ถึงเวลาที่ต้องอดตาหลับขับตานอน แต่ว่าแฟนลูกหนังก็เต็มใจเพื่อที่จะได้ลิ้มรสการดวลแข้งของศึก ยูโร 2008 ที่กำลังจะเปิดสนามกันในวันเสาร์ที่ 7 มิถุนายนนี้ ประเดิมด้วยกลุ่ม เอ "เจ้าภาพ" สวิตเซอร์แลนด์ พบ สาธารณรัฐเช็ก ในเวลา 5 ทุ่ม ตามด้วย ตี 1.45น. "รองแชมป์เก่า" โปรตุเกส พบ ตุรกี แต่ก่อนหน้านั้นเราขอมองข้ามแมตช์เปิดหัว ด้วยการเอ็กซเรย์ทั้ง 4 กลุ่มในการแข่งขันครั้งนี้ว่าใครมีโอกาสสูงที่จะผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอาท์หรือ 8 ทีมสุดท้ายกันบ้าง
กลุ่ม เอ
โปรตุเกส คือเต็งจ๋าที่จะกรุยทางเข้าสู่รอบน็อกเอาท์ เพราะว่ามี หลุยส์ เฟลิเป สโคลารี กุนซือจอมแท็กติกชาวบราซิเลียน นำทัพ เชื่อขนมกินได้ด้วยผลงานรองแชมป์เมื่อปีที่แล้วและอันดับ 4 ในศึกฟุตบอลโลก 2006 การเจอกับเจ้าภาพเป็นนัดสุดท้ายถือว่าได้เปรียบมากทีเดียว ผิดกับ สาธารณรัฐเช็ก ที่ต้องพบงานหนักกับ สวิตเซอร์แลนด์ และ โปรตุเกส 2 นัดแรกเลย อีกทั้งสภาพทีมก็ลดประสิทธิภาพลงไปเยอะขาดทั้ง พาเวล เนดเวด และ โทมัส โรซิคกี ส่วน แยน โคลเลอร์ และ มิลาน บารอส ก็ไม่คมดังเก่าแล้ว โอกาสตกรอบแรกจึงสูงลิ่ว
ส่วน สวิตเซอร์แลนด์ ในฐานะเจ้าภาพบรรยากาศเสียงเชียร์และทุกอย่างช่างเป็นใจ ขอ 3 แต้มสักนัดก่อนโอกาสเข้ารอบต่อไปก็มีสูง ซึ่งก็มีโอกาสที่จะชนะ เช็ก หรือ ตุรกี แล้วค่อยไปเล่นเพื่อผลการแข่งขันกอดคอกับ โปรตุเกส เข้ารอบในนัดสุดท้าย ทางด้าน ตุรกี น่าจะเป็นได้แค่ไม้ประดับสำหรับการแข่งขันนัดนี้ ไม่เหลือลายเหมือนตอนคว้าอันดับ 3 ฟุตบอลโลก 2002 นักเตะส่วนใหญ่เป็นเลือดใหม่ขาดซึ่งประสบการณ์ ส่วนที่เหลืออย่าง เอ็มเร เบโลโซกลู, ตูนกาน ซานลี และ นิฮัต คาห์เวชี ก็คงไม่สามารถประคองทีมได้
กลุ่ม บี
เยอรมนี อดีตแชมป์ 3 สมัย ไม่น่าจะตกรอบแรกเหมือน 2 ครั้งหลังสุด เพราะศักยภาพทีมที่โดดเด่นทุกขุมกำลัง ไล่ตั้งแต่กองหน้าและกองกลาง ส่วนแนวรับกับผู้รักษาประตูน่าจะไม่ส่งผลกระทบในรอบแรก แต่อาจจะร่วนในรอบลึกๆ ตอนเจอกับทีมใหญ่มากกว่า ทางด้าน ออสเตรีย การได้เป็นเจ้าภาพในครั้งนี้ก็ถือเป็นความสำเร็จสุดยอดแล้ว เพราะว่าศักยภาพทีมดูด้อยที่สุดเมื่อเทียบกับ 15 ทีมที่เหลือ นักเตะส่วนใหญ่ก็เล่นอยู่ในลีกประเทศของตัวเองเสียเป็นส่วนใหญ่ ได้เล่นเพียงแค่ 3 นัดก็น่าจะเพียงพอแล้ว
ตั๋วอีก 1 ใบของกลุ่มนี้จึงต้องแย่งกันระหว่าง โครเอเชีย กับ โปแลนด์ และมีสิทธิที่จะต้องไปชี้ชะตากันเองในนัดสุดท้ายค่อนข้างสูงทีเดียว ถ้าเทียบสองทีมนี้ดูแล้ว โปแลนด์ โดดเด่นด้วยประสบการณ์คุมทัพของกุนซือ ลีโอ บีนฮัคเกอร์ พิสูจน์ได้จากการเป็นแชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือก ชื่อชั้นนักเตะแม้จะเป็นรองแต่ก็แค่เล็กน้อยเท่านั้น แถมมีทีมเวิร์คที่ดีกว่าด้วยจึงน่าจะเบียด โครเอเชีย เข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายได้สำเร็จ ส่วน "ตราหมากรุก" น่าจะตกรอบแบบเจ็บช้ำด้วยความผิดพลาดเพียงแค่เล็กน้อยเท่านั้น
