ในค่ำคืนที่เปลี่ยวเหงา ผู้ชายบางคนเลือกที่จะ “ซื้อ” ความสุขเพียงชั่วคราวผ่านหญิงบริการ อาชีพที่เก่าแก่ที่สุดในโลก แต่แทบจะถูกหลงลืมอยู่ในเงามืดของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองไทยที่อาชีพโสเภณีถูกมองเป็นธุรกิจบาปที่แลกมาด้วยคาวโลกีย์ หลายคนจึงแกล้งมองไม่เห็นและปฏิเสธที่จะรับรู้การมีอยู่ของอาชีพนี้
ทว่า แม้จะไม่เปิดเผยเป็นธุรกิจในที่แจ้ง แต่กรณีนักศึกษาขายตัวทางอินเทอร์เน็ตกลายเป็นข่าวครึกโครมในช่วงเวลานี้ สะท้อนให้เห็นว่าอาชีพโสเภณี...ไม่เคยหายไปจากสังคมไทย เพียงแต่เปลี่ยนรูปแบบให้ทันสมัยขึ้นตามเทคโนโลยีเท่านั้น
“ปริทรรศน์” จะพาไปรู้จักซอกมุมลึกลับของอาชีพนี้...ที่มีมาตั้งแต่สมัยยังไม่มีคำว่าประเทศ “ไทย” ต้องลักลอบซื้อบริการกันแบบแอบๆ บังหน้า ก่อนจะมาถึงการประกาศขายอย่างเปิดเผยเช่นทุกวันนี้
โคมเขียวยุคคลาสสิค
โสเภณีไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่มีมาตั้งแต่สมัยครั้งพุทธกาลมาแล้ว ในประวัติศาสตร์ไทยก็มีการกล่าวถึงโสเภณี หรือหญิงงามเมืองไว้มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เทพชู ทับทอง ได้เคยเขียนความเป็นมาของโสเภณีในอดีต ไว้ในหนังสือ “หญิงโคมเขียว” ว่า อาชีพเก่าแก่นี้มีเรื่อยมาจนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ มีแหล่งประจำอยู่ที่ย่านสำเพ็ง กลายเป็นที่มาของชื่อ “ผู้หญิงสำเพ็ง” หรือ “หญิงหยำฉ่า” ซึ่งใช้เป็นคำแสลงเรียกหญิงโสเภณีจนถึงทุกวันนี้
มาถึงสมัยรัชกาลที่ 5-6 โสเภณีมีชื่อใหม่ว่า “หญิงโคมเขียว” เพราะสำนักโสเภณีเหล่านี้มักจะแขวนโคมกระจกสีเขียวไว้เป็นเครื่องหมาย พอค่ำก็เปิดไฟหรือจุดตะเกียงในโคมให้ลูกค้ารู้กัน แหล่งที่ขึ้นชื่อมากเรียกว่า "ตรอกเต๊า" มีสำนักตั้งกันเรียงรายตลอดตรอก
สำนักโคมเขียวที่มีชื่อเสียงในยุคนั้น คือ สำนักยี่สุ่นเหลือง เป็นซ่องมีระดับเป็นตึกใหญ่มีรั้วรอบขอบชิด อยู่ลึกเข้าไปจากถนนเจริญกรุงตรงข้ามกับตรอกเต๊า แขกที่มาเที่ยวส่วนใหญ่ค่อนข้างมีระดับ มีแม่เล้าเป็นหญิงวัยกลางคนคอยเป็นคนดูแลต้อนรับแขก ซ่องแห่งนี้จะสะอาด เงียบสงบ หญิงบริการก็จะได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี เพราะจะเลือกรับแต่แขกชั้นสูง มีทั้งเศรษฐีและขุนนางหนุ่มๆ มาใช้บริการ ต่างจากซ่องอื่นๆ ในย่านตรอกเต๊า
ขุนวิจิตรมาตรา หรือ “กาญจนาคพันธ์” ได้บรรยายถึงสภาพผู้หญิงโคมเขียวที่ตรอกเต๊าในยุคสมัยนั้นไว้ดังนี้
