xs
xsm
sm
md
lg

จีน AF1 เมื่อถึงวันที่ฝันของนักล่า... สลาย

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เปิดใจในฐานะนักล่าฝันที่เคยเดินไปถึงจุด สูงสุด และ ต่ำสุด บนเวทีเดียวกันมาแล้ว
ทันทีที่เวทีนักล่าฝันประกาศชื่อผู้ชนะการประกวดซีซันล่าสุด สื่อต่างรุมล้อม หลายคนจับตามองดาวรุ่งดวงใหม่อย่างตื่นเต้นและสนใจ แต่ภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้ากลับทำให้ M-Lite นึกถึงหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเคยยืนอยู่ในจุดเดียวกันมาก่อนเมื่อ 8 ปีที่แล้ว วินาทีนั้นเธอหอบเอาความหวังใส่ไว้เต็มตะกร้า ก่อนจะพบว่าสุดท้ายเป็นได้แค่ฝันเพียงฝ่ายเดียว
 
“จีน ธัญนันท์ มหาพิรุณ” คือผู้หญิงคนนั้นที่เราพูดถึง ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้ชนะการประกวดจากเวทีอะคาเดมีแฟนเทเซียซีซันหนึ่ง หรือ AF1 ได้เพียงตำแหน่งรองชนะเลิศเท่านั้น แต่ฝันที่เธอวาดไว้บนเส้นทางดนตรีก็ไม่เล็กไปกว่าใคร จึงทำให้จีนกลายเป็นคนที่เจ็บที่สุดคนหนึ่งในวันที่พบว่าภาพฝันและความจริงดันเดินสวนทางกัน ถึงวันนี้ฝันที่เคยแตกสลายกลับแปรเปลี่ยนเป็นความเข้าใจ จากเอาแต่ถามว่า “ทำไม...” ตอนนี้เธอมีคำตอบแล้ว และยินดีตอบอย่างเปิดใจในฐานะนักล่าฝันรุ่นพี่ที่อยากเตือนน้องๆ เอาไว้



ฝันสลายในพริบตาเดียว
“ไม่ได้เห็นหน้าเสียนาน” คือคำทักทายแรกที่ผู้สัมภาษณ์นึกขึ้นได้ทันทีที่เจอหน้าเธอ ไม่ใช่เพราะว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน แต่แค่ต้องการสื่อความหมายให้คนถูกทักได้รู้ตัวว่าเธอห่างหายไปจากหน้าจอโทรทัศน์ช่องฟรีทีวีนานเพียงใด สาวหน้าหมวยพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้มสดใสแล้วตอบว่า “คงเพราะจีนไม่ได้ดังอะไรขนาดนั้นแล้วไง” จีนไม่ได้ตอบด้วยน้ำเสียงตัดพ้อต่อว่าหรือน้อยใจอย่างที่ควรจะเป็น นั่นคงเป็นเพราะเธอก้าวข้ามผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมาหมดแล้ว
 

“นึกย้อนกลับไปตอนนั้น ตอนที่เขาประกาศว่าเราได้รางวัล ใจของเรามันฟูไปหมดเลย วาดภาพไว้ว่าต่อไปชีวิตของเราจะต้องเป็นเหมือนนักร้องที่เคยเห็นในทีวีแน่ๆ เดี๋ยวเราจะสบายแล้ว คิดแต่ภาพสวยๆ งามๆ เพราะตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจวงการบันเทิงจริงๆ ว่ามันเป็นยังไง ยังมองเห็นแต่ความสวยงามภายนอก ยิ่งมีการเซ็นสัญญาการันตีด้วยแล้ว ยิ่งหมดห่วงเลย คิดแค่ว่าเราคงจะได้ทำงานที่สนุกๆ หวังทุกอย่างไว้สวยหรู แต่หลังจากการประกวดปีเดียว ทุกอย่างมันก็วูบลงหมดเลย” จีน ธัญนันท์ หรือ จีน AF1 ย้อนความรู้สึกให้ฟัง
 

ทันทีที่การประกวดซีซันสองเริ่มขึ้น และได้รับการอนุมัติให้ฉายทางช่องโมเดิร์นไนน์ทีวีเป็นครั้งแรก จีนก็รับรู้ได้ว่าถึงเวลาตื่นจากฝันแล้ว ในตอนนั้นหัวของเธอเต็มไปด้วยคำถามและความไม่เข้าใจ คิดวกวนแต่เรื่องลบๆ ได้แต่ตัดพ้อต่อว่ากับโชคชะตาของตัวเองอยู่พักใหญ่ ถือได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเหมือนคลื่นชุดใหญ่ที่ถาโถมเข้ามาในชีวิตจนแทบตั้งหลักไม่ทัน
 

