ฟ้าหลังฝนมักจะงดงามเสมอ มีคนบอกเอาไว้อย่างนั้น ถึงแม้ว่าตอนนี้หยาดฝนจะยังคงโปรยปรายลงสู่แผ่นดินไทยอยู่อย่างไม่ขาดสาย และอาจทำให้พี่น้องชาวไทยหลายต่อหลายคนหมดกำลังใจลงไปแล้วก็ตาม แต่ท่ามกลางกระแสธารแห่งความเศร้ายังคงมีดอกไม้งามผลิดอกออกใบโชยกลิ่นให้ได้ชื่นชม เช่นเดียวกับชีวิตหลังฝนของเธอคนนี้ที่อาจช่วยเยียวยาจิตใจใครหลายๆ คนที่กำลังแห้งเหี่ยวจากวิกฤตการณ์น้ำท่วมครั้งนี้ ให้กลับมาสดชื่นชุ่มฉ่ำอีกครั้งหนึ่งด้วยดอกบุหงาที่ “ชะเอม-ศิริพิชยา วิสิฐไวทยากุล” ปลูกเอาไว้ในตัวเอง
ตอนแรกนั้น “บุหงาหน้าฝน” เป็นเพียงชื่อละครเรื่องหนึ่งที่ทำให้ M-Lite เดินทางมาเจอกับนางเอกสาวหน้าคมคนนี้ แต่หลังจากพูดคุยกันไปได้สักพัก กลับยิ่งทำให้รู้สึกว่าชื่อของละครเรื่องแรกเรื่องนี้ช่างบ่งบอกตัวตนของเธอได้ดีจริงๆ ไม่น่าเชื่อว่าหญิงสาวที่ดูสดใสร่าเริงตลอดเวลาอย่างชะเอมจะเคยผ่านช่วงเวลาแห่งความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตมาแล้ว แต่เธอผ่านพ้นมันมาแล้วจริงๆ โดยมีรอยยิ้มกว้างๆ และความคิดบวกๆ ตลอดบทสนทนาเป็นเครื่องช่วยยืนยัน เปรียบไปแล้วชะเอมจึงเป็นเหมือนดอกไม้งามที่พยายามผลิดอกสวยขึ้นมาสู้กับพายุฝนโหมกระหน่ำ และดูเหมือนว่ากลีบหอมๆ ของบุหงาดอกนี้จะเติบโตได้งดงามและน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
นี่แหละคือความเสียใจ!
เห็นได้ชัดว่าเธอกะพริบตาถี่ตลอดหัวข้อสนทนานี้ ถึงแม้ว่าคนเล่าจะยังคงพูดไปยิ้มไปได้อย่างปกติ แต่แววตาของชะเอมบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเธอกำลังลำดับความถึงอดีตที่แสนเจ็บปวด เป็นความสูญเสียครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นกับคุณพ่อ ผู้ชายที่เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิตของเธอ
“หนูสนิทกับคุณพ่อมากค่ะ เพราะเราชอบทำอะไรฮาๆ เหมือนๆ กัน (หัวเราะ) ทุกครั้งที่มาถ่ายทำ คุณพ่อจะปลีกตัวจากงานทนายความตามมาดูแลตลอด ตื่นเช้ามาคุณพ่อจะทำโยเกิร์ต น้ำผักปั่นให้ แล้วไม่ได้ดูแลหนูคนเดียวด้วยนะ ดูแลทุกคนในบ้านเลยค่ะ คอยเตรียมเมนูสุขภาพให้ทุกคนกิน เวลาอยู่ในกอง คุณพ่อก็จะช่วยคอมเมนต์ ช่วยดูว่าหนูแสดงเป็นธรรมชาติไหม ตรงนี้เค้นไปหรือเปล่าลูก ลองรู้สึกออกมาจากข้างในก่อนไหมค่อยพูดออกมา คุณพ่อจะช่วยแนะนำตลอด พอวันที่หันไปไม่เจอคุณพ่อแล้ว มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูกเลยค่ะ เหมือนกับว่าทุกอย่างจบแล้ว หนูนั่งร้องไห้ที่บ้าน ร้องกับเพื่อน ไปมหาวิทยาลัยก็ร้องไห้ ไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรเลย”
สาเหตุที่ทำให้เธอรู้สึกเคว้งคว้างจนตั้งหลักไม่ทันขนาดนี้ คงเป็นเพราะเหตุการณ์ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ตื่นขึ้นมาวันหนึ่งก็พบว่าคุณพ่อถูกทำร้าย นอนแน่นิ่งสลบอยู่หน้าบ้าน ผ่านพ้นไปเพียงแค่คืนเดียว คุณพ่อก็จากไปอย่างสงบโดยไม่ทันให้ใครสักคนในครอบครัวได้ร่ำลา
“ในกล้องวงจรปิดของเพื่อนบ้านจับภาพได้ว่าเป็นมอเตอร์ไซค์ซ้อนท้ายกันมา ตีหัวคุณพ่อแล้วก็หนีไป แต่ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ ทุกวันนี้ก็ยังจับตัวคนร้ายไม่ได้เลย แต่ปกติคุณพ่อเขาจะชอบออกมาเช็ดรถที่หน้าบ้านตอนตีห้าเป็นกิจวัตรอยู่แล้วค่ะ วันนั้นพอพี่สาวออกมาหน้าบ้านก็เห็นว่าคุณพ่อถูกทำร้ายแล้ว เลยรีบเอาตัวส่งโรงพยาบาล ในใจตอนนั้นไม่คิดว่าอาการจะหนักถึงขั้นเสียชีวิต แต่ด้วยความที่คุณพ่อป่วยเป็นไวรัสตับอักเสบบีและโรคนี้จะมีปัญหาเรื่องเลือดแข็งตัวช้า เลยทำให้เสียเลือดมากกว่าคนปกติ เข้าห้องไอซียู ผ่าตัดสมองตั้งแต่เช้าวันนั้นจนถึงตีสี่อีกวันหนึ่ง แต่สุดท้ายก็ยื้อไว้ไม่ได้” วินาทีนี้ดูเหมือนว่าการกะพริบตาถี่ๆ ของเธอจะช่วยอะไรไม่ได้มากแล้ว
ตอนนั้นชะเอมรู้สึกท้อแท้หมดหวังถึงขั้นคิดว่าเมื่อไม่มีคุณพ่ออยู่คอยเป็นกำลังใจ ก็ไม่อยากจะทำงานในวงการอีกต่อไปแล้ว แต่ในเมื่ออาชีพนักแสดงคือความฝันของเธอ จึงทำให้ชะเอมตกอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก สับสนกับการตัดสินใจของตัวเองอยู่พักใหญ่เหมือนกัน