กลุ่ม ซี
มาถึง "กรุ๊ป ออฟ เดธ" ที่จะต้องมีทุกทัวร์นาเมนต์ ฝรั่งเศส อดีตแชมป์ในปี 2000 กลายเป็นทีมที่น่ากลัวที่สุด เพราะว่าคลุกคลีกันมาตั้งแต่ฟุตบอลโลก 2006 ที่คว้ารองแชมป์ โดยมี เรย์มองด์ โดเมอเน็ค กุนซือคนเดิมคุมทัพ แนวทางการเล่นจึงน่าจะไม่ต่างจากเดิมมากนัก นักเตะมีความเข้าใจกันดี มีทั้งตัวสดและเก๋า แชมป์กลุ่มจึงไม่น่าจะหนีไปไหน โดยเฉพาะการเล่นกับ โรมาเนีย ทีมที่อ่อนที่สุดในกลุ่มก่อนเป็นนัดแรกหากชนะจะส่งผลดีมากทีเดียว ส่วนทัพ "ผีดิบ" ถือว่าโชคร้ายที่ต้องมาอยู่กลุ่มนี้ โอกาสเข้ารอบแทบเป็นศูนย์
ถือเป็นกลุ่มที่เบียดกันมากจริงๆ ทำให้มีสิทธิสูงมากที่จะต้องตัดสินเข้ารอบถึงขั้นฎีกาทั้งสองคู่ ฮอลแลนด์ จึงน่าจะได้เปรียบที่สุดที่จะตาม ฝรั่งเศส ฉลุยรอบต่อไป เพราะจะเจอกับ โรมาเนีย สมันน้อยของกลุ่มเป็นนัดสุดท้าย แต่แชมป์โลก 2006 อย่าง อิตาลี รูปโฉมทีมเปลี่ยนไปตั้งแต่นักเตะไปจนถึงกุนซือ โรแบร์โต โดนาโดนี ที่ยังไร้ซึ่งประสบการณ์คุมทัพทัวร์นาเมนต์ใหญ่ แนวรับก็ไม่แกร่งเหมือนเก่าแล้วจึงน่าจะถูก ฝรั่งเศส คู่ปรับในนัดชิงฟุตบอลโลกหนล่าสุดล้างแค้นด้วยการเขี่ยตกรอบ ยูโร ครั้งนี้ไป
กลุ่ม ดี
ถือเป็นอีกกลุ่มหนึ่งที่ก้ำกึ่งสูสีไม่แพ้กลุ่ม เอ แต่ก็เหลือเชื่อที่ สเปน, กรีซ และ รัสเซีย โคจรมาอยู่กลุ่มเดียวกันในรอบแรกเหมือนเมื่อปี 2004 ทางด้าน สเปน แม้ว่าชื่อนักเตะ 23 คนที่เรียกมาติดธงจะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก แต่น่าจะผ่านรอบแรกได้เพื่อเป็นการล้างอายจากหนก่อน เพราะจุดเด่นที่เหนือกว่าเพื่อนร่วมกลุ่มอีก 3 ทีมก็คือความคมในการปิดสกอร์ทั้ง เฟอร์นานโด ตอร์เรส และ ดาวิด บีญา ที่พัฒนาขึ้นจากหลายๆ ทัวร์นาเมนต์ที่ผ่านๆ มา เพราะ ยูโร วัดกันที่ลูกได้-เสียด้วยดังนั้นจึงสำคัญมาก
กรีซ, รัสเซีย และ สวีเดน จึงอาจจะต้องชิงตั๋วใบสุดท้ายกันเอง กรีซ กลับมาครั้งนี้เพื่อป้องกันแชมป์ นักเตะยังคงเป็นชุดเดิมรวมถึงกุนซือ อ็อตโต เรห์ฮาเกล แต่ไม่มีใครประมาทพวกเขาอีกแล้วครั้งนี้แผนเน้นรับเหนียวแน่นจึงไม่น่าจะใช้ได้ผลเป็นครั้งที่สอง รัสเซีย กับ สวีเดน จึงน่าจะต้องชี้ชะตาเข้ารอบกันในนัดสุดท้ายที่ต้องมาเจอกันเองด้วย แต่ด้วยชื่อชั้นของนักเตะและประสบการณ์ของ ลาร์ส ลาเกอร์บัค ที่สูสีกับ กุส ฮิดดิงค์ นายใหญ่ รัสเซีย จึงน่าที่จะเบียดเข้ารอบน็อกเอาท์ได้ชนิดที่ว่าหืดจับ