“ในตรอกเต๊านี้ เป็นห้องแถวยาวติดต่อกันไปตลอดตรอก ทุกห้องแขวนโคมเขียวไว้หน้าห้องเป็นแถว และเวลาก่อนค่ำ จะเห็นพวกโสเภณีเขาจุดธูปราวกำมือหนึ่ง (ราวสัก 20 ดอก) มาลนที่ใต้โคมเขียวหน้าห้อง ข้าพเจ้าเคยถามเขาว่าลนทำไม เขาบอกว่าลนให้มีแขกเข้ามามากๆ พวกนี้ราคาอยู่ใน 6 สลึงหรือสองบาท”
ช่วงก่อนปี พ.ศ.2500 มีซ่องโสเภณีเกิดขึ้นมากมาย ย่านดังที่เป็นที่รู้จักในหมู่นักเที่ยวกันดีก็คือ แถวแพร่งสรรพศาสตร์ โบสถ์พราหมณ์ เสาชิงช้า ซ่องแถวบางลำพู โดยส่วนมากมักจะเรียกชื่อซ่องตามสถานที่ตั้งกันว่าซ่องตรอกไข่ ซ่องหน้าโรงหวย ซ่องสะพานถ่าน ซ่องสะพานยาวนางเลิ้ง ซ่องซอยกลางสุขุมวิท หรือเรียกตามชื่อแม่เล้าเจ้าของซ่อง อาทิ ซ่องป้าหยิบ ซ่องป้าอบ ซ่องตาเพิ่มศรีย่าน เป็นต้น นอกนี้ยังมีบังกะโลพักแรมละแวกซอยร่วมฤดี ซึ่งเป็นแถบที่เงียบเชียบ ผู้คนไม่พลุกพล่าน เหมาะสำหรับชายหญิงมาหาความสำราญเพียงสองต่อสอง
กาญจนาคพันธุ์ เล่าไว้ในหนังสือ “กรุงเทพฯ เมื่อวานนี้” ว่า ในช่วง พ.ศ.2473 ย่านแพร่งสรรพศาสตร์เริ่มมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักในหมู่นักเที่ยว เพราะจะมีตรอกมีชื่ออยู่ตรอกหนึ่ง เรียกว่า “ตรอกสาเก” เป็นที่อยู่ของพวกหญิงโสเภณี และซ่องโสเภณีใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งถูกไล่ที่มาจากถนนราชดำเนินย้ายมาอยู่ที่ปลายถนนแพร่งสรรพศาสตร์ จนบริเวณนั้นกลายเป็นที่อยู่ของเหล่าโสเภณีแทบทั้งหมด โดยโสเภณีชั้นดีหน่อยจะอยู่บ้านเช่าเป็นหลัง ขณะที่พวกชั้นรองลงมาก็จะอยู่ห้องแถว
คุณลุงนักเที่ยวรายหนึ่ง ที่สัมผัสบรรยากาศของซ่องย่านบางลำพูในยุคเมื่อ 40 ปีก่อน เล่าว่า ในอดีตโรงแรมส่วนใหญ่ในละแวกบางลำพูไปจนถึงวิสุทธิกษัตริย์ล้วนแล้วแต่เคยเป็นซ่องโสเภณีมาก่อน ยกเว้นแต่โรงแรมตรังโรงแรมเดียวที่ไม่เปิดเป็นม่านรูดแอบแฝง
“ด้านล่างเป็นม่านรูด ชั้น 2-3 ก็จะมีผู้หญิงหากินนอนอยู่ ส่วนใหญ่มาจากทางภาคเหนือทั้งนั้น โดยจะมีเอเยนต์จัดหามาส่ง เพราะสมัยก่อนย่านบางลำพูจะติดต่อหน่วยงานราชการสะดวก อยู่ใกล้กระทรวงมหาดไทย เมื่อก่อนกำนันผู้ใหญ่บ้าน กำนันแหนบทองคำมาก็มาเที่ยวแถวนี้ แต่ก่อนที่ดังๆ ก็อย่างโรงแรมกรุงทอง เพนียงทองที่ติดกับนางเลิ้ง เดี๋ยวนี้เปลี่ยนชื่อเป็นเกสต์เฮาส์ให้ฝรั่งเช่าไปหมดแล้ว”
บรรยากาศด้านในโรงแรมนั้น นักเที่ยวจะเปิดห้องแล้วทางโรงแรมจะพาผู้หญิงมาให้เลือกดูตัว “เขาจะเอามาจากไหนไม่ทราบ เพราะเขาก็มีทางหนีทีไล่เผื่อตำรวจมา เราก็นั่งคอยอยู่ในห้อง มีผู้หญิงทยอยมาให้เลือก เสร็จแล้วค่อยพาไปที่ห้อง ราคาเมื่อก่อนก็ 100-150 บาท ถ้าค้างคืนก็อีกราคาหนึ่ง”
