“พวกเสื้อแดงมันเปิดหมู่บ้านอีกแล้ว จะเต็มประเทศอยู่แล้ว พวกเราจะไม่ทำอะไรกันเลยหรือไง?”
“โหวตโนแล้ว จะเอายังไงต่อล่ะคะ..”
“จะเอายังไงกับบ้านเมืองกันดีล่ะครับ?”
“คุณอภิสิทธิ์อภิปรายดีนะ เหมาะที่จะเป็นฝ่ายค้านจริงๆ คุณว่ามั้ย!?”
“ถ้ารัฐบาลปูแดงเขาจะปรองดอง เยียวยา นิรโทษทั้งแดงทั้งเหลืองผมว่าพวกคุณเอาไปเถอะเอาโซ่ตรวจออกจากแข้งจากขาซะบ้าง ขออย่างเดียวกรณีทักษิณถ้าจะนิรโทษมันต้องมารับโทษก่อนเท่านั้น”
“แล้วพรรคการเมืองใหม่เป็นไง ได้มา 3 หมื่นกว่าคะแนน มันอายเพื่อนอายฝูงจริงๆ พวกคุณไม่คิดจะเอาคืน ไม่คิดทำอะไรกันเลยหรือ!?”
...ฯลฯ...
คือตัวอย่างคำถาม-ความรู้สึกจาก “พ่อแม่พี่น้องเอ๊ยยย...” ทางอีเมลและโทรศัพท์ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา (รวมทั้งก่อนหน้านั้น) บางท่านนอกจากจะตั้งคำถามแล้วถือโอกาสระบายความในใจในเชิงคับแค้นใจต่อความเป็นไปของบ้านเมือง และชีวิตส่วนตัวที่ชะตากรรมชีวิตเปลี่ยนผันหลังจากเข้าร่วมชุมนุม 193 วันในปี 2551 และ 158 วันในปี 2554
แม้ผมจะเป็นคนที่ใจเย็นมีสติในการรับฟัง แต่ยอมรับว่ามีบางช่วงบางจังหวะที่ออกอาการเบลอๆ ไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไรให้ผู้ถามมีความสดชื่น มีความหวังในชีวิต มีความหวังกับประเทศของเรา เพราะบางท่านเมื่อเปิดใจลงลึกในเชิงวิเคราะห์แลกเปลี่ยนก็ย้อนสวนว่าผมคิดเช่นนั้น ตัดสินใจอย่างนั้นได้อย่างไร...!!??
เช่น กรณีผมบอกว่าผมลาออกจากกรรมการบริหาร-สมาชิกพรรคการเมืองใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว บางท่านก็บอกว่าดีมาก ควรจะลาออกมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว บางท่านก็บอกว่า..คุณสำราญ คุณสุริยะใส กตะศิลา เป็นพวกขี้แพ้ใจไม่ถึงพึ่งไม่ได้...ฯลฯ.. ต้องอธิบายกันนานสองนานว่าทำไมต้องออกมา..
ครับเล่าสู่กันฟังพอเป็นสังเขปด้วยความเกรงใจ อย่าหาว่าเป็นการเอาเรื่องราวส่วนตัวมาโม้มาขอความสงสาร ที่หยิบยกมานำเรื่องวันนี้ก็เพียงจะสื่อข่าวส่งความถึง “พ่อแม่พี่น้องเอ๊ยยย..” ตลอดจนประชาชนทั่วไปในยุครัฐบาลปรองดองภายใต้การนำของนายกฯ ปูแดงว่า นี่คือความจริงและความเป็นไปในแนวรบของมนุษย์เผ่าพันธุ์พิเศษที่ชื่อ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ซึ่งได้กรำศึกต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ต่อสู้เพื่อปกป้องสถาบันและอธิปไตยของชาติมาเนิ่นนานโดยไม่หวังลาภสักการะ เพียงแต่บางครั้งเมื่อเหลียวหลังแลหน้าความเป็นไปแห่งบ้านเมืองกลับพบกับความวังเวงวิเวกวิโหวเหว..!! ก็เป็นธรรมดาของปุถุชนที่จะต้องตั้งคำถามกันบ้าง...
