เอเอฟพี - เครือร้านกาแฟแบรนด์ดัง “สตาร์บัคส์” ประกาศถอนโฆษณาออกจากสื่อสังคมออนไลน์เมื่อวานนี้ (28 มิ.ย.) เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ยับยั้งการเผยแพร่ข้อความยั่วยุให้เกิดความเกลียดชัง หรือ “hate speech”
“เราเชื่อในการหลอมรวมชุมชนเข้าด้วยกัน ทั้งในชีวิตจริงและแพลตฟอร์มออนไลน์ และเราขอยืนหยัดต่อต้าน hate speech” สตาร์บัคส์ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่นครซีแอตเติล และมีเชนร้านกาแฟหลายหมื่นแห่งทั่วโลก ระบุในคำแถลง “เราเชื่อว่า มีอีกหลายอย่างที่จำเป็นต้องทำ เพื่อสร้างชุมชนออนไลน์ที่เป็นมิตรและหลอมรวมคนทุกกลุ่ม และเราเชื่อว่า ผู้นำธุรกิจและผู้กำหนดนโยบายจำเป็นต้องร่วมมือกันเพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลง”
“เราจะระงับการซื้อโฆษณาออนไลน์ในทุกแพลตฟอร์ม ระหว่างที่มีการหารือภายในบริษัทและกับหุ้นส่วนสื่อมวลชนและองค์กรด้านสิทธิพลเมือง เพื่อยับยั้งการเผยแพร่ถ้อยคำยั่วยุความเกลียดชัง”
ขณะที่สังคมอเมริกันกำลังตั้งข้อถกเถียงเกี่ยวกับข้อความ hate speech ที่แพร่ระบาดหนักในโซเชียลมีเดีย สตาร์บัคส์กลายเป็นธุรกิจรายล่าสุดที่ดำเนินรอยตามบริษัทใหญ่ๆ อย่าง ยูนิลีเวอร์ และ โคคา-โคลา ซึ่งได้ประกาศถอนโฆษณาในสื่อสังคมออนไลน์ตั้งแต่วันศุกร์ที่ผ่านมา (26)
แพลตฟอร์มโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “เฟซบุ๊ก” ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักที่ไม่มีมาตรการลบโพสต์ ซึ่งกระตุ้นความเกลียดชังหรือแสดงถึงการแบ่งแยกทางสีผิว
NAACP ซึ่งเป็นองค์กรด้านสิทธิมนุษยชนที่ต่อสู้เพื่อชาวอเมริกันผิวสี และสันนิบาตต่อต้านการใส่ร้าย (Anti-Defamation League) ได้ออกมารณรงค์ให้บริษัทต่างๆ ร่วมกันบอยคอตเฟซบุ๊กในเดือนหน้า
อย่างไรก็ดี ทั้ง สตาร์บัคส์ และ โคคา-โคลา ประกาศไม่เข้าร่วมแคมเปญดังกล่าว โดยทางสตาร์บัคส์ยืนยันว่าจะยังคงใช้โซเชียลมีเดียเป็นช่องทางสื่อสารกับลูกค้าและพนักงานตามปกติ
ทั้งนี้ สตาร์บัคส์ซึ่งมีพนักงานที่เป็นชนชาติกลุ่มน้อยในสหรัฐฯ อยู่เป็นจำนวนมาก เคยตกเป็นข่าวอื้อฉาวเรื่องปัญหาการเหยียดผิวมาแล้ว
เมื่อเดือน เม.ย. ปี 2018 พนักงานร้านสตาร์บัคส์ในเมืองฟิลาเดลเฟีย ได้โทร.แจ้งตำรวจให้มาจับชายผิวสี 2 คนฐานบุกรุก หลังจากชายทั้งสองเข้าไปนั่งในร้านโดยไม่ยอมสั่งกาแฟ แถมปฏิเสธที่จะออกจากร้านด้วย อย่างไรก็ตาม ท้ายที่สุดแล้วทั้งสองคนก็ได้รับการปล่อยตัวในเวลาต่อมา โดยสำนักงานอัยการเขตบอกว่าไม่มีหลักฐานว่าพวกเขาก็ก่ออาชญากรรมใดๆ
สตาร์บัคส์ได้แถลงขออภัยในเรื่องนี้ และรับปากจะไม่ปล่อยให้เกิดเหตุการณ์เหมือนเช่นที่เมืองฟิลาเดลเฟียอีก ทั้งยังสั่งปิดสาขาในสหรัฐฯ กว่า 8,000 แห่งเป็นการชั่วคราว เพื่อฝึกอบรมพนักงานให้มีความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเชื้อชาติ