“ชีวิตไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ต้องล้มก่อนถึงจะลุกได้ ต้องแพ้ก่อนถึงจะชนะเป็น”
ภักดิ์กมล ศิริวัฒน์ หรือ น่าน สาวหวานจากตระกูล “ศิริวัฒน์” ที่ไม่ว่าใครได้ยินแล้วต้องนึกถึงผลงานด้านกีฬาเป็นแน่ แต่ในวันนี้คุณจะรู้จักเธอมากขึ้น ถึงความสามารถ มุมมอง ความคิด ความเป็นตัวของตัวเอง ที่ผลักดันให้เธอมีวันนี้
น่านนัดคุยกันที่ร้านอาหารญี่ปุ่นร้านโปรด 'โนบุ' พร้อมถือสมุดเกียรติบัตร เธอบอกว่าวันนี้ได้ขึ้นรับรางวัลหนึ่งในผู้ที่มีผลการเรียนสูงที่สุดในคณะสังคมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ เป็นทุนการศึกษาสำหรับศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยมหิดลอินเตอร์ นอกจากจะทำงานเป็นนักประกาศข่าวภาษาอังกฤษในวันอาทิตย์กับ 'นิน' น้องสาว ทางช่องกีฬา T-sport ของการกีฬาแห่งประเทศไทยแล้วยังได้เป็นตัวแทนเยาวชนจากประเทศไทยในโครงการต่างๆ ด้วย
ครั้งแรกที่เริ่มเป็นทูตตัวแทนนักศึกษาไปต่างประเทศช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ถูกคัดเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัย ไปร่วมประชุมอาเซียนที่ประเทศอินโดนีเซีย โดยแต่ละประเทศจะส่งตัวแทนมาหนึ่งคน ประชุมกันเพื่อทำรายงานเสนอข้อแนะนำแก่คณะรัฐมนตรีอาเซียน
ต่อมาได้รับมอบหมายจากทางคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย และทางเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทยให้เป็นทูตเยาวชนไปอบรมและสัมมนาที่ญี่ปุ่น 10 วัน ในโครงการ Global youth exchange ที่จัดขึ้นทุกปี จัดโดยกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น โดยมีตัวแทนจาก 20 ประเทศ เป็นการอบรมเกี่ยวกับการสร้างมิตรภาพโดยใช้กีฬาเป็นสื่อ รู้ถึงการพัฒนากีฬาญี่ปุ่นจึงรับรู้ได้ว่าทำไมญี่ปุ่นจึงล้ำหน้าไทยไปมาก เพราะญี่ปุ่นลงทุนสนับสนุนด้านกีฬาอย่างมาก ในศูนย์ฝึกกีฬาสามารถฝึกกีฬาได้ทุกประเภทในแห่งเดียวกัน
“ทำให้รู้ว่ากีฬาไม่ใช่แค่การแพ้การชนะ ลงสนามแล้วเป็นอย่างไร แต่มันเป็นการสร้างมิตรภาพ สร้างความสัมพันธ์ และกีฬาก็เป็นสิ่งหนึ่งที่สามารถทำให้ประเทศของเราแตกต่างจากประเทศอื่น อยู่ในสายตานานาชาติได้”
