xs
xsm
sm
md
lg

ตะลุยฟาร์ม “แกสบี้” หนูสุดฮิต

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


 
 
หนูน้อย “แกสบี้” ติดอันดับสัตว์เลี้ยงยอดฮิตอีกตัวหนึ่ง ที่เหล่าคนรักสัตว์ต่างพูดถึงความน่ารักของเจ้าหนูแกสบี้นี้ อะไรกันนะ?ที่ทำให้หลายคนคลั่งไคล้ในความน่ารักของเจ้าตัวเล็ก วันนี้ทีมงาน M-pet จะพาคุณไปท่องโลกอาณาจักรสัตว์เลี้ยง “แกสบี้เวิลด์” ฟาร์มแกสบี้ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย พร้อมนั่งคุยกับคุณ นก - ธันย์ชนก สุตะพาหะ เจ้าของฟาร์ม ผู้มากประสบการณ์ในเรื่องแกสบี้ สัตว์เลี้ยงที่เจ้าตัวบอกว่าเลี้ยงด้วยรักล้วนๆ

ธันย์ชนก สุตะพาหะ เจ้าของฟาร์มแกสบี้เวิลด์ บอกว่าเดิมเราเป็นคนชอบสัตว์เลี้ยงอยู่แล้ว ได้ไปหาซื้อสัตว์เลี้ยงที่จตุจักรมาเมื่อ 15 ปีที่แล้ว และไปเจอหนูแกสบี้ พันธุ์ขนยาว เรารู้สึกชอบจึงซื้อมาลองเลี้ยงดูก่อน 1 คู่ ในราคาตัวละ 2,000 บาท เป็นแกสบี้นำเข้ามาจากทางฮอลแลนด์ พอเลี้ยงแล้วเขาได้ออกลูกมา ลูกที่ออกมาก็จะมีขนเรียบร้อยและสามารถเดินได้เลย ยิ่งเลี้ยงก็ยิ่งชอบ เพราะแกสบี้เลี้ยงง่าย น่ารัก จากนั้นจึงเริ่มศึกษาเกี่ยวกับแกสบี้มากขึ้นมาประมาณ 2 ปี จึงคิดที่จะขยายพันธุ์เพื่อขายให้แก่คนที่ชื่นชอบแกสบี้เหมือนกัน

“ได้นำเข้าแกสบี้มาจากทางยุโรปและอเมริกา การนำเข้ามาในช่วงแรกเกิดปัญหาการปรับสภาพของแกสบี้ เนื่องจากอากาศในประเทศไทยต่างจากเมืองนอก แกสบี้บางตัวที่ปรับสภาพไม่ได้ก็ตายไป เราจึงศึกษาวิธีการเลี้ยงมากขึ้นจนสามารถเลี้ยงแกสบี้ให้สามารถปรับตัวในไทยได้”

มารู้จักแกสบี้กันเถอะ
แกสบี้เป็นสัตว์เลี้ยงขนาดเล็กที่เข้ามาในเมืองไทยเมื่อหลายปีที่ผ่านมา โดยในต่างประเทศแกสบี้ถูกมนุษย์นำมาเลี้ยง ตั้งแต่ปี คศ. 1500 โดยชาวดัตช์ คือเมื่อ 500 ปีที่ผ่านมา ต่อมาในปี คศ. 1770 เจ้าหนูแกสบี้ก็เป็นสัตว์เลี้ยงที่ได้รับความนิยมในสหรัฐอเมริกา โดยเป็นสัตว์เลี้ยงแฟนซีที่ได้รับความนิยมมาก และยังได้รับความนิยมจนถึงปัจจุบัน

“เป็นสัตว์ดั้งเดิมของอเมริกาใต้ ซึ่งสมัยก่อนเป็นสัตว์ท้องถิ่นและมีสีสันธรรมดาเหมือนกับพวกนก ไก่ ส่วนใหญ่ในตามธรรมชาติจะเป็นสีน้ำตาล หรือสีมืดๆไม่มีสีสันสดใส แต่พอแกสบี้มาอยู่กับคน คนได้นำมาเลี้ยงเป็นสัตว์สวยงาม นำมาปรับปรุงพันธุ์ ก็จะเกิดสีแปลกออกมาเรื่อยๆจากที่คนขยายพันธุ์กันเอง”