รุ่นน้องที่เข้ามาประกวดเป็นรุ่นที่ได้ฉายทางช่องฟรีทีวีครั้งแรก คนรู้จักกันอย่างกว้างขวาง กลายเป็นว่าพวกเราซีซันหนึ่งเป็นซูเปอร์สตาร์อยู่ในเคเบิล (ยิ้ม) ดังได้แป๊บๆ ก็ไม่มีใครพูดถึงอีก พอเห็นอย่างนั้นปุ๊บมันเหมือนมีความรู้สึกบางอย่างมากระแทกเรา อธิบายไม่ถูกเลย ตอนนั้นเอาแต่ถามว่า “ทำไม” ตลอดเวลา ทำไมเราถึงไม่สมัครรุ่นนี้นะ ทำไมทีมมาร์เกตติ้งถึงไม่พยายามหาทางฉายในช่องฟรีทีวีให้เร็วกว่านี้ โทษทุกอย่างทั้งตัวเราเองและคนรอบข้างเละเทะไปหมดเลย คิดแม้กระทั่งว่าถ้าเราเป็นแชมป์ รายการมันจะดังกว่านี้หรือเปล่าวะ ฟุ้งซ่านไปถึงขั้นนั้นเลย
 
ความน้อยใจที่มีชวนให้จีนมองเห็นแต่แง่ร้ายๆ พอเห็นน้องนักล่าฝันรุ่นหลังๆ ได้รับโอกาสมากกว่า ในใจก็ยิ่งร้อนรุ่ม เปรียบเทียบไปหมดทุกอย่าง “เห็นรุ่นน้องบางคนร้องเพลงก็นึกบ่นในใจ อะไรวะ! ร้องได้แค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว ฉันแก่กว่า ฉันยังมี energy เยอะกว่าอีก (หัวเราะ) คิดแม้กระทั่งว่า โห! น้องมันโชคดีเนอะ ได้ทำงานนี้ด้วย แล้วดูเราสิ ยังอยู่ที่เดิมอยู่เลย หรือเราต้องประจบเก่งหรือเปล่า ถึงจะได้งานแบบคนนั้น คิดไปถึงขนาดนั้นเลยนะ (ยิ้มปลงๆ) อันนี้เป็นตัวอย่างความคิดที่เกิดจากความอิจฉาจริงๆ” นักล่าฝันรุ่นแรกเผยความรู้สึกทุกอย่างโดยไม่คิดปิดบัง





หาพื้นที่ของตัวเองให้เจอ
ใช้เวลาอยู่นานเหมือนกันว่าจะเข้าใจและทำใจยอมรับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ ถ้าเป็นแต่ก่อน เวลามีคนมาพูดยกยอว่า AF1 เสียงดี มีคุณภาพ แต่ทำไมไม่ดังเท่าซีซันอื่นๆ จีนคงพยักหน้าหงึกหงักเพราะอคติที่มีอยู่ในใจ แต่หลังจากคิดได้ เธอจึงเลิกเปรียบเทียบแล้วหันมาทำส่วนของตัวเองให้ดีที่สุด
 

“มานั่งนึกถึงช่วงเวลาดีๆ ที่เคยเกิดขึ้นกับเรา ประสบการณ์ที่ผ่านมาทำให้ได้คำตอบว่าเราก็ได้อะไรกลับมาเยอะเหมือนกัน ถึงแม้เราจะมีช่วงหนึ่งที่วูบดับไป แต่ช่วงที่ยังเป็นที่จับตามองอยู่ เราก็ได้ความรู้ใหม่ๆ ได้ความรู้สึกดีๆ ได้คนดีๆ มาอยู่ข้างๆ อีกเยอะแยะ ทำให้คิดได้ว่าไม่รู้จะมานั่งโทษนู่นโทษนี่ไปทำไมกันนักหนา"
"ในเมื่อโอกาสมันไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ใช่ เราทำในส่วนที่เรามีโอกาสดีกว่า แต่ถ้าสุดท้ายยังหาเหตุผลตอบตัวเองไม่ได้ ก็คงต้องโทษดวงไป โทษให้มันเป็นแพะรับบาปให้ตัวเองสบายใจ ไม่ต้องมานั่งคิดมาก หรือมานั่งจับจดอยู่กับตัวเองแล้วถามว่า “ทำไมวะ” ไม่ต้องมานั่งจับผิดว่าตัวเองขาดอะไรไป คนอื่นดีกว่าเราตรงไหน พอเรามองทุกอย่างอย่างเข้าใจ เราก็จะทำทุกอย่างได้อย่างสบายใจเองค่ะ
 

