หากให้แฟนลูกหนังลองหลับตานึกถึงชื่อดาวเตะระดับตำนานทีมชาติไทยมาสักคนหนึ่ง แน่นอนหลายคนย่อมนึกถึง "เดอะ ตุ๊ก" ปิยะพงษ์ ผิวอ่อน หรือ "ซิโก้" เกียรติศักดิ์ เสนาเมือง แต่ถ้าถามกันตรงๆ ว่าดาวเตะคนใดที่ได้รับเกียรติในการจัดฟุตบอลนัดอำลา หรือ "เทสติโมเนียล แมตช์" เป็นรายแรกของทีมชาติไทย เชื่อว่าจำนวนไม่น้อยคงไม่ลืมว่าเกียรติยศดังกล่าวตกอยู่กับ "เดอะ ง้วน" สุรชัย จตุรภัทรพงศ์ กองกลางสุดคลาสสิกของทีมชาติไทย
นอกจากเส้นทางชีวิตค้าแข้งของ "เดอะ ง้วน" จะรุ่งโรจน์อย่างถึงที่สุดในยุคสมัยของตนหากเมื่อแขวนรองเท้าสตั๊ดไปเขาก็ยังคงเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญของทีม โฮม ยูไนเต็ด ต้นสังกัดเดิมของตนเองในเอสลีกสิงคโปร์
สำหรับ สุรชัย ในวันนี้แม้ชื่อจะเงียบหายจากวงการลูกหนังแห่งสยามประเทศ แต่ถ้าเอ่ยนาม สุรชัย ในดินแดนที่ต้องข้ามช่องแคบยะโฮร์อย่างสิงค์โปร์แล้ว ชื่อของ "เดอะ ง้วน" เรียกได้ว่ายังหอมหวานและทำมาหากินได้อย่างเป็นกอบเป็นกำใน เอส ลีก กระทั่งในวันที่วงการลูกหนังไทยคิดจะฝันไกลถึงบอลโลกอีกครั้ง
หลังเริ่มต้นด้วยการนำเข้าโค้ชต่างประเทศอย่าง ปีเตอร์ รีด ถึงวันนี้ สุรชัย คือรายชื่อที่สมาคมเลือกให้ก้าวเข้ามาเป็นเฟืองสำคัญในการก้าวสู่อนาคตของวงการฟุตบอลไทย เมื่อสมาคมฟุตบอลได้ส่งจดหมายเชิญให้ อดีตกองกลางทีมชาติบินด่วนจากสิงคโปร์ มารับหน้าที่เพื่อชาติกับตำแหน่งผู้ช่วยโค้ชแทน "เดอะแบน" ตะวัน ศรีปาน ที่ขอโบกมืออำลาไป
แม้ว่าจะยังไม่ได้มาประจำการในเมืองไทยอย่างเป็นทางการ แต่ข่าวดังกล่าวก็ได้สร้างความคึกคักให้แก่วงการลูกหนังไทยอีกครั้ง เพราะนอกจาก "เดอะง้วน" จะเป็นนักเตะฝีเท้าดีแล้ว ประสบการณ์ในฐานะโค้ชสโมสรดังแห่งเอส ลีก
ทำให้ผู้ช่วยโค้ชทีมชาติใหม่ถอดด้ามรายนี้แทบจะเป็นความหวังของทีมชาติ โดยทีมข่าวกีฬา MGR SPORT ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ข้ามประเทศเพื่อเปิดใจถึงความรู้สึกและความมั่นใจของ สุรชัยในช่วงชั่วโมงนี้กับการตัดสินใจครั้งล่าสุด
"ตอนได้ทราบว่าสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยต้องการตัวผมไปทำงานในตำแหน่งโค้ชทีมชาติไทยร่วมกับ ปีเตอร์ รีด ยอมรับว่าความรู้สึกแรกคือรู้สึกเป็นสุขอย่างบอกไม่ถูก คนอื่นจะคิดอะไรบ้างผมไม่ทราบ แต่ส่วนตัวแล้วภูมิใจมาก กับชีวิตอดีตนักฟุตบอลคนหนึ่งที่ได้กลับมาทำหน้าที่โค้ชเพื่อชาติ ถือเป็นเกียรติกับผมมาก"