สำหรับชื่อเรียกของแกสบี้คือ Guinea Pigs ในต่างประเทศก็มักมีชื่อเรียกในแต่ละประเทศ โดยในประเทศไทยชื่อที่เป็นที่ยอมรับคือ “แกสบี้” ไม่ว่าวงการสัตว์เลี้ยง สัตวแพทย์ สื่อสารมวลชน ถ้าบอกว่าแกสบี้ก็จะเป็นที่เข้าใจตรงกัน สำหรับประเทศต่างๆ มีชื่อเรียกดังนี้ ประเทศญี่ปุ่น เรียกว่า “Moru-Motto” ประเทศสวีเดน เรียกว่า “Marsvin” ประเทศฟิลิปปินส์ เรียกว่า “Costa” เป็นต้น เช่นเดียวกับชื่อว่า “แกสบี้” ในประเทศไทยก็จัดว่าเป็น “Local Name” ที่เข้าใจตรงกันทุกวงการ

แกสบี้เป็นสัตว์ที่ไม่ดุและกินพืชเพียงอย่างเดียว ประเภทพวกธัญพืช ผัก ผลไม้ หญ้า และเป็นสัตว์ที่ค่อนข้างใจดี ไม่กัด เชื่องง่าย และเข้ากับคนได้ง่าย ตัวขนาดไม่ใหญ่มากนัก ตัวเต็มวัยโดยเฉลี่ยประมาณ 1 กก. จึงถือได้ว่าเป็นสัตว์ขนาดเท่ากระเป๋า (Pocket pet) ไม่ใหญ่มากนัก แกสบี้จะอาศัยอยู่ตามโพรงไม้ โพรงหิน ทุ่งหญ้า จะเป็นสัตว์ที่ถูกล่ามากกว่าเป็นผู้ล่าเหมือนกับกระต่าย”

ลักษณะสายพันธุ์-ขน-สี
แกสบี้เป็นสัตว์ที่มีความหลากหลายของสายพันธุ์ หนูแกสบี้ ในแต่ละสายพันธุ์ก็มีลักษณะพิเศษแตกต่างกันออกไป นอกจากเฉดสีที่มีมากมายแล้ว ยังแบ่งเป็นลักษณะขนยาว-ขนสั้น และขนตรง-ขนหยิก ซึ่งในประเทศไทยคนส่วนใหญ่จะนิยมเลี้ยงแกสบี้สายพันธุ์ขนยาว ซึ่งมีทั้งขนตรงและขนหยิก มีทั้งหมด 6 สายพันธุ์ที่คนนิยมเลี้ยง ได้แก่

พีรูเวียน (PERUVIAN) -ขนจะเหยียดตรงแนวของขนจะย้อนจากท้ายลำตัวขึ้นมาทางศีรษะ ซึ่งเกิดจากขวัญที่ส่วนท้ายของลำตัว พีรูเวียนเป็นหนูแกสบี้สายพันธุ์ขนยาวที่เข้ามาในประเทศไทยเป็นกลุ่มแรกๆ ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่ผู้เลี้ยง ซิลกี้ (SILKY) -มีทิศทางของขนเป็นปกติยาวเหยียดตรงเริ่มจากศีรษะจนถึงท้ายลำตัว เป็นสายพันธุ์ที่ใกล้ชิดกับสายพันธุ์พีรูเวียน โคโรเนต (CORONET) -ลักษณะโดยทั่วไปเหมือนกับ SHELTIE โดยมีลักษณะพิเศษที่มีขวัญอยู่บริเวณหน้าผาก เป็นสายพันธุ์ที่มีผู้เลี้ยงไม่มากนัก เท็กเซล (TEXEL) -เป็นหนูสายพันธุ์ขนยาวที่มีลักษณะพิเศษตรงที่มีขนหยิกเป็นลอน เมื่อโตเต็มที่จะมีรูปหน้าที่กลมใหญ่ มาริโน (MARINO) -เป็นสายพันธุ์ที่ลักษณะคล้ายกับพันธุ์โคโรเนต และมีขนหยิกเป็นลอน อาปาก้า (ALPACA) -ลักษณะโดยทั่วไปขนจะหยิกเหมือนพันธุ์เท็กเซล แต่ขนจะย้อนไปทางด้านศีรษะเหมือนกับ PERUVIAN เป็นสายพันธุ์ที่ยังไม่เป็นที่แพร่หลายมากนัก