“กะจะเลิกทำงานในวงการเลยค่ะตอนนั้น พอคุณพ่อเสีย ไม่มีใครมาคอยดูแล คุณแม่ก็เป็นห่วง หนูเองก็ไม่อยากให้เป็นภาระของคุณแม่ด้วย เพราะท่านเป็นผอ.โรงเรียนอยู่ จะให้ตามมาดูแลตลอดก็ไม่สะดวก ก็เลยเลิกรับงานไปเลย ทำแค่กิจกรรมมหาวิทยาลัย เป็นลีดจุฬาฯ คิดว่าเรียนหนังสืออย่างเดียวละกัน ทั้งที่ใจลึกๆ จริงๆ ก็ยังอยากทำงานในวงการอยู่ แต่ถ้าจะให้ทำงานต่อเลยก็กลัวจะคิดถึงคุณพ่ออีก ไม่อยากตอบคำถามคนอื่นว่าคุณพ่อไปไหน เลยอยู่ในช่วงสับสนแล้วก็อึดอัดมากๆ เลยค่ะ”
ความทรงจำสีจางๆ
กว่าจะผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาได้เล่นเอาปางตายเหมือนกัน เพราะความทรงจำทุกอย่างที่เกี่ยวกับคุณพ่อล้วนแล้วแต่วนเวียนอยู่รอบๆ ตัวชะเอมทั้งสิ้น จึงชวนให้สะกิดปมเศร้าในใจได้ตลอดเวลา แต่ท้ายที่สุดเธอก็สามารถแปลงความคิดถึงเหล่านั้นให้กลายเป็นรอยยิ้มที่มุมปากได้ เมื่อเรียนรู้ว่ายังมีความฝันให้มุ่งมั่นและยังมีคนข้างๆ ให้ดูแล เธอจึงกลับมาตั้งสติอีกครั้งหนึ่ง
“พอหันมามองคุณแม่ ก็คิดได้ว่าเขาน่าจะเป็นคนที่ทุกข์ใจกว่าเราอีก เขาอยู่กันมา 20 กว่าปี แถมมีลูกด้วยกันอีกสามคน แล้วต้องมาแยกจากกันกะทันหัน ถ้าเรายังมานั่งเศร้าอยู่อย่างนี้ก็เป็นภาระของคุณแม่เข้าไปอีก ในเมื่อเราเสียคุณพ่อไปแล้ว เราจะต้องไม่เสียคุณแม่ไปอีก (แววตาเข้มแข็ง) คิดว่าทำยังไงก็ได้ให้คุณแม่สบายใจ ก็เลยเริ่มคุยกันมากขึ้น คุณแม่เองก็รู้ว่าลึกๆ แล้วหนูยังอยากทำงานในวงการอยู่ พอดีว่าตอนนั้นมีเอ็มวีติดต่อเข้ามา หนูก็เลยลองรับดู แล้วก็ได้เจอพี่เมย์ ผู้จัดการของหนูทุกวันนี้ พี่เขาช่วยดูแลทุกอย่างเหมือนคนในครอบครัว คุณแม่เองก็ไว้ใจ หนูเลยได้กลับมาทำงานแบบเต็มตัวอีกครั้งค่ะ”
ถึงแม้ว่าทุกวันนี้ภาพความทรงจำของคุณพ่อจะยังไม่หายไปไหน แต่ชะเอมก็ไม่ได้มองมันอย่างเจ็บปวดอีกต่อไปแล้ว ตรงกันข้ามกลับนึกถึงและเล่าให้คนอื่นฟังได้ด้วยรอยยิ้มซึ้งๆ อย่างที่เธอมอบให้เราในตอนนี้ “ถึงแม้คุณพ่อจะไม่อยู่ตรงนี้แล้ว แต่ถ้าคุณพ่ออยู่ข้างบนแล้วมองมาที่หนูและเขาเห็นว่าเราทุกข์ใจ เขาก็คงไม่สบายใจ สู้เรากลับมาทำในสิ่งที่เราฝันให้มีความสุข ให้เหมือนตอนที่คุณพ่อยังอยู่ พ่อน่าจะมีความสุขกว่า พอคิดแบบนี้ก็มีกำลังใจขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ” เธอบอกอย่างนั้น
“ทุกวันนี้ก็ยังคิดถึงคุณพ่ออยู่ตลอดค่ะ โดยเฉพาะช่วงที่เหนื่อยมากๆ แต่ส่วนมากหนูจะชอบชวนคุณพ่อดูงานของหนูค่ะ ชวนทุกวันเลย (หัวเราะ) บอกพ่อว่าหนูได้เป็นนางเอกละครแล้วนะ พ่อดีใจไหม พ่ออย่าลืมดูนะ หรือตอนออกจากบ้านไปถ่ายละครต่างจังหวัด ก็จะบอกคุณพ่อว่าหนูต้องเดินทางไกลนะ พ่อช่วยดูแลหนูด้วยนะ คิดว่าตอนนี้เขาคงมีความสุขแล้วค่ะ เพราะเขารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่หนูอยากทำมาตลอด” นางเอกหน้าใหม่ยิ้มกว้างจนตาหยี จากนั้นจึงเริ่มแบ่งปันช่วงเวลาดีๆ ของเธอและคุณพ่อให้เราได้รับรู้
“เวลาที่ท้อแท้หนูก็จะนึกถึงคำพูดที่คุณพ่อเคยสอน ท่านบอกว่าสิ่งหนึ่งที่จะทำให้หนูผ่านมันไปได้คือความสุข พ่อเชื่ออย่างหนึ่งว่าถ้าอะไรที่หนูทำแล้วมีความสุข หนูมักจะทำได้ดี ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือการแสดง เวลามีงานเข้ามา คุณพ่อแค่มองตา เขาจะรู้แล้วว่างานนี้หนูอยากทำหรือเปล่า แล้วก็จะบอกตลอดว่าทำอะไรแล้วมีความสุขก็ทำไปเถอะลูก"
"เวลาอยู่ในกองถ่ายก็จะคิดถึงคุณพ่อบ่อยๆ เพราะตอนพ่ออยู่ เขาจะชอบนั่งฝั่งตรงข้ามกับที่หนูแต่งหน้าทำผม คอยส่งยิ้มให้ หนูจะเห็นคุณพ่ออยู่ในสายตาตลอด บางช่วงเขาก็จะไปนั่งหน้ามอนิเตอร์ คอยดูการแสดงของเรา คอยให้กำลังใจ ชูนิ้วโป้งให้ ทำท่าทุบหัวใจบ้าง (ทำให้ดู) เหมือนจะบอกเราว่าลูกทำได้อยู่แล้ว ทุกอย่างมันอยู่ที่ใจ” รอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความตื้นตันขณะเล่าให้ฟัง ไม่บอกก็รู้ว่าเธอกำลังคิดถึงหน้าของใครอยู่
ส่วนคนที่กำลังเสียใจหรือต้องผ่านความสูญเสียครั้งใหญ่ในชีวิตไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไรในตอนนี้ ชะเอมขอเป็นอีกหนึ่งแรงใจ มอบความหวังดีส่งไปให้ พร้อมแนวคิดบวกๆ ตามแบบฉบับของเธอ