น่านจึงเสริมต่อด้วยสำเนียงไทยกึ่งอังกฤษว่า สำหรับเมืองไทยมีการสนับสนุนที่ดีแล้ว แต่หากจะพัฒนาคุณภาพนักกีฬาไทยไปในระดับนานาชาติได้ จำเป็นต้องมีการสนับสนุนที่สม่ำเสมอ รวมทั้งต้องอาศัยความร่วมมือทั้งภาครัฐและเอกชนให้มากกว่านี้ การพัฒนาให้ดียิ่งขึ้นนั้นมีทัศนหรือมุมมองอย่างเดียวไม่ได้ จะต้องมีเงินทุกอย่างที่จะมาลงทุนควบคู่กันไปจึงจะเห็นความเปลี่ยนแปลง รวมทั้งรู้จักที่จะเรียนรู้จากประเทศเพื่อนบ้าน เก็บเกี่ยววิธีการพัฒนานั้นมาประยุกต์ใช้ก็น่าจะเป็นผลดีต่อวงการกีฬาไทย
“ก่อนหน้านี้น่านก็ได้ไปประเทศจีนด้วย เป็นเลขาฯทีมฮอกกี้หญิงของไทย ซึ่งคุณพ่อน่านก็เพิ่งเข้ามาเป็นนายกสมาคมนี้ก็เลยมีโอกาสได้ไปช่วย ในขณะที่นักกีฬาอบอุ่นร่างกายก็สามารถเห็นได้ถึงศักยภาพที่แตกต่างกันแล้ว ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับการพัฒนาของแต่ละคนรวมทั้งสรีระด้วย”
ล่าสุดที่ไปช่วงปลายเดือนตุลาคมนี้ เป็นการประชุมอาเซียนครั้งที่ 15 ที่หัวหิน น่านเป็นหนึ่งในสองคนที่ได้คัดเลือกเป็นตัวแทนประเทศไทย โดยเป็นประธานของกลุ่มเยาวชนที่ไปประชุม เพื่อนำเสนอประเด็นข้อแนะนำทางเศรษฐกิจในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้
ต่อไปในเดือนพฤศจิกายนนี้ก็จะได้ไปเป็นตัวแทนในการประชุมอาเซียนบวกหนึ่งคือญี่ปุ่น เพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็น และแสดงถึงบทบาทของญี่ปุ่นในการรวมเป็นหนึ่งกับอาเซียนด้วย
กีฬาที่ใจกับฝันในมือ
หลายคนอาจไม่สงสัยถึงอาชีพในอนาคตของเธอ ซึ่งน่านก็ยืนยันว่าจะต้องเป็นด้านกีฬาอย่างแน่นอน เพราะเติบโตมากับกีฬา มีความผูกพัน ซึ่งกีฬาทำให้สามารถเปรียบเทียบกับชีวิตได้ว่า คนเราไม่ว่าจะเป็นใครมาจากไหน ฐานะดีหรือไม่ ในทุกเกมมันต้องมีการแพ้ การชนะ ต้องรู้จักที่จะล้มแล้วลุกขึ้นใหม่ได้ ดังนั้น เธอจึงอยากเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยพัฒนาวงการกีฬาต่อไปเรื่อยๆ ไม่ว่าในอนาคตจะได้ทำงานอะไรก็ตาม
ด้วยภาพลักษณ์สาวผิวคล้ำแนวสปอร์ตเกิร์ล อาจทำให้น่านดูเหมาะกับวงการกีฬาอย่างมาก แต่หากไม่ใช่ด้านกีฬาแล้ว เธอบอกว่าอยากเป็นศาสตราจารย์สอนหนังสือในระดับมหาวิทยาลัย จากที่มีคุณพ่อเป็นตัวอย่าง ก็อยากตอบแทนสังคม ความจริงการเมืองก็เป็นสิ่งหนึ่งที่เธอใฝ่ฝันด้วย แต่อยากเป็นศาสตราจารย์เพื่อตอบแทนสังคม เพื่อปลูกฝังเมล็ดแห่งความคิด เป็นส่วนหนึ่งที่สามารถชี้นำสังคมให้เดินถูกทางหรือทำให้ดีขึ้นจากเดิม
