xs
xsm
sm
md
lg

เรื่องเล่าจากร้านกาแฟในญี่ปุ่นและอเมริกา

เผยแพร่:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ภาพจาก https://www.inc.com/bill-murphy-jr/
คอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น” โดย “ซาระซัง”


สวัสดีค่ะเพื่อนผู้อ่านที่รักทุกท่าน ยุคนี้คนเมืองคงจะคุ้นเคยกับการไปนั่งตามร้านกาแฟมากขึ้นนะคะ แม้คนที่ใช้บริการร้านกาแฟทั่วโลกจะทำกิจกรรมในร้านกาแฟคล้ายกัน เช่น นั่งทำงาน นั่งเล่น นั่งคุย แต่เท่าที่ฉันสัมผัสมารู้สึกว่าบรรยากาศของร้านกาแฟในแต่ละประเทศออกจะต่างกัน ชวนให้รู้สึกสนุกกับการค้นพบสิ่งใหม่ยามไปร้านกาแฟ

นอกจากร้านกาแฟแต่ละร้านจะมีบรรยากาศต่างกันแล้ว ยังมีวิธีให้บริการลูกค้าไม่เหมือนกันด้วย ฉันขอพูดถึงร้านกาแฟในญี่ปุ่นสองเจ้าที่ใช้บริการบ่อย คือ สตาร์บัคส์ กับ โดโตหรุ (Doutor) จำได้ว่าใครสักคนชอบเรียกร้านหลังว่า “ดูตัว”

ฉันรู้สึกว่าสตาร์บัคส์ญี่ปุ่นเน้นเรื่องการให้บริการมาก และสร้างบรรยากาศของร้านที่ชวนให้รู้สึกอบอุ่นและผ่อนคลาย เหมือนอยู่ในห้องนั่งเล่นที่นั่งสบาย

เวลาต่อคิวซื้อเครื่องดื่ม หากแถวเริ่มยาว พนักงานจะเดินมาถามว่าจะนั่งในร้านหรือจะซื้อกลับ ถ้าจะซื้อกลับก็จะยื่นเมนูให้ดูก่อนว่าจะสั่งอะไร บางทีพนักงานก็จดออเดอร์ตรงนั้นเลย แต่เราก็ต้องยืนต่อแถวตามเดิมอยู่ดีเพื่อรอจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ต่อไป เข้าใจว่าวิธีนี้คงทำให้พนักงานสามารถชงเครื่องดื่มให้ลูกค้าได้เร็วกว่ารอจนกว่าลูกค้าจะสั่งและจ่ายเงินทีเดียวที่เคาน์เตอร์

เวลาจ่ายเงิน เขาจะให้วางบัตรหรือเงินสดในถาดเล็ก ๆ ที่เคาน์เตอร์ชำระเงิน เวลาเขาคืนบัตรมาจะหันบัตรให้เป็นด้านที่เราสามารถอ่านได้ ไม่ตีลังกากลับหัวกลับหาง หรือไม่กลับด้านหน้าเป็นด้านหลัง และเวลาไปรับกาแฟที่ชงเสร็จแล้ว พนักงานจะถือแก้วด้วยสองมือ หรือไม่ก็ด้วยมือเดียวแล้วอีกมือทำท่าประคอง ส่งกาแฟให้อย่างสุภาพ

ภาพจาก https://president.jp/articles/-/25052
ถ้าจะนั่งในร้าน พนักงานจะขอให้ไปหาที่นั่งก่อนแล้วค่อยมาสั่งเครื่องดื่ม ซึ่งเขาจะมีจุดที่จัดไว้ให้นั่งหรือยืนรอโต๊ะว่างด้วย แทบทุกครั้งที่ฉันไปยืนรอโต๊ะ จะเจอคนที่นั่งโต๊ะอยู่ก่อนซึ่งสังเกตเห็นว่ามีคนอื่นมารอโต๊ะแล้ว เขาก็จะรีบเก็บข้าวของลุกไปเพื่อสละที่ให้คนอื่นได้มานั่งบ้าง พอลูกค้าที่ยืนรอโต๊ะอยู่เห็นอย่างนั้น ก็จะขอบคุณคนที่สละที่นั่งให้ เป็นน้ำใจและความซึ้งในน้ำใจที่เห็นแล้วรู้สึกดี ๆ เสมอ