ถึงแม้ว่าทุกวันนี้หน้าของจีนอาจไม่เป็นที่จดจำมากนัก ไม่ได้ปรากฏให้เห็นบ่อยๆ ตามหน้าจอโทรทัศน์ และไม่ถึงกับเป็นซูเปอร์สตาร์ที่ใครๆ ต่างรู้จัก แต่เธอก็มีความสุขในจุดที่ตัวเองยืนอยู่และสนุกกับบทบาทใหม่ที่ได้รับจากการทำงานเบื้องหลัง ถามว่ารู้สึกเสียใจไหมถ้าต่อไปไม่มีงานเพลงเข้ามาให้ทำ จีนตอบอย่างไม่ลังเลว่า “ไม่นะ จีนว่าจีนปรับตัวได้ค่ะ”
 

คงเป็นเพราะเราไม่ยึดติดแล้วมั้ง คิดว่าถ้าไม่ได้ร้องเพลงจริงๆ ก็ลองหาอย่างอื่นที่พอทำได้ทำดู  จีนเป็นพวกชอบลองทำอะไรใหม่ๆ อยู่แล้ว จะได้รู้ว่าจริงๆ แล้วเราเหมาะกับอะไรกันแน่ อย่างก่อนหน้านี้จีนไม่เคยแน่ใจเลยว่าตัวเองเลือกเรียนมาถูกทางแล้ว จนตอนนี้มีโอกาสได้มาเป็นโปรดิวเซอร์รายการบัดดี้ดีเจทางช่องเอเอฟแชนแนล ถึงเพิ่งรู้สึกว่าที่เรียนนิเทศฯ มาไม่สูญเปล่า ในที่สุดก็ได้ใช้สักที"
"ที่สำคัญเราได้เอาประสบการณ์ที่เคยอยู่เบื้องหน้าและเคยเรียนเกี่ยวกับเบื้องหลังมารวมเข้าด้วยกัน ได้ทำงานกับคนเก่งๆ มีโอกาสคิดวิธีการนำเสนอ คุมคอนเทนต์รายการ รู้สึกดีมากเลยค่ะที่ได้ทำตรงนี้ เหมือนเราหาพื้นที่ใหม่ที่เราสามารถจะยืนได้อย่างสบายใจเจอแล้วรอยยิ้มกว้างๆ โชว์ลักยิ้มและเขี้ยวเล็กๆ ของเธอ ช่วยยืนยันสิ่งที่พูดได้สมบูรณ์แบบโดยไม่จำเป็นต้องมีคำอธิบายเพิ่มเติม


 



แฟนคลับ = ญาติ
อีกหนึ่งพื้นที่ที่ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัย นอกเหนือไปจากกำลังใจจากครอบครัวคือแฟนคลับ พวกเขาคือพลังงานก้อนโตซึ่งส่งให้จีนผ่านพ้นช่วงฝันสลายมาได้ พูดอย่างนี้อาจดูเหมือนว่าเธอกำลังเรียกคะแนนความนิยมตามธรรมเนียมปฏิบัติของนักร้องทั่วๆ ไป แต่สำหรับสาวเสียงห้าว นิสัยตรงๆ อย่างเธอคนนี้ คงต้องขอยกเว้นไว้สักกรณีหนึ่ง เพราะกว่าจะออกปากยอมรับแฟนคลับของตัวเองว่ามีความหมายต่อชีวิตอย่างทุกวันนี้ เธอต้องต่อสู้กับความรู้สึกไม่เข้าใจอยู่นานมาก จากเคยมองเห็นพวกเขาเป็นแค่กลุ่มคนแปลกหน้าที่เต็มไปด้วยเรื่องแปลกประหลาดยากแก่การรับมือเท่านั้น 
 