“ถ้าจะห้ามไม่ให้เสียใจ มันคงเป็นไปไม่ได้ หนูว่าคงต้องปล่อยให้เสียใจให้สุดๆ ไปเลย ให้มันจบไปเลยตรงนั้น จากนั้นอยากให้เปลี่ยนความคิดถึงเป็นกำลังใจ ให้คิดว่าคนที่จากไปเขายังอยู่ข้างเราเสมอ และเราจงใช้ชีวิตต่อไปตามความฝัน ความสุขของเรา เชื่อเถอะว่าถ้าเรามีความสุข เขาก็จะมีความสุขด้วย ทุกวันนี้หนูก็เชื่อตลอดว่าคุณพ่อเห็นทุกสิ่งทุกอย่างที่หนูทำและท่านก็กำลังยิ้มอยู่ค่ะ” ถ้าเป็นรอยยิ้มแบบเดียวกันกับที่ชะเอมยิ้มในตอนนี้ คุณพ่อคงมีความสุขน่าดูเลย
ตลกไว้ก่อนพ่อสอนไว้
สังเกตว่าทุกครั้งที่เอ่ยถึงคนในครอบครัว ชะเอมจะมีแววสนุกในดวงตา สามารถหยิบเรื่องนู้นเรื่องนี้มาเล่าให้ฟังได้ไม่รู้จบ จึงขอให้เธอใช้พื้นที่ตรงนี้พูดถึงเสียหน่อย เชื่อว่าหลายคนคงอยากรู้ว่านางเอกในดวงใจคนใหม่คนนี้ โตมาจากสภาวะแวดล้อมแบบไหนกัน เจ้าของความทรงจำจึงเริ่มเรื่องด้วยวีรกรรมแก่นเซี้ยวตั้งแต่ตอนเด็กๆ
“ครอบครัวหนูเป็นครอบครัวตัว อ. ค่ะ คือพี่สาวคนโตชื่ออร พี่ชายคนกลางชื่ออั๋น แล้วก็หนู ชะเอมหรือเรียกสั้นๆ ว่าเอม เป็นคนสุดท้องค่ะ แต่ละคนอายุห่างกัน 2 ปี แต่ก็ยังสนิทกันดีนะคะ ไม่ค่อยมีช่องว่างระหว่างวัยเท่าไหร่ โดยเฉพาะกับพี่อั๋น ตอนเด็กๆ เล่นกันเป็นลิงเป็นค่างมาก (หัวเราะ) ชอบเล่นอะไรผาดโผนด้วยกันตลอด เคยเล่นกันจนหนูไหล่หลุดมาแล้วก็มีค่ะ” ไม่รอให้อีกฝ่ายยิงคำถาม เธอก็รู้ว่ากำลังต้องการคำตอบและเริ่มเล่าประสบการณ์เสียวๆ ให้ฟัง
“พี่อั๋นชอบดูมวยปล้ำมาก แต่เขาไม่มีคู่ซ้อม พอดูจบก็อยากลองเล่น แล้วก็ชอบเรียกหนูไปเล่นด้วย บอกเอมมานี่ แล้วก็จับหนูขึ้นบนเตียง ซ้อมท่าตามในทีวีที่ดูไปเมื่อกี๊ ทำท่ายกหนูทุ่มลงบนเตียงอยู่หลายท่า มีอยู่ท่าหนึ่งทุ่มแล้วเอาไหล่ซีกซ้ายลง พอตอนทุ่มลงนี่แหละ มันมีเสียงกึ้กดังขึ้นมา ตอนนั้นยังไม่เจ็บนะ แต่เริ่มสงสัยว่าเอ... ทำไมขยับแขนด้านซ้ายไม่ได้แล้วล่ะ (หัวเราะ) ก็เลยลองขยับอีกข้างให้พี่ชายดู บอกว่านี่! ดูสิ ข้างนี้ขยับได้ แต่อีกข้างขยับไม่ได้เลย (เล่าไปยิ้มไปเหมือนไม่รู้สึกเจ็บ) พี่ชายก็เริ่มเหงื่อตก รู้แล้วว่ามันต้องมีอะไรผิดปกติแน่ๆ ก็เลยบอกคุณพ่อแล้วก็พาไปโรงพยาบาล หลังจากนั้นก็ถูกห้ามไม่ให้เล่นอะไรโลดโผนอีกเลยค่ะ”
พอโตขึ้นมาหน่อย ชะเอมจะเริ่มหันไปสนิทกับพี่อร พี่สาวคนโต คุยกันไปเรื่อยเปื่อยตามประสาผู้หญิงๆ ถ้าให้เปรียบเทียบกันแล้ว เอมบอกว่าเธอกับพี่สาวแตกต่างกันมาก เพราะพี่อรเรียบร้อยกว่าเยอะ แต่ถ้า 3 อ. มารวมตัวกันได้เมื่อไหร่ จะไม่แบ่งแยกว่าใครเรียบร้อยหรือแก่นเซี้ยว เพราะทุกคนจะเป็นไปในทิศทางเดียวกันหมดคือ “ตลกไว้ก่อนพ่อสอนไว้”
ถึงแม้ว่าตอนนี้พี่น้องต่างคนต่างโต มีวิถีชีวิตเป็นของตัวเอง แต่ความผูกพันที่เคยมีให้กันก็ไม่ได้ลดน้อยลง เพียงแค่เปลี่ยนรูปแบบไปเท่านั้นเอง
“ถึงพี่จะทำงานทุกวัน หนูก็เรียนหนังสือ ไม่มีเวลามานั่งคุยกันหรือไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ แต่พอถึงจังหวะที่ได้มานั่งกินข้าวด้วยกัน หรือเกิดใครคนใดคนหนึ่งมีปัญหา มันจูนกันง่ายมากเลยค่ะ ถึงแม้สถานการณ์มันจะแย่หรือเจอปัญหามาหนักแค่ไหน เราจะรู้ว่ายังมีคนในครอบครัวที่คอยช่วยเหลือกันตลอด หลายครั้งที่เอมเคยมีปัญหาและท้อแท้ เราก็ผ่านมันมาได้ โดยเฉพาะช่วงที่คุณพ่อเสีย ช่วงนั้นทุกคนจะพยายามอยู่ด้วยกันตลอด ให้กำลังใจกัน เพราะไม่อยากให้ใครต้องอยู่คนเดียวโดยเฉพาะคุณแม่ บางครั้งไม่ต้องพูดอะไรกันมาก แค่มองตาก็รู้แล้วว่าค่ะว่าตอนนี้น้องรู้สึกยังไง พี่รู้สึกยังไง มันดีตรงนี้แหละค่ะ”
“นางเอก” ที่ยังมึนๆ
ถึงแม้เอมจะพูดตลอดว่าอาชีพนักแสดงคือความฝันของเธอ แต่พอเอาเข้าจริง เมื่อถึงเวลาที่ถูกเรียกว่านางเอกจริงๆ เจ้าตัวกลับไม่ค่อยเชื่อหู โดยเฉพาะวินาทีแรกที่ได้ยิน เธอแทบนึกว่าตัวเองกำลังฝันไป
