สงครามเป็นประดิษฐกรรมทางวัฒนธรรมของมนุษย์ที่ค่อนข้างไร้เหตุผล แต่มันก็ไม่ได้ทำให้เราหลีกหนีความจริงที่ว่ามันมีอยู่ ทุกประเทศในโลกจึงต่างต้องสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์และพัฒนาศักยภาพกองทัพอยู่เสมอ เพื่อรักษาดุลอำนาจและความมั่นคงของประเทศตนเอง
มีข้อมูลอ้างอิงจากเว็บไซต์ GlobalFirepower.com ที่วิเคราะห์ความแข็งแกร่งของกองทัพทั่วโลก โดยพิจารณาจากความพร้อมทางทหาร อาวุธ และเทคโนโลยี และทำการจัดอันดับ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสหรัฐฯ อยู่อันดับ 1 ตามด้วยจีน รัสเซีย อินเดีย และอังกฤษ
แต่ที่น่าแปลกใจคือความแข็งแกร่งของไทยอยู่อันดับที่ 28 ของโลก อันดับ 6 ของเอเชีย และเป็นที่ 2 ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้! เป็นรองก็แต่อินโดนีเซีย เรียกได้ว่าเกินความคาดหมาย เพราะคนไทยเองถึงจะไม่คิดว่ากองทัพไทยอ่อนแอ แต่ก็คงนึกไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งเหมือนที่ GlobalFirepower.com ระบุ
ความแข็งแกร่งนี้มีที่มาอย่างไร และเมื่อแข็งแกร่ง แล้วเหตุใดจึงมีข่าวคราวไม่ค่อยดีเกี่ยวกับอาวุธยุทโธปกรณ์และการสูญเสีย
ที่มาแห่งแสนยานุภาพกองทัพไทย
GlobalFirepower.com บอกว่า ไทยมีทหารพร้อมรบ 314,000 นาย มีกองกำลังสำรอง 200,000 นาย นอกจากนี้ ยังลงรายละเอียดไว้หลายเรื่อง เช่น กองทัพบกมีรถถัง 1,380 คัน ปืนครก 1,900 กระบอก ปืนต่อต้านอากาศยาน 334 กระบอก กองทัพอากาศมีเครื่องบิน 260 ลำ หรือกองทัพเรือมีเรือทั้งสิ้น 74 ลำ เป็นต้น
ย้อนดูจากประวัติศาสตร์ ช่วงที่สงครามเย็นคุกรุ่น ลัทธิคอมมิวนิสต์กำลังคุกคามโลกเสรี เวียดนาม ลาว ล้มครืนเป็นโดมิโน หันมาปกครองด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ สหรัฐฯ ซึ่งเป็นพี่เบิ้มโลกเสรีจึงใช้ประเทศไทยเป็นฐานเพื่อค้ำยันลัทธิคอมมิวนิสต์ให้อยู่ ทำให้มีการสนับสนุนทางด้านทหารแก่ไทย แหล่งข่าวนายทหารระดับสูงที่เกษียณแล้ว เล่าว่า
“ช่วงสงครามเย็นเรารบกับเวียดนาม อเมริกาก็มาอยู่ที่อุดรฯ โคราช เขาใช้เราเป็นฐานที่จะรบกับเวียดนาม พอเขาสงคารมเวียดนามยุติเขาก็ถอนออก ซึ่งตอนที่รบกับเวียดนามเขาสนับสนุนเราเต็มที่ เราจะเอาอะไรเขาก็ให้”
และหากดูปัจจัยภายในประเทศเอง คงไม่ต้องบอกว่า ที่ผ่านมาจนถึงเดี๋ยวนี้ ทหารมีบทบาทมากเพียงใดต่อการเมืองไทย การอุดหนุนกองทัพจึงเป็นสิ่งที่เกือบทุกรัฐบาลให้ความสำคัญ เพราะถือเป็นการค้ำประกันข้อหนึ่งว่าจะไม่มีการลากรถถังออกมาปฏิวัติ
นายทหารคนเดิม บอกว่า ศักยภาพกองทัพไทยถือว่าไม่แพ้ประเทศเพื่อนบ้านจริง อีกทั้งยังมีประสบการณ์การสู้รบมาตลอด แม้จะว่างเว้นไปในช่วงหลังๆ บ้าง แต่ก็มีการพัฒนาต่อเนื่อง ทั้งในด้านเสนาธิการและในด้านอาวุธที่ขณะนี้กองทัพมีความพยายามที่จะพัฒนาอาวุธขึ้นใช้เอง เพียงแต่คุณภาพอาจจะยังไม่เทียบเท่าของตะวันตก
