จะเกิดอะไรขึ้น ถ้าวันหนึ่งคุณมองไม่เห็นอะไรอีกเลย นอกจากความมืด มันจะลำบากสาหัสแค่ไหนเวลาที่คุณจะต้องไปสวนสาธารณะหรือตลาด
Dialogue in the Dark นิทรรศการสุดโดดเด้งทั้งในเชิงความคิดและหัวใจ ที่จะพาเรา-ซึ่งมักจะคิดว่าตัวเองปกติและคนตาบอดเป็นคนผิดปกติ-ไปรู้จักโลกมืดของคนตาบอด เราจะมีเพียงไม้เท้า เสียง กลิ่น สัมผัส และน้ำเสียงของไกด์นำทางที่เป็นคนตาบอดจริงๆ เท่านั้นที่จะทำให้เราเห็นโลกที่เราไม่เคยเห็น โลกที่ยังมีสวนสาธารณะ ตลาด หรือแม้กระทั่งบาร์ขายเครื่องดื่มเหมือนกับโลกที่เราคุ้นเคย ผิดกันก็แค่เราจะมองไม่เห็นอะไรเลยนอกจากความมืดมิด
‘ปริทรรศน์’ มีโอกาสพูดคุยกับ DR.ANDREAS HEINECKE ชาวเยอรมันผู้มีอารมณ์ขันและไม่ได้ตาบอด ซึ่งเป็นผู้คิดค้นนิทรรศการ Dialogue in the Dark เขาเป็นผู้ที่ได้รับคัดเลือกจาก มูลนิธิอโชกา ให้เป็น Ashoka Fellowship ประจำปี 2005 ซึ่งเป็นรางวัลที่มอบให้แก่ผู้ประกอบการทางสังคม (Social Entrepreneur) ที่สร้างนวัตกรรมใหม่ๆ อันส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
DR.ANDREAS เติบโตในเยอรมนีช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 เขามีแม่เป็นชาวยิวและพ่อเป็นชาวเยอรมัน เหตุการณ์ที่ญาติฝ่ายแม่ต้องเผชิญกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของนาซี โดยมีญาติฝ่ายพ่อเป็นผู้สนับสนุน มันทำให้เด็กอายุ 13 ในตอนนั้นเกิดคำถามว่า อะไรที่ทำให้มนุษย์ต้องแบ่งแยก ‘เขา’ กับ ‘เรา’ จนนำไปสู่ความเกลียดชังและเข่นฆ่ากันได้อย่างโหดร้าย
มันคือจุดเริ่มต้นและแรงบันดาลใจของการงานในปัจจุบันของเขา
มันคือความตั้งใจของเขาที่จะย่นระยะห่างและขจัดการแบ่งแยกระหว่าง ‘ผู้ที่ไม่พิการ’ และ ‘ผู้พิการ’ ระหว่าง ‘ปกติ’ และ ‘ผิดปกติ’ ให้หมดไป
Dialogue in the Dark จะทำให้คุณรู้ว่าในโลกที่ไร้แสงนั้น เราจำเป็นต้องมีความกล้ามากขึ้น ต้องอดทนมากขึ้น ต้องใจเย็นมากขึ้น และต้องมีขนาดของหัวใจที่ใหญ่โตและแข็งแกร่งพอที่จะไม่สูญสิ้นความเคารพตนเอง เหมือนกับที่สังคมไทยมักจะกระทำต่อผู้พิการ แต่เหนือสิ่งอื่นใด มันจะทำให้คุณเข้าใจคนตาบอดและผู้พิการมากขึ้น ว่าจริงๆ แล้วผู้พิการไม่ได้ผิดปกติ เขาแค่ ‘มีวัฒนธรรมที่แตกต่าง’ กับเราก็เท่านั้น
*ช่วยแนะนำตัวสั้นๆ ให้คนไทยรู้จักคุณหน่อย
ผมก็เป็นคนปกติ ทำงานมา 20 ปี มีบริษัท 8 บริษัท Dialogue in the Dark เป็น 1 ใน 8 บริษัท และเป็นบริษัทที่เข้มแข็งที่สุด ผมเรียนประวัติศาสตร์และจบปริญญาเอกด้านปรัชญา แต่ก็ไม่รู้จะทำอะไรกับชีวิตดี ช่วงหนึ่งผมทำงานเป็นนักข่าวและได้ช่วยดูแลเพื่อนร่วมงานที่ตาบอดจากอุบัติเหตุคนหนึ่ง
และผมเป็นชาวเยอรมันที่ไม่ดีเท่าไหร่ เพราะไม่ชอบฟุตบอลและก็ไม่ชอบเบียร์
