xs
xsm
sm
md
lg

MUSASHI-มิยาโมโตะ มุซาชิ ภาค 3 ไฟ หรือว่าศัตรูจะกลายเป็นมิตร

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์

นวนิยายอิงประวัติศาสตร์
ตำนานนักดาบผู้ก่อกำเนิดสำนักนิเท็นอิจิริว และ คัมภีร์ห้าห่วง
บทประพันธ์ของ โยชิกาวะ เออิจิ (1892-1962)
-แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

1
“มาแล้ว เฮ้ย มันมาแล้ว”
“ดูนั่นสิ มันถ่อหัวเรือพุ่งมาทางนี้”
“อยากตายหรือไง เดี๋ยวเห็นดีกัน”
ศิษย์สำนักดาบโยชิโอกะทั้งเจ็ดร้องบอกกันอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ ยืนปักหลักล้อมที่เทียบเรือบนฝั่งแม่น้ำ มือกุมอยู่ที่ด้ามดาบพร้อมชัดออกฟาดฟันทันทีที่เรือพุ่งเข้ามา
เจ้าหนุ่มรูปงามยืนเด่นเป็นสง่าอยู่บนหัวเรือที่แหวกน้ำไปพุ่งไปข้างหน้าด้วยกำลังแรง นิ่งเหมือนรูปปั้นเทพบุตรเพียงแต่มีถ่ออยู่ในมือ ดวงตาโตเป็นประกายสะท้อนภาพนักดาบทั้งเจ็ดที่ตั้งรับอยู่บนฝั่ง
ทันใดนั้นเอง หัวเรือก็เสียบพรวดเข้าไปในพงหญ้า นักดาบทั้งเจ็ดผงะถอยหลังไปหลายก้าวราวกับถูกหัวเรือเสียบเข้าที่อก เงาดำ ๆ ของอะไรอย่างหนึ่งเผ่นวูบจากหัวเรือข้ามหนองน้ำหญ้าแห้ง พุ่งตัวเข้าใส่ต้นคอนักดาบคนหนึ่งในกลุ่ม
“เฮ้ย”
ยังไม่ทันสิ้นเสียงร้องด้วยความตื่นตระหนกของเพื่อน นักดาบทั้งเจ็ดก็ชักดาบคมวับออกมาพร้อมกันและแกว่งไกวเตรียมสู้
“นั่นมันไอ้ลิงน้อย”
คนหนึ่งตาไวแต่ก็ยังไวไม่ทันเจ้าลิงตัวจ้อย คมดาบแหวกอากาศดังวื๊ดไปตาม ๆ กัน คนฟันเสียหน้าจึงแผดเสียงบอกเพื่อนเป็นการกลบเกลื่อน
“ไม่เท่าไรหรอกเว้ย พวกเราช้า ๆ ก็ได้ไม่ต้องรีบร้อน”
ส่วนพวกผู้โดยสารที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับการวิวาท เกาะตัวเบียดกันเป็นกลุ่มอยู่ที่กราบเรือด้านหนึ่ง ไม่มีใครกล้าพูดอะไรออกมาสักคำ ต่างคนได้แต่เฝ้ามองสถานการณ์อยู่ด้วยใจที่เต้นระทึก และแทบจะหยุดหายใจเมื่อเจ้าหนุ่มหน้ามนถ่อหัวเรือปักเข้าไปที่ข้างตลิ่ง แล้วกระโจนตามเจ้าลิงตัวจ้อยขึ้นไป ตัวเบาราวกับเหาะ
เมื่อเห็นเจ้าหนุ่มกระโจนขึ้นบกห่างจากท่าเทียบเรือ นักดาบทั้งเจ็ดแห่งสำนักโยชิโอกะก็กรูไปทางนั้นอย่างผลีผลามไม่เป็นขบวน หรือแม้จะหยุดคิดถึงกลยุทธป้องกันตนเอง
ความโกรธเกรี้ยวทำให้หน้ามืดตามัว กว่าคนที่วิ่งนำหน้าไปจะรู้ตัวว่าตนเป็นนักดาบที่มีวิทยายุทธ์ ก็ไปไกลเกินแก้เสียแล้ว วิชาความรู้ของนักดาบแห่งสำนักอันยิ่งใหญ่ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด ได้แต่เข่นเคี้ยวเคี้ยวฟัน วิ่งชูดาบไล่หลังเจ้าหนุ่มหน้ามนเหมือนพวกทหารเลว