“ครั้งหนึ่งมีพี่แฟนคลับคนหนึ่งมาหาเรา บอกว่าวันนี้เพิ่งคลอดลูกมาเลยนะ อยากมาหาจีน อยากบอกให้จีนรู้ก่อนเลย ตอนนั้นเรายังไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร ไม่เข้าใจว่าการที่เขาดั้นด้นมาเจอเรา มันจะไปช่วยอะไรได้ จีนเลยถามเขาออกไปเลยว่า อ้าว! แล้วทำไมไม่อยู่ดูแลลูกล่ะ อีกครั้งหนึ่งก็ตอนน้อง ม.ต้นใส่ชุดนักเรียนมาหาเรา จีนดูนาฬิกาเห็นว่าเพิ่งบ่ายโมง จีนก็ถามเลย อ้าว! แล้วโรงเรียนล่ะ นี่โดดเรียนมากันเหรอ ตอนนั้นไม่รู้จักเขามาก่อนด้วยนะ แต่ก็ยังไปด่าเขา แล้วช่วงแรกๆ จีนเป็นแบบนี้ประจำเลย (ยิ้มปลงๆ)”
 

“แฟนคลับเซอร์ไพรส์จัดงานวันเกิดให้ มีคนเข้ามารุมล้อมมากมาย เราก็ไม่เข้าใจ ไม่รู้ว่าเขามาทำให้เราทำไม เราไม่เคยไปทำอะไรให้เขาเลย แล้วเขาจะได้อะไรกลับไป เพราะจีนเองก็ไม่ใช่เด็กที่เคยคลั่งดาราคนไหนมาก่อน จริงๆ แล้วจีนชอบพี่เบิร์ดมากนะ ดูคอนเสิร์ตทุกครั้งจะต้องตะโกนเรียกพี่เบิร์ดให้ทุกคนได้ยิน แล้วต้องตะโกนตอนที่ทุกคนเงียบด้วย ไม่รู้เป็นอะไร (หัวเราะ) และพี่เบิร์ดก็จะตอบว่าจ๋าทุกครั้ง ซึ่งเรารู้สึกว่าแค่นี้แหละ พอแล้ว แต่จีนจะไม่ไปหาว่าบ้านพี่เบิร์ดอยู่ไหน จะไม่เดินเข้าไปในกลุ่มคนมากมายแล้วขอให้พี่เบิร์ดเซ็นชื่อให้ หรือขอหอมแก้มหน่อยได้ไหมคะ เราจะไม่เป็นแบบนั้น ก็เลยไม่เคยเข้าใจว่าความรู้สึกตรงนี้มันคืออะไร
 

จนวันหนึ่งมีโอกาสได้ดูคอนเสิร์ตของนักร้องชื่อดังอย่าง Darren Hayes แห่งวง Savage Garden จึงจุดประกายให้จีนหันกลับมามองเห็นคุณค่าของกลุ่มคนที่เธอเคยละเลยอีกครั้งหนึ่ง
 

“ตอนดูคอนเสิร์ตจีนนั่งไกลจากเขามากนะ ประมาณว่าเขาอยู่หน้าหมู่บ้าน เราอยู่ท้ายหมู่บ้าน แต่เรานั่งดูเขาแล้วน้ำตาไหล ก็เลยคิดขึ้นได้ว่า เอ้อ! มันคงเป็นความรู้สึกแบบนี้แหละมั้งที่หลายๆ คนเขามีให้เราเมื่อก่อนแต่เราไม่เข้าใจ แวบที่คิดได้ก็รู้สึกผิดมากที่เคยทำตัวแย่ๆ หลายอย่าง ยิ่งช่วงที่จีนกำลังเครียดกับอาชีพของตัวเองยิ่งทำให้เข้าใจชัดเลย ตอนนั้นกำลังผิดหวัง จากที่เคยมองว่าอาชีพนักร้องของเราจะเป็นไปได้ด้วยดี แล้ววันหนึ่งมันก็กลับไปไม่รอด เราคิดวกวนอยู่กับตัวเองแค่นั้น”
 