อย่างไรก็ตาม ไหนๆ ก็เปิดความในใจมาถึงตรงนี้แล้วก็อยากจะเล่าต่ออีกนิดว่า สิ่งที่ผมพูดไปกว้างๆ เป็นหลักการกับ “พ่อแม่พี่น้องเอ๊ยยย...” ทั้งหลายที่ร่วมสอบถามแลกเปลี่ยน พอจะสรุปได้สั้นๆ 3 ประการดังนี้
1) บ้านเมืองอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล แม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไม่มีระยะ “ฮันนีมูน” เพราะจะถูกตรวจสอบจากภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่วันแรกก็ตาม แต่โดยธรรมชาติก็ต้องมีระยะเวลาให้รัฐบาลของเธอพิสูจน์ฝีมือสักพักหนึ่งซึ่งไม่นานมาก คล้ายๆ กับที่พันธมิตรฯ ก็เคยให้โอกาสรัฐบาลอภิสิทธิ์
2) พันธมิตรฯ โดยแกนนำได้ประกาศเป็นหลักการใหญ่ไปแล้วว่า การชุมนุมประชาชนจะเกิดจาก 2 กรณีใหญ่เป็นสำคัญ คือ หากมีการแก้กฎหมายนิรโทษกรรมให้นักโทษชายหนีคดี “ทักษิณ ชินวัตร” และขบวนการล้มเจ้าฮึกเหิมปฏิบัติการเกินพิกัด อำนาจรัฐดูดายไม่นำพา..
3) ความเคลื่อนไหวอื่นๆ ในประเด็นต่างๆ ที่ไม่ชอบมาพากล ไม่ถูกต้องดีงาม เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่องค์กรต่างๆ หรือพี่น้องพันธมิตรฯ ในนามของกลุ่มหรือบุคคลสามารถขับเคลื่อนได้โดยอิสระ หากไม่เคลื่อนไหวก็สามารถที่จะจัดกิจกรรมในเชิงปัญญา เช่น ตั้งกลุ่มติดตามสถานการณ์-เฝ้าระวัง, กลุ่มศึกษาปัญหาเฉพาะกรณี ฯลฯ เพราะความเคลื่อนไหวที่มีข้อมูล มีเหตุผล จะมีความชอบธรรมและมีพลังมากกว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวด้วยความรู้สึกหรืออุปาทาน
………………….
ถึงบรรทัดนี้ก็ต้องพูดจากันตรงๆ ว่า ต่อปัญหาประเด็นต่างๆ เราๆ ท่านๆ หรือ “พ่อแม่พี่น้องเอ๊ยยย...” จะเรียกร้องให้แกนนำพันธมิตรฯ เป่านกหวีดอยู่ร่ำไปนั้นไม่ถูกต้อง พูดภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่าวันนี้พันธมิตรฯ นั้นรอ “งานใหญ่” และพึงเข้าใจด้วยว่ารูปการของพันธมิตรฯ ไม่ใช่รูปการเดียวกับ นปช.ของคนเสื้อแดง ที่เคลื่อนไหวมวลชนในเชิง “พรรคเคลื่อนไหว” หรือ “พรรคนอกสภา” ที่ประสานมือกับ “พรรค(ใน)สภา” หรือพรรคเพื่อไทย....
วันนี้คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวมวลชนผ่าน “หมู่บ้านแดง” ลงสู่หัวไร่ปลายนาลงสู่รากหญ้า แน่นอน..น่าจับตา แต่ก็อย่าได้ตีอกชกตัวว่า..หมดกัน...สิ้นแล้วประเทศไทย ต้องมั่นใจว่าไม่เพียงพันธมิตรฯ เท่านั้น ประเทศไทยยังมีเจ้าของประเทศอีกจำนวนมากที่จะไม่ยินยอมให้เกิดความไม่ถูกต้องถึงขั้นล้มล้างสถาบัน หรือเปลี่ยนประเทศไทยเป็นรัฐไทยใหม่...