เจ้าหนุ่มรูปงามร่างใหญ่กว่าที่คิดและยิ่งเขย่งปลายเท้ายืนยืดอก มือขวาเอื้อมไปจับด้ามดาบที่คาดสะพายหลังตั้งท่าทมึงถึงอยู่ก็ยิ่งน่าเกรงขาม ทำเอานักดาบที่วิ่งนำหน้ามาถึงกับหยุดชะงัก
“พวกท่านเป็นศิษย์สำนักโยชิโอกะใช่ไหม กำลังอยากพบอยู่พอดี ที่คนของท่านยอมให้ข้าตัดมัดผมไปนั่นยังไม่พอใช่ไหม ถ้าแค่นั้นยังไม่พอข้าก็ชักจะรู้สึกไม่พอขึ้นมาเหมือนกัน”
“อย่ามาทำปากดี”
“ดาบยาวเล่มนี้เพิ่งจะลับมาใหม่ ๆ ขอลองอย่างไม่ยั้งมือหน่อยเถอะ”
ยังไม่ทันขาดคำ ดาบตรงยาวราวไม้ตากผ้าก็ถูกชักและตวัดแหวกอากาศด้วยความเร็วฉับพลัน เกินกว่าสายตาจะจับทัน
และกว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น นักดาบคนหน้าสุดก็อยู่ในสภาพที่หนีไปไหนไม่ได้อีก
กลายเป็นศพคาดาบยาวราวสองศอกอยู่ตรงนั้น

2
ร่างของนักดาบคนหน้าสุดถูกฟันล้มลงทำให้เพื่อนหกคนที่ตามมาข้างหลังต้องถอยหลังกรูดตามกันไป ยืนตลึงจังงังมองศพเพื่อนร่วมสำนักกันตาค้าง สมองหยุดสั่งการให้เคลื่อนไหวไปชั่วขณะ
เจ้าหนุ่มรูปงามฉวยโอกาสที่นักดาบอยู่ในสภาพตื่นตระหนก ฟาดดาบยาวราวสองสองศอกด้านไม่มีคมเข้าที่สีข้างนักดาบคนถัดไป ไม่ถึงกับกระดูกหักแต่ก็แรงพอที่จะทำให้ตัวลอยกระเด็นลงไปร้องเสียงลั่นอยู่ในหนองน้ำหญ้าแห้ง
เสียงร้องโหยหวนของเพื่อนปลุกสติของเพื่อนห้าคนที่เหลือให้ฟื้นคืนมา
คราวนี้ดูเหมือนจะตั้งตัวติด ตีวงเข้ามาล้อมศัตรูบุกเดี่ยวอย่างมีชั้นเชิงราวกลีบดอกไม้ห้ากลีบ
นักดาบทั้งห้าตะโกนให้กำลังใจกันดังขรม เมื่อมีสติก็เริ่มสำนึกได้ถึงความเป็นต่อของพวกตน และวาจาก็โอหังขึ้น สำรากถ้อยคำเกินเลยยั่วให้อีกฝ่ายบรรดาลโทสะ
การต่อสู้หนึ่งต่อฝูงเริ่มขึ้นเมื่อฝ่ายนักดาบคนหนึ่งก็แผดเสียงเป็นสัญญาณเผด็จศึก พร้อมกับกระโจนเข้าใส่เจ้าหนุ่มรูปงามเป็นคนแรก
ฟาดดาบที่เงื้อง่าอยู่ลงไปสุดแรงหมายพิฆาต...แต่อนิจจาคมดาบกลับวาดแหวกอากาศว่างเปล่าห่างเป้าหมายไปเป็นวา ปลายดาบหมายพิฆาตกระทบก้อนหินดังสนั่นและสะท้านไปทั้งลำแขน เจ้าของดาบเสียหลักหัวคะมำหกคะเมนตีนชี้ฟ้า และสุดท้ายก็นอนแผ่อยู่บนพื้นดินเป็นเป้าให้ศัตรูเลือกฟันได้ตามใจ
เจ้าหนุ่มรูปงามไม่ลงดาบสังหารเหยื่อที่นอนแผ่หลาล่อคมดาบ แต่กลับกระโจนเข้าฟันนักดาบที่จดจ้องอยู่ด้านข้างอย่างไม่ทันให้ระวังตัว
จ๊าก..