นอกจากนี้ ก็จะมีสายพันธุ์ขนสั้น มี 2 สายพันธุ์คือ อิงลิชช็อตแฮร์ (ENGLISH SHORT HAIR) ,อเมริกันช็อตแฮร์ ( AMERICAN SHORT HAIR) จะมีขนสั้นและเรียบ ตั้งแต่ปลายจมูกจนถึงท้ายลำตัว มีหลายสี ได้แก่ เท็ดดี้แบร์ (TEDDY BEAR) -ลักษณะเด่นจะอยู่ที่ขนมีลักษณะสั้นและหยิกทั่วทั้งลำตัวที่ได้พัฒนาสายพันธุ์ในอเมริกา เร็ก (REX) -เป็นพันธุ์ขนสั้นหยิกที่พัฒนาสายพันธุ์ในยุโรป ถ้ามองจากลักษณะภายนอกจะแยกไม่ออกระหว่างเร็กกับเท็ดดี้แบร์ เพราะลักษณะภายนอกเหมือนกัน แต่การพัฒนาลักษณะขนหยิกของทั้งสองสายพันธุ์เกิดจากยีนส์ที่ต่างกัน

อิงลิชโคสเต็ด (ENGLISH CRESTED) -ลักษณะคล้ายกับ อิงลิชช็อตแฮร์ จะมีลักษณะพิเศษคือมีขวัญอยู่ที่บริเวณหน้าผาก อเมริกันโคสเต็ด (AMERICAN CRESTED) -ลักษณะคล้ายกับอิงลิชโคสเต็ด แต่มีขวัญที่บริเวณหน้าผากเป็นสีขาว หรือบางครั้งมีคนเรียกว่า ไวท์โคสเต็ด (WHITE CRESTED) อะบิสซิเนียน (ABYSSINIAN) -เป็นสายพันธุ์ที่มีขนยาวปานกลาง และมีขวัญกระจายไปทั่วทั้งตัว

แกสบี้ในแต่ละสายพันธุ์ยังสามารถจำแนกตามลักษณะของขนได้ดังนี้ ขนธรรมดา (Regular) -ลักษณะของขนเหมือนกับขนสัตว์ทั่วไป ขนไหม (Satin) -ลักษณะของขนอ่อนนุ่มเป็นเส้นเงา แวววาว คล้ายเส้นไหม

นอกจากลักษณะของขนแล้วยังมีการแบ่งเป็นสีและลวดลายได้อีก เช่น SELF -สีปลอดทั้งตัวไม่มีลวดลาย ได้แก่ สีเหลืองทอง, สีขาว, สีครีม, สีดำ, สีแดง เป็นต้น AGOUTI -ในเส้นขนหนึ่งเส้นมีสีมากกว่า 1 สี มีชื่อเรียกต่างกันออกไป ได้แก่ เลมอน, ซิลเวอร์ เป็นต้น TORTOISE SHELL -มีสีดำกับสีน้ำตาลขึ้นสลับกัน TORTOISE SHELL & WHITE -มีสีดำ น้ำตาลแดง และสีขาวขึ้นสลับกัน ROAN -มีขนสองสีขึ้นไปขึ้นสลับกัน ได้แก่ ขนสีน้ำตาลแดงสลับกับสีดำ (BRINDLE), ขนสีน้ำตาลสลับกับสีขาว (STRAWBERRY ROAN), ขนสีดำสลับกับขาว (BLUE ROAN), ขนสีดำ ขาว และน้ำตาลสลับกัน (TRICOLOR ROAN) HIMALAYAN -มีสีขาวทั้งตัว แต่ปลายจมูก และเท้าเป็นแต้มสีเข้ม DALMATIAN -มีสีขาวทั้งตัวและมีแต้มเป็นจุดสีเข้มคล้ายสุนัข Dalmatian

“ตอนนี้ในบ้านเราจะนิยมเลี้ยงสายพันธุ์ขนยาวมากกว่า ได้แก่ สายพันธุ์พีรูเวียน, ซิลกี้, โคโรเนต, เท็กเซล เป็นสายพันธุ์แรกๆที่เข้ามา ซึ่งในต่างประเทศจะนิยมเลี้ยงขนสั้น แต่ในเมืองไทยเขตร้อนชอบนิยมเลี้ยงขนยาว และสีที่นิยมในไทยก็จะเป็นสีดำ น้ำตาล ขาว”

