xs
xsm
sm
md
lg

บ้านปู รื้อแผนลงทุน 5 ปีรับมือวิกฤต ศก. ความต้องการตลาดเปลี่ยน

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

"บ้านปู" เตรียมปรับแผนลงทุนระยะ 5 ปี หลังเจอวิกฤตเศรษฐกิจเล่นงาน หวั่นมูลค่าสินทรัพย์-ทิศทางตลาดเปลี่ยน พร้อมเดินหน้าเพิ่มสัดส่วนลงทุนธุรกิจถ่านหิน

นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างทบทวนแผนลงทุนระยะ 5 ปีใหม่ หลังเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ส่งผลมูลค่าสินทรัพย์และความต้องการของตลาดเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งทำให้บริษัทมองเห็นทั้งวิกฤตและโอกาส จึงต้องพิจารณาทบทวนแผนลงทุนให้สอดคล้อง และพิจารณาว่าแผนดังกล่าวควรมีระยะเวลา 4 ปี หรือ 5 ปี คาดว่าแผนจะแล้วเสร็จในช่วงไตรมาส 4 นี้

อย่างไรก็ตาม ตามแผนลงทุนใหม่นั้น สัดส่วนธุรกิจหลักของบริษัท ยังคงใกล้เคียงปัจจุบัน แต่จะเพิ่มน้ำหนักไปที่ธุรกิจถ่านหินมากขึ้น เนื่องจากมั่นใจว่าแนวโน้มธุรกิจถ่านหิน ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกนาน โดย International Energy Agency (IEA) คาดการณ์ธุรกิจถ่านหินว่าจะยังขยายตัวไปถึงปี 2573 นอกจากนั้นหากบริษัทมีการกระจายตัวของธุรกิจมากเกินไป อาจมีปัญหาสร้างบุคลากรและระบบรองรับ ขณะเดียวกันอาจทำให้จุดแข็งของบริษัทลดลงได้ รวมทั้งการบริหารธุรกิจแบบกระจายความเสี่ยงอาจมีข้อเสียมากกว่าผลดี

"เรายังคงโฟกัสไปที่ธุรกิจถ่านหินเป็นหลัก ขณะนี้เรากำลังศึกษาความเป็นไปได้ของธุรกิจถ่านหินในออสเตรเลีย นอกเหนือจากอินโดนีเซีย เนื่องจากถ่านหินในออสเตรเลียมีปริมาณและการส่งออกมาก นอกจากนั้นยังมีระบบการค้าเสรี ทำให้มีโอกาสทางธุรกิจ ต่างจากธุรกิจถ่านหินในประเทศ อินเดีย ที่ยังเป็นธุรกิจที่ถูกรัฐบาลควบคุม ทำให้การพัฒนาธุรกิจทำได้ยาก อย่างไรก็ตามการลงทุนธุรกิจในออสเตรเลีย ยังต้องพิจารณาอีกครั้งว่าจะเข้าลงทุนเองหรือร่วมทุนกับนักธุรกิจท้องถิ่น"

ปัจจุบันตลาดโลกมีความต้องการถ่านหินปีละ 700 ล้านตัน โดยอยู่ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก 400 ล้านตัน ที่เหลืออยู่ในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งปี 2552 คาดว่าราคาถ่านหินเฉลี่ยอยู่ที่ตันละ 71-72 ดอลลาร์ ใกล้เคียงปีก่อน ขณะที่ปี 2553 คาดว่าราคาถ่านหินตลาดโลกจะทยอยปรับขึ้นจากปีนี้ แต่ต้องพิจารณาปัจจัยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนและอินเดีย เนื่องจากปีนี้ จีนนำเข้าถ่านหินเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับอินเดีย

ส่วนการลงทุนธุรกิจพลังงานทดแทนในไทยนั้น นายชนินท์ กล่าวว่า อยู่ระหว่างศึกษาพลังงาน 2-3 ประเภท เพื่อเป็นธุรกิจทางเลือกและตอบแทนสังคม โดยมองไปที่เอทานอล ที่ผลิตจากมันสำปะหลัง แต่ต้องศึกษาความมั่นคงของวัตถุดิบ รวมทั้งต้องให้ความสำคัญกับชุมชนและผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยคาดว่าจะสามารถลงได้ภายใน 3-5 ปี ข้างหน้า

นายชนินท์ ยังกล่าวว่า ปีนี้บริษัทตั้งเป้ารายได้ไว้ที่ 5.7 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเป็นไปตามเป้า แม้จะมีปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจก็ตาม แต่คาดว่าจะมีผลกระทบไม่มาก เห็นได้จากผลประกอบการในครึ่งปีแรกค่อนข้างดี เนื่องจากราคาถ่านหินปรับตัวสูงขึ้น แม้ในครึ่งปีหลังนี้ ราคาถ่านหินจะเฉลี่ยลดลง แต่ยังมั่นใจว่าผลประกอบการในปีนี้จะดีขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากสามารถคุมต้นทุนการผลิตในจีนและอินโดนีเซียได้ดี

โดยในปีนี้คาดว่าเหมืองที่อินโดนีเซียจะผลิตถ่านหินได้ 20.5 ล้านตัน จากครึ่งปีแรกผลิตได้ 8.6 ล้านตัน และในครึ่งปีหลังจะผลิตได้ 12 ล้านตัน ส่วนปี 2553 คาดว่าผลผลิตในอินโดนีเซียจะอยู่ที่ 23 ล้านตัน เพิ่มขึ้นจากปีนี้ 12-15% ส่วนเหมืองเกาเหอในจีนจะเริ่มผลิตได้ในกลางปี 2553 และคาดว่าจะผลิตได้ 1 ล้านตันเศษ ซึ่งจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้น เพราะราคาถ่านหินก็ปรับตัวดีขึ้นตามความต้องการของตลาดโลก
กำลังโหลดความคิดเห็น