ส่วนโรคสมัยก่อนนั้นก็มีแค่โรคหนองใน กับซิฟิลิส เอดส์ยังไม่แพร่ระบาด คนเที่ยวผู้หญิงและเป็นโรคเหล่านี้กันมากจนมีหมอชื่อดังที่รักษาโรคผู้หญิงโดยเฉพาะ “คุณไปถามคนอายุสี่ห้าสิบปี ถ้าใครไม่รู้จักหมอเพียร เวชสกุลแสดงว่าคนนั้นไม่เคยเที่ยวผู้หญิง” คุณลุงบอกพร้อมเสียงหัวเราะ
ขณะที่นักเที่ยวรุ่นหลังอีกคนบอกเล่าว่า นอกจากบางลำพูแล้ว อีกแหล่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงคือซ่องย่านบางขุนพรหม โดยจะมีซอยแห่งหนึ่งในละแวกนั้นที่ทั้งซอยเป็นบ้านที่เปิดเป็นซ่องแทบทั้งหมด ซ่องย่านนั้นจะเป็นบ้านมีรั้วรอบขอบชิด ทาสีฟ้าเด่นเป็นสัญลักษณ์ ด้านล่างเปิดเป็นร้านขายอาหาร
“ซ่องที่ดังที่สุดตอนนั้นก็คือบ้านสีฟ้า ราคาตอนนั้นก็ 70-80 บาท เมื่อ 20 ปีที่แล้ว ถัดเข้าไปข้างในหน่อยจะเป็นโคมสีแดง แต่คนละเจ้ากัน ซ่องแถวนั้นห้องน้ำก็ยังไม่มีอาบรวมหมด มีแค่แท๊งค์น้ำใหญ่ คนมาเที่ยวเสร็จก็จะออกมาอาบน้ำ 20-30 คน ไม่อายกัน ในห้องก็มีแค่กระโถนกับทิชชู่ไว้ทำความสะอาด”
จากแม้นศรีถึง “เจ็ดเรือยอร์ช” วิมานลอยน้ำ
หนุ่ม แม้นศรี นักเที่ยวผู้คร่ำหวอดและย่ำบนนถนนสายโลกีย์มากว่า 20 ปีแล้วเล่าว่า ยุคสมัยที่เขาเริ่มเที่ยวตอนเป็นหนุ่มนั้น เป็นยุคเฟื่องฟูของซ่องโสเภณี ยังไม่มีคอกเทลเลาจน์ คาราโอเกะ หรือผับโคโยตี้ เจ้าของสถานบริการจะเปิดบ้านเป็นซ่อง ประกาศชัดเจนเป็นที่รู้จักกันทั่วประเทศ เช่น ทางเหนือก็ย่านกำแพงดินเชียงใหม่ อุตรดิตถ์ก็บ้านยายลำซึ่งเป็นเจ้าของซ่อง เป็นแบรนด์เนมในทางการค้าว่ารับประกันได้
“ยายลำเป็นแม่เล้าที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคนหนึ่งในยุคนั้น เป็นที่เชื่อถือในหมู่นักเที่ยวว่าเด็กของที่นี่ดีจริง ไม่ย้อมแมว” แต่ถ้าหากถามถึงที่ซ่องที่ดังที่สุดของกรุงเทพฯ ในยุคนั้น เขาบอกว่าต้องย่านแม้นศรี
“ซ่องแม้นศรีเป็นที่ชื่นชอบของกลุ่มผู้เที่ยวมากเพราะมีความหลากหลายของการบริการ มีนวัตกรรมอะไรใหม่ๆ อยู่ตลอด และบริการ 24 ชั่วโมง เปิดมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์แล้ว คนใช้บริการมีความสุขมานับไม่ถ้วน เป็นคุณูปการต่อมนุษย์ผู้ชายมาก จัดว่าเป็นซ่องที่เกรดค่อนข้างดี ราคาก็สูงกว่าซ่องทั่วไป ร้อยกว่าบาท ที่อื่นอาจจะห้าสิบหกสิบ ที่อื่นดังชั่วครั้งชั่วคราว เด็กดีเด็กสวยแต่ก็เป็นชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ซ่องแม้นศรีเขาสามารถรักษาคุณภาพสม่ำเสมอได้”