เพาะพันธุ์ไม่ยาก
พ่อแม่พันธุ์ที่ใช้จึงควรให้ความสำคัญและพิถีพิถันในการคัดเลือกเป็นอย่างมาก เริ่มต้นจากพ่อแม่พันธุ์ที่มีลักษณะถูกต้องตามมาตรฐาน ทั้งโครงสร้าง สีสัน สุขภาพแข็งแรง มีอายุอยู่ในช่วงที่เหมาะแก่การผสมพันธุ์ คือตัวเมียมีอายุตั้งแต่ 5 เดือนขึ้นไป และตัวผู้มีอายุมากกว่า 4 เดือน และควรให้แม่พันธุ์ตั้งท้องในท้องแรกก่อนอายุ 1 ปี

การเลือกแกสบี้เพาะพันธุ์ ถ้าแกสบี้ที่ไม่ได้มาตรฐาน มีสุขภาพไม่ดีมีจุดบกพร่องต่างๆ ไม่ควรนำมาใช้ในการทำพันธุ์อย่างเด็ดขาด เพราะจะทำให้ลักษณะที่ไม่ดีถ่ายทอดไปยังลูกหลานได้ จึงไม่ควรนำมาจับคู่ผสมพันธุ์ แม้ว่าจะมีพ่อแม่พันธุ์น้อยก็ตาม โดยขอให้คำนึงว่า “ลูกแกสบี้ที่ดีจะมาจากพ่อแม่ที่ดีเท่านั้น” ถ้าเราได้ลูกแกสบี้ที่ดีจากพ่อแม่ที่มีลักษณะที่ไม่ดี ลูกแกสบี้ตัวนั้นจะมีลักษณะที่ไม่ดีแฝงอยู่ อาจจะถ่ายทอดไปยังรุ่นลูกหลานได้อีก

แกสบี้สามารถจับคู่ผสมพันธุ์ได้ตลอดทั้งปี แม่พันธุ์ที่ใช้ควรมีอายุ 5 เดือนขึ้นไป และมีน้ำหนักไม่น้อยกว่า 650 กรัม พ่อพันธุ์ควรมีอายุตั้งแต่ 4 เดือนขึ้นไป มีน้ำหนักตัว 750 กรัมขึ้นไป แม่พันธุ์ที่มีอายุ 1 ปี และยังไม่ได้ตั้งท้องแรกไม่สมควรนำมาเป็นแม่พันธุ์อีกเพราะอาจเกิดปัญหาในการคลอดได้ แต่ถ้ามีการตั้งท้องแรกภายในอายุ 1 ปี แล้วสามารถใช้เป็นแม่พันธุ์ไปได้จนอายุ 4-5 ปี ทั้งนี้ไม่ควรให้ตั้งท้องบ่อยเกินไป ควรที่จะตั้งท้องไม่เกินปีละ 2 ท้อง เพื่อสุขภาพของแม่พันธุ์
 
“แกสบี้มีลักษณะที่พิเศษคือลูกที่คลอดออกมา เมื่อขนแห้งแล้วสามารถลืมตาได้ทันทีและเดินได้เลย เนื่องจากใช้ระยะเวลาในการอยู่ในท้องของแม่นานถึง 62 วัน ซึ่งถือว่านานกว่าสัตว์อื่นๆอีกหลายชนิด ความพร้อมที่จะผสมพันธุ์เมื่ออายุ 5-6 เดือน จะสามารถขยายพันธุ์ได้แล้ว ลูกที่ออกมาไม่เกิน 2-5 ตัว และมีลักษณะที่คล้ายกับบรรพบุรุษตามลักษณะพันธุกรรมในแต่ละตัว ยีนส์เด่นเช่นขนตรง ตาสีดำจะมีโอกาสเกิดขึ้นมากกว่ายีนส์ด้อยในขนหยิก มีตาสีแดง แกสบี้มีอายุขัยเฉลี่ย 5-6 ปี เมื่อคลอดมาแล้วจะหย่านมเมื่อ 3-4 สัปดาห์ เมื่อโตเต็มวัยจะมีน้ำหนัก 1.3 กิโลกรัม และตัวผู้จะมีลักษณะโครงสร้างของร่างกายใหญ่กว่าตัวเมีย

แกสบี้เป็นสัตว์ใจดีเราสามารถเอาลูกของแม่แกสบี้ที่ให้นมได้น้อยไปฝากกับแม่แกสบี้ที่มีนมเยอะได้ เขาจะดูแลให้และให้นมเลี้ยงปกติเหมือนลูกตัวเอง ฟาร์มแกสบี้เวิล์ดจะขายลูกแกสบี้ให้แก่ลูกค้าได้เมื่ออย่านมแล้ว (อายุ 3 สัปดาห์ขึ้นไป) มีลูกค้าบางรายเข้ามาจองลูกแกสบี้ได้ก่อนที่จะครบกำหนดขายออกจากฟาร์ม สีที่อยู่บนตัวลูกแกสบี้จะไม่เปลี่ยนแปลงเมื่ออายุมากขึ้น ถึงจะมีขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นก็จะให้สีและตำแหน่งของสีที่คงเดิม ฉะนั้นเมื่อลูกค้ามาเลือกก็สามารถเลือกสีและลักษณะขนที่ชอบได้เลย”