“อยากสอนวิชาสังคมศาสตร์เพราะชอบด้านนี้ รัฐศาสตร์ก็ได้ ประวัติศาสตร์ก็ดี เพราะน่านเรียนด้านประวัติศาสตร์โลกมาด้วย และคิดว่าเป็นวิชาที่สำคัญมาก เราสามารถเรียนรู้จากอดีตเพื่อสร้างอนาคต อีกอย่างประวัติศาสตร์เหมือนศิลปะที่ทำให้ชีวิตเรามีสีสันมากขึ้น”
พร้อมกับเผยมุมมองว่า สำหรับเมืองไทยไม่ว่าจะเป็นวงการกีฬา การศึกษา ธุรกิจหรืออะไรก็ตาม คนไทยสามารถมีจุดยืนบนเวทีนานาชาติได้แน่นอนหากมีโอกาส สิ่งที่สำคัญคือการให้โอกาส พร้อมกับมีมุมมองที่มองให้ไกล อย่างเช่นว่าการแข่งกีฬาซีเกมส์แล้วมีการเก็บตัวนักกีฬาเพียงเดือนสองเดือนก่อนแข่งนั้นไม่เพียงพอ ต้องฝึกมาอย่างต่อเนื่องตลอดในระยะยาว จำเป็นต้องมีผู้นำที่มองเห็นทั้งเป้าหมายระยะสั้น และระยะยาว กำหนดเป้าหมายและวางแผนอนาคตว่าต้องเป็นอย่างไร ต้องมองไปให้ไกลกว่าเดิม พร้อมด้วยความรักด้านกีฬาจริงๆ พร้อมที่จะทุ่มเท รวมทั้งเรื่องของเงิน และให้เวลา เพราะการพัฒนาต้องใช้เวลา ขึ้นอยู่กับหลายๆ ปัจจัย หากทำได้อนาคตของกีฬาไทยจะสดใส และสามารถยืนอยู่ในเวทีนานาชาติได้อย่างแน่นอน
“เหมือนกับที่คุณแม่น่านเคยทำครั้งหนึ่ง ล้างทีมฟุตบอลหญิงทั้งหมด ทุ่มเททั้งความรักเอาใจใส่ให้เวลามา 7 ปี ฟุตบอลหญิงของไทยเมื่อ3 ปีที่แล้วถึงเป็นแชมป์ซีเกมส์ได้ จึงเห็นได้ว่าต้องใช้เวลา เข้าใจผู้นำ และเงินสำคัญมาก”
อบอุ่นใจครอบครัว 'ศิริวัฒน์
นอกจากงานด้านกีฬาแล้ว ส่วนตัวน่านยังชอบกีฬาฟุตบอลมาก แต่ตอนนี้เรียกได้ว่ากำลังจะคลั่งฮอกกี้แล้ว ด้วยความสวยงามของวิธีการเล่น แบบแผน ซึ่งทุกวันนี้ยังไม่แพร่หลาย จะอยู่ในกลุ่มคนที่ใจรักจริงๆ เธอมองว่าเป็นกีฬาที่ยากกว่าฟุตบอลและมีความสวยงามในตัว แต่ที่เล่นเองนั้นจะเป็นเทนนิส กอล์ฟ หรือกีฬาเรียบๆ อย่างโยคะ ทำให้ผ่อนคลายและสร้างสมาธิได้มาก
ยามว่างน่านจะชอบร้องเพลง และกิจกรรมที่ขาดไม่ได้คือการอ่านหนังสือ โดยเฉพาะหนังสือประวัติศาสตร์ที่ชื่นชอบเป็นพิเศษ รวมถึงนิยายรักโรแมนติก ซึ่งเธอออกจะชอบแนวคลาสสิกเอามากๆ ไม่ว่าจะเป็นหนังสือจากฝีมือนักเขียนหญิงยุคแรกๆ ของโลกวรรณกรรม หรือภาพยนตร์ย้อนยุคภาพขาวดำอย่าง Breakfast at Tiffany's ซึ่งเป็นความชอบมาตั้งแต่เด็ก
นอกจากนี้น่านยังเล่าว่าตั้งแต่เรียนมัธยมเธอได้เป็นประธานนักเรียนมาโดยตลอด ด้วยความชอบและกล้าที่จะพูดในที่สาธารณะ(Public speaking) ส่วนหนึ่งต้องขอบคุณคุณพ่อและคุณแม่ที่ทำให้เธอมีความกล้าที่จะพูดต่อหน้าคน เพราะได้คลุกคลีอยู่บนเวทีหาเสียงมาตั้งแต่เด็ก ได้สร้างความมั่นใจและถูกหล่อหลอมมาเพื่อเป็นคนของสังคม