*แรงบันดาลใจที่ทำให้เกิด Dialogue in the Dark
แม่ผมเกิดในปี 1928 ครอบครัวทางฝั่งแม่เป็นคนยิว ขณะที่ครอบครัวพ่อเป็นคนเยอรมนี ตอนที่เกิดสงคราม แม่ของผมอยู่สภาวะที่ยากลำบากมาก เมื่อผมอายุ 13 ผมถึงได้รู้สึกถึงความแปลกประหลาดในครอบครัวผม ทำให้ผมเกิดความสงสัยว่าอะไรที่ทำให้คนเกลียดชัง แบ่งแยก จนถึงขั้นฆ่ากันได้
ผมอยากเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ผมจึงเลือกเรียนประวัติศาสตร์เกี่ยวชนชาติยิวและเยอรมนี เรียนปรัชญาของชาวยิว เพื่อที่จะทำความเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี และสิ่งนี้ก็ไม่ใช่ปรากฏการณ์ที่มีอยู่แต่เฉพาะในเยอรมนีเท่านั้น แต่คนที่ฆ่ากัน เกลียดกัน มีอยู่ทั่วโลก
แล้วตอนที่ผมเริ่มทำงานในสถานีวิทยุก็มีคนตาบอดคนหนึ่งเข้ามาทำงาน ผมรู้สึกสงสาร เขาคงต้องรู้สึกแย่มากๆ ที่เป็นคนตาบอด ซึ่งทำให้ผมรู้ตัวว่าผมเองก็แบ่งแยกตัวเองออกจากเขาและวางระยะห่าง เหมือนตอนที่นาซีจับชาวยิวเข้าห้องรมแก๊ซโดยบอกว่าชาวยิวคือพวกที่ต่ำกว่า ดังนั้น ผมจึงคิดว่าสิ่งที่ผมรู้สึกกับเพื่อนร่วมงานตาบอดคนนั้นก็เป็นแนวคิดที่คล้ายกันมาก ทั้งที่ผมคิดว่าผมรู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ผมค่อนข้างอ่อนไหวกับการแบ่งแยกคน มันจึงทำให้ผมรู้สึกละอายใจ
นั่นจึงเป็นจุดเริ่มต้น ผมเริ่มตั้งคำถามว่าจะทำอย่างไรให้คนที่มีพื้นฐานต่างกัน ได้รู้จักกันและสามารถอยู่ร่วมกันได้ ทำอย่างไรจึงจะมีพื้นที่ให้คนได้แลกเปลี่ยนและทำให้คนไม่ยึดติดอยู่กับความคิดที่ตายตัวว่าคนแบบนี้ก็ต้องเป็นแบบนี้
ในประสบการณ์ส่วนตัวของผม สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกมากที่สุดก็คือการที่ผมได้มีปฏิสัมพันธ์กับคนต่าบอดคนนี้ ก็เลยคิดว่าการเริ่มตรงจุดนี้น่าจะง่ายที่สุด คือการนำคนตาบอดกับคนที่มองเห็นให้ได้มามีปฏิสัมพันธ์กัน ให้คนตาบอดมาเป็นผู้นำ เป็นคนสอน และตอนที่ผมเริ่มทำ Dialogue in the Dark เมื่อ 20 ปีก่อน ผมก็รู้เลยว่านี่เป็นแนวคิดที่ใช้ได้
*ในเมื่อคุณเองก็ได้เห็นการแบ่งแยกที่รุนแรงในวัยเด็ก แล้วทำไมเมื่อโตขึ้น คุณก็ยังมีความรู้สึกแบ่งแยกอยู่
คงเพราะผมไม่มีโอกาสได้เรียนรู้ ได้ปฏิสัมพันธ์ ได้เข้าใจว่าคนอีกแบบหนึ่งมีโลกยังไง อีกอย่างคือผมมีแนวคิดที่ถูกสังคมปลูกฝังไว้อยู่แล้วว่าคนแบบนี้น่าจะเป็นยังไง
เพราะความรู้สึกสงสารมันก็เป็นการวางตัวเองในระยะห่างและสร้างชนชั้นให้เกิดขึ้น เหมือนกับเราอยู่สูงกว่า ส่วนคนตาบอดหรือคนที่จนกว่าก็อยู่ต่ำกว่าเรา แล้วคุณก็จะมั่นใจว่าคนคนนั้นจะต้องอยู่ในสถานการณ์ที่แย่มากๆ แล้วก็บอกว่าตัวเราคือคนปกติ ส่วนอีกคนคือคนที่ไม่ปกติ เราคือคนที่มีสุขภาพดี แต่คนคนนั้นคือคนป่วย แต่คนตาบอดไม่ใช่คนป่วย ถ้าคนตาบอดเป็นหวัดนั่นต่างหากที่บอกว่าเขาป่วย การที่เขาตาบอด เขาไม่ได้ป่วย เพียงแค่มีคุณลักษณะที่พิเศษกว่า