คนต่างชาติมักจะบอกว่าในญี่ปุ่นนั้นแม้จะวางของมีค่าไว้ที่โต๊ะก็ไม่หาย แต่ฉันคิดว่าปัจจุบันอาจจะเปลี่ยนไปเพราะสังคมเปลี่ยน คนก็หลากหลายมากขึ้น ใช่ว่าของจะไม่หายแน่ ๆ ร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นระวังของมีค่าให้ดีที่สุดเพื่อป้องกันเหตุการณ์ที่ไม่อยากให้เกิดขึ้นน่าจะปลอดภัยกว่า

ส่วนที่อเมริกานั้นออกจะแปลกอยู่ คือพอลูกค้าบางคนที่นั่งทำงานกับแล็ปท้อปจะลุกไปห้องนำ้ เขาก็จะบอกลูกค้าที่นั่งเก้าอี้ข้าง ๆ หรือโต๊ะข้าง ๆ ว่าฝากดูของให้ด้วยนะ ครั้งแรกที่ได้ยินอย่างนี้ฉันประหลาดใจมากที่เขากล้าไว้ใจคนแปลกหน้าและไม่กลัวโดนขโมยของ แต่หลัง ๆ ก็เริ่มชิน ถ้าเป็นในญี่ปุ่นซึ่งคนมักจะรับผิดชอบเรื่องของตัวเองและระวังไม่ไปรบกวนคนอื่น ขืนเจอคนอเมริกันมาพูดแบบนี้เข้า คงมีคนญี่ปุ่นตบอกผางแน่เลย

ร้านกาแฟในญี่ปุ่นจะตั้งโต๊ะชิดกันมาก มีระยะห่างแค่พอจะเดินตะแคงตัวเข้าออกได้เท่านั้นเอง และในบางสาขาที่มีที่นั่งชั้นสอง แม้คนจะนั่งกันเต็มทุกโต๊ะ อีกทั้งก็มีคนนั่งคุยกัน แต่บรรยากาศก็ค่อนข้างเงียบ อาจเพราะยิ่งคนเยอะคนญี่ปุ่นก็ยิ่งคุยกันเบา ทำอะไรไม่ให้ส่งเสียงกลายเป็นจุดรวมความสนใจ ถ้าวันไหนฉันเจอบรรยากาศแบบนี้แล้วดันใส่รองเท้าส้นสูงมาจะรู้สึกผิดมาก เพราะเสียงเดินจะดังสนั่นไปทั่วบริเวณจนอยากหายตัวได้ขึ้นมาในบัดดล

บางทีพนักงานสตาร์บัคส์ก็เดินแจกตัวอย่างกาแฟรสใหม่หรือขนมให้แก่ลูกค้าที่นั่งอยู่ในร้านพร้อมกับแนะนำสินค้า ปกติฉันไม่ค่อยสนใจสินค้าใหม่เท่าไหร่ แต่มีอยู่วันหนึ่งในฤดูร้อน พนักงานแจกกาแฟเย็นกลิ่นส้มถ้วยเล็ก ๆ ดื่มแล้วสดชื่น พอกาแฟเดิมที่ตัวเองสั่งมาหมดแล้วแต่ยังอยากนั่งอ่านหนังสือต่อในร้าน ฉันเลยเดินไปสั่งกาแฟเย็นใหม่ชนิดนี้มา ได้ผลสมใจการตลาดของร้านเลย