และยังไม่ทันสิ้นเสียงส่งสัญญาณมรณะ นักดาบที่เหลืออีกสามคนก็สิ้นกำลังใจที่จะตั้งหลักตีวงล้อมคู่อาฆาตอีกครั้งต่างหันหลังวิ่งเตลิดหนีเหมือนหมาในแตกฝูง
เจ้าหนุ่มรูปงาม สองมือจับด้ามดาบชูสูงขึ้นไปราวสองศอก วิ่งไล่ตามหลังนักดาบฝ่ายพ่าย ใบหน้าคมสันนั้นบัดนี้เห็นแล้วสยองขวัญราวกับอสูรที่พิโรธและกระหายเลือดยิ่ง
“นี่นะหรือวิทยายุทธ์ของสำนักโยชิโอกะ”
เจ้าหนุ่มรูปงามกวดตามไปไม่ลดละ
“ไอ้ขี้ขลาด กลับมาซิวะ แน่จริงก็กลับมา หนอยแน่ บังอาจเรียกเรือที่แล่นอยู่ดี ๆ ให้หยุด และพอเอาเข้าจริง ๆ ก็วิ่งหนี นี่น่ะหรือนักดาบสำนักโยชิโอกะที่เล่าลือกันนักว่ายิ่งใหญ่ในปฐพี รู้ไปถึงไหนก็อายไปถึงนั่น ทนเสียงหัวเราะเยาะได้ก็ตามใจ”
หัวเราะเยาะเป็นคำรุนแรงที่สุดเท่าที่นักรบซามูไรจะดูหมิ่นกันได้ มันเสียดแทงใจดำให้อับอายเป็นที่สุดยิ่งกว่าถ่มน้ำลายใส่กันเสียอีก...แต่หูของนักดาบทั้งสามที่กำลังเตลิดหนีมัจจุราช ดับไปพร้อมกับประสาทส่วนอื่นเสียแล้ว จึงไม่มีใครได้ยินแม้แต่จะเสียงดูหมิ่นของเจ้าหนุ่มรูปงาม
พอดีกับตอนนั้นเองที่มีเสียงลูกกระพรวนม้าดังแว่วผ่านลมหนาวมาจากทางทำนบของหมู่บ้านเคมะ แสงสะท้อนจากลำน้ำและละอองหมอกสว่างพอที่จะไม่ต้องจุดโคมไฟ ทั้งม้าทั้งคนดูรีบเร่งจนลืมความหนาว ใบหน้าของคนเดินทางดูไม่ชัดเห็นแต่ลมหายใจเป็นควันขาว ๆ ระเหยออกมาจากเงาของคนบนหลังม้าและคนที่เดินตาม
“โอ๊ะ”
“ขออภัย”
นักดาบผู้พ่ายทั้งสามเหลียวหน้าเหลียวหลังเลิ่กลั่กเมื่อเกือบจะชนเข้ากับม้า ดีที่คนจูงรีบรั้งบังเหียนชะงักเท้าม้าเอาไว้ทัน


3
คนบนหลังม้าโน้มตัวลงมามองนักดาบสามคนที่ยืนงงอยู่หน้าม้า และพอเห็นว่าเป็นใครก็อุทานออกมา
“อ้าว นั่นมันศิษย์สำนักของเรานี่”
แรกเห็นก็ตกใจเพราะเกินคาด แต่พอได้สติก็โกรธเกรี้ยวขึ้นมาทันที
“พวกเจ้านี่เอง หายหัวไปทำอะไรอยู่ที่ไหนทั้งวัน”
“โอ๊ะ นั่นอาจารย์น้อยเองหรือขอรับ”
อูเอดะ เรียวเฮหนึ่งในศิษย์เอกทั้งสิบแห่งสำนักโยชิโอกะ ก้าวออกมาจากเงาม้าแล้วด่าสำทับ
“มาทำอะไรกันอยู่ที่นี่ฮึ เราตามอาจารย์น้อยมาจากเกียวโตด้วยกัน แล้วทำไมมีแต่พวกเจ้าที่ไม่รู้ว่าอาจารย์จะกลับวันนี้ หรือว่าไปเมาสาเกทะเลาะกับใครมา อยากจะบ้าก็บ้าแต่พอประมาณเถอะ เดินไปได้แล้ว”