*ความใฝ่ฝันของคุณก็คือทำให้ผู้คนเลิกแบ่งแยก เลิกเกลียดชังกัน
ผมไม่ได้คิดว่าผมจะสามารถหยุดมันได้ แต่ผมเชื่อว่าการทำแบบนี้เป็นการเริ่มต้นที่ดีที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้ และผมก็เชื่อว่าคน 5 ล้านคนที่ได้มาสัมผัส Dialogue in the Dark ก็น่าจะมีความเข้าใจมากขึ้น แต่ว่าในโลกนี้มีคนอยู่ 6 พันล้านคน มันก็เลยยังมีเรื่องต้องให้ทำอีกเยอะ
*คุณรู้ได้อย่างไรว่าผู้คน 5 ล้านคนที่ผ่าน Dialogue in the Dark เข้าใจคนตาบอดมากขึ้น
ผมมีการทำแบบสำรวจและประเมินผล มีการวิเคราะห์อย่างละเอียดว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคนต้องอยู่ในที่มืด วิเคราะห์จากสมุดเยี่ยม มีการสัมภาษณ์ก่อนและหลังเข้าร่วมนิทรรศการ รวมถึงยังมีการศึกษาในระยะยาวด้วย เช่น โทรไปสัมภาษณ์ผู้ที่เคยเข้าร่วมนิทรรศการผ่านไปแล้ว 5 ปี ถามว่าจำอะไรได้บ้าง ซึ่งก็น่าประทับใจมาก
อย่างแรกคือเขาได้รู้ซึ้งถึงคุณค่าการมองเห็นของตัวเองมากขึ้น ประการที่ 2 คือผู้เข้าร่วมนิทรรศการรู้สึกประทับใจที่ได้รับการช่วยเหลือจากคนอื่นระหว่างที่อยู่ในห้องมืด เข้าใจว่ามีข้อจำกัด และจะสามารถอยู่ในห้องมืดได้ก็ต่อเมื่อมีการร่วมมือและความช่วยเหลือ ข้อ 3 คือเห็นคุณค่าและศักยภาพของคนตาบอดมากขึ้น ซึ่งเมื่อก่อนอาจจะคิดว่าคนตาบอดเป็นคนพิการ แต่จริงๆ แล้วคนตาบอดเป็นคนที่มีความสามารถ มันเป็นความสำเร็จจากการเข้าร่วม Dialogue in the Dark และ 5 ปีหลังจากนั้น คน 16 เปอร์เซ็นต์ที่เราสัมภาษณ์ยังคงจำชื่อคนที่เป็นไกด์ได้ มันเป็นรอยประทับที่ชัดเจนมาก
*สมมติว่าถ้าวันหนึ่งคุณต้องตาบอด
ผมก็คงหางานทำได้ไม่ยาก เมื่อผมทำงานกับคนตาบอดได้ ทำงานกับคนหูหนวดได้ ผมก็รู้ได้ว่าผมสามารถทำงานที่ไหนก็ได้
ถ้าผมตาบอดมันจะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต และเราก็มีศักยภาพที่จะข้ามพ้นความยากลำบาก มันขึ้นอยู่กับการให้คุณค่าของตัวเองมากกว่า มันขึ้นอยู่กับการช่วยเหลือกัน ที่สำคัญคือคุณค่าที่ผมมี ดังนั้น ถ้าผมเห็นว่าตัวเองมีคุณค่าต่อตัวเอง ต่อครอบครัว ต่อสังคมแล้ว ไม่ว่าผมจะเป็นคนตาบอด เป็นคนหูหนวก หรือเป็นคนพิการ มันก็ไม่แตกต่างกัน
แต่ตอนนี้ผมยังรู้สึกดีใจที่มองเห็นได้อยู่นะ
*จากประสบการณ์ของคุณ อะไรที่ทำให้คนพิการส่วนใหญ่ไม่เคารพตัวเอง
ประการแรกเลย มันยากที่จะตีความอย่างนั้น เพราะว่าคนพิการไม่ได้เหมือนกันทั้งหมด ขณะนี้มีผู้พิการทั้งหมด 800 ล้านคนทั่วโลก แต่ผมแน่ใจว่าต้องมีมากกว่านี้ ซึ่งแต่ละคนก็แตกต่างกัน แต่ละคนก็มีความคิดและลักษณะเฉพาะของตัวเอง