ภาพจาก https://ameblo.jp/ohohohoho12345
ร้านกาแฟ Doutor เป็นอีกเจ้าที่ฉันไปใช้บริการบ่อยรองลงมา เวลาสั่งชาหรือกาแฟทั่วไป เขาจะไม่ผสมนม น้ำตาล หรือน้ำเชื่อมมาด้วย แต่ให้ลูกค้าไปหยิบเอาจากตะกร้าซึ่งมีนมกับน้ำเชื่อมบรรจุแยกกันในถ้วยจิ๋วและน้ำตาลบรรจุซอง คนญี่ปุ่นไม่ติดหวาน อย่างมากก็ใส่น้ำเชื่อมแค่ถ้วยเดียวต่อกาแฟเย็นหนึ่งแก้ว หรือน้ำตาลหนึ่งซองต่อกาแฟร้อนหนึ่งถ้วย และไม่มีการใส่นมข้นในเครื่องดื่มเลย

ถ้าสั่งขนมหรืออาหาร เขาจะใส่ถาดเล็ก ๆ มาพร้อมผ้าเปียกสำหรับเช็ดมือด้วย ส่วนน้ำเปล่าจะมีแก้วและเหยือกน้ำวางไว้ให้บริการตัวเอง ฉันชอบตรงที่ญี่ปุ่นนิยมใช้แก้วน้ำที่สามารถล้างแล้วนำมาใช้ซ้ำได้ ถ้าเป็นที่นิวยอร์กจะใช้ถ้วยพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง แถมหลายร้านใช้พลาสติกชนิดดีเสียด้วย เห็นแล้วแสนเสียดายที่อุตส่าห์รณรงค์เลิกใช้หลอดพลาสติกกันทั่วโลก แต่กลับเพิ่มขยะพลาสติกชนิดอื่นอีกมากมายแทน

ภาพจาก https://cafe-tatsujin.com/cafe/doutor/morning-german-dog/
ก่อนจะออกจากร้านกาแฟในญี่ปุ่น ทุกคนจะทราบว่าเป็นหน้าที่ที่จะต้องเอาถ้วยกาแฟหรือจานไปวางไว้ในที่คืนภาชนะ และเอาขยะไปทิ้งให้เรียบร้อย ไม่วางทิ้งไว้ที่โต๊ะให้ไม่น่าดู ถ้าเป็นที่สตาร์บัคส์มักจะมีพนักงานมารับภาชนะหรือขยะไปจากมือลูกค้าพร้อมรอยยิ้มร่าเริงและคำขอบคุณ ทำให้ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กันด้วยความรู้สึกขอบคุณ

ฉันคิดว่านั่นเป็นวิธีบริการลูกค้าที่ฉลาดทีเดียว เพราะสร้างความรู้สึกที่ดีประทับในความทรงจำของลูกค้าเป็นอย่างสุดท้ายก่อนออกจากร้านไป แทนที่จะเพียงแค่ขายสินค้าให้ลูกค้าได้แล้วก็ไม่ต้องใยดีอะไรต่อกันอีก พอลูกค้ากินดื่มเสร็จก็จากไปอย่างรู้สึกว่าหมดธุระกับร้านนี้แล้ว แต่พอได้เห็นพนักงานที่กระตือรือร้นในการให้บริการตั้งแต่เข้าร้านจนกระทั่งออกจากร้านแบบสตาร์บัคส์ญี่ปุ่น ก็ทำให้ลูกค้าจดจำร้านนั้นไว้ด้วยความรู้สึกดี ๆ

ทั้งญี่ปุ่นและอเมริกาจะมีร้านกาแฟบางร้านที่มาตั้งสาขาอยู่ในร้านหนังสือใหญ่ ๆ ด้วย พร้อมทั้งมุมสำหรับนั่งอ่านหนังสือ แปลกใจเหมือนกันว่าทางร้านหนังสือจะไม่กลัวคนทำกาแฟหกใส่หนังสือหรือ ไม่กลัวว่าคนจะอ่านแต่ไม่ซื้อหนังสือหรือ ฉันเคยไปซื้อกาแฟและนั่งอ่านหนังสือตามร้านแบบนี้เหมือนกัน ไม่คิดว่าจะซื้อหนังสือเล่มนั้น แต่พออ่านไปก็ชักจะติดใจ เกือบจะเสียสตางค์ แต่อดใจรอไว้ก่อนว่าถ้ายังอยากอ่านมากจริง ๆ ไว้วันหลังค่อยมาซื้อ สุดท้ายก็เลยไม่ต้องเสียสตางค์