แม้จะเป็นการทำงานแค่เฉพาะทัวร์นาเมนต์อาเซียน คัพ หรือชื่อใหม่คือ "ซูซูกิ คัพ" ระหว่างวันที่ 5-28 ธันวาคม 2551 หาก "เดอะ ง้วน ก็เผยว่าจะทุ่มเททำงานอย่างเต็มที่ "ส่วนตัวผมต้องการทุ่มเททุกอย่างที่มีให้แก่การทำงานในครั้งนี้ ผมอยากเห็นผลงานออกมาดีที่สุด จึงจะตั้งใจทำงานอย่างสุดความสามารถจากประสบการณ์ในการเป็นผู้เล่นและโค้ชของตัวเอง น่าจะมีส่วนช่วยทีมชาติไทยได้บ้าง"
ส่วนเรื่องความคาดหวังของแฟนลูกหนังชาวไทย ที่อาจแปรสภาพเป็นความกดดันเมื่อผลงานไม่เข้าตานั้น อดีตจอมทัพทีมชาติไทยกลับไม่รู้สึกกังวลกับสิ่งนี้ "ผมไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องความกดดัน การทำงานระดับนี้เป็นธรรมดาที่เราต้องเจอ แต่จะไปเก็บมาคิดมากก็ไม่ได้ ไม่งั้นชีวิตไม่มีความสุข ขอแค่เราทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถที่มีอยู่ แค่นี้ก็ไม่ต้องไปกลัวอะไร หากมัวแต่มากังวลเรื่องความกดดันมากๆ ก็ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี มีอะไรบ้างที่มันไม่กดดัน"
เมื่อถามถึงสไตล์ของโค้ชชาวอังกฤษกับลีลาการเล่นของนักเตะไทยนั้น "เดอะ ง้วน" กล่าวว่า "ผมว่าคงคิดมากกันไปเองว่านักเตะไทยจะเล่นตามแผนของ ปีเตอร์ รีด ไม่ได้ รีด เองก็เคยเป็นนักฟุตบอล และเป็นผู้จัดการทีมในพรีเมียร์ลีกมาก่อน เขาย่อมรู้ดีว่าอะไรเหมาะกับนักเตะไทย และต้องหาจุดที่ลงตัวให้แก่ทีม"
ขณะเดียวกัน สุรชัย ยังยอมรับด้วยว่าอยากกลับมาทำงานเมืองไทยเป็นที่สุด "ถามว่าตอนนี้มีความสุขกับการทำงานโค้ชในสิงคโปร์ไหม คือผมก็มีความสุขกับงานที่ทำอยู่และยังเหลือสัญญากับสโมสรอีก 1 ปี แต่ยอมรับตามตรงว่าอยากกลับมาทำงานที่เมืองไทยมาก ไม่มีที่ไหนเหมือนบ้านเราแน่ ขอแค่ประเทศไทยมีฟุตบอลอาชีพแล้วนั่นแหละ เราจึงจะได้มาเจอกันในไทยลีก"
จนถึงเวลานี้แม้จะตอบตกลงรับงานกับทีมชาติไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ "เดอะ ง้วน" ยอมรับว่ายังไม่ทราบว่าจะได้รับมอบหมายงานใดจากกุนซือชาวอังกฤษ
"ผมยังไม่ทราบเหมือนกันว่า ปีเตอร์ รีด จะให้ผมทำอะไร แต่คนอย่างผมเรื่องทำงานเพื่อชาติ จะให้ทำอะไรก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะมาพูดเล่น แต่ผมพร้อมจะทำทุกอย่างจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าจะมีโอกาสแบบนี้อีกไหมในชีวิตนี้"
น่าสนใจว่าบทบาทของ "เดอะ ง้วน" จะเป็นเช่นไร รวมทั้งจะสามารถเข้ามากอบกู้ศรัทธาและความเชื่อมั่นให้ทีมชาติไทยได้สำเร็จหรือไม่ ต้องติดตามและรอพิสูจน์กันต่อไป