ปัจจุบันสิ่งแวดล้อมบนโลกเราถูกน้ำมือของมนุษย์ทำลายไปมากมาย จึงมีการรณรงค์เรื่องการรักษาสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืนมากขึ้น ในหลายๆ ประเทศทั่วโลกก็กำลังนำนวัตกรรมใหม่เข้ามาประยุกต์ใช้และรุดหน้าเร่งพัฒนาให้เกิดประสิทธิผลกันอยู่อย่างต่อเนื่อง และส่วนหนึ่งของการเข้าสู่ยุคพลังงานทดแทนที่เราเห็นได้ชัดกันในปัจจุบันก็คือ “รถยนต์ไฟฟ้า” นั่นเองค่ะ
บริษัทรถยนต์หลายสัญชาติเริ่มพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าและเปิดตัวจำหน่ายกันมาเรื่อยๆ แล้ว ซึ่งเหล่านักวิชาการณ์กล่าวว่าในอนาคตรถยนต์ที่วิ่งอยู่บนท้องถนนส่วนใหญ่จะกลายเป็นรถยนต์ไฟฟ้าเกือบทั้งหมด แต่แนวโน้มในสังคมปัจจุบันเป็นอย่างไร? ผลตอบรับดีอย่างที่ว่าจริงหรือไม่? เราจะมาเผยให้ทราบกันตรงนี้เลยค่ะ
รถยนต์ไฟฟ้าทำงานอย่างไร?
รถยนต์ไฟฟ้า หรือ Electric Vehicle (EV) จะใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นแหล่งพลังงานหลักให้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนจากการชาร์จไฟเพียง 1 ครั้ง รถยนต์ไฟฟ้าบางยี่ห้อสามารถวิ่งได้ไกลถึง 300-400 กิโลเมตรโดยไม่ต้องใช้น้ำมันเลยด้วย
จาก “ความตกลงปารีส” สู่กลยุทธ์ “Green growth” ในการยกเลิกรถยนต์ที่ใช้น้ำมัน
เพื่อให้ตระหนักถึงปัญหาภาวะเรือนกระจกในปัจจุบันจึงนำไปสู่การเริ่ม “ความตกลงปารีส (Paris Agreement)” ซึ่งเป็นข้อตกลงในการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของโลก นั่นคือการลดการใช้คาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นในปี 2015 ในปัจจุบัน ได้มีการตั้งกลยุทธ์ใหม่ที่จริงจังมากยิ่งขึ้นในการสร้างสังคมสีเขียวอย่าง “green growth strategy” โดยญี่ปุ่นเองมีเป้าหมายในการใช้พลังงานทดแทนแบบสมบูรณ์ให้ได้ภายในปี 2050
เมื่อปี 2021 นายกรัฐมนตรีญี่ปุ่นโยชิฮิเดะ ซูงะประกาศนโยบายว่า “รถยนต์ที่จะวางจำหน่ายทั้งหมดจะเป็นรถยนตไฟฟ้าแบบ 100%” ภายในปี 2035 และแน่นอนว่าหมายถึงการยกเลิกจำหน่ายรถยนต์ที่ใช้น้ำมันด้วย
แม้จะมีกลยุทธ์ Green growth แต่ใช่ว่ารถยนต์ EV จะเป็นที่นิยม?
แม้บริษัทรถยนต์สัญชาติญี่ปุ่นจะเป็นผู้ถือครองตลาดขนาดใหญ่ก็จริง แต่การจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศนั้นก็ยังมีอัตราการขยายตัวที่ค่อนข้างต่ำกว่าที่คาดไว้มาก หากเทียบกับประเทศอื่นๆ
อ้างอิงข้อมูลจากสมาพันธ์จำหน่ายรถยนต์ของญี่ปุ่นในปี 2021 มียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าได้เพียง 21,139 คันจากจำนวนรวม 2.4 ล้านคัน คิดเป็นประมาณ 0.9% จากยอดขายทั้งหมด
สาเหตุที่การขยายตัวตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่นช้าคืออะไร?
