เปิดตำนานศิลปะเลือดบนผิวมนุษย์ในเมืองไทยกับเรื่องราวของมือสักร่วมสมัยอันดับ 1 “จุ๊กกรู หว่อง” ณ วันนี้เขากล้าประกาศว่าสำหรับลวดลายสมัยใหม่และการใช้เทคโนโลยีที่นำสมัยแล้วละก็ฝีไม้ลายมือไม่เป็นสองรองใคร
จุ๊กกรู หว่อง เป็นทายาทคนที่ 2 ของ จิมมี่ หว่อง ผู้ซึ่งถือว่าเป็นผู้บุกเบิกศิลปะรอยสักสมัยใหม่ และอาจกล่าวได้ว่าเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญด้านศิลปะการสักมากที่สุดในเมืองไทย
แรงปรารถนาของ จิมมี่ หว่อง คือต้องการให้ทายาททุกคนประกอบอาชีพเป็นช่างสัก จึงค่อย ๆ ซึมซับงานฝีมือด้านนี้ให้กับลูกๆ ทุกคน ไม่ว่าจะรับงานที่ไหนกับใคร ก็ต้องพาลูก ๆ ไปด้วย ฝึกหัดเป็นลูกมือ เพื่อที่จะได้ยึดเป็นอาชีพในอนาคต
“เราเองก็เป็นลูกหาบ เมื่อก่อนไปโรงแรมก็ต้องเตรียมตัว เตรียมเป้ 3 ใบ ลูกคนหนึ่งถือหนังสือ คนหนึ่งถือเป้ ถือเครื่อง พ่อเองก็ถือเครื่องมือ ไปตามโรงแรม ขับรถไป ลูกก็ลงรถ เคาะประตู เอาแบบให้ลูกค้าดู แล้วก็สักกันที่โรงแรม” จุ๊กกรู หว่อง เล่าถึงชีวิตวัยเด็กที่เขาเริ่มซึมซับศิลปะการสักมาจากบิดาบังเกิดเกล้า
“คุณพ่อออกแบบแล้วก็เหลือที่ไว้หน่อยให้เราลงสีแดง สีเขียว แล้วแกก็จะบอกกับลูกค้าว่าลูกแกเอง แกกำลังฝึกให้ลูกแกทำงานนี้ช่วย ก็เหลือพื้นที่สีแดงไว้หน่อย ให้เราระบายสี แล้วแกก็มาเช็คงานตอนสุดท้าย นั่งดูอยู่ข้าง ๆ ค่อยเป็นค่อยไป จนเราชิน เจนสนามแล้ว เราถึงทำเดี่ยวได้”
จุดเริ่มต้นในยุทธจักรการสักของตระกูลนี้ต้องนับย้อนไปไกลถึง 35 ปี ความเก่าแก่และฝีไม้ลายมือ ถ้าเปรียบการสักเป็นสินค้า ฝีมือการสักของตระกูลหว่อง ก็เปรียบได้กับสินค้าพรีเมี่ยม ณ วันนี้ ลูก ๆ ทั้ง 4 ของตระกูลหว่อง เอาดีทางด้านนี้ได้เป็นอย่างดี มีร้านสักเป็นของตนเอง ถือเป็นตระกูลช่างสัก (Family Tattoo) อย่างแท้จริง
“คุณพ่อ (จิมมี่ หว่อง) ทำงานให้พวก GI ฝรั่งต่างชาติที่แต่ก่อนนี้มารบสงครามเวียดนาม แล้วแกมีอาชีพ เพ้นท์ผ้า รูปภาพอยู่แล้ว จับพลัดจับผลู เลยได้อาชีพสักนี้มา แล้วแกก็ทำมาเรื่อย ๆ จนฝรั่งเค้าย้ายทัพกลับไปแล้ว แกก็เลยได้วิชาใหม่คือวิชารอยสักมาจากช่างฝรั่ง” จุ๊กกรู หว่อง เล่าถึงจุดเริ่มต้นตั้งแต่ยุคของคุณพ่อ
