์อยู่ที่ริมสระน้ำในสวนสาธารณะ
“นิดแน่ใจแล้วเหรอที่ตัดสินใจแบบนี้”
นริศราพยักหน้า “เพราะถึงตอนนี้แล้วเราต้องยืนด้วยตัวเองให้ได้ พี่นาจะได้ไม่ว่าเราว่าเราเอาเปรียบใคร”
พิสุทธิ์ถอนใจ “นิดไปอยู่ตั้งไกลแบบนี้จะเจอกันได้ยังไง”
“อีกไม่นานโป๊ะก็ต้องกลับไปเรียน ยังไงก็ต้องจากกันอยู่ดี”
“แต่มันไม่ควรจะเร็วขนาดนี้”
นริศราเงียบไม่ตอบคำได้แต่ยิ้มแล้วมองขึ้นไปบนฟ้า
“แปลกนะโป๊ะ บางทีชีวิตของเรา แต่มันเหมือนมีใครบางคนประกาศิตสั่งให้มันเป็นแบบนี้ โป๊ะรู้ไหมว่าเป็นใคร”
พิสุทธิ์มองนริศราด้วยความอาลัย
“พรุ่งนี้เช้าเราไปส่งที่สนามบินนะ” พิสุทธิ์พูดเรียบๆ
นริศรานั่งคุยกับลัคนาอยู่ที่โซฟา ห้องรับแขก
“ลำพูนเชียวเหรอ แต่ถ้านิดเลือกจะไปทำงานที่นั่นพี่ก็ไม่ว่าอะไร หวังว่าพี่คงไม่ต้องคอยส่งโน่นส่งนี่ไปให้นะ”
ไม่จำเป็นค่ะ นิดแค่ต้องการมาบอกพี่นาเฉยๆ และนิดก็อยากได้เบอร์โทรศัพท์ของพี่ณะที่สวีเดน พอดีนิดลืมขอ”
ลัคนาอึดอัดเพราะไม่อยากให้จึงพูดบ่ายเบี่ยง
“ช่วงนี้พี่ณะเรียนหนักเลยสั่งห้ามใครติดต่อ”
“นิดแค่จะบอกเรื่องงานเท่านั้นค่ะ พี่นาไม่ต้องห่วงว่านิดจะเล่าอะไรนอกเหนือจากนี้”
ลัคนาลุกขึ้นยืนด้วยความไม่พอใจ ก่อนจะพูดเสียงเข้ม
“ถ้ามีแค่นี้ไว้พี่จะบอกคุณณะเอง”
นริศรามองลัคนาด้วยความสงสัยว่าลัคนาจะมีแผนอะไร
“นิดไม่รบกวนดีกว่าค่ะ ไว้นิดจะหาทางติดต่อพี่ณะเอง”
พูดจบนริศราก็เดินออกไปทันที ลัคนามองตามด้วยความหงุดหงิด
ยามเช้ามืด นริศราขนเป้และกระเป๋าหลายใบออกมาวางหน้าบ้าน ลัคนาในชุดนอนเดินลงมาดู
“ไปแต่เช้าเลยเหรอ” ลัคนาถาม
“ค่ะ” นริศราตอบสั้นๆ
“เดินทางปลอดภัยแล้วกัน”
นริศรายิ้มรับที่มุมปากแล้วขนของออกไป ลัคนายักไหล่ว่าไม่แคร์แล้วก็หาวทำเหมือนจะกลับขึ้นไปนอนแต่พอได้ยินเสียงรถยนต์จึงวิ่งมาแอบดู
ลัคนาเห็นพิสุทธิ์ลงจากรถมาช่วยยกกระเป๋าของนริศราไปใส่รถ ลัคนายิ้มเยาะทันที
“ไปทำงานไร่...เช๊อะ...ไล่ตามผู้ชายละสิ”
นริศรากับพิสุทธิ์นั่งอยู่ในรถ
“ตกลงนิดก็ไม่ได้โทรบอกพี่ชาย” พิสุทธิ์ถาม
“อย่าว่าแต่พี่ณะเลย เอาแค่หลานๆพี่นายังไม่ยอมให้เราเจอเลย” นริศราบอก
“บางทีการที่นิดแยกไปอย่างนี้ก็อาจจะทำให้นิดสบายใจกว่านะ”
“เราก็หวังอย่างนั้น”