นอกจากนี้ ยังมีซ่องในรูปแบบโรงน้ำชาติดถนนใหญ่ มีหลายที่ทั้งแถวพระโขนง คลองตัน แต่ด้านในเป็นซ่อง มีผู้หญิงนั่งโชว์ตัวให้แขกดู คล้ายๆ กับอาบอบนวดในยุคนี้ แต่ไม่มีอาบน้ำ บางที่ผู้หญิงบริการก็จะแต่งชุดยูนิฟอร์มของสถานบริการด้วย
ที่แปลกในยุคเมื่อ 30 ปีก่อนนั้น ก็ต้องเป็นซ่องโสเภณีเรือแจว แถวสะพานเฉลิมโลก ย่านประตูน้ำ หนุ่มนักเที่ยวบอกเล่าสภาพซ่องลอยน้ำที่เขาทันเห็นตอนปลายุคให้ฟังว่า จะมีเรือแจวมาจอดอยู่เรียงรายใกล้ๆ สะพาน พร้อมคนแจวและโสเภณีอยู่ในเรือ ใครจะใช้บริการก็ตกลงราคาก่อนลงไป สถานที่ประกอบกิจกรรมก็อยู่บนเรือนั่นเอง
“คนพายก็จะพายออกไปอยู่กลางคลอง บนเรือก็จะมีหลังคา มีม่านปิด จนเสร็จภารกิจก็กลับมาส่งท่าเดิม คนแจวเรือก็เป็นเหมือนผู้ทำธุระจัดหาหรือนายหน้า นับว่าเป็นซ่องเกรดต่ำ อยู่บนน้ำครำ คลองแสนแสบสมัยก่อนนี้น้ำเน่ากว่าเดี๋ยวนี้อีก” ด้วยมูลเหตุที่สถานที่อยู่บนเรือนี่เอง จึงมีการบัญญัติศัพท์เรียกขานซ่องโสเภณีเรือแจวในหมู่นักเที่ยวว่า “เรือยอร์ช” อันมาจากการเล่นคำว่า “เจ็ดเรือยอร์ช” นั่นเอง
“จิ้งหรีดโมเต็ล” สวรรค์คนยาก
สำหรับโรงแรมระดับล่าง หรือที่รู้จักกันในนามโรงแรมจิ้งหรีด ตามต่างจังหวัด พบว่ายังคงมีอยู่คู่กับประเทศไทย ในเกือบทุกพื้นที่ของเมืองใหญ่ ไม่ว่าจะเป็นกรุงเทพมหานคร และตามหัวเมืองต่างๆ โดยโรงแรมลักษณะดังว่า ส่วนใหญ่จะเป็นโรงแรมเก่าแก่ที่มีการก่อตั้งมาเป็นเวลานาน และด้วยความเจริญของแต่ละพื้นที่ ประกอบกับการปราบปรามจับกุมแหล่งอบายมุขของเจ้าหน้าที่ตำรวจในบางยุคบางสมัย จึงทำให้โรงแรมบางแห่งได้ปิดตัวลงไป และต่อมาได้ลักลอบเปิดใช้บริการในบางครั้ง
อย่างไรก็ตาม จากการสำรวจโรงแรมที่ยังคงเปิดกิจการอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ไม่ว่าจะเป็นย่านบางขุนพรหม ย่านแม้นศรี ย่านหัวลำโพง ย่านศรีทอง และย่านลำสาลี พบว่า ยังคงมีโรงแรมเปิดกิจการ รองรับนักเที่ยวในระดับรากหญ้าอยู่จนทุกวันนี้
โดยลักษณะของโรงแรมนั้น สภาพภายในจะแตกต่างกันไปตามแต่ละพื้นที่ เช่น ย่านบางขุนพรหม โรงแรมจะเปิดรองรับลูกค้า ตั้งแต่ช่วงเช้า มีเจ้าของส่วนใหญ่ เป็นคนจีนซึ่งมีอายุมาก เป็นผู้ดูแลกิจการในลักษณะครอบครัว มีหญิงขายบริการ ส่วนใหญ่ อายุระหว่าง 35-50 ปี หรือ มากกว่านั้น