“พูดแล้วยังขนลุกอยู่เลย (ยกแขนขึ้นมาให้ดูแล้วหัวเราะแก้เขิน) จะพูดยังไงดี (ยิ้ม) ตอนเป็นนางเอกหนังก็ดีใจมากแล้ว เป็นนางเอกละครเวทีก็ดีใจมาก แต่พอได้เป็นนางเอกละคร โห! ยิ่งดีใจสุดๆ เลยค่ะ เราเคยเป็นคนดูอยู่ที่บ้านมาก่อน รู้สึกว่าการได้มายืนอยู่ตรงนี้เป็นอะไรที่สุดยอดมาก และเป็นละครตอน 20.25 น. ด้วย เป็นช่วงละครที่คนดูมากที่สุด ตอนพี่เขาโทร.มาบอกว่าได้ ยังไม่เชื่อเลยค่ะ รู้สึกมึนๆ วิ้งๆ อยู่ในหัว น้ำตาคลอแล้วก็บอกว่าไม่เชื่อๆ แต่พอได้ก็ดีใจสุดๆ เลย หนูรู้ว่ามันอาจจะเป็นแค่จุดเริ่มต้น แต่มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ยิ่งใหญ่และสำคัญสำหรับหนูมากค่ะ” น้ำเสียงของเธอยังเจือความตื่นเต้นเอาไว้
อาจเป็นเพราะเธอไม่เคยคิดเลยว่าตัวเองสวยโดดเด่นหรือมีความสามารถเหนือกว่าคนอื่นมากมายขนาดนั้น จึงทำให้เอมต้องย้ำกับตัวเองเสมอๆ ว่าไม่ได้ฝันไป และพยายามเต็มที่กับทุกโอกาสที่ได้รับอย่างดีที่สุด
“ตอนเด็กๆ หนูดำที่สุดในบ้านเลย คุณพ่อจะชอบเรียกว่าน้องเขียว เพราะตัวเราจะออกดำๆ เขียวๆ หน่อย (หัวเราะ) แต่พอโตขึ้น เริ่มเป็นสาว เริ่มได้ไว้ผมยาว จัดฟันให้หายเก ก็พอดูดีขึ้นมาบ้าง (หัวเราะ) แต่เราชอบโพสท่าถ่ายรูป ชอบแสดงออกมาตั้งแต่เด็กแล้ว ก็เลยลองไปประกวดมิสทีนไทยแลนด์ แต่ไม่ได้คิดถึงขนาดว่าจะได้รางวัลนะ ตอนนั้นแค่อยากไปเที่ยวภูเก็ต เพราะเขาเก็บตัวกันที่นั่น ได้ไปเที่ยว ดำน้ำ ขับรถเอทีวี คิดว่าแค่นั้นก็คุ้มแล้ว แต่เผอิญได้รางวัล คงต้องบอกว่าหนูจับพลัดจับผลูเข้าวงการมาเหมือนกันค่ะ”
ผ่านการเป็นนางเอกมาแล้วหลากหลายรูปแบบทั้งในเอ็มวี หนัง และละครเวที ถึงตอนนี้คนรู้จักในนามนางเอกละครบ้าง ถามว่าชีวิตเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง เอมสูดหายใจเข้าระงับความตื่นเต้น ยิ้มอย่างปลื้มใจแล้วจึงถ่ายทอดความรู้สึกออกมาให้ได้รับรู้
“เปลี่ยนไปเยอะเลยค่ะ เดี๋ยวนี้ไปไหนก็เริ่มมีคนจำได้ เข้ามาทัก เรียกหนูว่าปาหนัน (หัวเราะ) ล่าสุดหนูขึ้นบีทีเอสและกำลังฟังเพลงอยู่ มีป้าคนหนึ่งมาสะกิด ตอนแรกคิดว่าคุณป้าต้องการให้หนูหลีกทางให้ แต่ไม่ใช่ ป้าเรียกหนูว่าปาหนันๆ แต่ตอนแรกหนูยังไม่ได้ยินค่ะเพราะใส่หูฟังอยู่ หนูก็อ่านปากคุณป้าอยู่สักพักถึงเพิ่งรู้ว่าคุณป้ากำลังคุยกับหนู บอกว่าปาหนันใช่ไหมลูก ป้าดูหนู ป้าชอบหนูมาก หนูก็โห! ดีจังเลยอ่ะ แล้วเราก็คุยกันจนลงสถานีไปเลยค่ะ” เอมเล่าไปยิ้มไปตลอดเวลา
มีบางกระแสวิพากษ์วิจารณ์ว่า คุณบอย ถกลเกียรติ แห่งค่ายเอ็กแซ็กท์นั้น ส่วนใหญ่ปั้นนางเอกไม่ค่อยจะรุ่ง แต่ปั้นพระเอกแล้วโด่งดังเป็นพลุแตกตลอด ถามว่าเธอมีความคิดเห็นอย่างไร น้อยใจบ้างไหมในฐานะนางเอกเอ็กแซ็กท์คนหนึ่ง เอมตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ ปนขี้เล่น แต่แฝงความมุ่งมั่นอยู่ในที
“ถ้าถามหนู หนูว่าจริงๆ แล้วพี่บอยปั้นทุกคนแหละค่ะ เห็นมาตั้งแต่ได้ร่วมงานครั้งแรกใน Boxing Boy แล้ว โปรดักชันตอนนั้นมีทั้งหมด 10-20 คน แต่พี่เขาก็เข้ามาคอมเมนต์และช่วยดูแลการแสดงของทุกคน ไม่ได้แบ่งแยกว่าต้องการจะปั้นพระเอกหรือนางเอกเลย แต่ที่ทำให้คนคิดไปอย่างนั้นอาจจะเพราะกระแสหรือจังหวะในตอนนั้นมากกว่า ซึ่งหนูก็ไม่ได้คิดอะไรมากค่ะ คิดแค่ว่าเมื่อพี่เขาให้โอกาส หนูก็รับมันมาและทำให้เต็มที่ แค่นั้นเอง ปลายทางเป็นยังไงไม่รู้ หนูรู้แค่ว่าระหว่างทางหนูทำดีหรือยัง หนูจะคอยดูตัวเองตลอดให้สมกับที่พี่เขาเลือกเรา สิ่งสำคัญคือคนดู ดูแล้วชอบ ดูแล้วมีความสุข อันนี้หนูโอเคแล้ว”
น้ำดีหรือน้ำเน่า ไม่ค่อยสน
นางเอกในวงการทุกวันนี้แยกได้เป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ “นางเอกน้ำดี” ภาพลักษณ์ดีทั้งในจอและนอกจอ ไม่มีข่าวคาวเสียๆ หายๆ จึงเป็นที่ถูกอกถูกใจของบรรดาแฟนคลับ ส่วนอีกประเภทคือนางเอกที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ถึงแม้ตัวจริงจะไม่ได้น่ารักเรียบร้อยอย่างในบทบาท แต่เมื่อสวมวิญญาณนักแสดงก็สามารถทำให้คนชื่นชมชื่นชอบได้ แม้จะมีข่าวในแง่ลบๆ ออกมาบ้างก็ตาม ถามว่าเอมอยากให้ภาพของตัวเองออกมาแบบไหนมากกว่ากัน เธอไม่ได้เลือกข้อใดข้อหนึ่ง แต่เลือกที่จะบอกเหตุผลมากกว่า