“นิด สัญญาอะไรกับเราได้ไหม”
“อะไรเหรอ” นริศราถาม
“ถ้านิดมีปัญหาอะไรก็ตามนิดต้องบอกเราเป็นคนแรกนะ เราจะบินกลับมาหานิดทันที”
นริศราขำ “ได้จ้ะ กลัวแต่ว่าถึงตอนนั้นโป๊ะอาจจะตอบเราว่า” นริศราทำเสียงพิสุทธิ์ “เฮ้ย...นิด เราไปไม่ได้อ่ะ เรากลัวแฟนเข้าใจผิด”
พิสุทธิ์ตีหน้าทะเล้น “แฟนเหรอ....อืม...ไม่แน่นะ”
“นั่นไง...นั่นไง ไม่ทันไรจะทิ้งเพื่อนซะแล้ว”
“ใครว่าล่ะ จะบอกให้นะนายโป๊ะคนนี้จะมีแฟนก็ต่อเมื่อนิดใจอ่อนยอมเป็นแฟนเราเท่านั้น”
พิสุทธิ์พูดจบก็ยิ้มให้ แต่นริศราส่ายหน้าระอาใจ
“นี่จะใจคอจะตื้อเอาโล่ห์เอาถ้วยกันเลยใช่ไหม” นริศราแซว
ทั้งสองคนหัวเราะกันอย่างมีความสุข
ณรงค์นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องของเขาที่สิงคโปร์จนรู้สึกง่วงจึงปิดคอมพิวเตอร์ ปิดไฟ แล้วเดินอย่างอ่อนเพลียไปล้มตัวลงนอนบนเตียง สักพักเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ณรงค์สะดุ้งและรีบเปิดไฟรับสาย
“ณรงค์ speaking.......อ้าว...นาเองเหรอ มีอะไรทำไมโทรมาตอนนี้ นี่มันจะตีหนึ่งแล้วนะ”
ลัคนาโทรศัพท์ไปหาสามีจากบ้านที่เมืองไทย
“แต่นามีเรื่องใหญ่นะคะคุณณะ” ลัคนาทำเสียงตื่นเต้น
“เกิดอะไรขึ้น” ณรงค์ตกใจ
“เมื่อคืนน้องนิดมาบอกนาว่าไม่อยากเรียนต่อแล้ว แต่อยากจะไปทำงานที่ต่างจังหวัด นาไม่เห็นด้วยเลยห้ามแกไว้ แต่พอตอนเช้านาตื่นลงมาก็เห็นมีผู้ชายมารับแกไปแล้วค่ะ”
“ไปแล้ว.....ยัยนิดไปกับใคร” ณรงค์ถาม
“ก็ผู้ชายเพื่อนน้องนิดที่มาตอนเผาจริงคุณพ่อไงคะ”
“แล้วทำไมนาไม่ห้ามนิด”
ลัคนาแกล้งบีบน้ำตาร้องไห้ “ก็เพราะไปห้ามนี่ล่ะค่ะน้องนิดก็มาด่าว่าหาว่านาไม่มีมารยาทไปยุ่งเรื่องคนอื่น”
“มันชักจะมากเกินไปแล้ว ไม่เป็นไรผมจะโทรเข้ามือถือยัยนิดเอง”
ลัคนาตกใจรีบห้ามณรงค์
“ไม่ได้นะคะ นาว่าอย่าโทรไปเลย”
“ทำไมล่ะ”
“นาว่าที่แกทำไปก็คงเพราะยังทำใจเรื่องคุณพ่อไม่ได้ เราควรจะค่อยๆดึงแกลับมาดีกว่านะคะ อีกอย่างนาอยากให้คุณทุ่มเทกับการเรียนจะได้จบไวไว นากับลูกๆคิดถึงคุณนะคะ”
“งั้นนาต้องรายงานให้ผมทราบเป็นระยะนะ”
“ได้ค่ะ คุณไม่ต้องห่วงนะคะ”
ณรงค์ถอนใจ “ถ้าไม่มีอะไรอีกผมขอไปนอนนะ พรุ่งนี้ต้องเรียนเช้า”