นักดาบทั้งสามทนไม่ได้ที่ถูกกล่าวหาว่าทะเลาะกับใครในวงสาเก คนหนึ่งจึงเป็นตัวแทนเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้อาจารย์น้อยกับเรียวเฮฟัง นักดาบผู้พ่ายเล่ารัวเร็วรวดเดียวจบและสรุปว่าทั้งหมดนั้นเป็นการต่อสู้เพื่อป้องกันเกียรติภูมิของสำนักดาบและอาจารย์เจ้าสำนัก
“นั่นไง นั่นไงขอรับ มันตามมาแล้ว”
นักดาบทั้งสามหน้าซีดเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้ากวดตามใกล้เข้ามา
อูเอดะ เรียวเฮเขม้นมองศิษย์ร่วมสำนักอย่างขวางหูขวางตา
“ท่าทางอย่างนี้น่ะรึที่บอกว่าสู้เพื่อปกป้องเกียรติภูมิของสำนักดาบและอาจารย์ โวเกินไปหรือเปล่า ท่าทางที่เห็นดูเหมือนว่าจะเพิ่งทำความอับอายขายหน้าให้แก่สำนักเสียมากกว่า ไม่ต้องพูดมาก...หลีกไป ข้าจัดการเอง”
ได้ฟังดังนั้น เซอิจูโร อาจารย์น้อยก็ไล่ศิษย์ทั้งสามให้ไปยืนระวังหลังแล้วชักม้าให้เดินไปราวสิบก้าว ยืนเด่นตั้งท่ารับมือศัตรูที่วิ่งกวดใกล้เข้ามาอยู่คนคนเดียว
กล้าดีก็เข้ามาเลย
---เจ้าหนุ่มรูปงามวิ่งชูดาบยาวราวสองศอกฝ่าลมหนาวเข้ามาที่เป้าหมายโดยไม่รู้ว่ามีการตั้งรับจากเจ้าสำนัก
“อย่าหนี จะหนีไปทำไม หยุดแล้วสู้กันสิ หรือว่าการวิ่งหนีเป็นสุดยอดแห่งวิทยายุทธ์ของสำนักโยชิโอกะ ข้าไม่ได้อยากฆ่าพวกเจ้า แต่เจ้าดาบยาวราวสองศอกของข้ายังไม่ยอมเข้าฝัก กลับมา กลับมาเดี๋ยวนี้ จะหนีไปไหนก็ได้ข้าไม่ว่า แต่ต้องทิ้งหัวเอาไว้ตรงนี้”
เสียงท้าทายดังก้องมาจากทางทำนบท่าเทียบเรือเคมะ และใกล้เข้ามาจนเห็นเงาที่ผาดโผนกระโจนมาราวกับเหาะ
อูเอดะ เรียวเฮถ่มน้ำลายใส่มือและกระชับด้ามดาบ แล้วชักออกในจังหวะเดียวกันกับที่เจ้าหนุ่มรูปงามถีบตัวขึ้นกระโจนตัวลอยข้ามหัวศิษย์เอกไปเหมือนไม่เห็น
เควี้ยว...ควับ
เสียงคมดาบของเรียวเฮแหวกอากาศ เหมือนพยายามสอยดาวแต่ไปไม่ถึง เสียงดังเควี้ยวคว้าวทำให้เจ้าหนุ่มรูปงามเพิ่งลอยตัวลงยืนบนพื้นได้ขาเดียวต้องเหลียวไปมอง เบิกตาโตแล้วร้องว่า
“ยกพวกมากันใหม่แล้วรึ”
ว่าแล้วก็ฟาดดาบยาวราวสองศอกลงไปที่ร่างของเรียวเฮที่เซแซด ๆ เสียหลักด้วยแรงฟันดาบแหวกอากาศของตนเอง