“น้ำดีนี่ยังไงคะ คล้ายๆ น้ำเหลืองหรือเปล่าเอ่ย (หัวเราะร่วน) ล้อเล่นค่ะ ล้อเล่น ถ้าจะให้เลือก หนูว่าหนูก็ไม่ได้มีนิสัยเป็นนางเอกแสนดีอะไรมากมาย แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นคนเปรี้ยวปรี๊ดไปเลย แต่ถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้คนอื่นชื่มชมที่เราเป็นตัวของตัวเองมากกว่า อาจจะไม่ต้องตัดสินว่าเป็นนางเอกน้ำดีหรือเปล่า อย่างน้อยถ้าวิจารณ์จากงานที่เราทำจริงๆ นั่นก็ดีที่สุดแล้วค่ะ เพราะโดยส่วนตัวหนูเป็นคนที่ดูที่ตัวงานค่ะ คิดว่าถึงแม้ตัวจริงของนักแสดงคนนั้นจะเปรี้ยวปรี๊ดขนาดไหน แต่ตอนทำงานเขาสามารถแสดงออกมาให้คนเชื่อได้ และตัวจริงก็ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน สามารถเป็นแบบอย่างให้แก่คนอื่นได้ แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ”
ส่วนเรื่องจูบจริง-ไม่จริงในบทเข้าพระเข้านาง เธอไม่ได้ตั้งข้อจำกัดหรือขีดเส้นตายเอาไว้ว่าจะทำหรือไม่ทำ ทั้งยังไม่คิดว่าการตัดสินใจเรื่องดังกล่าวจะบั่นทอนภาพลักษณ์ดีๆ ในวงการ เพราะเอมเชื่อเสมอว่าการแสดงคือศิลปะ ถ้าสามารถส่งความรู้สึกของตัวละครไปถึงคนดูได้สำเร็จ นั่นคือที่สุดแล้ว
“เวลาเล่นฉากเลิฟซีน บทเขาอาจจะเขียนมาประมาณหนึ่ง แต่ถึงเวลาแสดงจริง มันคงต้องขึ้นอยู่กับการตีความตัวละคร การกำกับของผู้กำกับ ซึ่งเอมไม่ได้วางลิมิตอะไรไว้ขนาดนั้น คิดว่าน่าจะดูตามความเหมาะสมมากกว่าค่ะ ผู้กำกับจะเป็นคนดูให้เองค่ะว่าลิมิตมันควรอยู่ตรงไหน ซึ่งเราก็เชื่อและเคารพในการทำงานของเขา การแสดงมันเป็นงานศิลปะ ถ้าเราไปวางกรอบมันมาก มันอาจจะทำให้การแสดงดร็อปลง ทำให้คนดูไม่อินก็ได้”
“อย่างเวลาหนูดูหนังดูละคร เห็นนักแสดงที่เล่นแล้วเชื่อและเขาทำมันจริงๆ เราจะรู้สึกว่า โอ๊ย! (ลากเสียงยาว) มันโดนใจน่ะ แต่ถ้าแสดงแล้วมาถึงจุดหนึ่ง นักแสดงกั๊กไว้ เราจะรู้สึกว่า เฮ้ย! อะไรอ่ะ ก็เลยคิดว่าถ้าเราไปอยู่ตรงนั้น เราต้องทำให้ได้ เพราะเอมก็อยากจะสร้างผลงานให้คนที่ดู เขา ฮิ้ว! ให้เราให้ได้เหมือนกัน” ก่อนจะคิดเลยเถิดไปมากกว่านี้ เจ้าตัวสกัดเอาไว้ก่อนว่า “แต่ตอนนี้ยังไม่มีนะ... ใจเย็นๆ ค่ะ อย่าเพิ่งรีบร้อน” เธอปิดท้ายประโยคด้วยรอยยิ้มขี้เล่น
ยัง “โสด” อยู่ทางนี้!
คุณอ่านชื่อหัวข้อไม่ผิดหรอก เพราะเธอฝากมาประกาศตัวใหญ่ๆ ว่า นางสาวชะเอม-ศิริพิชยา วิสิฐไวทยากุล ยัง “โสด” อยู่จริงๆ โสดสุดๆ จนขนาดที่ว่าในช่วงเวลานี้ไม่มีชายใดย่างกรายเข้ามาพูดคุยด้วยแม้แต่รายเดียว ผู้สัมภาษณ์แทบไม่เชื่อหูและคิดว่าอีกหลายคนคงยังฟังหูไว้หูอยู่เหมือนกัน แต่เธอยืนยันเป็นมั่นเป็นเหมาะด้วยเหตุผลประกอบที่น่าเชื่อถือว่า “ไม่รู้ทำไม คนส่วนใหญ่ชอบคิดว่าหนูมีแฟนแล้ว” หลังจากโยนคำถามขึ้นมา เธอจึงรับหน้าที่วิเคราะห์และหาคำตอบให้เองเสร็จสรรพ
“คงเป็นเพราะหนูใช้ชีวิตดูสมบูรณ์เกินมั้งคะ (ก่อนที่คนฟังจะตีความไปผิดๆ เธอจึงขยายความต่อ) ไม่ได้หมายความว่าหนูใช้ชีวิตแบบเพอร์เฟ็กต์นะ แต่ใช้ชีวิตดูสมบูรณ์ที่ว่าเนี่ย หมายถึงว่าหนูดูไม่เหมือนผู้หญิงที่กำลังรอใครสักคนอยู่น่ะค่ะ เพราะเอมทำตัวร่าเริงเป็นปกติ ไม่เหมือนคนอกหัก ไม่เหมือนคนเหงา คนอื่นเลยคิดไปว่าหนูมีคนรักอยู่แล้ว พอบอกความจริงว่ายังไม่มีแฟนก็ไม่เชื่อ หาว่าเราแทงกั๊ก ไม่ได้คุยกับเขาคนเดียวอีกล่ะ มีคนเคยพูดกับหนูแบบนี้จริงๆ หนูก็อ้าว! เป็นงั้นไป (หัวเราะ)”
เผื่อจะช่วยให้สถานะความโสดของเธอดีขึ้น ผู้สัมภาษณ์จึงเสนอให้เจ้าตัวเปิดเผยสเปกของตัวเองสู่สาธารณชนเสียเลย หนุ่มๆ รายไหนมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการ จะได้เข้ามาสลายโสดให้ แต่ดูเหมือนว่าเธอจะมีข้อแม้น้อยกว่าที่คิดไว้เสียอีก เพราะเอมพูดติดตลกเอาไว้ว่า “ถึงจุดนี้ยังตั้งสเปกได้อีกเหรอ ยังมีโอกาสเลือกอีกเหรอคะ (หัวเราะร่วน) เอาเป็นว่าถ้าเลือกได้ หนูขอให้มีให้หนูเลือกแล้วกันค่ะ โอเคมั้ยคะ” ปล่อยให้คู่สนทนาขำมุกตลกของเธอสักพัก จึงเริ่มเปิดอกพูดถึงความต้องการจริงๆ ของตัวเอง
“อันดับแรกคงดูจากภายนอกก่อนค่ะ ถ้าบอกว่าไม่ดูก็จะโกหกมากเลย (ยิ้ม) แต่ก็ไม่ต้องดูดีอะไรมาก แค่ไม่น่าเกลียดเกินไปก็พอค่ะ ส่วนใหญ่เวลามีใครเข้ามาคุย หนูจะมองว่าอิมเมจที่เขาสร้างขึ้นมามันแมตช์กับตัวตนจริงๆ ของเขาหรือเปล่าน่ะค่ะ เคยเจอบางคนแต่งตัวดีมาก ดูภูมิฐานเป็นผู้ใหญ่ แต่พอคุยๆ ไปรู้เลยว่าความคิดของเขาไม่ได้โตขนาดนั้น ก็จะรู้สึกว่ามันขัดกันกับสิ่งที่เขาพยายามนำเสนอให้เราเห็น บางคนแต่งตัวเซอร์มาก แต่พูดออกมาแต่ละอย่าง ทัศนคติหรูมาก หนูก็จะแอบคิดในใจว่าจะเซอร์ไปไหนเนี่ยพี่ (ยิ้มแบบงงๆ)”