แต่มันก็จริงว่าผู้พิการหลายคนไม่ค่อยมีความเคารพในตัวเองเท่าไหร่ เพราะเขาไม่มีสิทธิเท่าเทียมกับคนอื่น ไม่สามารถเข้าถึงการศึกษา การเดินทาง ศิลปะวัฒนธรรม สิ่งที่คนทั่วไปเข้าถึงได้ ผู้พิการเข้าถึงได้ยากกว่า ซึ่งผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นเพียงผลข้างเคียง ส่วนที่เป็นผลกระทบที่ผมคิดว่าชัดเจนที่สุดคือผู้พิการมักถูกสั่งสอนตั้งแต่เด็กว่าความพิการของเขาเป็นเรื่องเศร้า ต้องพึ่งพา ไร้ประโยชน์ และจะมีชีวิตอยู่ได้เพราะความเมตตาของสังคมเท่านั้น จนกระทั่งผู้พิการโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่คนรอบข้างก็ยังบอกว่าคุณเป็นคนที่ยากจนและน่าสงสารที่สุด ผมก็ไม่รู้ว่าคนที่ถูกบอกอย่างนี้อยู่ตลอดจะมีความมั่นใจในตัวเองได้ยังไง
ในหลายศาสนา การเป็นผู้พิการแปลว่าคุณมีบาป เป็นกรรมจากชาติก่อน หรืออาจหมายถึงบรรพบุรุษของคุณทำสิ่งที่ไม่ดี จึงมีผลกระทบ เป็นการลงโทษ เป็นบาปที่ได้รับมรดกตกทอดมา ดังนั้น ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนปกติกับผู้พิการจึงมีความซับซ้อน ทำให้ผู้พิการไม่สามารถหาจุดยืนของตัวเองในสังคมได้ ซึ่งผมคิดว่าเรื่องแบบนี้ต้องเปลี่ยน และมันก็เป็นงานของผมที่จะต้องเปลี่ยนความเชื่อนี้
*ใน Dialogue in the Dark เราจะเจออะไรข้างใน
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือคุณจะเข้าใจข้อจำกัดของตัวเองและเข้าใจว่าคุณก็สามารถมีชีวิตอยู่ได้ แม้จะมีข้อจำกัด สามารถมีชีวิตที่ดีได้ มีมุมมองที่บวกได้ และบางทีคุณอาจจะรู้สึกละอายที่มองไม่เห็นคุณค่าชีวิตของตัวเอง คุณจะซาบซึ้งในน้ำใจของคนที่คุณคิดว่าเขามีข้อจำกัด คุณจะแปลกใจมากว่าคุณสามารถเรียนรู้อะไรได้มากมายแม้จะมองไม่เห็น
*ในแต่ละประเทศที่คุณไปจัด Dialogue in the Dark ความแตกต่างทางวัฒนธรรมมีผลกับการทำงานยังไงบ้าง
สำหรับผมเองมันต่างกันมากอยู่แล้ว การทำงานที่เบลเยียมกับที่จีนย่อมไม่เหมือนกัน ไม่เข้าใจภาษา ไม่เข้าใจวัฒนธรรมหรือการกระทำของผู้คน บางทีก็เหมือนกับอยู่กันคนละโลก แต่มันก็เป็นโอกาสดีที่ผมชอบมากที่จะได้เรียนรู้
เปรียบเทียบคนที่มาร่วมโครงการระหว่างเม็กซิโกกับญี่ปุ่น ปฏิกิริยาของคนเข้าร่วมจะต่างกัน แต่เมื่ออยู่ในความมืดแล้ว ความแตกต่างทางวัฒนธรรมจะสลายไป อย่างเช่นในประเทศญี่ปุ่น ผู้คนจะไม่ชินกับการถูกเนื้อต้องตัวกัน แต่พอเข้าไปในห้องมืดแล้วจะต้องจับมือกัน เพราะฉะนั้นผลที่ได้จึงเหมือนกัน
ผลการสำรวจทั้งในเม็กซิโก ในญี่ปุ่น ในเยอรมนีก็ออกมาเหมือนกัน สิ่งที่น่าสนใจคือคนตาบอดที่มาร่วมโครงการ เพราะหลังจากจบโครงการแล้ว คนตาบอดที่มาร่วมโครงการนี้สามารถหางานทำได้จำนวนมาก สิ่งที่ชัดเจนและน่าสนใจคือการเปลี่ยน การพลิกมุมมองของคนตาบอดต่อตัวเอง พวกเขาเริ่มมีเป้าหมายในชีวิตมากขึ้น เริ่มเห็นคุณค่าในตัวเอง