แม้จะมีได้หลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นด้านราคา, การติดตั้งแท่นชาร์จต่างหาก, ตลาดรถยนต์ไฮบริดที่ยังคงแข็งแกร่ง อีกทั้งบริษัทที่ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าภายในประเทศยังมีประสิทธิภาพด้านการผลิตและราคาที่ไม่น่าดึงดูดเท่าที่ควร เป็นต้น
และทางบริษัทโตโยต้าก็ได้ประกาศออกมาเมื่อปลายปี 2021 ว่า “มุ่งมั่นที่จะผลิตรถยนต์แบตเตอรี่ EV ให้ได้ถึง 30 รุ่นภายในปี 2030” ซึ่งก็เป็นที่น่าสนใจว่าในอนาคตอันใกล้จากนี้ไป ทางผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ของญี่ปุ่นจะมีบทบาททางการผลิตรถยน์ไฟฟ้าไปในทิศทางไหนบ้าง
แล้วการเจาะตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของฝั่งอเมริกาและยุโรปเป็นอย่างไร?
ข้อมูลการจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้าจากทางฝั่งอเมริกานั้น อ้างอิงได้จาก National Automobile Dealers Association หรือ “NADA DATA 2021” ว่าจากจำนวนรถยนต์ที่จำหน่ายได้ในปีค.ศ. 2021 จำนวนประมาณ 1,493 ล้านคัน มียอดขายรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 2.9% ที่มากกว่าในตลาดญี่ปุ่นเสียอีก และเมื่อเทียบกับปี 2020 ที่ทำได้ 1.6% นั้น ถือว่าอัตราการขยายตัวได้เติบโตขึ้น และในตลาดอเมริกามีบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ Tesla เป็นผู้ครองตลาดหลัก เพราะเมื่อดูยอดจำหน่ายแล้ว Tesla ได้สัดส่วนไปมากถึง 80% จากรถยนต์ไฟฟ้าที่จำหน่ายได้ทั้งหมด
มาถึงฝั่งยุโรปกันบ้าง จากการรายงานของ “NEW CAR REGISTRATIONS BY FUEL TYPE, EUROPEAN UNION” นั้น ยอดจำหน่ายรถยนต์ใน 18 ประเทศของปี 2021 นั้นมียอดจำหน่ายรถยนต์ไฟฟ้ามากถึง 1 ล้านคัน และเทียบอัตราการขยายตัวแล้ว มีเพิ่มขึ้นจากยอดจำหน่ายของปี 2020 ถึง 64% อีกด้วย โดยรถยนต์ไฟฟ้าสามารถขายได้ 11% จากจำนวนรถยนต์ทั้งหมด คิดได้ว่ามีอัตราการเจริญเติบโตที่สูงกว่าญี่ปุ่นและอเมริกาอย่างมาก แต่ทำไมยุโรปจึงนิยมรถยนต์ไฟฟ้ากันมากขนาดนั้นล่ะ?
เหตุผลอาจมีได้มากมายหลายสาเหตุ แต่ความเป็นไปได้มากที่สุดคือ ฝั่งยุโรปเน้นย้ำเรื่องการลดก๊าซคาร์บอนกันอย่างจริงจังเป็นวงกว้าง จึงมีมาตรฐานในการดำเนินการส่วนนี้ค่อนข้างสูงกว่าประเทศแถบอื่นๆ โดยตั้งเป้าเอาไว้ว่า “ภายในปี 2030 จะต้องลดการใช้ก๊าซคาร์บอนให้ได้ 55% เมื่อเทียบกับปี 2020 และในปี 2035 ต้องลดการใช้ก๊าซคาร์บอนลงให้ได้ 100% เมื่อเทียบกับปี 2021” ซึ่งถือว่าเป็นเป้าหมายที่ค่อนข้างหินทีเดียวเลยล่ะค่ะ
นอกจากนี้ทางฝั่งยุโรปยังมีมาตรการที่การลดการใช้ก๊าซคาร์บอนที่น่าสนใจมากทีเดียว อย่างแรกคือรัฐบาลสนับสนุนทางด้านการเงินให้ประชาชนสำหรับซื้อรถยนต์ไฟฟ้าโดยเฉพาะ ส่วนทางฝั่งผู้ผลิตรถยนต์เองก็เดินหน้าผลิตรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่ม เพื่อเพิ่มทางเลือกในการซื้อให้แก่ประชาชนด้วย เรียกได้ว่าการขยายตัวของตลาดรถยนต์ไฟฟ้าของฝั่งยุโรปนั้นรุดหน้าเติบโตขึ้นอย่างมาก