“เอ่อ...คุณณะคะ ยังมีอีกเรื่องค่ะ วันก่อนนาเปิดเมล์ของคุณดู แล้วเห็นเมล์ฟอร์เวิร์ดของเพื่อนคุณณะน่าสนใจ เลยเอาไปส่งต่อให้เพื่อน ปรากฎมันเป็นไวรัสค่ะ”
“เมล์อะไร เดี๋ยวผมจะเข้าไปลบ”
“นาลบไปแล้วค่ะ แต่ไวรัสมันก็ยังส่งอีก เอางี้สิคะ นาว่าเราปิดเมล์นี้แล้วเปิดใหม่ดีไหมคะ เดี๋ยวนาจัดการให้ แล้วนาจะส่งเมล์บอกเพื่อนๆในคอนแทคของคุณเอง”
“อย่าลืมส่งเมล์บอกยัยนิดด้วยนะ”
ลัคนายิ้ม “ค่ะ นาไม่ลืมแน่นอน”
ลัคนาวางสายแล้วเดินไปที่เครื่องคอมพิวเตอร์ที่เปิดอยู่ จากนั้นเธอก็นั่งลงแล้วลงมือพิมพ์ เสร็จแล้วก็ยิ้มด้วยความสะใจพร้อมกับโบกมือบ๊ายบายให้กับคอมพิวเตอร์
“บ๊ายบายน้องซะมี”
เครื่องบินร่อนลงจอดที่สนามบินจังหวัดเชียงใหม่ นริศราเดินออกมาตรงลานผู้โดยสารขาเข้า เธอหันมองซ้ายมองขวาเพื่อหาป้ายชื่อ
นิพนธ์ยืนถือป้ายชื่อนริศราก็ชะเง้อมองหา แล้วก็ต้องตาค้างเมื่อเห็นนริศราเดินตรงมาที่ตัวเอง
“สวัสดีค่ะ จากไร่สุพัฒนาใช่ไหม” นริศราถาม
นิพนธ์ยืนตะลึงในความสวยของนริศรา
“คุณคะ” นริศราเรียก
นิพนธ์สะดุ้ง “เอ่อ...ค..คะ...ครับ”
“ฉันชื่อนริศราค่ะ ที่จะมาทำงานที่ไร่สุพัฒนาไงคะ”
“ผมชื่อนิพนธ์เป็นผู้จัดการไร่ครับ”
นริศรายกมือไหว้นิพนธ์ นิพนธ์ยิ้มรับแต่ยังมองนริศราไม่วางตา
“คุณวัสเลือกคุณมาทำงานที่ไร่จริงๆเหรอครับ” นิพนธ์สงสัย
นริศรางง “คุณนิพนธ์หมายความว่ายังไงคะ”
“เปล่า...ไม่มีอะไรหรอกครับ เชิญคุณนริศรา”
“เรียกว่านิดก็ได้ค่ะ”
“ครับคุณนิด รถจอดทางนี้ครับ”
นิพนธ์ช่วยนริศรายกกระเป๋าแล้วเดินออกจากตึกไปด้วยกัน
หน้าห้องประชุมของหอการค้าจังหวัดลำพูน ภูชิชย์กำลังยืนสนทนากับกลุ่มผู้เข้าร่วมประชุม นายผลถือถุงหนังสือยืนอยู่ด้านหลังภูชิชย์
“อ้าว...เจ้าเทพมงคลมาโน่นแล้ว” ผู้เข้าประชุมคนหนึ่งบอก
ภูชิชย์หันไปก็เห็นเจ้าเทพมงคลเดินหน้าตึงเข้ามา มีเจ้าทิพย์ดาราเดินตามมาด้วย ทุกคนในบริเวณนั้นยกมือไหว้เจ้าเทพมงคล เจ้าเทพมงคลรับไหว้ทุกคนจนมาถึงภูชิชย์ เจ้าเทพมงคลกลับมองด้วยสีหน้าแววตาเย็นชาแล้วเดินผ่านเขาเข้าห้องประชุมไป เจ้าทิพย์ดาราเดินมาจับมือภูชิชย์
“คงต้องใช้เวลาสักพักเจ้าพ่อเจ้าแม่ก็จะเข้าใจเราสองคน” เจ้าทิพย์ดาราบอก
ภูชิชย์ยิ้ม “ไม่เป็นไรหรอก” ภูชิชย์รับถุงหนังสือจากนายผลมาส่งให้ “ของที่เจ้าสั่งครับ”