แน่นอนว่า กองทัพบกคือกองทัพที่ทรงอานุภาพที่สุด ขณะที่ในความเห็นของเขา กองทัพอากาศถือว่าเป็นหน่วยรบที่มีอาวุธค่อนข้างล้าสมัยที่สุด ส่วนราชนาวีไทยมีเพียงศักยภาพในการปกป้องน่านน้ำเท่านั้น อย่างไรก็ตาม หากต้องสู้รบกับเพื่อนบ้าน กองทัพไทยมีศักยภาพมากพอที่จะจบเกม
เขาเสริมว่า ขนาดกองทัพไม่ได้เพิ่มตลอด แต่จะจากดูภัยคุกคามและดุลอำนาจในภูมิภาค เช่น ช่วงสงครามเวียดนาม ถ้าเวียดนามเพิ่มขนาดกองทัพ เราก็ต้องเพิ่ม แต่ภายหลังเมื่อเวียดนามลดขนาดกองทัพลง เราก็ลดลงเช่นกัน และแม้ใครจะไม่เห็นด้วยกับเรื่องงบประมาณกลาโหมจำนวนมาก แต่ในมุมทหารเก่าอย่างเขา ยังมองว่าเป็นสิ่งจำเป็น เพราะอย่างน้อยกองทัพถือเป็นเครื่องมือในการต่อรองเพื่อรักษาผลประโยชน์และทรัพยากรทางทะเลของประเทศอย่างหนึ่ง
กองทัพเข้มแข็งอย่างเดียวยังไม่พอ
“กองทัพไทยถูกจัดอันดับไว้ถูกต้องแล้ว เพราะกองทัพไทยไม่ได้เป็นรองใคร ยังดีกว่าอีกหลายๆ ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะฉะนั้นความเข้มแข็งของกองทัพไทยมันมีอยู่ตลอดแม้กระทั่งขณะนี้”
นั่นคือมุมมองของ นาวาอากาศตรีประสงค์ สุ่นศิริ ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเมือง การทหาร และข่าวกรองของประเทศไทย ที่มีต่อตัวเลขอันดับที่ 28 ในเรื่องของแสนยานุภาพกองทัพ
“ในด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ของเรานั้นเข้มแข็งกว่าหลายๆ ประเทศในอาเซียน ถ้าไปเปรียบเทียบกับเขมรแล้วกองทัพเราเข้มแข็งกว่าเขมรหลายร้อยเท่าเลย ไม่ว่าจะเป็นกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ คือผมเป็นทหาร และยังทำงานทางด้านความมั่นคงมานาน ผมรู้ถึงสมรรถภาพประสิทธิภาพของกองทัพเป็นอย่างดี รู้ว่าจำนวนกำลังทหารของกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศมีเท่าไหร่ มีอาวุธยุทโธปกรณ์ขนาดไหนผมทราบ เพียงแต่ผมไม่สามารถเปิดเผยจำนวนได้เท่านั้น และผมก็ยังยืนยันว่ากองทัพยังเข้มแข็งอยู่”
แต่การที่เราอาจเห็นภาพว่ากองทัพอ่อนแอ ไม่ว่าจะกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้หรือกรณีกัมพูชา นาวาอากาศตรีประสงค์ บอกว่า เป็นเพราะการเมืองอ่อนแอและเข้าแทรกแซงกองทัพมาโดยตลอดต่างหาก บวกกับการดำเนินนโยบายที่ผิดพลาดด้วยอีกส่วนหนึ่ง
ด้าน ศ.ดร.ไชยวัฒน์ ค้ำชู อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มองว่า ข้อมูลที่ออกมาน่าจะเป็นในรูปของเชิงปริมาณมากกว่าเชิงคุณภาพ เพราะการต่อสู้กันจริงๆ นั้นเกี่ยวข้องกับปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นอุดมการณ์ทางความคิด รวมไปถึงยุทธศาสตร์ต่างๆ ในการต่อสู้
"จริงๆ แล้วเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับอาวุธเพียงเดียว แต่ยังขึ้นอยู่กับบุคลากร และขวัญกำลังใจด้วย บางประเทศกำลังคนน้อยกว่าอาจจะสู้ชนะก็ได้ เช่น ตอนที่จีนทำสงครามกับเวียดนาม ซึ่งแม้เวียดนามจะมีคนน้อยกว่า แต่ก็สามารถทำให้ทหารจีนตายมากกว่าได้ หรืออย่างกรณีที่ไทยรบกับลาวที่บ้านร่มเกล้าก็เอาชนะไม่ได้ ซึ่งเรื่องพวกนี้ต้องพิจารณาหลายอย่าง ทั้งปัจจัยเรื่องยุทธศาสตร์และชัยภูมิต่างๆ ด้วย เพราะฉะนั้นการที่คุณมีแสนยานุภาพเยอะ ก็ไม่ได้หมายความจะมีดุลอำนาจทางทหารมากกว่าแต่อย่างใด"
