คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”
สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน นับแต่ราวกลางปีที่แล้วเป็นต้นมาเกิดปรากฏการณ์ฮิตการ์ตูนเรื่อง “คิเมะสึ โนะ ไยบะ” (ชื่อภาษาไทย “ดาบพิฆาตอสูร”) อย่างเปรี้ยงปร้างในญี่ปุ่น ถึงกับมีคนเรียกการ์ตูนเรื่องนี้ว่าเป็น “ผลงานเมกะฮิตแห่งยุคใหม่” ซึ่งคนทุกเพศทุกวัยและทุกรุ่นอายุต่างชื่นชอบ ยอดพิมพ์ต้นฉบับการ์ตูนพุ่งสูงแบบถล่มทลาย และธุรกิจที่เกี่ยวข้องเกี่ยวการ์ตูนเรื่องนี้ก็พากันได้รับอานิสงส์อย่างแรงไม่แพ้กัน
ได้ข่าวว่าก่อนที่เรื่องนี้จะมาเป็นแอนิเมชันก็ไม่ได้ดังเท่าไหร่นัก ยอดพิมพ์ฉบับการ์ตูนเล่ม 1-15 โดยรวมอยู่ที่ 5 ล้านเล่ม แต่พอแอนิเมชันดังขึ้นมาปุ๊บ ฉบับการ์ตูนหลายเล่มก็เริ่มจะขาดตลาด และในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาซึ่งเล่มที่ 20 ออกวางแผงนั้น ลำพังยอดพิมพ์ครั้งแรกของเล่มนี้เล่มเดียวก็อยู่ที่ 2.8 ล้านเล่มเข้าไปแล้ว และเมื่อรวมยอดพิมพ์ทุกเล่มรวมกันก็อยู่ที่ 60 ล้านเล่มเลยทีเดียว แม้การสร้างแอนิเมชันจากฉบับการ์ตูนจะเป็นปกติที่ทำให้ฉบับการ์ตูนขายดีไปด้วย แต่สำหรับเรื่องนี้เรียกได้ว่ายอดพิมพ์เพิ่มราว 10 เท่าภายในเวลาไม่ถึงปี
ท้องเรื่องมีฉากหลังย้อนยุคไปในสมัยไทโช (พ.ศ. 2455 - 2469) พระเอกเป็นเด็กหนุ่มจิตใจโอบอ้อมอารีที่รักครอบครัว วันหนึ่งครอบครัวถูก “อสูร” ฆ่าตายเหลือเพียงน้องสาวคนเดียวที่กลายร่างเป็นอสูรไปด้วย เขาตั้งใจว่าวันหนึ่งจะทำให้น้องสาวกลับมาเป็นคนตามเดิมและล้างแค้นให้ครอบครัว จึงเข้าร่วมกลุ่มนักล่าอสูร โชคดีที่น้องของเขามีจิตใจแบบคนหลงเหลืออยู่ แต่ก็มีพละกำลังแบบอสูรด้วย จึงร่วมกันต่อสู้กับเหล่าอสูรไปพร้อมกับนักล่าอสูรคนอื่นที่มีอดีตต่างกันไป
ว่ากันว่าเรื่องนี้มีจุดเด่นหลายอย่าง ต่างจากการ์ตูนผู้ชายอื่น ๆ ตรงที่ “นักสู้” มีทั้งหญิงชายปะปนกัน หรือบางคราวคนที่ถูกมองว่าอ่อนแอกลับเป็นฝ่ายให้ความช่วยเหลือ อีกทั้งตัวละครหลักบางตัวก็ตาย แบบตายแล้วตายเลยไม่มีการฟื้นคืนชีพ ทำให้ลุ้นว่าต่อไปใครจะอยู่ใครจะไป นอกจากนี้เนื้อเรื่องยังชี้ให้เห็นว่าไม่เพียงแค่ตัวละครฝ่ายธรรมะเท่านั้น แม้ตัวละครฝ่ายอธรรมเองก็มีอดีตที่เจ็บปวดเหมือนกัน เนื้อหาจึงคล้ายคลึงกับเรื่องราวในชีวิตคนทุกคนที่ไม่ได้มีเพียงด้านใดด้านหนึ่งเท่านั้น
คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกว่าเรื่องนี้ “สะท้อนชีวิตจริง” นั่นคงเป็นเพราะผู้แต่งเล่าเรื่องราวชีวิตคนที่ต้องเจอความทุกข์ เจออุปสรรค แต่ก็พยายามที่จะมีชีวิตอยู่ในแบบที่แตกต่างกันไปผ่านตัวละครแต่ละตัวทั้งฝ่ายธรรมะและฝ่ายอธรรม อีกทั้งคำพูดบางคำก็ฟังดูราวกับมุ่งเป้ามาที่ตัวผู้อ่านตรง ๆ เหมือนกับจะให้คำปลอบประโลมและกำลังใจในการใช้ชีวิต ซึ่งแต่ละคนก็จะสะดุดใจกับคำพูดแต่ละตอนไม่เหมือนกัน กระทั่งคนพากย์เสียงพระเอกเองก็เล่าว่ามีโมเมนต์นี้เช่นกันจนตัวเองเกือบน้ำตาซึม