ตัวเล็กๆ ราคาไม่เบา
ฟาร์มแกสบี้เวิลด์มีเจ้าหนูแกสบี้ถึง 1,000 ตัว เลยทีเดียว ราคาขายเจ้าตัวเล็กนี้ก็ไม่เบาเหมือนกัน มีตั้งแต่ราคา 1,000-3,000 บาท ซึ่งราคานี้ขึ้นอยู่กับความสวยงามของตัวนั้นๆ หลักๆแล้วจะเป็นเรื่องของสีขน โทนสี มาร์กกิ้งสีในตำแหน่งต่างๆ การมีสีสันที่สวยงามก็จะมีราคาที่สูงกว่าสีที่คนเลี้ยงไม่ค่อยนิยมอย่างเช่น สีดำล้วน สีน้ำตาล ดังนั้นสีมืดๆก็จะถูกกว่า และนอกจากนี้ลักษณะขนไหม (Satin) ก็จะแพงกว่าขนธรรมดาและหายากกว่าด้วย

แกสบี้จะมีกลุ่มคนเลี้ยง 2 ประเภท คือ เลี้ยงเพื่อดูเล่น (Pet quality) และเลี้ยงเพื่อประกวด (Show quality) โดยมีปัจจัยหลักในการแบ่งคือ เรื่องโครงสร้างของร่างกายก็เป็นหนึ่งในตัวกำหนดราคาด้วย ซึ่งราคาโชว์ควอลิตี้จะมีราคาค่อนข้างสูง อยู่ที่ประมาณ 5,000-6,000 บาท ซึ่งทางฟาร์มแกสบี้เวิลด์ได้เคยขายแพงที่สุดมีราคาถึงตัวละ 20,000 บาท เลยทีเดียว ให้กับลูกค้าที่ต้องการนำไปเป็นพ่อแม่พันธุ์

“ในการประกวดแกสบี้ จะดูลักษณะโครงสร้างร่างกายมากกว่าเรื่องสีขน โดยการพิจารณาใบหน้า ลักษณะที่ดีต้องมีรูปหน้าค่อนข้างสั้น หัวไหล่กว้างใหญ่ ขนแน่น คือจะดูความสมบูรณ์ของร่างกายทั้งหมด ในคอกหนึ่งจะมีแกสบี้ที่ลักษณะดีๆน้อย ดังนั้นจึงทำให้ราคาค่อนข้างแพงกว่าตัวอื่นที่มีลักษณะธรรมดาทั่วไป”

ฟาร์มแกสบี้เวิลด์ นอกจากจะขายให้แก่ลูกค้าในกลุ่มคนรักสัตว์น่ารักอย่างหนูแกสบี้ที่อยู่ในไทยแล้ว ทางฟาร์มยังส่งออกไปต่างประเทศ ในอีกหลายประเทศแถบเอเชีย ได้แก่ เวียดนาม เกาหลี มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย อีกด้วย น่าทึ่งใช่ไหมล่ะ? ที่ฟาร์มแกสบี้ในประเทศไทยจะโกอินเตอร์ถึงขนาดนี้

เลี้ยงง่าย โตง่าย
ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนรักสัตว์ที่อยู่ในวัยเด็กจนถึงผู้ใหญ่วัยทำงาน ซึ่งแกสบี้ถือเป็นสัตว์เลี้ยงที่สามารถตอบสนองในทุกไลฟ์สไตล์ของทุกช่วงชีวิตคน เนื่องจากเป็นสัตว์ที่เลี้ยงง่าย ใช้พื้นที่น้อย จึงเหมาะกับคนเมืองในปัจจุบัน