พวกผมยังมั่นใจในกองทัพ
นายทหารประจำกองพลแห่งหนึ่งที่ลงพื้นที่สามจังหวัดชายแดนใต้เป็นประจำ บอกว่า รู้สึกมั่นใจในศักยภาพของกองทัพไทย โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านที่มีพื้นที่ชายแดนติดต่อกันอย่างลาว กัมพูชา พม่า
บ่อยครั้งที่เขาต้องลงพื้นที่พร้อมหน่วยลาดตระเวนเพื่อคุ้มครองครู พระสงฆ์ เมื่อถามว่ามั่นใจแค่ไหน เขาก็ตอบว่า เป็นเรื่องความเชื่อส่วนบุคคล สำหรับเขาก่อนลงมือปฏิบัติหน้าที่จริงก็มีการอบรมรับรู้ปัญหา การรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ หากมีการข่าวที่ดีก็จะได้เปรียบฝ่ายตรงข้าม
“เราก็มีการฝึกประสบการณ์จนชำนาญ มั่นใจ ซึ่งการรบปัจจุบันแตกต่างจากอดีตคือรบแบบกองโจร ซึ่งฝั่งตรงข้ามมีกำลังพลน้อยกว่า ไม่เหมือนเมื่อก่อนที่รบกันแบบซึ่งๆ หน้าเลย”
ส่วนความมั่นใจในอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพอย่าง จีที 200 เสื้อเกราะ หรืออาวุธประจำกายอย่างปืน นายทหารนายนี้บอกว่า ไม่มีเครื่องป้องกันตัวไหนที่ช่วยได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เพราะทุกอย่างสร้างมาเพื่อช่วยป้องกันตัวเท่านั้น
ในด้านความพร้อมของอาวุธหน่วยที่นายทหารคนนี้ประจำการอยู่ ไม่ได้มีอาวุธใหม่ครบมือเหมือนบางหน่วยงาน
“บางหน่วยก็มีไม่ครอบคลุม อย่างหน่วยผมมีอาวุธปืนประจำตัวใหม่ 70 เปอร์เซ็นต์ บางหน่วยมี 100 เปอร์เซ็นต์ บางทีมีให้ใช้แต่เป็นของเก่า บางอย่างก็ทั่วถึงบางอย่างก็ไม่ทั่วถึงอย่างปืน เอ็ม16 ของเก่าก็นำมาดัดแปลง ตัดลำกล้องให้สั้นลง เพื่อสะดวกในการใช้งานจริง เพราะแบบเดิมยาวเทอะทะ”
และเมื่อให้เปรียบเทียบศักยภาพทางการทหารของไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน นายทหารคนนี้บอกว่า ประเทศไทยมีศักยภาพเพียงพอเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้าน
“เรามีการเข้าร่วมฝึกรบกับประเทศอื่นๆ เรามีอาวุธยุทโธปกรณ์ครบมือ เราดีกว่าแน่นอน แสนยานุภาพก็ดีกว่า ศักยภาพเราก็โอเค”
ส่วนนายทหารอีกคนหนึ่ง สังกัดกองร้อยทหารราบที่ 15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส หรือ ฐานปฏิบัติการพระองค์ดำ อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส ก็แสดงความมั่นใจในความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์ว่า
“อาวุธที่ทางหน่วยมีเพียงพอกับกำลังคน เป็นอาวุธที่ใช้งานได้ทุกอย่าง ถึงบางอย่างเป็นอาวุธที่ผ่านการใช้งานมาเป็นสิบปีก็ยังใช้งานได้ดีครับ ประสิทธิภาพเต็มร้อย”
เขายังบอกด้วยว่าหากเกิดสงคราม ทหารไทยพร้อมสละเลือดเนื้อ
“มันเต็มร้อยนะครับ ไม่ได้ลดหย่อนอะไร มันใช้ได้ดี ถ้าพูดง่ายๆ คือยิงคนตายเหมือนกันนะครับ ถ้าหากประเทศไทยมีการรบ ก็รบสู้ได้อยู่แล้วครับ”
***************
เรื่อง: ทีมข่าว CLICK
ภาพ: วรวิทย์ พานิชนันท์