“สนธิ” หน่ายคุณภาพเด็กไทยไม่รู้กระทั่งความหมายวันวิสาขบูชา ชี้ ระบบการศึกษาไม่สอนคนให้รู้จักรากเหง้า ไม่รู้เรื่องคุณความดี สังคมจึงหาคนดียาก ขรก.-นักการเมือง เพิ่มระดับโกงกิน จากทำตัวเป็นพระยืนถือบาตร มาเป็นนายพรานใช้ธนูล่า จนทุกวันใช้เอ็ม 16 ล่า โกงแบบหน้าด้านเป็นขบวนการ นักการเมืองทุกพรรคทุกร่ำรวยกันใหญ่ งบประมาณประเทศเพิ่มบานปลาย ถึงเวลาล้างแผ่นดิน จัดสรรใหม่
คลิกที่นี่ เพื่อฟัง “รวมพลัง ปกป้องแผ่นดิน” ปราศรัยโดย "นายสนธิ ลิ้มทองกุล"
เมื่อเวลา 20.50 น.วันที่ 16 พ.ค.นายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวปราศรัยบนเวทีสะพานมัฆวานรังสรรค์ ระหว่างการชุมนุม “รวมพลังปกป้องแผ่นดิน” ว่า วันนี้ตนได้ทดสอบคุณภาพของเด็ก 2 คน โดยถามว่า วันพรุ่งนี้ซึ่งเป็นวันวิสาขบูชามีความสำคัญอย่างไร ปรากฏว่า คนหนึ่งตอบว่าเป็นวันที่พระบวชเข้าพรรษา ขณะที่อีกคนตอบว่าเป็นวันที่พระต่างสารทิศมาพบกันโดยบังเอิญ แต่พอตนถามว่ารู้จักวันที่พระพุทธเจ้าประสูติ ตรัสรู้ และปรินิพพาน ในวันเดียวกันหรือไม่ เด็กก็ตอบว่ารู้ เป็นวันอาสาฬบูชา ซึ่งถ้าไม่ถือว่าเป็นลูกเป็นหลานคงถวายพระผางไปแล้ว เพราะฉะนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่พวกเราต้องมาล้างแผ่นดิน แล้วจัดสรรระบบการศึกษาเสียใหม่ เพราะมันคุณภาพต่ำเหลือเกิน ทำให้คนไม่รู้จักรากเหง้า ไม่รู้จักวันสำคัญทางศาสนา ซึ่งการศึกษาที่เป็นแบบนี้นี่เองที่ทำให้เกิดปัญหาสังคมและมีสัตว์นรกมากจริงๆ
นายสนธิ กล่าวต่อว่า คนสมัยก่อนจะถูกสอนให้กตัญญูรู้คุณคน และกตัญญูต่อชาติบ้านเมือง และยังรู้ที่มาที่ไปของตัวเอง รู้จักความยากลำบาก รู้ซึ้งถึงการทำมาหากินอย่างสุจริต เมื่อรู้รากเหง้าของตัวเองแล้วก็จะสั่งสอนลูกหลานให้เป็นคนดี สิ่งแรกที่ตนจำได้ที่พ่อแม่สอนคือ อย่าไปคดโกงใคร ซึ่งอยู่ในกมลสันดาน การเห็นอกเห็นใจคนที่ยากลำบาก การรักชาติบ้านเมืองก็เป็นส่วนหนึ่งที่เราได้มาจากพ่อแม่เรา
นายสนธิ กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีความเป็นหนึ่งเดียวมาตลอด เริ่มจากบนสุด คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ลงมาเรื่อยๆ ซึ่งทุกคนก็รู้หน้าที่ว่าตัวเองควรทำอะไร เมื่อก่อนเรามีคนอย่าง หลวงอรรถสิทธิ์ สิทธิสุนทร อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นคนตรงไปตรงมา ไม้บรรทัดเรียกพี่ ท่านตัวเล็กๆ ผอมๆ แต่แววตาแกร่งกล้ามีประกาย ทั้งเมตตาและอำมหิต เมตตากับคนดี และคนที่ถูกรังแก แต่คนที่คิดจะทำร้ายบ้านเมืองท่านจะเข่นฆ่าให้อาสัญ อีกคน คือ นายสุธี อากาศฤกษ์ อดีตประธานคณะกรรมการ ป.ป.ป.ที่แต่งตัวปอนๆ ถือกระเป๋านั่งรถเมล์ไปทำงานทุกวัน จนตัวเองตายก็มีบ้านไม้หลังเก่าๆ อยู่ ทิ้งไว้ แต่ความภูมิใจและเกียรติยศของวงศ์ตระกูลจนทุกวันนี้