“แกสบี้เป็นสัตว์ที่ใช้พื้นที่ไม่มาก จึงเหมาะสมกับคนที่อยู่คอนโด ปกติควรเลี้ยงในกรงที่มีขนาด 40x60x30 เซนติเมตร หรือประมาณ 2 ตารางฟุต/คู่ มีขวดน้ำสะอาด มีอาหารจำพวกอาหารสด ได้แก่ ผักกาดหอม แครอท แตงกวา มะม่วง แอปเปิล ฯลฯ สามารถกินผักผลไม้ได้เกือบทุกชนิด ดังนั้นผู้เลี้ยงสามารถเลือกได้ตามฤดูกาล หรือเอาจากตู้เย็นที่เรากินเหลือก็ได้ แต่ต้องสะอาด การเลี้ยงหญ้าแห้งให้ไว้ขบเคี้ยวแทนจะทำให้หนูแกสบี้ไม่กัดแทะกินขนกันเอง จำนวน 1 กำมือ ค่าอาหารเฉลี่ยแล้วเพียงแค่วัน 1 บาทเท่านั้น”

วิตามินซีมีความสำคัญต่อสุขภาพของแกสบี้มาก เพราะแกสบี้ไม่สามารถสังเคราะห์วิตามินซีได้ด้วยตัวเอง จึงต้องได้รับวิตามินซีจากอาหารที่กินเข้าไป แกสบี้สามารถรับวิตามินซีจากหญ้าสด พืชผักผลไม้หรือวิตามินสกัด แกสบี้แต่ละตัวต้องการวิตามินซี วันละ10 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม และต้องการเพิ่มเป็นสองเท่าเมื่อตั้งท้อง

ข้อควรระวังในการเลี้ยง เนื่องจากการติดเชื้อจากอาหารที่ไม่สะอาดหรือให้อาหารสดมากเกินไป อาหารที่นำมาเลี้ยงสัตว์จึงต้องล้างน้ำให้ดีก่อน เพราะจะทำให้สัตว์ท้องเสียได้ สังเกตจากอาการถ่ายเหลว เมื่อเห็นอาการแบบนี้ควรเปลี่ยนอาหารเป็นหญ้าแห้งแทนจนกว่าอาการจะดีขึ้นและให้ยาแก้ท้องเสียสำหรับแกสบี้

นอกจากนี้เรื่องของอากาศที่ร้อนเกินไป ซึ่งเป็นภาวะของอาการ Heat Stroke จะมีอาการหมดแรง มีเลือดออกทางปากและจมูก เนื่องมาจากสาเหตุของอากาศที่ร้อนจัด, ตากแดด, ขาดน้ำ เมื่อพบอาการนี้ควรใช้ผ้าชุบน้ำแข็งโปะตัวแกสบี้ที่มีอาการ Heat Stroke พร้อมทั้งย้ายแกสบี้ไปอยู่ในที่อากาศเย็นและให้น้ำเกลือแร่หรือผักสดแช่เย็นแก่แกสบี้ รวมถึงอากาศที่เปลี่ยนแปลงกะทันหันเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาวสลับกันไปมาก็จะทำให้แกสบี้ป่วยเป็นหวัด ปอดบวมได้ สังเกตจากอาการ มีน้ำมูกน้ำตาไหล จึงควรให้อยู่ในที่อุณหภูมิคงที่ และอากาศถ่ายเทได้สะดวกและให้วิตามินซีเพิ่มเติม

ถ้าใครอยากอาบน้ำให้เจ้าแกสบี้ ก็สามารถอาบน้ำได้เหมือนกับสัตว์เลี้ยงทั่วๆไป โดยเฉลี่ย1-2 ครั้ง/เดือน หรือประมาณ 2 อาทิตย์/ครั้ง เท่านั้นพอ อย่าอาบน้ำบ่อยครั้งเกินไปเพราะจะทำให้ไม่สบายได้ และถ้าขนยาวมากจนเจ้าของไม่ชอบใจก็สามารถตกแต่งขนได้ตามต้องการ



ถ้าใครสนใจเลี้ยงเจ้าหนูแกสบี้ สามารถแวะมาได้ที่ฟาร์มแกสบี้เวิลด์ ซ.ท่าอิฐ จ.นนทบุรี เจ้าของพร้อมให้คำปรึกษาหรือสะดวกมาได้ที่ตลาดนัดสวนจตุจักร โครงการ 13 ซ. 6-7 โทร.08-1831-2390 หรือทางอีเมล nok_gpworld@hotmail.com
 
 
 
 
 
 
 

 
 
 
ข่าวโดย M-Lite/ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์
ภาพโดย ธัชกร กิจไชยภณ






คุณนก เจ้าของฟาร์ม กับแกสบี้สุดเลิฟ
กำลังโหลดความคิดเห็น