*ในเมืองไทย สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับผู้พิการยังถูกมองว่าเป็นเรื่องไม่จำเป็น เป็นเรื่องสิ้นเปลืองงบประมาณ ในเยอรมนีเป็นแบบนี้หรือเปล่า
ผมเพิ่งมาเมืองไทย 2 ครั้ง ถึงแม้ผมจะมีความคาดหวังว่าอยากให้เมืองไทยเป็นอย่างไร แต่ผมก็ยังไม่รู้จักเมืองไทยมากพอ จึงไม่รู้ว่าสถานการณ์ของเมืองไทยเป็นยังไง
ส่วนในเยอรมนี ตอนนี้มีกฎหมายต่อต้านการเลือกปฏิบัติ มีคนที่ต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชนซึ่งก็ช่วยได้เยอะ ในสังคมเยอรมนี เป็นสังคมที่ผู้คนเป็นปัจเจกมากกว่า แต่ละคนรู้สึกว่าจะต้องดูแลตัวเอง ไม่ค่อยได้อยู่รวมกันเท่าไหร่ ดังนั้น แม้แต่ผู้พิการก็รู้สึกว่าต้องหาวิธีดูแลตัวเองให้ได้ ที่เยอรมนีจึงมีระบบที่คอยดูแล แต่ผมคิดว่าสถานการณ์ในเยอรมนีก็ยังน่าเศร้าอยู่ มันดูน่าเศร้าสำหรับคนเยอรมัน สถานการณ์ในเมืองไทยก็คงดูน่าเศร้าสำหรับคนไทย
*โลกเราทุกวันนี้แบ่งแยกกันด้วยสิ่งไร้สาระมากมาย ไม่ใช่แค่ความพิการ แต่ยังมีเพศ ชาติพันธุ์ วัฒนธรรม ความเชื่อ หรือแม้แต่ศาสนา
การแบ่งแยกมันมีมาตลอดตั้งแต่มีมนุษยชาติ แต่แน่นอน ผมมีความหวัง ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ทำมันจนถึงทุกวันนี้ มันมีความหวังจากโลกาภิวัตน์ มันทำให้เรามีคุณค่าใกล้เคียงกันมากขึ้น เราเข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น การค้าขายแลกเปลี่ยนระหว่างประเทศเป็นไปได้มากขึ้น คนมีความสนใจที่จะแลกเปลี่ยนกัน เศรษฐกิจก็เป็นแรงผลักดันที่สำคัญสำหรับการสร้างนวัตกรรมทางสังคมและผมก็เชื่อว่าโลกนี้จะดีขึ้น
*คุณคงเคยได้ยินคำพูดของคานธีที่บอกว่า ‘การกระทำของเธออาจไม่ใช่เรื่องยิ่งใหญ่ แต่สิ่งสำคัญที่สุดอยู่ที่เธอได้ลงมือทำมันแล้วต่างหาก’
แน่นอน ผมเคยได้ยิน แล้วผมก็รู้สึกว่าการเริ่มต้นไม่ยาก แต่สิ่งที่ท้าทายคือจะทำอย่างไรให้สำเร็จ มันง่ายที่จะคาดหวัง แต่มันยากกว่าที่จะเก็บเกี่ยวผลของความสำเร็จ นักปรัชญาชาวเยอรมันคนหนึ่งพูดไว้ว่าความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่เป้าหมายเพียงอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่การเดินทางด้วย
*คนเราสามารถมองเห็นอะไรได้บ้างในความมืด
ในความเป็นจริงแล้ว เรามองไม่เห็นอะไรเลยในความมืด แต่เราจะเห็นจินตนาการของตัวเองชัดขึ้น มนุษย์มีศักยภาพในการทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป มันจะทำให้ประสาทรับรู้ด้านอื่นชัดเจนขึ้น คุณจะเห็นได้ด้วยมือ เห็นได้ด้วยจมูก เห็นได้ด้วยร่างกายทั้งหมด คุณจะเห็นได้ทีละเล็กทีละน้อยจนเห็นโลกทั้งโลก เห็นได้ด้วยจินตนาการและประสาทสัมผัสที่ไม่ใช่ตา
