ASTV ผู้จัดการออนไลน์—องค์กรพัฒนาภาคเอกชนจากสหรัฐฯ กล่าวว่า การจับปรับ จับกุมคุม และปฏิบัติต่อหญิงโสเภณีตามซ่องต่างๆ ได้บีบบังคับให้หญิงสาวเหล่านั้นลงสู่ริมถนนในเมืองหลวงหรือเข้าแอบแฝงขายบริการตามบาร์หรือร้านกินดื่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านคาราโอเกะ ทำให้ยากต่อการให้ความช่วยเหลือ
องค์กรพัฒนาภาคเอกชนที่ไม่สังกัดรัฐบาลหรือ เอ็นจีโอ (NGO) ที่เพิ่งจะตั้งขึ้นใหม่แห่งหนึ่งในสหรัฐฯ ได้เริ่มรณรงค์ให้ความรู้แก่หญิงขายบริการทางเพศในกรุงพนมเปญในสัปดาห์นี้ เกี่ยวกับการวิธีการป้องกันโรคเอดส์และโรคติดต่อผ่านเพศสัมพันธ์อื่นๆ แต่ก็ได้เจอปัญหาดังกล่าว
หญิงสาวเหล่านั้นอยู่กระจัดกระจาย หลบๆ ซ่อนๆ ไม่ไว้วางใจหน่วยงานใด
องค์การเพื่อสุขภาพครอบครัวระหว่างประเทศ หรือ FHI (Family Health International) ที่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินจากสหรัฐฯ กล่าวว่า กฎหมายต่อต้านการค้าประเวณีที่มีผลบังคับใช้ในเดือน ก.พ.ปีที่แล้ว ทำให้ตำรวจกวาดล้างซ่องโสเภณีต่างๆ อย่างกว้างขวางทั่วประเทศ
ผลลัพธ์อย่างหนึ่งก็คือ หญิงสาวเหล่านั้นได้ทิ้งซ่องลงสู่ท้องถนน หรือไม่ก็แอบแฝงอยู่ตามสถานบริการอื่นๆ ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร บาร์ที่จำหน่ายเบียร์ รวมทั้งพวกเบียร์การ์เด้นต่างๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งร้านคาราโอเกะที่เปิดกันทั่วไปอย่างถูกกฎหมาย
เจ้าหน้าที่โครงการ SMARTgirl หรือ "หญิงเก่ง" ของ FHI กล่าวว่า การรณรงค์มีเป้าหมายเปลี่ยนแปลงวิถีการพูดถึงโรคเอดส์ หรือผู้ที่ติดเชื้อ HIV-AIDS ของคนทั่วไปเสียใหม่ โดยเน้นไปที่กลุ่มผู้ใช้บริการ ให้มองหญิงสาวเหล่านั้นในฐานะที่เป็น "ผู้บริสุทธิ์" มากยิ่งขึ้น และพวกเธอมีสิทธิ์ที่จะได้รับความปลอดภัยจากผู้ไปใช้บริการ
"สมาร์ทเกิร์ลมีเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงวิถีที่ผู้คนพูดถึงเอชไอวีเอดส์" แคโรไลน์ ฟรานซิส (Caroline Francis) รองผู้อำนวยการ FHI กล่าว
นอกจากนั้นเจ้าหน้าที่ของโครงการจะให้บริการตรวจหาเชื้อเอชไอวี ตรวจสารเสพติด ตลอดจนบริการที่ถูกกฎหมายอื่นๆ และ ยังจะรณรงค์ให้เกิดความชัดเจนในข้อกฎหมายต่อต้านการค้าประเวณี ซึ่งในปัจจุบันให้อำนาจตำรวจจับกุมหญิงสาวที่ตรวจพบว่ามีถุงยางอนามัยในครอบครองได้ โดยถือเป็นพยานวัตถุในการค้าประเวณี
เจ้าหน้าที่ผู้นี้กล่าวอีกว่า FHI จะรณรงค์ร่วมกันอีกหลายหน่วยงาน รวมทั้งองค์การสหประชาชาติด้วย เพื่อให้สามารถใช้ถุงยาอนามัยได้ถึง 100% ในการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคเอดส์ อันเป็นนโยบายร่วมกันของประชาคมระหว่างประเทศ
ในกัมพูชาเคยมีการรณรงค์ให้ใช้ถุงยางอนามัยอย่างกว้างขวาง ในการป้องกันการแพร่ลามของโรคเอดส์ ซึ่งปรากฏว่าได้ผลอย่างดียิ่งอัตราของผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมาก
แต่กฎหมายต่อต้านการค้าประเวณีทำให้หญิงขายบริการที่เป็นกลุ่มเสี่ยงใหญ่ที่สุดไม่สามารถใช้เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุดและราคาถูกที่สุดในการป้องกันตัวเองได้อย่างเต็มที่
องค์การ FHI ได้จัดประชุมสัมมนาเรื่องนี้ในวันศุกร์ (30 ม.ค.) ที่โรงแรมแคมโบเดียน่า โดยมีผู้เข้าร่วมประมาณ 500 คน รวมทั้ง นายมัมบุนเฮง (Mam Bun Heng) รัฐมนตรีสาธารณสุข กับ นางแครอล รอดลีย์ (Carol Rodley) เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ คนใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่งด้วย
"เพื่อให้สามารถช่วยเหลือสตรีในการจัดการกับพฤติกรรมทางเพศต่างๆ และหยุดยั้งการแพร่ขยายของเอชไอวีเอดส์ โครงการนี้จะต้องเข้าไปให้ถึงแหล่งบันเทิงต่างๆ เช่นบาร์คาราโอเกะและสถานอาบอบนวดต่างๆ ด้วย" เอกอัครราชทูตสหรัฐฯ กล่าว
นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชนกล่าวว่า กฎหมายต่อต้านการค้าประเวณีของกัมพูชาเป็นสิ่งที่เรียกกันในสหรัฐฯ ว่า "วิธีการแบบอย่างที่ใช้นิติบัญญัติ" มองหญิงขายบริการทางเพศในทางที่เสื่อมและทุกคนเป็นเหยื่อการค้ามนุษย์ จึงหาทางทำให้หญิงสาวเหล่านั้นเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมาย
องค์การรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชนในกัมพูชา เคยรายงานเกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจปฏิบัติการอย่างโหดเหี้ยมกับหญิงขายบริการทางเพศ ใช้ความรุนแรงในการสอบสวน รวมทั้งข่มขื่นหญิงสาวเหล่านั้นอีกด้วย.