“แต่พอลองมองคนที่เขาชื่นชอบเรา เขากลับมองว่ามันต้องมีทางออก อย่าเพิ่งท้อนะ ไม่ว่ายังไงเขาก็ยังเป็นกำลังใจให้ ซึ่งเป็นมุมที่เราไม่เคยคิดมาก่อน จีนว่าคนกลุ่มนี้เป็นอะไรที่แปลกประหลาดค่ะ (ยิ้ม) แต่แปลกประหลาดในทางที่ดีนะ เราไม่สามารถหาคำอะไรมาอธิบายความเป็นเขาได้ แต่มันทำให้เรารู้สึกดี ทำให้เรารู้สึกมีคุณค่ามากจริงๆ"
"มันเหมือนกับเวลาเราไปทำงาน เพื่อนในที่ทำงานไม่มีใครยอมรับเราสักคน แต่กลับมาบ้าน เราจะมีคนกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่หรือญาติของเราที่คิดว่าเราเก่งเสมอ ทำให้เรารู้สึกว่าเรามีที่อยู่ อย่างน้อยเราอยู่ตรงนี้แล้วเรารู้สึกมีคุณค่า ทุกวันนี้จีนว่าจีนไม่มีแฟนคลับหรอกค่ะ พวกเขาเป็นเหมือนญาติของจีนมากกว่า มีแต่ญาติๆ ที่เพิ่มขึ้น” คนพูดยิ้มจนตาหยี
 



เวทีนี้บั่นทอนจิตใจ
เมื่อบทสนทนาดำเนินมาถึงช่วงสุดท้าย ผู้สัมภาษณ์จึงขอให้เธอแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับเวทีการประกวดร้องเพลงในยุคปัจจุบันเสียหน่อย ไม่ใช่ในฐานะลูกจ้างจากค่ายยักษ์ใหญ่ ผู้อยู่เบื้องหลังนักล่าฝัน แต่พูดจากประสบการณ์ของคนที่เคยเกิดและดับบนเวทีแห่งนี้มาแล้ว ซึ่งดูเหมือนว่าเธอกำลังระบายความในใจมากกว่าแค่ทำหน้าที่เล่าให้ฟังตามคำขอ
 

เคยคิดเหมือนกันว่าทำไมต้องมีการประกวดแบบนี้ด้วยวะ มันทารุณนะ (ยิ้ม) จีนคิดจริงๆ ตอนยังเทียวประกวดตามเวทีนู้นเวทีนี้อยู่ รู้สึกเหนื่อยมากเลยนะ คือมันไม่ได้เหนื่อยเพราะไปหลายที่หรอกค่ะ แต่เหนื่อยเพราะถูกบั่นทอนกำลังใจมากกว่า คนที่เป็นนักร้องเนี่ย เมื่อไหร่ก็ตามที่เราพลาดหรือมีคนกำหนดให้เราไม่ได้ไปต่อ เราจะคิดกับตัวเองแล้วว่า หรือเราไม่ได้เก่งขนาดนั้นล่ะ ซึ่งความคิดแบบนี้นี่แหละที่จะบั่นทอนจิตใจ บั่นทอนความสามารถของเราเองทุกครั้ง โดยที่ไม่ต้องรอให้ใครมาว่าหรือมาบอกว่าเราร้องแย่หรอก
 

“จีนเองก็เคยไปมาหมดแล้วทั้ง First Stage ประมาณ 2-3 ครั้ง The Star อีก 2 ครั้ง แต่ก็ถูกปฏิเสธ ไม่ได้รับเลือกมาตลอด ยิ่งไปเหมือนกำลังใจของเรายิ่งหดหายลงเรื่อยๆ มานั่งนึกว่าหรือจริงๆ แล้วเราไม่เหมาะกับทางนี้ล่ะ ที่ถูกชมมาตลอดว่าร้องเพลงเพราะ คงเป็นเพราะคนที่ฟังเป็นญาติๆ ของเราเอง (หัวเราะ) ตอนนั้นถอดใจแล้ว จนได้มาลองประกวด AF และได้รับเลือก ถึงทำให้รู้สึกมั่นใจขึ้นมาใหม่ว่าตัวเองยังมีคุณค่าอยู่”
 

เธอไม่ได้หมายความว่าผู้ประกวดที่ไม่ได้รับเลือกไม่มีคุณค่าในตัวเอง แต่วินาทีนั้นการได้รับเลือกก็เหมือนกับได้รับการยอมรับว่าเธอยังมีคุณสมบัติคู่ควรที่จะเดินอยู่บนเส้นทางสายนี้ ส่วนคนที่ผิดหวัง จีนแนะนำให้มองอย่างเข้าใจว่าเวทีการประกวดร้องเพลงในบ้านเราสมัยนี้ไม่ได้เน้นแค่เรื่องเสียงร้องอีกต่อไปแล้ว ในเมื่อยังต้องขายเพลงอยู่ในระบบตลาดก็ต้องทำใจยอมรับให้ได้
 