“ยิ่งเราเป็นคนที่จริงใจมาก เราก็จะยิ่งชอบคนที่จริงใจค่ะ หนูเป็นคนที่ชอบคนที่ตอนจีบเป็นยังไง ถ้าจีบแล้ว เป็นแฟนกันแล้ว ต้องเป็นอย่างนั้น เพราะหนูจะเป็นแบบนั้น เคยเห็นเราเป็นยังไงก่อนจีบ คบกันแล้วก็เป็นเหมือนเดิม หนูจะไม่มานั่งสร้างภาพว่าฉันเป็นผู้หญิงเรียบร้อย น่ารัก น่าปกป้องในช่วงแรก พอคบไปเรื่อยๆ เปลี่ยนเป็นผู้หญิงวีนแตก เอาแต่ใจ ต้องเสมอต้นเสมอปลายค่ะ มันถึงจะคบกันได้ยาว”
ขอขีดเส้นใต้ประโยคถัดจากนี้ด้วยปากกาหมึกสีเข้มๆ ให้เห็นกันชัดๆ ว่า “สเปกของหนูจะเกิดจากการคุยก่อนค่ะ ถ้าลองคุยแล้วรู้สึกว่าคนนี้น่าค้นหาเนอะ ดูเขาน่าจะเข้าใจเราและเราก็น่าจะไปเข้าใจเขา เดี๋ยวก็จะคุยกันไปเองค่ะ ไม่ได้มีกฎเกณ์ตายตัวอะไรมากมาย” ที่สำคัญคือต้องเข้ากับครอบครัวและเพื่อนฝูงของเอมได้ เท่านั้นเอง
“การคบกันเป็นเรื่องของคนสองคนก็จริง แต่เราไม่ได้อยู่กันสองคนบนโลกใบนี้ เพราะสิ่งหนึ่งที่หนูนับถือในวันนี้ ทั้งครอบครัวของหนูเองและคนที่อยู่รอบข้างหนู ทุกคนพูดว่าถ้าหนูรักใคร เขาก็รักคนนั้น ส่วนหนูก็แค่รอว่าคนคนนั้น เขาจะรักคนของหนูด้วยหรือเปล่า แค่นั้นเอง”
แถมท้ายด้วยเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของสาวขี้เล่นคนนี้ เจ้าตัวฝากเตือนเอาไว้ก่อนว่าเป็นคนไม่ชอบคุยโทรศัพท์ แต่จะคุยเท่าที่จำเป็น และไม่ใช่คนติดแฟนหรือเป็นประเภทต้องอยู่ด้วยกันตลอดเวลา แต่อยากให้ต่างคนต่างมีช่องว่าง มีเวลาอยู่กับครอบครัวและกลุ่มเพื่อนของตัวเองบ้าง ถ้าหนุ่มคนไหนคิดว่าคุณสมบัติของตัวเองมีดีไม่ด่างพร้อยตามที่เอมพูดไว้ ก็เข้ามาเสนอตัวเป็นตัวเลือกได้เลย แต่คงต้องใจเย็นๆ สักหน่อย เพราะตอนนี้ชีวิตของเอมมุ่งมั่นอยู่แต่กับงานๆๆ เป็นหลักก่อน
สองคำศักดิ์สิทธิ์
“จริงใจ” และ “ตั้งใจ” คือหลักที่เอมยึดถือมาตลอดตั้งแต่ยังไม่เข้าวงการ และจากที่นั่งคุยกันมาพักใหญ่ๆ ทีมงานยังสามารถช่วยยืนยันได้อีกแรงหนึ่งว่าเธอมีสองสิ่งนี้อยู่ในตัวอย่างเต็มเปี่ยม โดยเฉพาะคุณสมบัติข้อแรกที่สัมผัสได้ชัดเจน คงเป็นเพราะเธอโตมากับความคิดความเชื่อแบบเดียวกันนี้เอง
“ถูกปลูกฝังเรื่องความจริงใจมาตั้งแต่เด็กๆ เลยค่ะ ที่บ้านทุกคนไม่เคยคิดไม่ดีกับใคร พ่อแม่หนูไม่เคยบอกเลยว่าคนนั้นไม่ดีนะ อย่าไปยุ่งกับเขา แต่จะสอนให้เรียนรู้คน ที่เห็นบ่อยๆ เลยคือที่บ้านถูกโกงจากการไปค้ำประกันให้คนอื่น แต่คุณพ่อคุณแม่ก็ไม่เคยโทษใคร สอนเราว่าปัญหาที่เกิดขึ้นมันเป็นบทเรียน แค่นั้นจบ ต่อไปก็ระวังตัวมากขึ้น แต่ไม่เคยสอนให้คิดแค้นหรือระแวงใคร ให้จริงใจกับทุกคนเอาไว้ก่อนดีที่สุด”
ถึงแม้ว่าเอมจะเคยมีประสบการณ์ถูกคนรักหักหลัง ทำลายความจริงใจที่เคยมอบให้ไป แต่เธอก็ไม่เคยท้อแท้ที่จะมอบความจริงใจให้แก่ผู้อื่น ตามประสาคนมองโลกบวกที่ให้เหตุผลว่า “อย่างน้อยคนที่เขามาหลอกเรา เขาก็ได้รับความจริงใจจากหนูไปแล้ว ไม่รู้สิ หนูเชื่ออย่างหนึ่งว่าคนที่จริงใจกับคนอื่น คงไม่มีใครอยากมาหลอกเราหรอก โอกาสมันคงมีน้อยมาก ติดลบเท่าไหร่ไม่รู้ หรือถึงจะมีจริงๆ อย่างน้อยถึงเราจะไม่ได้ความจริงใจจากเขาคืนกลับมา เขาก็คงไม่ถึงกับทำร้ายเราหรอกเนอะ”
กับคนในวงการบันเทิงเอง ซึ่งหลายต่อหลายคนขนานนามให้ว่าเป็นคนในวงการมายา สังคมแห่งการสวมหน้ากาก แต่ถึงอย่างนั้นเอมก็ไม่เคยรู้สึกนึกกลัว กลับมองว่าเป็นเรื่องท้าทายเสียมากกว่า
“ทำงานแบบนี้เหมือนได้อยู่ในอีกสังคมหนึ่ง ได้เรียนรู้คนที่หลากหลาย ทำให้รู้สึกว่ามันท้าทายดีค่ะ แล้วหนูก็ยึดหลักอย่างเดียวเลยว่าหนูมาที่นี่เพื่อมาทำงาน ได้แสดง ได้ทำสิ่งที่ชอบ คนดูมีความสุข แค่นี้พอแล้วค่ะ ที่เหลือถ้าจะเจออะไรร้ายๆ คงเป็นดวงจริงๆ แล้วล่ะ ส่วนใครเขาจะเฟกใส่เราหรือเปล่า หนูค่อยได้สนใจเท่าไหร่ค่ะ ไม่เคยคิดว่าถ้าเขาเฟกใส่เราแล้วเราต้องเฟกกลับไป เพราะมันเหนื่อยเกินไปค่ะ ทำไม่ได้หรอก (ยิ้ม)"