เจ้าทิพย์ดารารีบหยิบถุงมาเปิดดูด้วยความดีใจ
“ขอบคุณมากค่ะภู”
รถของนิพนธ์แล่นมาตามถนนสายเชียงใหม่ - ลำพูน นิพนธ์ที่ขับรถอยู่แอบมองนริศรา จนนริศราสงสัย
“เอ่อ...คุณนิพนธ์ มีอะไรหรือเปล่าคะ”
“ผมขอพูดตรงๆเลยแล้วกันว่าคุณผิดกฎของพนักงานไร่เรามาก” นิพนธ์บอก
นริศราแปลกใจ “ผิดกฎ? ยังไม่เริ่มงานนิดก็ทำอะไรผิดแล้วเหรอคะ”
“ปกติคุณเล็ก...เอ่อ..น้องสาวคนเล็กของพ่อเลี้ยงกับคุณวัสน่ะครับ แกตั้งกฎไว้ว่าพนังงานหรือคนงานผู้หญิงที่จะมาทำงานที่ไร่ต้องหน้าตาไม่สวย”
“มีกฎแบบนี้ด้วยเหรอคะ” นริศราสงสัย
“ครับ คุณเล็กแกกลัวปัญหาชู้สาวน่ะครับ แล้วก็หวงพี่ชายด้วย” นิพนธ์บอก
“ถ้าอย่างนั้นตอนนิดเจอคุณเล็ก นิดคงต้องรีบบอกเธอก่อนว่าจะไม่มีเรื่องต่างๆที่เธอกังวลเกิดขึ้นกับนิดแน่”
“คุณนิดคงไม่ได้เจอคุณเล็กหรอกครับ เพราะเธอไปพักรักษาตัวอยู่กรุงเทพฯ”
“อ๋อ...ค่ะ แสดงว่าคุณวัสดูบริษัทที่กรุงเทพฯ คุณเล็กก็รักษาตัวอยู่กรุงเทพฯ งั้นคุณนิพนธ์ก็คุมไร่คนเดียวน่ะสิคะ”
“เปล่าครับ ที่ไร่นี่จะมีพี่ชายคนโตเป็นคนคุมอีกทีครับ เดี๋ยวคุณนิดก็ได้เจอครับ”
นริศราพยักหน้ารับรู้แล้วมองสองข้างทางที่มีต้นไม้สูงครึ้มอย่างมีความสุข
ประธานหอการค้านั่งอยู่ที่หัวโต๊ะประชุมขนาดใหญ่ ผู้ว่าฯและคนอื่นๆนั่งรอบๆ ภูชิชย์นั่งตรงข้ามกับเจ้าเทพมงคลและเจ้าทิพย์ดารา ประธานหอการค้ากล่าวสรุป
“ตกลงว่าเรื่องการประชุมกับตัวแทนจากรัฐบาลจีนในวันจันทร์ ทุกท่านยินดีเข้าร่วมนะครับ ทีนี้ก็มาถึงเรื่องสุดท้าย ท่านผู้ว่าฯเชิญครับ”
“คือเร็วๆนี้จะมีนักศึกษาทางด้านเทคโนโลยี่การเกษตรจากต่างประเทศ มาฝึกงานตามภาคต่างๆ ของประเทศ” ผู้ว่าฯ พูด “ซึ่งจังหวัดของเราจะมีทั้งหมด 6 คน โดยห้าคนแรกไม่มีปัญหา แต่จะมีอยู่หนึ่งคนที่เขาอยากฝึกงานกับไร่กาแฟ ผมจึงเรียนปรึกษาท่านที่ทำไร่กาแฟจะว่าอย่างไรครับ”
“ผมว่าไร่สุพัฒนาของพ่อเลี้ยงภูน่าจะเหมาะที่สุดนะครับ” ผู้ร่วมประชุมคนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“พ่อเลี้ยงช่วยรับเรื่องนี้ได้ไหมครับ” ผู้ว่าฯ ขอ
ทุกคนในที่ประชุมต่างพยักหน้าเห็นด้วย