“มองในแง่ดี ระบบแบบนี้มันทำให้คนเข้าประกวดรู้ตัวเองว่างานแบบไหนที่เหมาะกับเรา เพราะคนที่เขาคัดคนเข้ารอบ เขาต้องคิดไว้ก่อนแล้วว่าถ้าเลือกคนนี้ เขาจะเหมาะกับอะไร เป็นพิธีกรได้ไหม แสดงละคร เป็นนักร้องละครเวทีได้หรือเปล่า แต่ถ้าเขาไม่เลือกเรา แสดงว่าคุณสมบัติของเรายังไม่พร้อมมากพอ อาจจะไม่ได้เป็นเพราะเสียงไม่ดีอย่างเดียวอีกต่อไปแล้ว"
"จีนเองก็เคยรู้สึกขัดใจเหมือนกันว่าทำไมล่ะ เดี๋ยวนี้เป็นนักร้องอย่างเดียวไม่ได้แล้วเหรอ แต่พอคิดๆ ดูก็เข้าใจว่าเราคงกำลังกลับไปเป็นเหมือนคนในสมัยก่อน ทุกคนต้องเก่งและทำให้ได้ทุกเรื่อง เพื่อที่จะให้งานทุกอย่างออกมาดีที่สุด ที่สำคัญคือมันต้องขายได้ เพราะมันคือธุรกิจ
 

เมื่อเป็นเช่นนั้น รุ่นน้องที่มีความฝันบนเส้นทางเดียวกันกับเธอจึงควรหัดมองทุกอย่างอย่างเข้าใจตั้งแต่เนิ่นๆ เพราะจีนไม่อยากเห็นคนที่เดินขึ้นมาบนเวทีแห่งนี้ด้วยความหวังเต็มเปี่ยม แต่สุดท้ายก็ได้แต่หอบเอาความผิดหวังครั้งใหญ่กลับไป เช่นเดียวกับที่เธอเคยเป็น เคล็ดลับง่ายๆ เลยคือนักล่าฝันทั้งหลายควรมองหาความสุขที่แท้จริงของตัวเองให้เจอ มองทุกอย่างอย่างเข้าใจ ต่อไปไม่ว่าพายุจะซัดมาลูกใหญ่ขนาดไหน ก็ไม่มีวันล้ม
 

“เด็กรุ่นใหม่เขามีความมุ่งมั่นมากกว่ารุ่นเราเยอะ ถ้ารุ่นจีนมีเต็มร้อย รุ่นหลังๆ เขาคงมีเต็มพัน ซึ่งทำให้เขามีพลังเยอะมาก แต่บางทีก็กลายเป็นข้อเสียเหมือนกัน ถ้าเอาแต่มุ่งมั่นจนลืมความสุขในชีวิตไป คิดแต่เรื่องแข่งขัน ร้องเพื่อหวังให้ดัง แต่ระหว่างร้องไม่ได้รู้สึกเพลิดเพลินกับเพลงเลย ถ้าเป็นแบบนั้น ต่อให้คุณเข้ารอบไปแล้วได้ที่หนึ่ง คุณก็จะรู้สึกว่าชีวิตขาดอะไรตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน คนที่รู้ว่าคุณค่าของตัวเองคืออะไรและมีความสุขกับสิ่งที่ทำ ต่อให้ประกวดแล้วพลาดมาทั้งหมด 10 ครั้ง มันก็ยังรู้สึกสนุกกับทุกอย่างที่ได้ทำ โดยที่ไม่ต้องมานั่งคิดงี่เง่าเหมือนจีนเมื่อก่อน ขออย่างเดียวคือให้หาความรู้สึกสนุกให้เจอ ถ้าเราหาเจอ อะไรเข้ามาก็ทำได้หมด
 