"อีกอย่างหนูก็ไม่ได้คอยมานั่งระแวงว่าใครเฟกหรือไม่เฟก เราสนใจกับงานมากกว่า รู้แค่ว่าทำงานร่วมกันแล้วโอเค แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ เวลาอยู่กับคนเยอะๆ มีเรื่องมากมายเกิดขึ้น บางทีเราก็ต้องเลือกที่จะรับเอาสิ่งที่สำคัญและเป็นประเด็นจริงๆ กลับมาคิด ไม่ใช่รับเอามาเสียหมด ถ้าเป็นแบบนั้นคงปวดหัวแย่เลย”
และตอนนี้เธอก็มีความมุ่งมั่นเพียงอย่างเดียวคือ “แค่ให้หนูได้ใช้สิ่งที่มีในตัวอย่างเต็มที่ก่อน คนดูดูแล้วมีความสุข หนูแฮปปี้แล้ว ถึงจะมีทั้งคนว่าและคนชมเรา แต่ถ้าทุกอย่างมาจากการที่เขาให้ความสนใจและดูงานของเรา มันก็โอเคแล้วค่ะ นอกนั้นก็เหลือแค่ต้องพยายามพัฒนาความสามารถของตัวเองให้ได้มากที่สุดในระหว่างทางทั้งหมดนี้ และต่อไปต่อให้หนูจะอยู่ส่วนไหนของวงการ จะอยู่ได้อีกนานสักแค่ไหน ไม่สำคัญแล้วค่ะ ที่สำคัญคือหนูได้ทำเต็มที่แล้ว” ดอกบุหงาดอกนี้ผลิดอกงามสมการรอคอยจริงๆ
---ล้อมกรอบ---
คุณครูเจ้าเสน่ห์
นอกจากอาชีพนักแสดงแล้ว อาชีพครูคือความฝันของเธอมาตั้งแต่วัยเด็ก “คุณแม่เล่าให้ฟังว่าตอนเด็กๆ ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นชั้นประถม หนูชอบเอารองเท้าส้นสูงของคุณแม่มาใส่ ทาลิปสติก แล้วก็เดินไปบังหน้าทีวี ให้ทุกคนดูเราแทนทีวี ทำท่าเหมือนกำลังสอนเด็กๆ (หัวเราะ)” เธอบอกไว้อย่างนั้น พอโตขึ้นเอมจึงเลือกเรียนคณะครุศาสตร์ จนกระทั่งมีโอกาสได้ฝึกสอนเด็กๆ ทั้งชั้นอนุบาลและประถม และกลายเป็นคุณครูในดวงใจของหนุ่มน้อยหลายๆ คนไปในที่สุด
“เคยไปช่วยคุณแม่สอนเด็กอนุบาลตั้งแต่ตอนเรายังเรียนอยู่มัธยมฯ ก็เลยรู้สึกชอบค่ะ สนุกดี แล้วก็ถูกเพื่อนๆ เสริมตั้งแต่ไหนแต่ไรว่าเราเป็นคนติวหนังสือรู้เรื่อง ก็เลยคิดว่าอาชีพครูน่าจะเหมาะกับตัวเอง ตอนที่ไปสอนเด็กอนุบาลก็มันสุดๆ เลยค่ะ บอกให้นอนไม่ยอมนอน (หัวเราะ) แต่มันตลกตรงที่เด็กอนุบาลจะไม่มีประโยคคำถาม ไม่มีคำสั่ง มีแต่ประโยคบอกเล่าค่ะ อย่างเช่นเขาเดินมาบอกเราว่า พี่ๆๆ หนูปวดฉี่น่ะ แล้วก็ฉี่เลย (ทำหน้าอึ้ง) ยังไม่ทันทำอะไรเลย (หัวเราะ) ตลกค่ะ อยู่ด้วยแล้วไม่เครียดดี บอกว่าหนูจะอ้วกแล้ว แล้วก็อ้วกเลย ประมาณนั้น (ยิ้ม) ก็ต้องช่วยเช็ดช่วยเก็บกันไป”
“มามีโอกาสสอนอีกทีก็ตอนอยู่มหาวิทยาลัยแล้วค่ะ ไปเป็นคุณครูฝึกสอนให้เด็กมัธยม เห็นแล้วก็ขำดีค่ะ ได้เจอเด็กแก่นๆ เห็นแล้วนึกถึงตัวเอง (ยิ้มกว้าง) เพราะเราก็ไม่ใช่เด็กหน้าห้องเสียทีเดียว เราเป็นกลางห้อง แต่ตอนไปสอน เราเจอหมดเลยทั้งหน้า กลาง หลัง ทั้งเด็กเนิร์ด เด็กแก่นๆ เจอหมดเลย มีโดนเด็กๆ แซวบ้าง บอกอาจารย์มานั่งตรงนี้ไหมครับ นั่งตรงหัวใจ เราก็โอ๊! (สีหน้าเอือมระอาปนเอ็นดู) ขำค่ะ กลับมาที่ห้องก็จะมาเล่าให้เพื่อนๆ ฟังตลอดเลย สนุกดีค่ะ”
ถ้าให้เลือกระหว่างงานแสดงกับอาชีพครู แน่นอนว่าตอนนี้เธอต้องเลือกจะเป็นดาราหน้ากล้องก่อน แต่ถ้าเป็นไปได้ชะเอมมองไว้ว่า อยากเป็นทั้งนักแสดงและครูในเวลาเดียวกัน จะได้ทำความฝันให้สำเร็จไปทั้งสองอย่างพร้อมๆ กันเลย
“ถ้าวันหนึ่งผ่านจุดนี้ไป เราไม่ได้ทำงานแสดงแล้ว เอมอยากเอาประสบการณ์และความรู้จากตรงนี้ที่ได้ มาผสมผสานกับการเป็นครูค่ะ อาจจะเป็นครูสอนแอ็กติ้งหรืองานอะไรสักอย่างที่ทำให้ได้ยืนอยู่บนสายอาชีพที่ตัวเองรักทั้งสองอย่างนี้ เผื่อจะได้สร้างประโยชน์ให้แก่คนอื่นบ้าง” ตบท้ายด้วยยิ้มหวานๆ แบบนี้ รับรองว่านักเรียนสมัครกันเต็มคลาสแน่นอน
นักเรียนดีเด่น 6 ปีซ้อน
ได้รับรางวัลเยาวชนดีเด่น กทม. ปี 2549 และเคยเป็นนักเรียนดีเด่นของโรงเรียนหอวัง ถึง 6 ปีซ้อน ได้ยินแบบนี้หลายคนคงนึกถึงภาพเด็กเนิร์ดใส่แว่น หน้าตาธรรมดาๆ คนหนึ่ง มากกว่าจะคิดว่าเป็นสาวสวย ความคิดเฉียบคมอย่างเธอคนนี้ ถามว่ามีเคล็ดลับอย่างไรถึงได้มัดใจกรรมการได้อยู่หมัดขนาดนี้ เอมจึงลองนั่งวิเคราะห์ตัวเองเป็นฉากๆ ให้ฟัง
“เอมว่ายิ่งโต ยิ่งเป็นเด็กเรียน ไม่รู้ทำไม ตั้งแต่อนุบาล-ประถม เอมยังไม่ใช่เด็กเรียนขนาดนั้นนะ จะบ้ากิจกรรมมากกว่า อาจารย์ทุกหมวดรู้เลยว่าถ้ามีกิจกรรมอะไรก็ตาม เรียกใช้เอมได้ แล้วก็แค่ทำตัวถูกระเบียบ ไม่มาสาย ไม่ซอยผม ไม่โดดเรียน"