เบื้องหลังความดังของของการ์ตูนเรื่องนี้คงปฏิเสธไม่ได้ว่าอยู่ที่การนำมาสร้างเป็นแอนิเมชัน แต่ก็ใช่ว่าแอนิเมชันทุกเรื่องจะแจ้งเกิดได้อย่างเปรี้ยงปร้างขนาดนี้ ความสำเร็จนั้นเกิดจากการวางแผนไว้อย่างดีของผู้กำกับที่เป็นคนเสนอสร้างแอนิเมชัน ทั้งการสร้างผลงานเต็มคุณภาพและแผนประชาสัมพันธ์ที่ได้ผล
คนที่ได้รับชมต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าแอนิเมชันอลังการงานสร้างมาก ฉากสวย ซาวด์เอฟเฟ็กต์ดี เพลงประกอบดี การผลิตงานก็มีความใส่ใจในรายละเอียดมาก อย่างเช่น “ระบำเทพอัคคี” ของพ่อพระเอก ซึ่งออกมาแค่ฉากเดียวก็ยังจ้างนักออกแบบท่าเต้น ท่าระบำมาคิดให้ หรือวาดละเอียดกระทั่งว่าเวลาอาจารย์ผู้เฒ่าของพระเอกพูด แม้จะใส่หน้ากากไว้ก็เห็นรอยเหี่ยวย่นขยับตามจังหวะพูดไปด้วย
ในส่วนของการประชาสัมพันธ์ให้เรื่องนี้เป็นที่รู้จักกันไปทั่วนั้น ใช้วิธีฉายทางโทรทัศน์ถึง 21 ช่อง (รวมช่องที่ฉายทั่วประเทศและช่องที่ฉายเฉพาะจังหวัด) ซึ่งปกติฉาย 4-5 ช่องก็นับว่ามากแล้ว แต่เรื่องนี้เรียกว่าจัดเต็ม และหลังจากฉายทางโทรทัศน์จบก็ฉายต่อทางสตรีมมิ่งทันทีอีกประมาณ 20 แห่ง ทางผู้กำกับอธิบายว่าคนทั่วไปสมัครสตรีมมิ่งอย่างมากก็ไม่เกินสองเจ้า คงไม่ค่อยมีคนอุตส่าห์สมัครที่อื่นเพิ่มเพราะต้องการดูแอนิเมชันเรื่องเดียว จึงจัดให้ฉายหลายแห่งพร้อมกัน เรียกว่าพยายามปลุกกระแสให้เรื่องนี้ผ่านหูผ่านตาคนให้มากที่สุดก็ว่าได้
และแล้วคุณภาพของแอนิเมชันและแผนประชาสัมพันธ์ก็ประสบผลสำเร็จแบบถล่มทลาย สื่อต่าง ๆ พากันพูดถึง ดาราจำนวนมากก็เป็นแฟนพันธุ์แท้ของเรื่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นการอ่านฉบับการ์ตูนครบทุกเล่ม หรือไปทำผมย้อมสีแบบเดียวกับพระเอก ซึ่งร้านทำผมบางแห่งบอกว่าทุกวันจะเจอลูกค้าอย่างน้อยหนึ่งคนที่มาทำสีผมแบบตัวละครในเรื่อง และถ้าดูในยูทูปก็จะเห็นทั้งดาราทั้งคนทั่วไปพูดถึงเรื่องนี้ในทางใดทางหนึ่งเต็มไปหมด
ส่วนเพลงประกอบก็เต็มไปด้วยพลังและเนื้อหาดี จึงเป็นที่ชื่นชอบและดังเป็นพลุแตก ดาราบางคนเอาไปร้องคัพเวอร์โชว์ นักดนตรีเอาไปเล่นชามิเซ็น และปลายปีที่แล้วเพลงนี้ยังได้รับเลือกให้เข้าร่วมรายการประชันเพลงทีมขาว-แดงของสถานีโทรทัศน์ NHK ซึ่งเป็นรายการเพลงใหญ่ส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ของญี่ปุ่นด้วย
จะว่าไปเรื่องนี้ก็แจ้งเกิดได้ถูกจังหวะ เรียกได้ว่ามาในช่วงที่มีปัจจัยแจ้งเกิดเพียบพร้อมราวกับมีไมโครโฟนและเครื่องขยายเสียงรอบทิศ คือนอกจากจะมีโทรทัศน์เป็นตัวช่วยประชาสัมพันธ์แล้ว ยุคนี้ยังเป็นยุคที่ใครต่อใครก็หันมารับชมรายการบันเทิงทางสตรีมมิ่ง และเสพติดสื่อโซเชียลกันมาก ทำให้เรื่องนี้ผ่านหูผ่านตามหาชน และพอคนพูดถึงในโซเชียลก็ยิ่งโหมกระแสให้เรื่องนี้เป็นที่กล่าวขานกันยิ่งขึ้นไปอีก