“ผมขอขอบคุณนะครับที่ทุกท่านให้เกียรติ” ภูชิชย์กล่าว “แต่ตอนนี้ทางไร่สุพัฒนาเรายังไม่พร้อมเพราะว่าคุณเล็กก็ไม่สบาย ผมคงต้องดูแลงานเพิ่ม อาจจะไม่มีเวลาดูแลเรื่องนี้”
“แหม…เสียดายนะครับ ถ้าอย่างนั้นผมว่าไร่ของเจ้าเทพมงคลดีไหมครับ” ผู้ร่วมประชุมอีกคนพูด
เจ้าเทพมงคลมองหน้าภูชิชย์ด้วยสายตาชิงชังก่อนตอบ
“ทางผมก็ไม่สะดวกเหมือนกันครับ เพราะถ้าทางจังหวัดเลือกทางไร่สุพัฒนาแต่แรก นั่นแสดงว่าไร่ผมคงไม่ดีเท่า ให้ผมช่วยเรื่องอื่นดีกว่านะครับ”
เจ้าทิพย์ดาราตกใจที่ได้ยินบิดากล่าวเช่นนั้น “เจ้าพ่อ”
เจ้าเทพมงคลนั่งนิ่งไม่สนใจบุตรสาว คนอื่นๆ ต่างรู้สึกตกใจและหันหน้ามากระซิบกระซาบกัน
“ถ้าทั้งสองไร่ที่ใหญ่ที่สุดและคุณภาพดีที่สุดของจังหวัดพร้อมใจกันถอนตัว ผมก็คงต้องส่งนักศึกษาท่านนี้ไปจังหวัดอื่น” ผู้ว่าฯ บอก
“เดี๋ยวครับท่านผู้ว่าฯ ถ้าอย่างนั้นผมขอรับนักศึกษาคนนี้เองครับ” ภูชิชย์ชิงพูดขึ้น
ทุกคนในห้องต่างมองไปที่ภูชิชย์ด้วยสายตาชื่นชม
“ขอบคุณครับพ่อเลี้ยง” ผู้ว่าฯ กล่าวด้วยรอยยิ้ม
วิทวัสเปิดประตูห้องทำงานออกมาก็เห็นว่าโต๊ะมัลลิกายังว่างอยู่
“เฮ้อ...นี่เราคิดผิดคิดถูกเนี่ยที่ส่งคุณนริศราไปให้พี่ภูแล้วเอายัยมอลลี่นี่ไว้”
ทันใดนั้น มัลลิกาในชุดสวยสั้นจู๋ก็เดินยิ้มเข้ามา
“มอร์นิ่งค่ะพี่วัส”
วิทวัสดุ “บริษัทผมเริ่มงานแปดโมงครึ่ง ไม่ใช่สิบโมง”
“ขอโทษนะคะ พอดีมอลลี่ยังปรับตัวให้ตื่นเช้าไม่ได้ค่ะ”
วิทวัสยิ้ม “ถ้าอย่างงั้นไม่ลองสมัครทำงานห้างล่ะครับ จะได้ไม่ต้องปรับตัว”
มัลลิกาได้ยินปุ๊บก็หน้างอทันที
“เดี๋ยวช่วยหาแฟ้มใบเสนอราคาที่เราจะส่งให้ทางกระทรวงพาณิชย์ด่วนนะ”
สั่งงานเสร็จ วิทวัสก็เดินเข้าห้องไปไม่โดยสนใจ มัลลิกามองตามแล้วพึมพำออกมา
“ดุไปนิด แต่ก็น่ารักดี”
รถของนิพนธ์เลี้ยวเข้าไร่สุพัฒนาที่กว้างใหญ่และบรรยากาศงดงาม นริศราที่นั่งอยู่ในรถมองบรรยากาศของไร่อย่างมีความสุขและตื่นตาตื่นใจ เธอได้เห็นทั้งไร่องุ่น ฟาร์ม ไร่กาแฟ
“ที่นี่ทำกี่อย่างคะเนี่ย” นริศราถาม
“ก็เยอะนะครับ หลักๆก็มีไร่องุ่น ไร่กาแฟ สวนผักผลไม้ ฟาร์มปศุสัตว์ที่เป็นธุรกิจหลักนะครับ นอกจากนั้นก็ยังมีอีกหลายโครงการที่เป็นโครงการทดลอง รอพัฒนาเป็นโครงการธุรกิจน่ะครับ” นิพนธ์ตอบ