วันนี้เรามีใครบ้าง มีข้าราชการคนไหนที่เราพอจะพูดได้อย่างภาคภูมิใจแม้แต่ครึ่งหนึ่งของหลวงอรรถสิทธิ์บ้าง คนอย่างนายชวรัตน์ ชาญวีรกูล มาเป็นรัฐมนตรีมหาดไทยได้อย่างไร แค่ความชอบธรรมก็ไม่มีแล้ว เพราะตระกูลของตัวเองและลูกชาย คือ เจ้าของบริษัท ซิโน-ไทย ที่ได้งานก่อสร้างของรัฐบาลแทบทุกงาน แล้วรัฐบาลชาติชั่วก็ยังนั่งเฉย ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ลูกหลานเขาบอกว่า มาเล่นการเมืองนี้ดี เพราะว่าได้งานโดยไม่ต้องจ่ายใต้โต๊ะให้นักการเมือง เพราะเป็นรัฐบาลอยู่แล้ว เอาเงินที่จะจ่ายใต้โต๊ะไปซื้อเสียงมาเป็นรัฐบาลดีกว่า เมื่อคิดอย่างนี้สังคมไทยจึงไม่มีคนอย่าง หลวงอรรถสิทธิ์ อย่าง นายสุธี ที่ไม่สนใจว่าใครเป็นใคร ถ้าผิดต้องเดินหน้าดำเนินการ แต่ทุกวันนี้คนใน ป.ป.ช.คนใน กกต.ถือฝักถือฝ่าย บางคนก็เป็นคนของพรรคเพื่อไทย บางคนก็เป็นของประชาธิปัตย์ แล้วชาติบ้านเมืองจะอยู่ได้อย่างไร
ตัวอย่างที่ 3 คือ นายพชร อิศรเสนา อดีตปลัดกระทรวงพาณิชย์ ข้าราชการที่ไม่ยอมให้รัฐมนตรีพาณิชย์ทำมากินกับโควตาข้าว โดย นายพชร ออกมาต่อต้าน และบอกว่าจะไปเข้าข้างผู้ส่งออกไม่ได้ ต้องเข้าข้างผู้ปลูกข้าว แต่วันนี้เรามีรัฐมนตรีเจ้ากระทรวงพาณิชย์เป็นเจ้าของธุรกิจอาบอบนวด ซึ่งเท้าข้างหนึ่งเหยียบข้อความที่ผิดกฎหมาย เพราะอาบอบนวดก็คือซ่องโสเภณี เราเห็นบริษัทก่อสร้างที่มีผลประโยชน์กับรัฐมาเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย แล้วเราก็เอาเจ้าของซ่องโสเภณีมาเป็นรัฐมนตรีพาณิชย์ แล้วรัฐมนตรีพาณิชย์ก็ยังมีอดีตนักการเมืองที่ถูกตัดสิทธิอยู่เบื้องหลัง ตั้งโต๊ะเรียกพ่อค้ามาเก็บค่าต๋งก่อนออกนโยบายต่างๆ ไม่นับกระทรวงคมนาคมที่เอาครูประชาบาลที่ย้ายมาหลายพรรคมาเป็นรัฐมนตรี ครูประชาบาลต่อให้เก่งแค่ไหนอย่างมากก็เปิดร้านขายอาหารอีสาน แต่วันนี้มีบ้านไม้สักราคาเป็น 100 ล้าน มีบ้านที่อังกฤษส่งลูกไปเรียน เงินมันมาจากไหน มันไม่ได้หล่นลงมาจากฟากฟ้า แต่มันเป็นภาษีอากรของเรา