ในส่วนของกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ที่ถอยออกจากพรรค ผมทราบดีว่าเขามีการสัมมนาเสวนาเกาะเกี่ยวร้อยรัดหรือรวมตัวกันอยู่เพื่อทำกิจกรรมในภาวะที่พันธมิตรฯ ยังรอ “งานใหญ่” โดยได้จัดตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวกิจกรรมมวลชนในนามของ “กลุ่มการเมืองสีเขียว” ที่ไม่ได้หมายความว่าเป็นกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หากแต่หมายถึงกลุ่มกิจกรรมการเมืองที่มุ่งเน้นเคลื่อนไหวสรรค์สร้างการเมืองสะอาด การเมืองไร้มลพิษ ประเทศที่มีธรรมาภิบาล…เป็นการเมืองภาคประชาชนที่อาจจะไม่เข้มข้นเหมือนกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) แต่จะทำกิจกรรมเชิงกว้าง สามัคคีผู้ที่รักบ้านรักเมือง...สานต่อการปฏิรูปหรืออภิวัฒน์ประเทศไทย..
วันที่ 27 ส.ค. 2554 นี้ กลุ่มนี้จะเปิดตัวจัดเสวนากันที่สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) บางกะปิ ตั้งแต่ 9.00 น. ผมตอบรับคุณสุริยะใส กตะศิลา ที่จะไปเป็นผู้ดำเนินรายการเสวนาวิชาการในภาคเช้า...และร่วมขบวนกับ “กลุ่มการเมืองสีเขียว” มองไปข้างหน้าเดินไปข้างหน้า อย่างน้อยๆ ก็พอจะตอบคำถามที่ยกมาตอนต้นได้บ้าง แต่มากไปกว่านั้นก็คือ..ประเทศไทยก็เป็นของเรา ต้องร่วมกันคิดร่วมกันทำร่วมกันตรวจสอบถ่วงดุลให้สังคมนี้เดินไปตามครรลองคลองธรรม...
ใครว่างก็กราบเรียนเชิญไปร่วมครับ..
อย่าเพิ่งสิ้นหวัง อย่าเพิ่งนั่งหมดอาลัยตายอยาก อย่าเพิ่งสิ้นคิด หมดปัญญา!!
samr_rod@hotmail.com
“โหวตโนแล้ว จะเอายังไงต่อล่ะคะ..”
“จะเอายังไงกับบ้านเมืองกันดีล่ะครับ?”
“คุณอภิสิทธิ์อภิปรายดีนะ เหมาะที่จะเป็นฝ่ายค้านจริงๆ คุณว่ามั้ย!?”
“ถ้ารัฐบาลปูแดงเขาจะปรองดอง เยียวยา นิรโทษทั้งแดงทั้งเหลืองผมว่าพวกคุณเอาไปเถอะเอาโซ่ตรวจออกจากแข้งจากขาซะบ้าง ขออย่างเดียวกรณีทักษิณถ้าจะนิรโทษมันต้องมารับโทษก่อนเท่านั้น”
“แล้วพรรคการเมืองใหม่เป็นไง ได้มา 3 หมื่นกว่าคะแนน มันอายเพื่อนอายฝูงจริงๆ พวกคุณไม่คิดจะเอาคืน ไม่คิดทำอะไรกันเลยหรือ!?”
...ฯลฯ...
คือตัวอย่างคำถาม-ความรู้สึกจาก “พ่อแม่พี่น้องเอ๊ยยย...” ทางอีเมลและโทรศัพท์ในช่วง 2-3 วันที่ผ่านมา (รวมทั้งก่อนหน้านั้น) บางท่านนอกจากจะตั้งคำถามแล้วถือโอกาสระบายความในใจในเชิงคับแค้นใจต่อความเป็นไปของบ้านเมือง และชีวิตส่วนตัวที่ชะตากรรมชีวิตเปลี่ยนผันหลังจากเข้าร่วมชุมนุม 193 วันในปี 2551 และ 158 วันในปี 2554
แม้ผมจะเป็นคนที่ใจเย็นมีสติในการรับฟัง แต่ยอมรับว่ามีบางช่วงบางจังหวะที่ออกอาการเบลอๆ ไม่รู้จะตอบคำถามอย่างไรให้ผู้ถามมีความสดชื่น มีความหวังในชีวิต มีความหวังกับประเทศของเรา เพราะบางท่านเมื่อเปิดใจลงลึกในเชิงวิเคราะห์แลกเปลี่ยนก็ย้อนสวนว่าผมคิดเช่นนั้น ตัดสินใจอย่างนั้นได้อย่างไร...!!??