"ที่ทำก็ไม่ได้คิดว่าต้องทำตัวดีหรืออะไร แค่คิดว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาค่ะ เพื่อนในกลุ่มเอมก็เป็นแบบนี้ ถึงเวลาเรียนก็เข้าเรียนด้วยกัน ก็เลยไม่ได้โดดเรียน เรื่องซอยผม ในกลุ่มก็ไม่มีใครซอย ก็เลยไม่มีใครทำ รู้สึกว่าซอยผมแล้วก็ต้องมานั่งหลบอาจารย์ อาจารย์ก็ต้องมาคอยวิ่งตาม เรียกเข้าห้องปกครอง แต่ถ้าเราทำตามระเบียบ เราก็จะไม่เหนื่อย แค่ทำตัวปกติอย่างที่ทุกคนทำ ทำแล้วก็ไม่ได้ลำบากใจอะไรเลย และบังเอิญว่ามันตรงกับระเบียบที่เขาวางไว้พอดี ทางโรงเรียนเลยมอบรางวัลให้ค่ะ”
นิสัยวัยรุ่นทั่วไปมักจะชอบแหกกฎ แล้วเหตุใดเธอจึงต่างออกไปราวฟ้ากับเหวขนาดนี้ ผู้สัมภาษณ์ถามด้วยความสงสัยจริงๆ ซึ่งสาวหน้าใสคนนี้ก็มีคำตอบในแบบของตัวเองมาอธิบายเหมือนกัน
“คงเป็นเพราะเพื่อนด้วยค่ะ หนูไม่ได้รู้สึกว่าคนที่แหกกฎเป็นคนไม่ดีนะ แต่แค่รู้สึกว่ามันคงแล้วแต่จังหวะความคะนองของแต่ละคนมากกว่า อย่างหนู หนูไม่ได้คะนองไปในทางผิดระเบียบ แต่จะคะนองในวิชาพละ ชอบเล่นอะไรแปลกๆ กายกรรม โลดโผนไปเรื่อย ซึ่งไม่ได้ต่างจากวัยรุ่นทั่วไปหรอกค่ะ ต่างกันตรงที่คะนองคนละแบบแค่นั้นเอง จะบอกว่าหนูเป็นคนเรียบร้อย อยู่ในกรอบเลยไหม ก็ไม่นะ ก็มีเล่นกีฬาโลดโผนตามวัย บางช่วงนึกอยากเล่นดนตรีก็ลุกขึ้นชวนเพื่อนเข้าชมรม ดีดกีตาร์ ตีกลอง คึกอยากทำเป็นพักๆ พอเบื่อก็เลิก คงไม่ต่างจากวัยรุ่นคนอื่นเท่าไหร่หรอกค่ะ” ถ้าเด็กเกรียนทั้งหลายคิดได้แบบนี้เยอะๆ ก็คงดี
สืบสายเลือดนักผจญภัย
เห็นหน้าเรียบๆ อย่างนี้ ขอบอกว่าเป็นขาลุยตัวยงเหมือนกัน เพราะชะเอมมักจะออกผจญภัยกับคุณพ่อตั้งแต่ยังเด็ก ทั้งเที่ยวน้ำตก เที่ยวทะเล ปีนเขา เล่นเจ็ตสกี ทำมาหมดแล้ว เรียกได้ว่าสายเลือดนักบู๊ไม่ทิ้งแถวจริงๆ
“ที่ประทับใจที่สุดน่าจะเป็นเจ็ตสกีค่ะ ตอนแรกก็ไม่กล้า แต่พอได้ลองก็ชอบ หัดเล่นครั้งแรกตอน ม.4 คุณพ่อหัดให้ที่พัทยา พ่อมานั่งซ้อนท้ายคอยสอนเลย มาบิดคันเร่งให้ เพราะตอนแรกหนูยังไม่กล้าบิด (ยิ้ม) สักพักพอขับได้เอง ก็ชวนเพื่อนไปเล่นด้วยกันช่วงว่างๆ แต่ตอนนี้ไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่แล้วค่ะ ครั้งสุดท้ายที่ไปก็ประมาณตอนปีหนึ่งได้”
วีรกรรมเอ็กสตรีมล่าสุดของเธอก็ไม่ได้ไกลตัวมากมาย อยู่ในละครเรื่องบุหงาหน้าฝนนี่เอง ถ้าใครยังไม่ได้ดู ชะเอมแนะนำว่าให้ลองเสิร์ชดู อยู่ประมาณตอนที่ 7 เป็นฉากขับเรือหางยาว ถ้าดูในฉากคงไม่รู้สึกตื่นเต้นอะไร แต่ถ้ารู้เบื้องหลังแล้วจะทึ่งกับความแก่นของเธอคนนี้
“หนูไม่เคยขับเรือมาก่อนเลย ก็หัดเดี๋ยวนั้นเลยค่ะ มีพี่เจ้าของเรือมาสอนให้ขับวนๆ อยู่แป๊บๆ ก็ถ่ายจริงเลย แล้วฉากนั้นต้องนั่งอยู่ในเรือคนเดียว พอตอนถ่าย หนูขับออกไปแล้วทั้งกองถึงได้รู้ว่าหนูออกไปโดยที่ไม่มีวออยู่ในเรือ เพราะทีมงานลืม หนูก็ขับออกไปเรื่อยๆ เพราะไม่ได้ยินว่าใครสั่งคัต สักพักเริ่มสงสัย หันกลับไปดูที่ฝั่งถึงได้รู้ เห็นพี่ๆ ทีมงานโบกมือกระโดดกันใหญ่เลย ก็เลยพยายามหันหัวเรือกลับ แล้วฝนตกด้วยตอนนั้น กว่าจะเลี้ยวกลับได้ก็ยากเหมือนกัน (หัวเราะ)”
ประวัติส่วนตัว
ชื่อ-สกุล : ชะเอม-ศิริพิชยา วิสิฐไวทยากุล
วันเกิด : 28 ตุลาคม 2531
ส่วนสูง : 166 ซม.
น้ำหนัก : 45 กก.
การศึกษา : กำลังศึกษาอยู่ชั้นปีที่ 5 (ปีสุดท้าย) คณะครุศาสตร์ ภาควิชานโยบาย การจัดการและความเป็นผู้นำทางการศึกษา สาขาวิชาการศึกษานอกระบบโรงเรียน เอกจิตวิทยา การปรึกษาและแนะแนว จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ความสามารถ : รำไทย, กีตาร์ไฟฟ้า และไวโอลิน
ผลงาน : มิวสิกวิดีโอเพลง “มือซ้ายที่ว่างเปล่า” (โบกี้ - ด็อจ) , “14 อีกครั้ง” (เสก โลโซ), โฆษณา Natrive, DTAC, การบินไทย, นางเอกภาพยนตร์เรื่อง “ท้า/ชน”, นางเอกละครเวที “Boxing Boy” และล่าสุดนางเอกละครเรื่อง “บุหงาหน้าฝน”
รางวัลที่ได้รับ : รองอันดับ 1 Missteen Thailand และขวัญใจช่างภาพสื่อมวลชน ปี 2548, เยาวชนดีเด่นแห่งกรุงเทพมหานคร ประกายเพชร สาขาคุณธรรม จริยธรรม เนื่องในวันเยาวชนแห่งชาติ ปี 2549 และรางวัลนักเรียนดีเด่น 6 ปีซ้อนจากโรงเรียนหอวัง
ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย อดิศร ฉาบสูงเนิน