นอกจากนั้น ในบางโรงแรม ในช่วงเวลา 12.00-13.00 หรือ ประมาณเที่ยงวัน ก็จะมีบรรดาสาวออฟฟิศ ที่มีความจำเป็นต้องใช้เงิน ได้ออกมาหาลำไพ่พิเศษ ซึ่งในส่วนของสาวออฟฟิศเหล่านี้ จะมีราคาสูงกว่า หญิงขายบริการที่ประจำอยู่ตามโรงแรมนั้นๆ ประกอบกับเป็นที่รับรู้กันของบรรดานักเที่ยว ก็มักจะออกมาใช้บริการในช่วงเวลาดังกล่าว จนมีคำศัพท์เฉพาะที่รู้กันว่า “ไปกินข้าวต้มกลางวัน” ทำให้บรรดาสาวออฟฟิศที่มาหาลำไพ่พิเศษมีรายได้จากส่วนนี้เป็นกอบเป็นกำ จากที่ทำเพื่อประทังชีวิตจนกลายเป็นทำเป็นอาชีพเสริม โดยที่บางคนก็มีสามีอยู่แล้ว และสามีก็ไม่รู้ว่าภรรยาตนเองทำงานขายบริการ
สำหรับราคาของหญิงขายบริการในโรงแรมระดับรากหญ้า ก็จะอยู่ที่ราคา 100-500 บาท แล้วแต่คุณภาพและอายุของหญิงขายบริการเหล่านั้น โดยขั้นตอนการซื้อบริการ ลูกค้าจะเดินขึ้นไปบนโรงแรม ซึ่งมีลักษณะเป็นตึกเก่า มีการแบ่งห้องเหมือนกับห้องเช่า โดยมีหญิงขายบริการคอยนั่งประจำเก้าอี้ ที่วางไว้บริเวณหน้าห้อง เพื่อให้ลูกค้าเลือก โดยที่หญิงขายบริการส่วนใหญ่ ก็จะเป็นผู้เสนอตัวให้ลูกค้าใช้บริการตนเอง และเมื่อตัดสินใจเลือกแล้ว ก็จะจ่ายค่าตัวให้ กับเจ้าของกิจการ หรือ ผู้ดูแล โดยมีถุงยางอนามัยให้ไว้เพื่อป้องกันอีกด้วย ส่วนลูกค้าที่ไปใช้บริการ ส่วนใหญ่พบเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีอายุมาก หรือกลุ่มวัยรุ่น ผู้มีรายได้น้อย
เมื่อเข้าไปในห้อง จะเป็นห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ มีพัดลม เพื่อระบายความร้อน ส่วนห้องน้ำ ก็จะมีเป็นห้องน้ำขนาดเล็ก ที่อยู่ภายในห้องพัก โดยมีเตียงนอน ที่นอน และหมอน ไว้อำนวยความสะดวก ในการปฏิบัติภารกิจกาม
อีกฟากหนึ่งของกรุงเทพฯ ในย่านลำสาลี ซึ่งมีโรงแรมแห่งหนึ่งที่ตั้งมาเป็นเวลานาน และกลายเป็นสถานที่เที่ยวซึ่งเด็กต่างจังหวัดที่มาเรียนมหาวิทยาลัยรามคำแหงต่างรู้จักดี สำหรับโรงแรมแห่งนี้ ตั้งอยู่ติดถนนรามคำแหง เปิดให้บริการเกือบตลอดทั้งวัน โดยเมื่อเดินขึ้นบันได ซึ่งมีลักษณะสูงชัน เลี้ยวซ้าย ก็จะมีห้องโถง และตู้กระจกเพื่อให้หญิงบริการนั่งสำหรับแขกเลือก จากนั้น ก็จะไปจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ พร้อมเปิดห้อง ซึ่งลักษณะของห้องก็แคบ มีกลิ่นอับชื้น
โดยราคาแล้วแต่คุณภาพหญิงของหญิงบริการ ซึ่งจะอยู่ที่ 200,400,600 จนกระทั่งถึง 1,000 บาท นอกจากนั้น มีสิ่งที่พิเศษ ที่เหล่าพวกนักเที่ยวชอบ คือ เมื่อเข้าไปใช้บริการแล้ว หากแขกต้องการที่จะใช้บริการเพิ่มอีก ก็จะมีการตกลงราคากันเอง ภายในห้อง ซึ่งเงินส่วนนี้ หญิงขายบริการจะได้เอง โดยไม่ต้องแบ่งกับเจ้าของสถานบริการ เช่น ซื้อบริการครั้งละ 400 บาท และหากเพิ่มเป็น 2 ครั้ง ก็จะคิดราคาเป็น 550 บาท โดยที่ส่วนต่าง 150 บาท หญิงขายบริการก็จะได้เอง