ร้านกาแฟที่อเมริกาจะมีความเป็นกันเองมาก และเป็นเรื่องปกติที่คนแปลกหน้าจะคุยกัน ฉันเคยไปสั่งกาแฟแล้วพนักงานถามว่าจะใส่วิปครีมด้วยไหม(ฟรี) ฉันลังเลเล็กน้อยเพราะชอบแต่รู้ว่าไม่ดีต่อสุขภาพ ฝรั่งร่างใหญ่ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ หันมาเสนอแนะอย่างอารมณ์ดีว่า “ใส่ไปเล้ย” พนักงานพลอยเชียร์ด้วยอีกคน “ช่าย อุตส่าห์เป็นสุดสัปดาห์ทั้งทีนา” ....ฉันหัวเราะ สุดท้ายเลยต้องใส่วิปครีม

ภาพจาก https://www.cumanagement.com/
มีร้านกาแฟแห่งหนึ่งใกล้บ้านที่ฉันไปใช้บริการบ่อยเพราะเหมาะแก่การนั่งทำงานนาน ๆ มีอยู่วันหนึ่งฉันนั่งโต๊ะยาวซึ่งมีลูกค้าคนอื่น ๆ นั่งทำงานอยู่ด้วยกันอีกสองคน สักพักมีฝรั่งวัยกลางคนมานั่งตรงข้าม เขาเปิดกระเป๋าสะพาย หยิบแล็ปท้อปและอุปกรณ์อื่น ๆ ออกมา ที่เตะตาที่สุดคือสายพ่วง คงกะว่าอาจจะได้ที่นั่งไกลจากเต้าเสียบปลั๊กไฟจึงเตรียมมาด้วย ฉันเห็นแล้วทั้งขำทั้งทึ่ง เลยเอ่ยปากบอกเขายิ้ม ๆ ว่า “คุณเตรียมพร้อมมากเลย” เขาหัวเราะ แล้วจากนั้นก็เลยคุยกันสัพเพเหระ เขาบอกว่าเขาชอบถ่ายรูป แล้วก็หยิบซองใส่รูปถ่ายออกมาให้ฉันดู เขาบอกให้เลือกรูปที่ชอบไปใบหนึ่ง ก่อนจะเซ็นชื่อบนรูปนั้นให้

อยู่อเมริกาก็สนุกดีตรงที่อยากคุยกับใครก็คุยได้ราวกับรู้จักมักจี่กันมาก่อน ฉันมีเพื่อนสนิทชาวอเมริกันคนหนึ่งที่รู้จักกันได้เพราะอย่างนี้ นานมาแล้วตอนนั้นฉันกับครอบครัวไปเที่ยวที่ต่างจังหวัด เจอคนผิวดำท่าทางเหมือนมาคนเดียวนั่งรับประทานข้าวอยู่โต๊ะเดียวกัน ฉันก็เลยทักและชวนคุย ซึ่งนับว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต ไม่อย่างนั้นเราคงไม่ได้เป็นเพื่อนรักกันมาหลายสิบปีแล้วอย่างในปัจจุบัน

เล่าไปเล่ามาก็ชักจะอยากไปร้านกาแฟขึ้นมาเสียอย่างนั้น แล้วเพื่อนผู้อ่านมีเรื่องราวประทับใจจากร้านกาแฟกันไหมคะ อย่าลืมเล่าสู่กันฟังบ้าง แล้วพบกันใหม่สัปดาห์หน้า สวัสดีค่ะ.

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
"ซาระซัง" เธอเคยใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงโตเกียวนานกว่า 5 ปี ปัจจุบันติดตามสามีไปทำงาน ณ สหรัฐอเมริกา ติดตามคอลัมน์ “เรื่องเล่าสะใภ้ญี่ปุ่น”ที่MGR Onlineทุกวันอาทิตย์.



กำลังโหลดความคิดเห็น