อาชีพแรกเริ่มของ จิมมี่ หว่อง เป็นช่างเขียนเสื้อให้กับแขกต่างชาติ เขียนไปเขียนมาแล้วเห็นว่าฝรั่งเขาสักกันจึงสนใจและเกิดชอบศิลปะแขนงใหม่นี้ขึ้นมา เป็นครูพักลักจำอยู่ระยะหนึ่งจึงคิดว่าน่าจะเป็นอาชีพหลักอาชีพหนึ่งที่มีอนาคต เมื่อสิ้นสุดสงครามเวียดนามฝรั่งย้ายทัพกลับไป ก็ไม่คิดว่าอาชีพสักนี่จะยังอยู่ได้ แต่ใจมันรักแล้วก็เลยทำทั้งสองอย่างควบคู่กันไป
พอย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ คนไทยสมัยนั้นยังไม่คุ้นเคยกับลายสักแนวใหม่นี้เท่าไหร่นัก คนไทยส่วนใหญ่ยังคุ้นเคยกับลวดลายสักแนวเวทมนต์คาถามากกว่า ดังนั้นลูกค้ากลุ่มแรกๆ จึงเป็นกลุ่มคนต่างชาติที่เดินทางมาท่องเที่ยวในเมืองไทย มีการบอกเล่าปากต่อปากในหมู่บริษัทนำเที่ยว ถ้ามากรุงเทพฯอยากสักก็ต้องมาแถวประตูน้ำ
“โรงแรมสมัยเก่านี่ สักเหรอ ๆ สักจิมมี่ ๆ หรือถ้าเค้าไม่พาลูกค้ามาหาเรา เราก็ต้องออกไปหาลูกค้าอยู่ดี มันก็เลยเป็นอาชีพที่เราทำกันมาถึงปัจจุบันนี้ และทีนี้เราเป็นเจ้าแรก ๆ ที่ทำงานตรงนี้ ก็จะมีคนรู้จักเราเยอะ สมัยก่อน คนเก่าแก่ ก็ปากต่อปาก ๆ”
ในช่วงหลังเมื่อคนไทยเริ่มเปิดรับวัฒนธรรมต่างชาติมากขึ้น เห็นนักร้อง นักดนตรี ดารา ในต่างประเทศเขาสักกัน ก็นิยมอยากจะมีรอยสักเหมือนศิลปินในดวงใจที่เค้าอยากจะเป็นตาม ศิลปะแขนงนี้จึงเป็นเริ่มได้รับความสนใจในหมู่คนไทยมากขึ้น
“ร้านสักจิมมี่เป็นร้านเก่า เป็นร้านแรกที่มีรอยสัก พอดารา นักแสดง นิยมสักกับเรามากขึ้น ทีนี้สื่อมวลชนก็ตามมา ว่า เอ๊ะ ทำไมมีรอยสัก ทำไมถึงมาสักกัน ทำไมวัยรุ่นนิยม ชอบกัน ก็เลยทำให้มีคนรู้จักร้านจิมมี่มากขึ้น”
ปัจจุบัน ร้านสักตระกูลหว่องทุกร้านมีชื่อจิมมี่เหมือนกันหมดทั้ง 5 ร้าน พี่สาวคนโต ชื่อ จู หว่อง เปิดร้าน TATTOO 29 พล่าซ่า อยู่ตรงข้ามมาบุญครอง คนที่สาม แจ็ค หว่อง เปิดร้านอยู่ชั้น 7 มาบุญครอง น้องคนเล็กจอย หว่อง เปิดร้านอยู่ที่สุขุมวิท ซอย 5 อยู่ใกล้เคียงกับร้านของคุณพ่อจิมมี่
ร้านสักทุกร้านโดยฝีมือและความเชี่ยวชาญอาจไม่แตกต่างกันมากนัก จะต่างกันก็ตรงที่แต่ละคนก็มีเอกลักษณ์และความถนัดเฉพาะตัว
“แต่ละคนก็ถนัดกันไปคนละแบบ อย่างพี่สาวขายจิวเวอรี่ไปด้วยและสักไปด้วยก็จะถนัดแนวรูปเล็กๆ ไม่ยากมากนัก อยู่ที่มาบุญครองฝั่งโบนันซ่า อย่างน้องชายก็เจาะกลุ่มนักท่องเที่ยว ออกแนวใหญ่เยอะ อาจไม่ต้องเทคนิคอะไรสลับซับซ้อน อย่างน้องจอยทำงานให้กับต่างชาติ อยู่ใกล้ๆ กับคุณพ่อทำร้านใกล้ๆ กัน ขายต่างชาติอย่างเดียวเลย”