“มันมีโรงแรมที่ติดเบอร์อยู่ข้างท้าย อย่างแถวเพชรบุรี...38 หรือ 16 พวกนี้ เป็นที่รับรู้กันว่าโรงแรมพวกนี้จะมีบริการโสเภณี” ส่วนโรงแรมย่านหัวลำโพง การขายบริการก็จะแตกต่างๆไปจากแหล่งอื่นๆโดยหญิงขายบริการส่วนใหญ่ จะคอยหาลูกค้าที่อยู่ตามหัวลำโพง เช่น คนต่างจังหวัดที่เพิ่งเข้ามาในกรุงเทพมหานคร เมื่อหญิงขายบริการพบเป้าหมายแล้ว ก็จะเข้าไปพูดคุย เพื่อสอบถามว่าจะไปไหน ซึ่งหากพูดคุยและถูกคอกัน ก็จะเสนอขายบริการ ซึ่งหากแขกตกลงราคากันได้แล้ว หญิงขายบริการก็จะเป็นผู้นำพาแขกไปเปิดห้องตามโรงแรมที่พักที่มีอยู่ย่านดังกล่าว โดยที่เจ้าของโรงแรมรับรู้อยู่ว่ามาขายบริการ เป็นการทำธุรกิจในลักษณะพึ่งพาอาศัยกัน คือ หญิงขายบริการได้เงินค่าขายบริการ ส่วนเจ้าของโรงแรมก็ได้ค่าที่พัก ทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้น
นอกจากนั้น การขายบริการในระดับล่าง ยังคงมีอยู่ตามสถานที่ทั่วไป โดยเฉพาะตาม สนามหลวง สวนลุมพินี สวนสราญรมย์ หรือสวนสาธารณะต่างๆ โดยกลุ่มผู้ขายบริการในกลุ่มนี้ มีทั้งหญิงแท้ สาวประเภทสอง และผู้ขายที่ขายบริการกลุ่มชายรักชาย ที่คอยยืนรอลูกค้าอยู่ตามริมถนน หรือ ตามม้านั่งภายในสวน โดยเมื่อตกลงราคากันได้ ก็จะเข้าไปเปิดห้องตามห้องพักใกล้เคียง โดยค่าห้องพักจะอยู่ที่ 200-300 บาท ส่วนค่าซื้อบริการก็แล้วแต่จะตกลงว่า ชั่วคราว หรือ ค้างคืน ส่วนราคาก็จะแตกต่างกัน ราคา 100-300 บาท และหรือ 500-600 บาท
อย่างไรก็ตามในกลุ่มผู้เร่ขายบริการ ก็จะยังมีระดับล่างสุด ที่มักเสพกามกันตามพุ่มไม้ของสวนสาธารณะนั้น โดยกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มที่สร้างปัญหามากที่สุด อีกทั้ง เสี่ยงต่อการติดโรค สำหรับราคาก็จะอยู่ที่ 20 -50 บาท
ถนนสายโลกีย์ที่เพชรบุรีและรัชดา
ซ่องไทยมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในช่วงทศวรรษที่ 60 ในช่วงยุคสงครามเวียดนามที่มีทหารจีไอเข้ามาตั้งฐานทัพอยู่ในประเทศไทย โดยยกระดับจาก “ซ่อง” ธรรมดาทั่วไป ขึ้นไปตลาดบนด้วยรูปแบบคอกเทลเลาจน์ และอาบอบนวด หลังจากถนนเพชรบุรีตัดใหม่ตัดเสร็จในยุคนั้น สถานบริการอย่างอาบอบนวดก็ผุดขึ้นมาบนถนนสายนี้เต็มไปหมด กลายเป็นถนนโลกีย์ขึ้นมา