หลังแอนิเมชันภาคโทรทัศน์จบลง ก็มีการประกาศฉายภาพยนตร์ซึ่งเป็นตอนต่อ และเพื่อไม่ให้ความนิยมซาลงไปเสียก่อน จึงมีการจัดกิจกรรมให้แฟน ๆ ได้สัมผัสกับการ์ตูนเรื่องนี้อย่างต่อเนื่อง โดยให้นักพากย์หรือผู้ร่วมงานมาคุยกันเรื่องสัพเพเหระเกี่ยวกับการ์ตูนเรื่องนี้ หรือให้ข้อมูลประชาสัมพันธ์เพิ่มเติม ผ่านรายการวิทยุหรือรายการโทรทัศน์เฉพาะกิจ อีกทั้งยังมีอีเวนต์ที่ให้นักพากย์ตัวละครหลักมาพากย์สด และมีละครเวทีเรื่องนี้โดยเฉพาะด้วย
เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการจับมือกับธุรกิจอื่น ๆ ในการผลิตสินค้าโดยใช้ธีมของเรื่อง โดยเฉพาะการร่วมมือกับคาเฟ่ ซึ่งจะขายอาหาร ขนม และเครื่องดื่มที่ออกแบบเฉพาะกิจ หรือตั้งชื่อเมนูตามชื่อตัวละครที่นิยม เช่น “เมนูแนะนำของทันจิโร่และเนะซึโกะ” “ข้าวห่อไข่ของเซ็นอิตสึ” เป็นต้น
มีร้านขนมบุฟเฟต์แห่งหนึ่งที่ปกติก็ดังพอสมควรอยู่แล้ว พอมาร่วมมือจัดธีมการ์ตูนเรื่องนี้ก็ยิ่งขายดิบขายดีเป็นประวัติการณ์ พอเปิดจองออนไลน์ก็มีคนจองมากว่า 2 แสนคน และสินค้าที่จำหน่ายเฉพาะกิจก็หมดก่อน ผลิตใหม่ก็ไม่ทัน แถมเดิมทีเล็งกลุ่มลูกค้าหญิงอายุ 20-34 ปี แต่เอาเข้าจริง 1 ใน 4 ของลูกค้าคือมาเป็นครอบครัว บางทีก็มีครบสามรุ่นมาในคราวเดียว ได้ยินว่าอีเวนต์นี้ทำให้ทางร้านได้ฐานลูกค้าใหม่ ๆ เพิ่มขึ้นอีกมาก
พูดถึงครอบครัวที่เป็นแฟนของเรื่องนี้ก็นึกได้ว่า เหตุผลข้อหนึ่งที่ทำให้แอนิเมชันเรื่องนี้ได้รับการตอบรับที่ดีน่าจะเป็นเพราะมีเนื้อหาที่สามารถรับชมได้ในหมู่คนหลายรุ่น ตั้งแต่วัยประถมไปจนถึงวัยสูงอายุ บางบ้านติดเรื่องนี้กันหมดทั้งสามรุ่นทั้งปู่ย่าตายาย ลูก และหลาน ทำให้คนต่างวัยสามารถคุยเรื่องเดียวกันได้อย่างออกรส และอีกอย่างคือตัวละครต่างก็มีแคแรคเตอร์ที่เด่นชัดและมีเสน่ห์ ยิ่งพระเอกนั้นมีนิสัยสุภาพอ่อนโยน ร่าเริง แต่ในขณะเดียวกันก็เข้มแข็ง สู้ชีวิต ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค และไม่อ่อนข้อให้สิ่งที่ไม่ถูกไม่ควร จึงเป็นแคแรคเตอร์ที่ทำให้ใครต่อใครรักและชื่นชอบ อีกทั้งยังได้แรงบันดาลใจตามไปด้วย
สำหรับภาคต่อของแอนิเมชันจะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ญี่ปุ่นกลางเดือนตุลาคมนี้แล้ว ส่วนของไทยได้ข่าวว่าเป็นต้นเดือนธันวาคม เพื่อนผู้อ่านที่ชอบเรื่องนี้คงตั้งหน้าตั้งตารอกัน ส่วนคนที่ยังไม่เคยดู หากมีโอกาสก็ลองพิจารณาเรื่องนี้ดูนะคะ ฉันเชียร์ 😊
แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ.
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง"เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น”ที่MGR Onlineทุกวันอาทิตย์.