เกียวโดนิวส์ รายงาน (16 ต.ค.) เมื่อวันจันทร์ สำนักงานพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) และผู้เชี่ยวชาญจากจีน เกาหลีใต้ และแคนาดา ได้เก็บตัวอย่างน้ำทะเลใกล้กับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะทางตะวันออกเฉียงเหนือของญี่ปุ่น หลังจากปล่อยน้ำกัมมันตภาพรังสีที่ผ่านการบำบัดแล้วออกจากพื้นที่ดังกล่าว
รัฐบาลญี่ปุ่น รระบุทีมตรวจสอบจะเยือนญี่ปุ่นจนถึงวันที่ 23 ต.ค. เพื่อยืนยันการติดตามทางทะเลของประเทศ ท่ามกลางความกังวลด้านความปลอดภัยเกี่ยวกับการปล่อยน้ำ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ปลายเดือนสิงหาคม และจีนตอบโต้อย่างรุนแรงต่อการปล่อยสัตว์ดังกล่าวโดยออกคำสั่งห้ามนำเข้าอาหารทะเลจากญี่ปุ่นแบบครอบคลุม
ตามการระบุของหน่วยงานกำกับดูแลนิวเคลียร์ของญี่ปุ่น นอกจากน้ำทะเลแล้ว ทีมงานจะเก็บตัวอย่างตะกอนก้นทะเลและปลา และเปรียบเทียบระดับไอโซโทปและสารกัมมันตภาพรังสีอื่นๆ จากที่ได้เมื่อปีที่แล้ว
เพื่อให้มี “ความโปร่งใส” สำหรับความพยายามติดตามตรวจสอบทะเลของญี่ปุ่น ผู้เชี่ยวชาญจากจีน เกาหลีใต้ และแคนาดาได้รับการเสนอชื่อเข้าร่วมตรวจสอบโดย IAEA
การปล่อยน้ำถือเป็นก้าวสำคัญในการเร่งการรื้อถอนโรงงานฟุกุชิมะ ไดอิจิ ที่ประสบปัญหาการหลอมละลายของเชื้อเพลิงในเครื่องปฏิกรณ์ถึง 3 เครื่องภายหลังภัยพิบัติแผ่นดินไหวและสึนามิในปี 2554 น้ำเสียได้ผ่านระบบแปรรูปของเหลวที่กำจัดนิวไคลด์กัมมันตรังสีส่วนใหญ่ยกเว้นไอโซโทป
รัฐบาลญี่ปุ่นให้คำมั่นว่าจะปล่อยน้ำอย่างปลอดภัย โดยจะทยอยดำเนินต่อเนื่องไปเป็นเวลา 30 ปี โดยก่อนที่จะปล่อยลงสู่มหาสมุทรแปซิฟิก จะต้องเจือจางเพื่อลดระดับไอโซโทปให้เหลือน้อยกว่า 1 ใน 40 ของความเข้มข้นที่อนุญาตภายใต้มาตรฐานความปลอดภัยแห่งชาติ
ตามการติดตามโดยทางการญี่ปุ่น ผู้ดำเนินการโรงงาน บริษัท โตเกียว อิเล็คทริค พาวเวอร์ โฮลดิ้งส์ อิงค์ และ IAEA จนถึงเวลานี้ยังไม่มีการตรวจพบระดับไอโซโทปและสารกัมมันตรังสีอื่นๆ ที่ผิดปกติในตัวอย่างน้ำทะเลหรือปลาที่เก็บมาจากรอบๆ โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ นับตั้งแต่การปล่อยน้ำรอบแรกตั้งแต่วันที่ 24 ส.ค. ถึง 11 ก.ย.
ถึงกระนั้น บางประเทศและชาวประมงท้องถิ่นในจังหวัดฟุกุชิมะยังวิพากษ์วิจารณ์การตัดสินใจของรัฐบาลญี่ปุ่น และปักกิ่งเรียกร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้ญี่ปุ่นยุติแผนดังกล่าว โดยเรียกน้ำดังกล่าวว่า "มีการปนเปื้อนนิวเคลียร์"