เช่น กรณีผมบอกว่าผมลาออกจากกรรมการบริหาร-สมาชิกพรรคการเมืองใหม่ไปเรียบร้อยแล้ว บางท่านก็บอกว่าดีมาก ควรจะลาออกมาตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว บางท่านก็บอกว่า..คุณสำราญ คุณสุริยะใส กตะศิลา เป็นพวกขี้แพ้ใจไม่ถึงพึ่งไม่ได้...ฯลฯ.. ต้องอธิบายกันนานสองนานว่าทำไมต้องออกมา..
ครับเล่าสู่กันฟังพอเป็นสังเขปด้วยความเกรงใจ อย่าหาว่าเป็นการเอาเรื่องราวส่วนตัวมาโม้มาขอความสงสาร ที่หยิบยกมานำเรื่องวันนี้ก็เพียงจะสื่อข่าวส่งความถึง “พ่อแม่พี่น้องเอ๊ยยย..” ตลอดจนประชาชนทั่วไปในยุครัฐบาลปรองดองภายใต้การนำของนายกฯ ปูแดงว่า นี่คือความจริงและความเป็นไปในแนวรบของมนุษย์เผ่าพันธุ์พิเศษที่ชื่อ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ซึ่งได้กรำศึกต่อสู้กับความไม่ถูกต้อง ต่อสู้เพื่อปกป้องสถาบันและอธิปไตยของชาติมาเนิ่นนานโดยไม่หวังลาภสักการะ เพียงแต่บางครั้งเมื่อเหลียวหลังแลหน้าความเป็นไปแห่งบ้านเมืองกลับพบกับความวังเวงวิเวกวิโหวเหว..!! ก็เป็นธรรมดาของปุถุชนที่จะต้องตั้งคำถามกันบ้าง...
อย่างไรก็ตาม ไหนๆ ก็เปิดความในใจมาถึงตรงนี้แล้วก็อยากจะเล่าต่ออีกนิดว่า สิ่งที่ผมพูดไปกว้างๆ เป็นหลักการกับ “พ่อแม่พี่น้องเอ๊ยยย...” ทั้งหลายที่ร่วมสอบถามแลกเปลี่ยน พอจะสรุปได้สั้นๆ 3 ประการดังนี้
1) บ้านเมืองอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล แม้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะไม่มีระยะ “ฮันนีมูน” เพราะจะถูกตรวจสอบจากภาคส่วนต่างๆ ตั้งแต่วันแรกก็ตาม แต่โดยธรรมชาติก็ต้องมีระยะเวลาให้รัฐบาลของเธอพิสูจน์ฝีมือสักพักหนึ่งซึ่งไม่นานมาก คล้ายๆ กับที่พันธมิตรฯ ก็เคยให้โอกาสรัฐบาลอภิสิทธิ์
2) พันธมิตรฯ โดยแกนนำได้ประกาศเป็นหลักการใหญ่ไปแล้วว่า การชุมนุมประชาชนจะเกิดจาก 2 กรณีใหญ่เป็นสำคัญ คือ หากมีการแก้กฎหมายนิรโทษกรรมให้นักโทษชายหนีคดี “ทักษิณ ชินวัตร” และขบวนการล้มเจ้าฮึกเหิมปฏิบัติการเกินพิกัด อำนาจรัฐดูดายไม่นำพา..
3) ความเคลื่อนไหวอื่นๆ ในประเด็นต่างๆ ที่ไม่ชอบมาพากล ไม่ถูกต้องดีงาม เป็นสิทธิอันชอบธรรมที่องค์กรต่างๆ หรือพี่น้องพันธมิตรฯ ในนามของกลุ่มหรือบุคคลสามารถขับเคลื่อนได้โดยอิสระ หากไม่เคลื่อนไหวก็สามารถที่จะจัดกิจกรรมในเชิงปัญญา เช่น ตั้งกลุ่มติดตามสถานการณ์-เฝ้าระวัง, กลุ่มศึกษาปัญหาเฉพาะกรณี ฯลฯ เพราะความเคลื่อนไหวที่มีข้อมูล มีเหตุผล จะมีความชอบธรรมและมีพลังมากกว่ากลุ่มที่เคลื่อนไหวด้วยความรู้สึกหรืออุปาทาน
………………….