นายสนธิ กล่าวอีกว่า พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ สมัยหนึ่งเคยถูกจับข้อหากบฏพร้อมกับ พล.อ.สันต์ จิตรปฏิมา ตนนั่งอยู่คอฟฟี่ช็อป โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ เห็นขับรถปิกอัพคันเก่าๆ มา ตนต้องเลี้ยงกาแฟด้วยซ้ำ วันนี้ พล.ต.สนั่น เป็นเจ้าของไวน์ชาละวัน ฟาร์มนกกระจอกเทศ มีโน่นมีนี่ แล้วก็มาบอกว่าสังคมไทยต้องสามัคคีกัน ให้อภัยกันและกัน ขณะที่คนของพรรคประชาธิปัตย์ ก็ร่ำรวยไม่แพ้กัน ชนิดที่เศรษฐีที่ทำมาหากินสุจริตยังอายว่าเอาเงินทองมาจากไหน แต่ละคนส่งลูกหลานไปเรียนที่อังกฤษทั้งนั้น แล้วตอนนี้ที่อังกฤษมีบ้านพักที่นักการเมืองซื้อไว้เป็นสิบๆ หลัง ส่วนเงินก็เอาไปฝากไว้ที่สิงคโปร์ เพราะที่นั่นมีกฎหมายห้ามเปิดเผยข้อมูลบัญชีธนาคาร จึงไม่น่าประหลาดใจว่าทำไมงบประมาณแต่ละปีจึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากปีละ 8 แสนล้าน เป็น 2 ล้านล้าน โดยที่เนื้องานไม่เพิ่ม
นายสนธิ กล่าวว่า เมื่อก่อนนักการเมืองและข้าราชการที่ทุจริตจะทำตัวเหมือนพระที่ยืนเปิดบาตรอยู่ พอเราเดินผ่าน ถ้าราเอาข้าวเอาอาหารใส่บาตรท่านก็จะให้พร ถ้าเราไม่ใส่ท่านก็ยืนเฉยๆ แต่เดี๋ยวนี้ข้าราชการนักการเมืองไม่ยืนเหมือนพระแล้ว แต่จะทำตัวเหมือนนายพราน ซึ่งในสมัย พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ จะใช้ธนูล่า แต่ทุกวันนี้ใช้เอ็ม 16 โดยเมื่อก่อนมีสูตรสำเร็จคือ 2 3 5 โดยร้อยละ 5 ของงบประมาณในโครงการนั้นๆ จะเป็นของนักการเมือง ร้อยละ 3 เป็นของกรรมการหรือบอร์ดต่างๆ ที่อนุมัติ ร้อยละ 2 เป็นของข้าราชการที่ทำเรื่อง ซึ่งเมื่อก่อนโครงการรับเหมาก่อสร้างถ้าให้ร้อยละ 10 ก็ถือว่ามากแล้ว แต่ทุกวันนี้ร้อยละ 10 ไม่พอ มันจะวิ่งเต้นเพิ่มงบประมาณโครงการ สมมติจาก 100 บาท เป็น 200 บาท แล้วมันก็รับประทานอีก 100 บาทเต็มๆ ก็คือ ร้อยละ 50 ของงบประมาณ
นายสนธิ กล่าวว่า โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินไม่ว่าสีอะไรก็ตาม จะแพงกว่าที่ควรจะเป็นอย่างน้อยร้อยละ 40 สมัยก่อนการจะทำมาหากินซักอย่าง มันยังมีหิริโอตปะ มีความละอาย แต่เดี๋ยวนี้มันทำเป็นกระบวนการ และต่อเนื่อง อย่างการทุจริตสนามบินสุวรรณภูมิ มีไม่รู้กี่ชิ้นต่อกี่ชิ้น เช่น เครื่องซีทีเอ็กซ์ จนบัดนี้ก็ยังค้างอยู่ที่ ป.ป.ช.เพราะคนที่เป็นจำเลยเอาเงินไปยัดผู้ใหญ่ใน ป.ป.ช. เพื่อให้เก็บเข้าลิ้นชัก ไม่ต้องพิจารณา นี่คือ เหตุผลว่าทำไมจึงต้องล้างแผ่นดิน ไม่เช่นนั้นแผ่นดินนี้จะไม่มีเหลือให้ลูกหลานเราได้อยู่อาศัยต่อไป