เสียงจากโลกมืด
DANIELA DIMITROVA
International Masterguide ของ Dialogue in the Dark
ฉันทำ Dialogue in the Dark เป็นงานฟรีแลนซ์ โดยปกติฉันมีงานประจำเป็นล่าม เป็นนักแปล ฉันพูดได้ 5 ภาษา-บัลแกเรีย อังกฤษ รัสเซีย เยอรมนี และอิตาลี แต่ฉันจะมาช่วยงานนี้เป็นครั้งคราว นอกจากนี้ ฉันยังทำงานกับองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนเกี่ยวกับผู้พิการด้วย และฉันถือว่างานนี้เป็นงานที่สำคัญมาก ดังนั้น ถ้า DR.ANDREAS HEINECKE ขอให้ไปช่วยที่ไหน ฉันก็จะไป
ฉันเข้ามาทำงานที่นี่ครั้งแรกในฐานะนักศึกษาฝึกงาน เพราะสนใจความคิดแบบ Social Business ที่ไม่ใช่สังคมสงเคราะห์ ฉันไม่อยากให้คนซื้อนาฬิกามาให้ แต่ฉันอยากเรียนรู้ที่จะหาเงินแล้วเอาเงินไปซื้อนาฬิกาด้วยตัวเอง
Dialogue in the Dark เป็นการสื่อสาร 2 ทาง คนมองเห็นก็จะเข้าใจคนตาบอดมากขึ้น คนตาบอดก็เข้าใจคนที่มองเห็นมากขึ้น ฉันได้เข้าใจว่าคนที่มองไม่เห็นครั้งแรกมีความกลัวยังไง มีปฏิสัมพันธ์ยังไง จนถึงขั้นที่สนุกสนานได้ บางทีคนตาบอดก็คิดว่าถ้าฉันมองเห็นได้ ชีวิตฉันคงดีขึ้นมาก แต่จากการที่ฉันได้ปฏิสัมพันธ์กับคนที่มองเห็น ฉันก็ได้พบว่าเขาก็มีปัญหาเช่นกัน ชีวิตเขาก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบไปทั้งหมด
จากการทำงานที่นี่ มันทำให้ฉันเข้าใจว่า ฉันไม่ได้มีคุณค่าน้อยกว่า ฉันแค่แตกต่าง และการเป็นคนตาบอดไม่ใช่ความพิการ แต่มันเป็นวัฒนธรรมที่ต่างกัน ฉันไม่สามารถทำบางอย่างได้ แต่ฉันก็ทำอย่างอื่นได้
ขวัญ เสาสูง
นักศึกษาปี 5 คณะครุศาสตร์ เอกการศึกษาพิเศษ มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต
มันเป็นครั้งแรกสำหรับคนที่เข้าไปที่ต้องใช้ชีวิตแบบคนตาบอด ผมรู้สึกภูมิใจที่ได้เป็นคนนำเที่ยว เราต้องยอมรับครับว่าคนตาบอดในประเทศไทยเหมือนเป็นประชาชนชั้น 2 พวกเราถูกมองเป็นตัวประหลาด วัตถุประสงค์ของงานนี้จึงเป็นการให้คนตาดีมาอยู่กับคนตาบอด เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราอยู่ร่วมกันได้
ทุกวันนี้แม้รัฐธรรมนูญจะเขียนไว้ว่ารัฐต้องอำนวยความสะดวกแก่คนพิการ แต่รัฐก็ยังไม่ทำ ไม่ให้ความสนใจ แต่ผมชินแล้ว ทุกรัฐบาลที่เข้ามาที่บอกว่าจะช่วยคนพิการ แต่พอเอาเข้าจริงๆ งบที่จะให้คนพิการมันยากมาก
สำหรับคนพิการแล้ว เราไม่ได้ต้องการความสงสารนะครับ แต่เราต้องการความเข้าใจมากกว่า เพราะคำ 2 คำนี้มันต่างกันมาก
*************
เรื่อง-กฤษฎา ศุภวรรธนะกุล
หมายเหตุ ผู้สนใจสามารถเข้าชมนิทรรศการ Dialogue in the Dark ได้ในงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ประจำปี 2551 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ตั้งแต่วันนี้ถึง 22 สิงหาคม