ตั้งแต่เกิดมาเรียวเฮไม่เคยเห็นดาบที่มีแรงฟันมหาศาลเท่าดาบยาวราวสองศอกเล่มนี้ ดีที่พลิกตัวหัวทิ่มลงไปในท้องนาได้ทันแต่ก็เฉียดฉิว คันทำนบจึงตกเป็นเหยื่อคมดาบนั้นแทน
โชคดีที่คันทำนบไม่สูงและน้ำในนาเป็นน้ำแข็งจึงไม่เจ็บเท่าไรแต่ดาบหลุดมือไปไหนหาไม่เห็น และพอตะกายขึ้นมาบนทำนบอีกครั้งเรียวเฮก็เห็นเจ้าหนุ่มรูปงามกำลังแผลงฤทธิ์สุดเหวี่ยงราวกับพญาสิงโต คมดาบยาวราวสองศอกเป็นประกายวาววับ ยามฟาดฟันแต่ละทีเห็นเป็นแค่ลำแสงสว่างแวบวาบราวฟ้าแลบ
เจ้าหนุ่มรูปงามทะลวงฟันศิษย์สำนักทั้งสามกระเด็นไปคนละทิศทาง และรุกเข้าไปจนถึงตัวโยชิโอกะ เซอิจูโรที่ยืนม้าเด่นอยู่คนเดียว

4
เซอิจูโร อาจารย์น้อยนอนใจเพราะคิดว่าการสู้รบจะต้องสิ้นสุดโดยไม่ต้องถึงมือตน แต่แล้วก็ต้องตื่นตระหนกเมื่ออันตรายคุกคามเข้ามาจนจะถึงตัวอยู่ในอึดใจข้างหน้า
เจ้าหนุ่มรูปงามถือดาบยาวราวสองศอกเงื้อง่าบุกทะลวงเข้ามาด้วยกำลังแรง และตั้งท่าจะพุ่งปลายดาบแทงเข้ามาที่สีข้างม้า
“กันริว ช้าก่อน”
เซอิจูโรร้องบอก ก่อนสะบัดเท้าออกจากโกลนแล้วเผ่นขึ้นไปยืนบนหลังม้า และในจังหวะเดียวกันกับที่ม้าวิ่งทะยานเฉียดหัวเจ้าหนุ่มไปข้างหน้านั้นเอง อาจารย์น้อยก็ดีดตัวตีลังกาลงมายืนตั้งหลักอยู่ห่างออกไปราวสามสี่ช่วงดาบ
“สง่างามอะไรเช่นนี้”
คนที่เอ่ยชมไม่ใช่ศิษย์ แต่เป็นเจ้าหนุ่มรูปงามไว้ผมปรกหน้าผากผู้เป็นศัตรู
เจ้าหนุ่มกระชับดาบยาวราวสองศอกในมือ ก้าวเข้ามาทางเซอิจูโรพลางเอ่ยเอื้อนวาจา
“แม้จะเป็นศัตรู แต่ข้าก็ถือว่าเป็นบุญตายิ่งนักที่ได้เห็นการแสดงวิทยายุทธ์อันล้ำเลิศของโยชิโอกะ เซอิจูโรครั้งนี้”
ดาบยาวราวสองศอกฟาดฟันลงมาราวกับว่าตัวมันเองคือดวงวิญญาณนักสู้อันร้อนแรงของเจ้าของดาบ ฝ่ายเซอิจูโรผู้มีเลือดนักดาบของโยชิโอกะ เค็มโปผู้พ่ออยู่เต็มตัว ตวัดดาบขึ้นรับด้วยท่วงท่าองอาจไม่แพ้กัน
“ซาซากิ โคจิโรแห่งอิวากูนิ ท่านเป็นคนที่มีตาสูงโดยแท้ ใช่...ข้าคือโยชิโอกะ เซอิจูโร แต่ข้าไม่เห็นว่าจะมีเหตุผลอันใดที่จะประดาบกับท่าน ณ สถานที่เช่นนี้ แต่ถ้าจำเป็นที่จะต้องเอาแพ้เอาชนะเราก็มานัดประลองฝีมือกันเมื่อไรก็ได้ แต่วันนี้ข้าอยากรู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงมายังไง จึงขอให้ท่านเก็บดาบเสียก่อน”