“ทุกวันนี้จีนรู้ตัวดีว่ายังไงๆ เราก็ร้องเพลงสู้ออฟ ปองศักดิ์ไม่ได้ (ยิ้ม) จริงๆ นะ และจีนก็ไม่มีวันที่จะมี Perform บนเวทีได้สวยเท่าพี่วิทย์กับซีแนม เป็นผู้หญิงที่ดูเท่และเซ็กซี่ได้ไม่เท่าพี่น้ำตาล หรือดูไม่น่ารักเท่าพี่จิ้มแน่นอน จีนยังคิดอย่างนี้อยู่เสมอ แต่เวลาเราได้ทำในสิ่งที่รัก ร้องเพลงแล้วได้รับเสียงกรี๊ด มันทำให้รู้สึกว่าอย่างน้อยเพลงที่เรากำลังร้อง มันยังมีคนที่รู้สึกสนุกไปกับเราอยู่ ยังมีคนรับความรู้สึกที่เราส่งไปได้ แค่นั้นเราก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องไปร้อนรนคอยเปรียบเทียบ แข่งขันกับคนอื่นให้เหนื่อยเลยค่ะ





---ล้อมกรอบ---
นักร้องจำเป็น
ตอนยังไม่ติด AF วิ่งโร่ประกวดอยู่หลายต่อหลายเวที ชวนให้คิดไปว่าเธอคงมีความฝันอันแรงกล้า อยากเป็นนักร้องมาตั้งแต่เด็ก ที่ไหนได้เจ้าตัวกระซิบบอกมาว่า “เงิน” เป็นจุดเริ่มต้นบนเส้นทางดนตรีทั้งหมด
 

“จีนชอบมาตั้งแต่ตอนประถม ที่ฟังบ่อยที่สุดก็เพลงของพี่พาเมล่า เบาเด้น ชอบเอาเทปเขามาเปิด ทำท่าร้องเต้นตามมิวสิควิดีโอไป รู้สึกว่าสนุกดี แต่ไม่เคยมานั่งคิดต่อว่าโตขึ้นต้องไปเป็นนักร้องนะ จนวันที่ธุรกิจทางบ้านล้ม เป็นจุดดิ่งที่สุดของคุณพ่อเลย"
"มันหนักขนาดที่เขาต้องมานั่งแกะแบงค์จากดอกไม้ที่มีคนพับมาให้ เพื่อที่จะมีค่าทางด่วนพกไปทำงาน ซึ่งจีนไม่เคยเห็นพ่อต้องมาทำอะไรแบบนี้มาก่อน เราก็ เฮ้ย! มันขนาดนั้นเลยเหรอ ตอนนั้นใกล้จบ ป.6 แล้ว คิดเลยว่าจะต้องช่วยที่บ้านหาเงิน ทางไหนก็ได้ พิจารณาตัวเองตั้งแต่หัวจรดเท้า เสียงร้องคือสิ่งที่จีนมีและเอาไปใช้แลกเงินได้ก่อน จีนเลยตัดสินใจเลือกตรงนี้”
 

ความคิดตอนนั้น แค่อยากสมัครร้องเพลงตามร้านอาหารเพื่อช่วยครอบครัวหาเงิน แต่คุณพ่อดันเข้าใจว่าจีนฝันอยากเป็นนักร้อง จึงเริ่มทำหน้าที่ป๋าดัน ส่งลูกเข้าประกวดตามเวทีต่างๆ เส้นทางที่จีนวาดไว้ว่าจะออกจากโรงเรียนมาทำงานหาเงิน ร้องเพลงจุนเจือครอบครัวตั้งแต่ยังไม่ขึ้นชั้นมัธยมฯ จึงสลายไป กลายเป็นเส้นทางสู่นักล่าฝันแทน

“พ่อดันเต็มที่เลย เขาคิดว่าถ้าลูกจะเป็นนักร้อง จะต้องได้ออกเทป มีชื่อเสียงเหมือนพี่เบิร์ด อะไรประมาณนั้น (หัวเราะ) ก็เลยพาเราไปประกวดตามเวทีต่างๆ จีนเองก็ไม่ได้คิดอะไร คิดแค่ว่าถ้าประกวดแล้วได้เป็นนักร้อง หาเงินได้ก็เอา จะว่าเห็นแก่เงินก็ได้ เพราะเราอยากได้เงินเพื่อเอามาใช้กับที่บ้านจริงๆ คิดแค่นั้นเอง” ต้องบอกว่าถ้าคุณพ่อและจีนไม่เข้าใจผิดกันในวันนั้น คงไม่มีจีน AF1 ในวันนี้

ข่าวโดย Manager Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย... ธัชกร กิจไชยภณ
ขอบคุณสถานที่ : อารีย์การ์เด้นท์ (Aree Garden)

สบายๆ สไตล์จีน











มุมทะเล้นๆ




รอยยิ้มสดใส ความสุขของจีนในวันนี้
กำลังโหลดความคิดเห็น