กล่าวสำหรับ จุ๊กกรู หว่อง ทายาทคนที่ 2 คนนี้ ยังคงยึดทำเลย่านประตูน้ำ อันเป็นร้านดั้งเดิมที่คุณพ่อบุกเบิกไว้ตั้งแต่ 35 ปีที่ผ่านมา ความน่าสนใจของทายาทคนที่ 2 ของตระกูลนี้ก็คือ เขามีความเชี่ยวชาญเกี่ยวกับลวดลายและเครื่องไม้เครื่องมือสมัยใหม่ ถึงขั้นที่ว่าฝีมือไม้ลายมือไม่เป็นสองรองใครเช่นกันในยุทธจักรการสักในเมืองไทย
ฐานลูกค้าของจุ๊กกรู จึงมักเป็นกลุ่มวัยรุ่นและผู้มีชื่อเสียง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มศิลปินดารานักร้องนักแสดงทั้งในและต่างประเทศ หรือกลุ่มไฮโซไฮซ้อในสังคมไทย
แน่นอนว่าช่างสักมือหนึ่งของเมืองไทยก็ต้องยกให้ จิมมี่ หว่อง ที่มีความเชี่ยวชาญการสักในแนวคลาสสิก รอยสักของจิมมี่จึงออกไปแนวยุคเก่า ไม่หวือหวาไม่ใช้เทคโนโลยีมากมาย ทำการสักตามสูตรโบราณ
จุ๊กกรู หว่อง เล่าว่า หลัง ๆ เนื่องจากอายุมากขึ้น คุณพ่อทำงานเยอะมากไม่ไหว ประกอบกับเป็นคนตื่นดึกหมายความว่าตื่นตอนเที่ยงคืนแล้วก็สักจนถึงเช้า ช่วงหลังจึงไม่ค่อยรับงาน และค่อยๆ ถ่ายเทงานให้กับลูก ๆ แต่ก็ยังสักให้กับลูกค้าเก่าแก่หรือคนรู้จักกัน
สำหรับภาพรวมของธุรกิจการสัก เนื่องจากปัจจุบันมีเทคโนโลยีเข้ามาช่วยในเรื่องของการสักเยอะ ทำให้สักกันง่ายขึ้น แบบหรือลวดลายก็สามารถค้นหาได้จากอินเทอร์เน็ต ต่างจากอดีตแม้แต่แบบรอยสักก็ยังต้องนำเข้ามาแบบละไม่ต่ำกว่าพันบาท เครื่องไม้เครื่องมือก็ค่อนข้างโบราณ
ด้วยความง่ายและเร็วนี่เองทำให้หลายคนพอเขียนรูปเป็นบ้างก็หันมาเปิดร้านสักกัน และเมื่อ 10 ปีที่แล้วถือว่าเป็นจุดวิกฤติที่สุดของวงการสักในเมืองไทย มีการตัดราคากัน ทำให้ลดทอนคุณค่าของศิลปะแขนงนี้ลงไป และหลายรายสู้ไม่ได้ก็ต้องออกจากตลาดไป แต่ในปัจจุบันธุรกิจก็ค่อนข้างทรงตัว เพราะรอยสักถือเป็นของฟุ่มเฟือย บางคนสักครั้งเดียว บางคนสักอีกครั้งหรือสองครั้ง ไม่ใช่เสื้อผ้าที่จะต้องเปลี่ยนไปได้ตลอด
ท้ายที่สุด จุ๊กกรู หว่อง ยังฝากบอกเยาวชนคนรุ่นใหม่ด้วยว่า การตัดสินใจที่จะสักลวดลายอะไรลงบนผิว ก็ควรให้ถึงวัยที่มีวุฒิภาวะที่ดีเสียก่อน เพราะการสักมันติดตัวไปตลอดชีวิต ต้องคิดให้ดีก่อนที่จะทำ โดยเฉพาะเมื่อเห็นดารานักร้องในดวงใจทำก็อยากทำตามเขาบ้าง อย่างนี้อันตราย
“สักแล้วมันเปลี่ยนไม่ได้ มีแล้วมีเลย บางคนสักหน้าแฟน ตอนรักกันดีก็ดีไป แต่ความรักแบบเด็ก ๆ มันไม่ถาวรเท่าไร เราเปลี่ยนได้ไง อายุเปลี่ยนมนุษย์ก็เปลี่ยน คือตอนเด็ก ๆ เต็มที่สนุกสนาน ใครจะรู้ต่อไปอาจเป็นนายธนาคาร”