“แสดงว่าที่ไร่นี้ต้องใหญ่มากนะคะ”
“ก็ใหญ่ที่สุดในจังหวัดล่ะครับ คุณนิดดูแล้วคิดว่าจะอยู่ได้ไหมครับ”
“ได้แน่นอนค่ะ ที่นี่สวยมาก บรรยากาศดี เหมือนสวรรค์เลยค่ะ”
“ค่อยยังชั่วหน่อย ผมนึกว่าคนเมืองอย่างคุณนิดจะไม่ชอบที่นี่ซะอีก”
“คนเมืองที่ชอบความสงบก็มีนะคะ นิดขอลดกระจกลงสูดอากาศบริสุทธิ์หน่อยได้ไหมคะ”
“ตามสบายครับ”
นริศรารีบลดกระจกลงแล้วยื่นหน้าออกไปรับลมด้านนอกตัวรถทันที
รถของนิพนธ์แล่นอยู่บนถนนกลางไร่ที่เต็มไปด้วยพืชพรรณต่างๆ รายล้อม
รถของนิพนธ์แล่นมาจอดที่หน้าสำนักงาน เป็ง คนงานของไร่ที่กำลังตัดแต่งต้นไม้อยู่เห็นก็รีบวิ่งไปรับ พอเห็นนริศราลงมาจากรถก็ตะลึงมองค้าง
“เป็ง พ่อเลี้ยงกลับมาหรือยัง” นิพนธ์ถาม
เป็งยังยืนจ้องนริศราอยู่จนนิพนธ์อดขำไม่ได้
“ไอ้เป็ง” นิพนธ์เรียก
เป็งสะดุ้ง “ครับ”
“ได้ยินที่บอกหรือเปล่า” นิพนธ์ถาม
“เอ่อ...ได้ยินครับ เดี๋ยวผมจะไปรดน้ำต้นไม้ครับ” เป็งละลักละล่ำ
นิพนธ์กับนริศราขำกับอาการประหม่าของเป็ง
“ฉันถามว่าพ่อเลี้ยงกลับมาจากประชุมที่จังหวัดหรือยัง” นิพนธ์ถามย้ำ
“ยังเลยครับ”
“ก็แค่นั้นแหล่ะ เดี๋ยวไปตามทุกคนมาด้วยนะจะแนะนำให้รู้จักกับเลขาคนใหม่ของพ่อเลี้ยง”
เป็งรับคำแล้วรีบวิ่งไปแต่ก็ไปชนข้าวของจนล้มไปแล้วเขาก็วิ่งหายไป นิพนธ์มองตามพลางส่ายหน้าอย่างระอาใจ
“เชื่อผมหรือยังครับว่าที่นี่ไม่ค่อยต้อนรับคนสวย” นิพนธ์พูดกับนริศรา
แม่อุ้ย บัวเกี๋ยง พร ลุงปั๋น ต่างก็ยืนมองนริศราอย่างตกตะลึง นิพนธ์ไล่แนะนำให้นริศรารู้จักไปทีละคน
“นี่แม่อุ้ยครับ เป็นแม่บ้านของพ่อเลี้ยงจะดูแลทุกอย่างในสำนักงานและบ้านพักของพ่อเลี้ยง ส่วนพรจะเป็นผู้ช่วยของแม่อุ้ย ลุงปั๋นเป็นผู้ช่วยผมที่จะคอยดูแลงานในไร่รวมไปถึงคุมแผนกช่างด้วยครับ”
ทั้งสี่คนที่นิพนธ์แนะนำล้วนยิ้มแย้มแจ่มใสกับนริศรา พรถึงกับยกมือไหว้ด้วยความเคารพ นริศราก็ยิ้มทักทายกับทุกคนเป็นอย่างดี จะมีก็แต่บัวเกี๋ยงที่ยืนหน้าตึงไม่อยากจะสนใจนริศรา
“ส่วนบัวเกี๋ยงจะเป็นคนคอยดูแลคุณเล็กครับ” นิพนธ์แนะนำ
“สวัสดีจ้ะบัวเกี๋ยง” นริศราทัก
บัวเกี๋ยงแค่ยิ้มมุมปากแล้วเมินหน้าไปทางอื่น แม่อุ้ยเห็นเข้าก็ขัดใจ
“บัวเกี๋ยง มือเจ็บเหรอถึงยกไหว้ไม่ได้” แม่อุ้ยแขวะ