อัตราการขยายตัวทางฝั่งประเทศจีน
จากรายงานของสมาคมผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศจีน (CAAM) กล่าวว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ในจีนของปี 2021 นั้นมีจำนวนมากขึ้นในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งยอดจำหน่ายรถยนต์ใหม่ประมาณ 26 ล้านคัน มีจำนวนรถยนต์ไฟฟ้า EV รวมอยู่ถึง 13% ถือว่าเป็นสัดส่วนที่ไม่น้อยเลยทีเดียว นอกจากรถยนต์ไฟฟ้าแบบ EV แล้วก็ยังมีรถยนต์ Plug-in Hybrid (PHV) จนถึงรถยนต์ไฟฟ้าแบบเซลล์เชื้อเพลิง (FCV) โดยทางจีนจะเรียกรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้าแบบรวมๆ ว่า “รถยนต์พลังงานใหม่ หรือ NEV” (New Energy Vehicle)
รถยนต์ NEV ของจีนในปี 2021 นั้นเพิ่มขึ้นมากกว่าปีก่อนถึง 157% ทีเดียว เฉพาะรถยนต์ไฟฟ้าแบบ EV มากกว่ากว่าปีก่อนถึง 160% เรียกได้ว่าเป็นอัตราการขยายตัวแบบติดจรวด
การขยายตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในญี่ปุ่นในอนาคตจะเป็นอย่างไร?
จากปัญหาบางส่วนที่กล่าวไปแล้วข้างต้นว่า ทำไมญี่ปุ่นที่เป็นผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดในโลกจึงยังเจาะตลาดรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศได้น้อยกว่าที่คาดการณ์ไว้เสียอีก?
หนึ่งในสาเหตุทางการผลิตคือการจัดหาโลหะในการผลิตแบตเตอรี่ลิเธียมไอออนที่จัดว่าหายาก และปัญหาการชาร์จพลังงานที่อาจยังไม่ตอบโจทย์การใช้งานเท่าที่ควร หากต้องการรถคันใหญ่ก็ต้องมีราคาที่เพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากใช้แบตเตอรี่ตัวใหญ่ขึ้นด้วย นอกจากนี้การสร้างพลังงานไฟฟ้าให้เป็นแหล่งพลังงานหลักจำเป็นต้องใช้พลังงานหมุนเวียนต่างๆ ทั้งพลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลม การผลิตแหล่งกักเก็บพลังงานไฟฟ้าในปริมาณมากเพื่อให้สามารถส่งแรงขับเคลื่อนกับรถยนต์ได้ 100% นั้นถือว่าเป็นเรื่องที่ท้าทายพอสมควรสำหรับสังคมยุคปัจจุบัน
ในแง่ของการส่งเสริมด้านสิ่งแวดล้อมและการสนับสนุนให้ประชาชนหันมาใช้รถยนต์ที่ใช้พลังงานทดแทน ในเดือนกุมภาพันธ์ 2021 ที่ผ่านมา ทาง Nippon Car Solutions และ Nippon Rent-A-Car ซึ่งรับผิดชอบธุรกิจรถเช่าได้ริเริ่มโครงการรถเช่าประเภทรถยนต์ไฟฟ้าขึ้น โดยได้ร่วมมือกับ Kyushu Electric Power ให้ลูกค้าทั่วไปสามารถเช่ารถยนต์ไฟฟ้าทั้งในวันธรรมดาและวันหยุดได้
นอกจากนี้ญี่ปุ่นยังพยายามเดินหน้าต่อด้วยการพัฒนาแบตเตอรี่ของรถยนต์ไฟฟ้าให้สามารถรีไซเคิลได้ เพื่อให้สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้ ทั้งยังเป็นการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืนได้อีกด้วย
ยังมีเรื่องราวสนุก ๆ และน่าสนใจเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นอีกมากมาย ติดตามได้ที่ ANNGLE