ถึงบรรทัดนี้ก็ต้องพูดจากันตรงๆ ว่า ต่อปัญหาประเด็นต่างๆ เราๆ ท่านๆ หรือ “พ่อแม่พี่น้องเอ๊ยยย...” จะเรียกร้องให้แกนนำพันธมิตรฯ เป่านกหวีดอยู่ร่ำไปนั้นไม่ถูกต้อง พูดภาษาชาวบ้านก็ต้องบอกว่าวันนี้พันธมิตรฯ นั้นรอ “งานใหญ่” และพึงเข้าใจด้วยว่ารูปการของพันธมิตรฯ ไม่ใช่รูปการเดียวกับ นปช.ของคนเสื้อแดง ที่เคลื่อนไหวมวลชนในเชิง “พรรคเคลื่อนไหว” หรือ “พรรคนอกสภา” ที่ประสานมือกับ “พรรค(ใน)สภา” หรือพรรคเพื่อไทย....
วันนี้คนเสื้อแดงเคลื่อนไหวมวลชนผ่าน “หมู่บ้านแดง” ลงสู่หัวไร่ปลายนาลงสู่รากหญ้า แน่นอน..น่าจับตา แต่ก็อย่าได้ตีอกชกตัวว่า..หมดกัน...สิ้นแล้วประเทศไทย ต้องมั่นใจว่าไม่เพียงพันธมิตรฯ เท่านั้น ประเทศไทยยังมีเจ้าของประเทศอีกจำนวนมากที่จะไม่ยินยอมให้เกิดความไม่ถูกต้องถึงขั้นล้มล้างสถาบัน หรือเปลี่ยนประเทศไทยเป็นรัฐไทยใหม่...
ในส่วนของกรรมการบริหารพรรคและสมาชิกพรรคการเมืองใหม่ที่ถอยออกจากพรรค ผมทราบดีว่าเขามีการสัมมนาเสวนาเกาะเกี่ยวร้อยรัดหรือรวมตัวกันอยู่เพื่อทำกิจกรรมในภาวะที่พันธมิตรฯ ยังรอ “งานใหญ่” โดยได้จัดตั้งกลุ่มเคลื่อนไหวกิจกรรมมวลชนในนามของ “กลุ่มการเมืองสีเขียว” ที่ไม่ได้หมายความว่าเป็นกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หากแต่หมายถึงกลุ่มกิจกรรมการเมืองที่มุ่งเน้นเคลื่อนไหวสรรค์สร้างการเมืองสะอาด การเมืองไร้มลพิษ ประเทศที่มีธรรมาภิบาล…เป็นการเมืองภาคประชาชนที่อาจจะไม่เข้มข้นเหมือนกลุ่มองค์กรพัฒนาเอกชน (เอ็นจีโอ) แต่จะทำกิจกรรมเชิงกว้าง สามัคคีผู้ที่รักบ้านรักเมือง...สานต่อการปฏิรูปหรืออภิวัฒน์ประเทศไทย..
วันที่ 27 ส.ค. 2554 นี้ กลุ่มนี้จะเปิดตัวจัดเสวนากันที่สถาบันพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) บางกะปิ ตั้งแต่ 9.00 น. ผมตอบรับคุณสุริยะใส กตะศิลา ที่จะไปเป็นผู้ดำเนินรายการเสวนาวิชาการในภาคเช้า...และร่วมขบวนกับ “กลุ่มการเมืองสีเขียว” มองไปข้างหน้าเดินไปข้างหน้า อย่างน้อยๆ ก็พอจะตอบคำถามที่ยกมาตอนต้นได้บ้าง แต่มากไปกว่านั้นก็คือ..ประเทศไทยก็เป็นของเรา ต้องร่วมกันคิดร่วมกันทำร่วมกันตรวจสอบถ่วงดุลให้สังคมนี้เดินไปตามครรลองคลองธรรม...
ใครว่างก็กราบเรียนเชิญไปร่วมครับ..
อย่าเพิ่งสิ้นหวัง อย่าเพิ่งนั่งหมดอาลัยตายอยาก อย่าเพิ่งสิ้นคิด หมดปัญญา!!
samr_rod@hotmail.com