รัฐบาลญี่ปุ่นยินดีที่นายโจ ไบเดน ชนะเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ ผ่อนคลายความตึงเครียดกับประเทศจีน ปลดชนวนที่อดีตประธานาธิบดีทรัมป์เรียกร้องให้ญี่ปุ่นแบกรับค่าใช้จ่ายของฐานทัพสหรัฐมากขึ้นถึง 4 เท่าตัว
นายกรัฐมนตรีโยชิฮิเดะ ซูงะ ระบุว่าเขาจะหารือทางโทรศัพท์กับนายโจ ไบเดน ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐ รวมถึงการเดินทางเยือนสหรัฐ พร้อมกล่าวว่าญี่ปุ่นและสหรัฐเป็นพันธมิตรที่ร่วมแบ่งปันค่านิยมสากล คือ สันติภาพและเสรีภาพ
ชัยชนะของนายไบเดนทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่น-สหรัฐหวนคืนสู่ภาวะ New Normal หลังจากยุค “อเมริกาต้องมาก่อน ”ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เอาแต่ “กดดัน รังแก รีดไถ” ชาติพันธมิตร
นายโดนัลด์ ทรัมป์ได้สร้างความหนักใจอย่างยิ่งให้กับญี่ปุ่น คือเรียกร้องให้ญี่ปุ่นแบกรับค่าใช้จ่ายของฐานทัพสหรัฐในญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นถึง 4 เท่าตัว ทุกวันนี้ญี่ปุ่นจ่ายค่าใช้จ่ายให้ฐานทัพสหรัฐปีละราว 2,000 ล้านดอลลาร์ แต่นายทรัมป์เรียกร้องให้ญี่ปุ่นจ่ายเพิ่มเป็นปีละ 8,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่ญี่ปุ่นจะจ่ายมากขนาดนี้
ญี่ปุ่นมีทหารสหรัฐประจำการราว 55,000 นาย ทั้ง 2 ชาติจะเจรจาเรื่องค่าใช้จ่ายของฐานทัพสหรัฐในเดือนพฤศจิกายน แต่เนื่องจากมีการผลัดอำนาจในสหรัฐ คาดว่าฝ่ายญี่ปุ่นจะเจรจาสำหรับค่าใช้จ่ายในปี 2564 ปีเดียวเป็นการชั่วคราว แทนกรณีปกติที่จะเจรจากำหนดค่าใช้จ่ายระยะเวลา 5 ปี และจะหารือนโยบายใหม่เมื่อรัฐบาลของนายไบเดนรับหน้าที่อย่างเป็นทางการ
ญี่ปุ่นยังจะปรับสมดุลกับสหรัฐและจีนในคราเดียว สิ่งที่ญี่ปุ่นคาดหวังมากที่สุดต่อรัฐบาลของนายไบเดนคือ คลี่คลายการเผชิญหน้ากับจีน เพราะญี่ปุ่นเป็นฐานที่มั่นสำคัญในภูมิภาคของกองทัพสหรัฐ จึงเป็น “หน้าด่าน” หากสหรัฐประลองกำลังกับจีน
ในปี 2558 รัฐสภาญี่ปุ่นได้ฝ่ากระแสประท้วง ผ่านกฎหมายความมั่นคงฉบับใหม่ ซึ่งเปิดทางให้กองกำลังป้องกันตนเองของญี่ปุ่นสามารถปกป้องชาติพันธมิตรได้ด้วย หรือก็คือญี่ปุ่นสามารถร่วมปฏิบัติการทางทหารกับสหรัฐในกรณีที่เกี่ยวข้องกับญี่ปุ่น ซึ่งถ้าหากสหรัฐเปิดศึกกับจีน ญี่ปุ่นก็จำเป็นต้องเข้าร่วม และจะเผชิญความเสี่ยงจากการโจมตีของจีนต่อฐานทัพสหรัฐในญี่ปุ่น ถึงแม้ญี่ปุ่นจะเป็นพันธมิตรของสหรัฐ แต่ก็ไม่ต้องการเป็น “ศัตรู” กับจีน ญี่ปุ่นต้องการคานอำนาจกับจีนแบบละมุนละม่อม ไม่ใช่วิธีแข็งกร้าวแบบที่ทรัมป์ใช้
อ่านประกอบ: ญี่ปุ่นหวังไบเดน เดินหน้านโยบาย “อินโดแปซิฟิก” คานอำนาจจีน
ในเรื่องการระบาดของไวรัสโควิด ถึงแม้สหรัฐจะประกาศตัวเลข GDP ในไตรมาสที่ 3 ว่าเติบโตถึง 33.1% แต่ถ้ายังควบคุมโควิดไม่ได้ เศรษฐกิจของสหรัฐก็ไม่มีทางจะดีขึ้นได้จริง ขณะที่ญี่ปุ่นกำลังอยู่ในช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจ จึงจำเป็นต้องพึ่งพาประเทศจีนที่ควบคุมการระบาดของโควิดได้เป็นอย่างดี และเศรษฐกิจเริ่มมีเสถียรภาพมากขึ้น
ญี่ปุ่นไม่ต้องการเลือกข้างสหรัฐแบบที่ทรัมป์ต้องการ แต่ญี่ปุ่นซึ่งมีฐานการผลิตในจีนมากมาย ต้องการกระชับความสัมพันธ์กับจีนและนานาชาติ ญี่ปุนมองว่า สัมพันธภาพระหว่างชาติที่มีขนาดเศรษฐกิจอันดับ 1 และ 2 ของโลกอย่างสหรัฐและจีน มีความสำคัญยิ่งยวดต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกจากโควิด
ญี่ปุ่นคาดหวังว่าว่า นายโจ ไบเดน จะนำสหรัฐหวนคืนสู่ประชาคมโลก ญี่ปุ่นรับหน้าที่ผลักดันการค้าเสรีแทนสหรัฐในยุคของทรัมป์ โดยทำข้อตกลงกับหลายประเทศ ทั้งความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจภาคพื้นแปซิฟิก หรือ CPTPP, ข้อตกลงการค้ากับยุโรป หรือ EPA, ข้อตกลงกับอังกฤษหลังถอนตัวจากสหภาพยุโรป รวมทั้งความตกลงพันธมิตรทางการค้าระดับภูมิภาค หรือ RCEP ที่มีญี่ปุ่น จีน เกาหลีใต้ และชาติอาเซียนเข้าร่วม และจะเป็นเขตการค้าเสรีที่ใหญ่ที่สุดในโลก
นายไบเดนมีจุดยืนสนับสนุนการค้าเสรี ตั้งแต่ปี 1994 ที่สนับสนุนข้อตกลงการค้าเสรีอเมริกาเหนือ หรือ NAFTA และปี 2001 ก็สนับสนุนจีนเข้าเป็นสมาชิกองค์การการค้าโลก หรือ WTO สอดคล้องกับนโยบายของญี่ปุ่นที่ใช้ “การค้าสร้างชาติ” ญี่ปุ่นประเมินว่านายไบเดนจะกระชับความสัมพันธ์ทั้งเศรษฐกิจและความมั่นคง ทำให้ญี่ปุ่นเป็น “พันธมิตรที่เท่าเทียม” ของสหรัฐมากกว่าในยุคของนายทรัมป์.