“คุณพ่อคุณแม่จะเปิดโอกาสให้คิด ให้มีเหตุผลที่สนับสนุนความคิดของเราเอง ซึ่งครอบครัวของน่านหากใครได้มาสัมผัสจะรู้ว่าเป็นครอบครัวที่อยู่ด้วยกันจริงๆ เช้าเย็นคุณพ่อทำกับข้าวให้ทาน เสาร์อาทิตย์เป็นวันครอบครัวที่ต้องอยู่ด้วยกัน ทุกคนในครอบครัวมีส่วนร่วมทั้งกิจกรรมในบ้านกันเองและงานกีฬา”
สิ่งที่คุณพ่อและคุณแม่สอนน่านอยู่เสมอๆ ก็คือเรื่องของคำพูด เพราะคำพูดคือนาย ทุกถ้อยคำที่ออกมาจากปาก พูดแล้วต้องทำให้ได้ หากผิดคำพูดหรือไม่ได้ทำตามนั้นจะเสียเครดิต ซึ่งเครดิตของคนสร้างขึ้นมายาก ก็อย่าทำให้มันเสียไปง่ายๆ ด้วยคำพูดจากปากของตัวเอง และหากไม่รู้จักเผื่อแผ่ผู้อื่นก็ไม่สามารถอยู่ร่วมสังคมกับใครได้ แต่ด้วยความที่เธอเชื่อใจคนง่าย ชอบที่จะให้ ก็มีบ้างที่ถูกเอาเปรียบ ดังนั้นจึงต้องรู้ขีดจำกัดของตัวเองว่าให้ได้แค่ไหน และเหมาะสมหรือไม่
ครอบครัวศิริวัฒน์เป็นครอบครัวที่เปิดเผยต่อกัน สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง วันหนึ่งหากมีเรื่องเสียใจก็สามารถเข้าไปพูดคุยกันได้ แต่หากเป็นการปรับความเข้าใจด้วยตัวเองแล้ว น่านมักมองธรรมชาติอย่างทะเลหรือภาพธรรมชาติที่กว้างใหญ่ ซึ่งทำให้รู้สึกว่ามนุษย์นั้นเล็กนิดเดียว แล้วปัญหาของคนจะใหญ่สักแค่ไหนกัน หรืออีกมุมหนึ่งเมื่อลองเทียบกับปัญหาของคนอื่นแล้วก็ดูเล็กไป บางคนตื่นมายังไม่รู้เลยว่าจะกินอะไร มีคนอื่นในสังคมมากมายที่ต้องเผชิญปัญหาที่ใหญ่กว่าของตัวเอง
“แต่ทุกความสำเร็จที่น่านมีวันนี้ ที่ได้ภูมิใจในตัวเองทำได้ ก็ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ ครอบครัวและเพื่อนที่เป็นกำลังใจหลักให้น่านมาตลอดค่ะ”
ภาพโดย...ศิวกร เสนสอน
ประวัติ
ชื่อ-นามสกุล : ภักดิ์กมล ศิริวัฒน์ (น่าน)
วันเกิด : 4 พฤศจิกายน 2532
ความชอบ : กีฬา อาหารญี่ปุ่น สีขาว-ดำ ประวัติศาสตร์และความคลาสสิก
ความใฝ่ฝัน : อยากไปประเทศบราซิล เห็นสีสันความรักในกีฬาฟุตบอล
การศึกษา : ปัจจุบันศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยมหิดลอินเตอร์ คณะสังคมศาสตร์ หลักสูตรนานาชาติ
ผลงาน : เป็นตัวแทนทูตเยาวชนในการประชุมอาเซียนครั้งที่ 15 และเป็นตัวแทนยุวทูตด้านกีฬาไปยังประเทศญี่ปุ่น