“ยุคนั้นซ่องไปอยู่ในอาบอบนวดอย่างเปิดเผยประเจิดประเจ้อ สมัยก่อนในอาบอบนวดก็จะมีขายบริการ แต่ไม่ชัดเจนขนาดนี้ ที่มีไซด์ไลน์ก็คือหญิงบริการไม่ใช่หมอนวด มีคอกเทลเลาจน์ขึ้นมามีผู้หญิงที่ออฟได้ก็คือขายตัว มีสถานที่มีห้องให้บริการ” หนุ่ม แม้นศรีเล่าย้อนอดีตให้ฟัง
หลังจากการล่มสลายของสถานบริการย่านถนนเพชรบุรีฯ แล้ว อาบอบนวดก็ค่อยๆ ขยายมาสู่ย่านพระราม 9 โดยมีเจ้าพ่ออ่างอย่างชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ เป็นผู้บุกเบิก
“ตอนนั้นอาบอบนวดที่ดังๆ ก็อย่างจูเลียน่า หรือนักเที่ยวเรียกว่า “เจ๊จู” แล้วชูวิทย์ไปซื้อวิกตอเรีย ซีเครทข้างหลัง ขยายธุรกิจจนเป็นเจ้าพ่ออ่างในย่านพระราม 9 ก่อนจะมีกลุ่มอาบอบนวดมาเปิดแถวรัชดา อย่างคลีโอพัตราที่เคยเป็นอาบอบนวดเบอร์หนึ่งของประเทศ ถูกไล่ที่มาจากสุขุมวิทซอย 1 มาเปิดที่สี่แยกพระราม 9 จนกระทั่งมีอาบอบนวดที่ใหญ่ที่สุดอย่างโพไซดอน ที่สร้างตึกสร้างห้องและรวบรวมหญิงบริการต่างชาติที่หนีปัญหาความยากจนเข้ามาหากินในเมืองไทย พวกรัสเซีย ยูเครนที่ยืนอยู่ตามถนนนานา สุขุมวิท พัฒน์พงษ์เอาไปเข้าสังกัด รวมทั้งพวกไซด์ไลน์ จัดเป็นตลาดนัดใหญ่ในยุคนั้น”
หนุ่มนักเที่ยวผู้ช่ำชองบอกว่า ยิ่งเศรษฐกิจไม่ดี ธุรกิจอาบอบนวดยิ่งเฟื่องฟู เพราะการเที่ยวลักษณะนี้ นักเที่ยวสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จได้ ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายจุกจิกในการเลี้ยงผู้หญิงเหมือนซ่องรูปแบบอื่น ส่วนการซื้อขายรูปแบบใหม่ทางออนไลน์นั้น มักจะเป็นพวกนักเที่ยวรุ่นใหม่นิยมมากกว่า
“อาบอบนวดมันไม่ใช่แค่เรื่องเซ็กส์อย่างเดียว มันเป็นเรื่องผ่อนคลาย อาบน้ำ แต่คนที่ชอบซื้อผู้หญิงขายตัวทางอินเทอร์เน็ต พวกนี้จะชอบความตื่นเต้นชอบของใหม่ รู้สึกเป็นผู้ล่า แต่ระดับเซียนแล้วเค้าจะเที่ยวอาบอบนวด คือสูงสุดคืนสู่ธรรมดา พวกที่ชอบทำตัวเป็นผู้ล่านั้น แต่ในที่สุดก็เป็นคนโดนล่า ราตรีนี้ไร้น้ำใจ” หนุ่มนักเที่ยวบอกทิ้งท้ายถึงสัจธรรมของการซื้อความสุขชั่วข้ามคืน
จากซ่องโสเภณีที่สำเพ็ง สะพานถ่าน ตรอกมะยม แพร่งสรรพศาสตร์ คลองหลอด สนามหลวง ถนนเพชรบุรีและรัชดาฯ มาจนถึง e-(ตัว) ออนไลน์ ไม่ว่าถึงวันนี้ การซื้อขายกามารมณ์จะเปลี่ยนไปในรูปแบบใด สิ่งหนึ่งที่ยังเป็นไม่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอก็คือ อาชีพนี้ยังต้องแอบแฝงอยู่ในเงามืดและคงจะมีอยู่ในสังคมไทยต่อไป ตราบใด...ที่ยังมีขบวนการค้ามนุษย์ และชายหญิงบางคนยังเห็นเพียงแค่ร่างกายเป็น “สินค้า” สำหรับซื้อขายและระบายความใคร่เท่านั้น