บัวเกี๋ยงยกมือไหว้แบบไม่เต็มใจนัก
“หมดธุระแล้วใช่ไหมคะ บัวเกี๋ยงไปทำงานนะคะ”
บัวเกี๋ยงไม่รอคำตอบจากนิพนธ์ เธอรีบเดินออกไปทันที
“อย่าไปถือมันเลยนะครับ นังบัวเกี๋ยงมันชอบถือว่าเป็นคนสนิทคุณเล็ก” ลุงปั๋นบอกนริศรา
“พี่บัวเกี๋ยงไม่ชอบใครแสดงว่าคนนั้นสวยค่ะ เขากลัวคนสวย” พรพูด
“ใช่ค่ะ เมื่อกี้เจ้าเป็งไปบอกว่าคุณสวย ฉันยังไม่อยากจะเชื่อ แต่พอมาเห็นกับตาคุณนี่สวยเหมือนนางฟ้านางสวรรค์เลย” แม่อุ้ยชม
“แม่อุ้ยชมแบบนี้นิดเขินแย่ค่ะ” นริศรายิ้ม
“แม่อุ้ยพูดจริงๆครับ นอกจากเจ้าน้อยแล้ว ผู้หญิงสวยๆที่เป็นคนนอกแทบไม่เคยมีมาที่ไร่เลย” ลุงปั๋นบอก
“เอาละๆ เวลาคุยกันยังมีอีกเยอะ ใครมีอะไรก็ไปทำนะ” นิพนธ์ตัดบท
ทุกคนเดินแยกย้ายกันออกไป
“คนที่นี่น่ารักจังนะคะ” นริศราประทับใจ
“อย่าเพิ่งด่วนตัดสินเลยครับ ตอนนี้ผมว่าเราไปดูที่ทำงานคุณก่อนดีกว่า”
นิพนธ์พานริศราเดินไปดูอีกห้องหนึ่ง
นิพนธ์พานริศราเดินเข้าห้องทำงานของภูชิชย์ นริศราเห็นโต๊ะทำงานกับเก้าอี้ตัวใหญ่สองชุด
“ปกติพ่อเลี้ยงกับคุณเล็กจะทำงานในนี้ ตอนนี้คุณนิดมาทำงานแทนคุณเล็ก ก็คิดว่าคงจะนั่งโต๊ะตัวนั้นครับ” นิพนธ์แนะนำ
นริศราเดินไปดูโต๊ะทำงาน
“แล้วนิดต้องทำอะไรบ้างคะ”
“เรื่องงานบนนี้ผมไม่ค่อยทราบหรอกครับ เดี๋ยวพ่อเลี้ยงกลับมาก็คงจะบอกคุณนิดเอง”
“เอ่อ...แล้วพ่อเลี้ยงเป็นคนดุไหม” นริศราขอข้อมูล
นิพนธ์ขำ “ไม่ต้องกลัวหรอกครับ พ่อเลี้ยงเป็นคนทำงานเก่ง ขยัน เอาจริงเอาจัง อาจจะดูเข้มขวดไปบ้างแต่จริงๆแล้วใจดีมาก ใครได้รู้จักรักแกทุกคนครับ”
“นิดโชคดีจังที่ได้มาเรียนรู้งานกับคนเก่งอย่างพ่อเลี้ยง” นริศราเริ่มใจชื้น
นริศรามองสำรวจรอบๆห้องแล้วก็ต้องสะดุดกับกรอบรูปที่วางอยู่บนโต๊ะทำงานของภูชิชย์ นริศรารีบหยิบมาดู นิพนธ์เดินมาดูด้วย
“นี่ไงละครับรูปพ่อเลี้ยง”
นริศราตกใจ “นายภูชิชย์!”
“คุณนิดรู้จักด้วยเหรอครับ” นิพนธ์สงสัย
“ไหนล่ะคนที่นายวัสส่งมา” เสียงภูชิชย์ดังขึ้นจากหน้าห้องทำงาน สักพักเขาก็เดินเข้าห้องมา นริศราได้ยินเสียงก็หันขวับไปดูทันที เมื่อทั้งสองได้พบกันต่างก็อึ้งกันไป
“เธอ!” ภูชิชย์ตกใจ
ภูชิชย์กับนริศราจ้องหน้ากันอย่างตกตะลึง นิพนธ์มองทั้งสองคนด้วยความงง
อ่านต่อตอนที่ 2