เจ้าหนุ่มรูปงามซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ยินที่เซอิจูโรตะโกนเรียกตนแต่แรกว่ากันริว ถึงกับสะดุ้งเมื่อเซอิจูโรเรียกตนอย่างชัดถ้อยชัดคำว่าซาซากิ โคจิโรแห่งอิวากูนิ
“โอ๊ะ...ทำไมท่านรู้ว่าข้าคือกันริว ซาซากิ โคจิโร”
เซอิจูโรตบเข่าดังฉาด
“ใช่ซาซากิ โคจิโรจริง ๆ ด้วย”
ว่าแล้วก็เดินเข้ามาใกล้
“...ข้าเพิ่งพบท่านวันนี้เป็นครั้งแรก แต่ก็ได้ยินเรื่องราวของท่านมามาก”
“จากใครรึ” โคจิโรทำหน้าฉงน
“จากนักดาบร่วมสำนักกับท่าน อย่างอิโต ยาโกโร”
“ท่านรู้จักกับอิตโตไซด้วยรึ”
“รู้จักสิ ตอนที่อิตโตไซพักอยู่ที่โรงเตี๊ยมแถวคางูระงาโอกะที่ชิรากาวะมาจนถึงฤดูใบไม้ร่วงไม่นานมานี้ ข้าได้ไปพบกับท่านบ่อย ๆ และท่านเองก็มาเยือนบ้านข้าหลายครั้งด้วย”
“อ้อ...”
เจ้าหนุ่มรูปงามยิ้มกว้างจนเห็นลักยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น เราทั้งสองก็เหมือนไม่ใช่คนแปลกหน้า”
“จริง เพราะอิตโตไซพูดถึงท่านบ่อยมาก...บอกว่าที่อิวากูนิมีนักดาบชื่อกันริว ซาซากิ โคจิโร ลูกศิษย์อาจารย์คาเนมากิ จิไซ ศึกษาวิถีดาบแนวโทดะเซเก็นสำนักเดียวกับตน และบอกด้วยว่าแม้โคจิโรจะเป็นศิษย์อายุน้อยที่สุดในสำนัก แต่วันหนึ่งจะกลายเป็นนักดาบคนเดียวในยุทธจักรที่จะสามารถเอาชนะตนได้”
“ข้าไม่คิดว่าคำบอกเล่าเพียงเท่านั้น จะทำให้ท่านแน่ใจถึงกับทักข้าว่าซาซากิ โคจิโร”
“ที่ข้าแน่ใจก็เพราะท่านเป็นนักดาบหนุ่มและมีบุคลิกไม่ผิดเพี้ยนไปจากคำบอกเล่าของท่านอิตโตไซ ยิ่งกว่านั้น ดาบยาวราวสองศอกของท่าน ยังทำให้ข้านึกขึ้นได้ว่าซาซากิ โคจิโรมีสมญานามว่ากันริว ซึ่งหมายถึงต้นหลิวบนฝั่งน้ำ ข้าจึงเรียกชื่อท่านออกไปเมื่อแรกเห็นว่ากันริว ซึ่งไม่ผิดตัว”
“แปลกมาก แปลกแท้ ๆ”
โคจิโรร้องออกมาด้วยความยินดี แต่พอเหลือบลงไปที่ดาบยาวราวสองศอกเปื้อนเลือดในมือ ก็ชักไม่แน่ใจว่ากรณีที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ก่อนนั้นจะจบลงอย่างไรกันแน่


กำลังโหลดความคิดเห็น