สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว ช่วงนี้ทุกคนคงตามข่าวและสถานการณ์ต่างๆ ก็ต้องรับฟังข่าวสารที่ถูกต้อง มีสติและอย่าตื่นตะหนกจนเกินไปนะครับ เห็นบางคนคุยกันก็เถียงกันไม่ลงรอยกัน ที่ญี่ปุ่นก็มีคำกล่าวไว้ว่า "จากความแตกต่างของเพศชายกับเพศหญิง ดูจะมีความร้ายแรงสาหัสสากรรจ์ มากกว่าเรื่องเชื้อชาติ สัญชาติและช่องว่างของช่วงวัยเสียอีก"
ผมมีเพื่อนที่รู้จักกันมาหลายสิบปี ตั้งแต่ตอนที่ผมเป็นนักเดินทาง แบ็คแพ็คเกอร์ (Backpacker) เจอกันที่ต่างประเทศและได้ติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ หลายปีก่อนเขาย้ายมาอยู่ประเทศไทยด้วยวีซ่าสำหรับชาวต่างชาติเกษียณอายุ และเขาก็อยู่ของเขาเรื่อยมา นานๆ ทีก็ได้มาพบกับผมบ้าง เขาเล่าว่ามีคนญี่ปุ่นและเพื่อนๆ เขาหลายคนถามเขาว่า การที่เขามาอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ต่างภาษา ต่างวัฒนธรรม แถมมาตอนที่อายุเยอะมากแบบนี้ไม่มีปัญหาการดำรงชีวิตเลยหรือ เขาตอบว่าไม่เป็นปัญหาเลย เขาอยู่ของเขาได้เรื่อยๆ สบายดี เขาบอกว่าการที่เขามาอยู่แบบนี้ยังมีปัญหาเรื่องความเข้าใจน้อยกว่าการคุยกับผู้หญิงบ้างคนเสียอีก นัยว่าผู้หญิงกับผู้ชายนั้นคิดต่างกันเข้าใจยาก ซึ่งถ้าให้คิดในมุมมองของคนญี่ปุ่นผมก็เข้าใจที่เขาบอกว่าผู้หญิงกับผู้ชายคิดต่างกันและเข้าใจยาก และที่จริงคนญี่ปุ่นเองก็เข้าใจยากด้วย
จากสื่อต่างๆ ก็มีเขียนไว้มากมายที่ว่าผู้หญิงกับผู้ชายนั้นต่างกันหลายอย่าง แค่เรื่องแนวคิดและพฤติกรรมก็มีหลายเรื่องที่ผู้หญิงกับผู้ชายก็มีความคิดเห็นที่แตกต่างกันใช่ไหมครับ เช่น
●ที่บอกว่าผู้หญิงจะทำกิจกรรมหลายๆ อย่างได้ในเวลาเดียวกันเช่น ทำกับข้าวไปด้วยในขณะที่มือหนึ่งก็ผัดๆ อาหารในกระทะ และคุยโทรศัพท์ไปด้วย เปิดเพลงหรือดูทีวีไปด้วย แต่ผู้ชายทำแบบนั้นไม่ได้ เพราะสมองของผู้ชายถูกสร้างมาให้ต้องจดจ่ออยู่กับกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่งเท่านั้น
●ที่บอกว่า ผู้ชายมีทักษะในการคิดวิเคราะห์ดีกว่าผู้หญิง เนื่องจากความแตกต่างทางสมองส่วนที่เกี่ยวกับการคิดวิเคราะห์มากกว่า ผู้ชายจึงมีทักษะในการคิดวิเคราะห์และแก้ปัญหาด้วยหลักการอย่างเป็นระบบมากกว่า
●ส่วนเรื่องการใช้ภาษา การสื่อความต้องการ นั้นจะสังเกตุเห็นว่า ผู้หญิงมักจะใช้คำพูดอ้อม ๆ เพื่อบอกความต้องการ ต่างจากผู้ชายที่จะพูดออกมาตรง ๆ แต่สำหรับสังคมญี่ปุ่นบางทีข้อนี้ก็ใช้ไม่ได้เพราะส่วนใหญ่ก็ไม่พูดออกมาตรงๆ บางทีคิดอะไรยังแปลไม่ออกเลย
Ex: 24時間TVの100km marathon เช่น รายการโทรทัศน์บางรายการ ที่จะจัดกิจกรรมขึ้น อย่างรายการทีวี 24 ชั่วโมง ยกตัวอย่างตอนที่ให้นักแสดงตลกสาวมาวิ่งมาราธอน 100 กิโลเมตร แล้วจะมีคนมาแสดงความรู้สึก บางคนทำท่าเหมือนสงสารแต่ก็ร้องไห้ไม่ออก มันเหมือนการจัดฉากแสดง ที่ญี่ปุ่นมีวลีหนึ่งเปรียบเทียบความรู้สึกลักษณะนี้ว่า เป็นความรู้สึกตื่นเต้นที่ไม่น่าจดจำ คือคล้ายๆ เวลาที่คนเราดูสื่อโป๊ลามกแล้วจะรู้สึกกระตุ้นอารมณ์ใช่ไหมครับ แต่พอดูจบก็ไม่ได้อยู่ในสมอง ไม่สามารถจดจำรายละเอียดของเรื่องนั้นได้ หรือไม่ได้เป็นสิ่งที่ประทับอยู่ในใจ นั่นเองรายการดังกล่าวจึงมีคนบอกว่ามันเหมือนการจัดฉาก ไม่รู้คนที่มาแสดงรู้สึกอย่างไรกันแน่ ดูยาก ดูไม่ออก เพราะคนญี่ปุ่นบางทีก็จะไม่ได้ชื่นชมใครจริงๆ ก็มีบ้างที่อาจจะชื่นชมอย่างจริงใจ แต่บางคนก็ต้องพยายามทำให้เห็นว่าตัวเองมีอารมณ์ร่วม พยามจะร้องไห้แต่ก็ไม่สามารถร้องไห้ออกมาได้เพราะเรื่องที่เขารับรู้หรือรับฟังนั้นมันไม่ใช่เรื่องจริง แต่ถ้าเป็นเรื่องชีวิตจริง (real life) คงสามารถเรียกความรู้สึกลึกๆ ของคนออกมาได้
●ที่บอกว่าผู้ชายมักจะอ้างอิงข้อเท็จจริง เหตุผล และตรรกะ ส่วนผู้หญิงมักจะเน้นอารมณ์ ความรู้สึกมากกว่า
ช่วงนี้ที่ญี่ปุ่นมีการเรื่องเล่าประทับใจที่คุยกันในโลกโซเชี่ยล ผมอ่านมาจากเวปเพจของญี่ปุ่น เป็นเรื่องเล่าของหนุ่มสาวที่แต่งงานกัน โดยสาวมาเล่าความประทับใจครั้งหนึ่งในวันที่จะแต่งงาน เรื่องราวที่เธอนำมาเล่าให้คนในอินเตอร์เน็ตฟัง คือ
สาวชื่อคุณยูนะ เล่าว่า
" เมื่อสิบกว่าปีที่ผ่านมา ตอนที่ฉันไปเยี่ยมทักทายครอบครัวของสามีเพื่อพูดคุยเรื่องการแต่งงานของพวกเรา วันนั้นคุณตาของสามีดูจะร่าเริ่งและมีความสุขเป็นพิเศษ ท่านแสดความยินดีมากๆ สำหรับการแต่งงานของหลานคนแรก แต่ทว่าเดือนต่อมาก็ได้ทราบข่าวร้ายว่าคุณตาเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย
ไม่น่าเชื่อเลยว่าหลังจากที่รู้ผล คุณตาก็ป่วยอยู่บ่อยๆ เจ็บกระออดกระแอด ต้องเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น
งานแต่งงานมีกำหนดที่จะจัดปีหน้าหลังจากที่พูดคุยกันในวันนั้น แต่ด้วยความคาดหวังต่างๆ ของทุกคน และคุณแม่ของสามีก็ทำให้พวกเราต้องพยายามหาสถานที่ที่สามารถจัดงานแต่งงานให้ได้ไวขึ้นจากแผนการเดิม
ในระหว่างนี้คุณตาก็มีอาการแย่ลงอย่างรวดเร็วและก็นอนติดเตียงนานขึ้น และดูเหมือนว่าท่านไม่น่าจะมาร่วมงานกับเราได้
คุณแม่สามีขอร้องว่า "ให้จัดงานแต่งงานไปตามแผนกำหนดการเดิมก็ได้ เพียงแต่ว่าอยากให้ถ่ายชุดกิโมโนแต่งงานให้คุณตาดูก่อน"
พวกเรามีเวลาเหลือน้อยลงทุกที ... สามีของฉันและฉันกลับบ้านในวันหยุดสุดสัปดาห์
เราไปถ่ายภาพชุดกิโมโนแต่งงานที่สตูดิโอที่ครอบครัวสามีของฉันเลือกใช้มาเนิ่นนาน หลังจากที่จะเปลี่ยนเป็นชุดอื่นๆ คุณแม่สามีดูเหมือนว่าจะคิดตรึกตรองบางอย่างและตัดสินใจบอกว่า เอาแบบนี้ดีกว่า
"แต่งตัวแบบนี้และ ไปโรงพยาบาลกันเดี๋ยวนี้เลย ให้คุณตาเห็นหลานๆ ทั้งสองในชุดแบบนี้!!
แต่คุณพ่อท่านไม่เห็นด้วย เพราะการที่จะไปเยี่ยมคนไข้ที่โรงพยายบาลนั้นมีเงื่อนไขมากมาย และเรื่องสภาพแวดล้อมจิตใจของคน และอาจจะมีคนที่ไม่ชอบก็ได้
เมื่อคุณพ่อต่อต้าน แต่คุณแม่นำเสนอให้ทำเช่นนี้ สามีของฉันผู้ที่เงียบกริบและไม่เคยออกปากอะไร ก็พูดออกมาว่า
"ผมอยากจะให้คุณตาของผมได้เห็น และยินดี ไปกันเถอะ ถ้าเราไม่ได้ทำในวันนี้ คุณแม่ก็จะเสียใจตลอดไปของส่วนที่เหลือของชีวิตของเธอ "
คุณลุงเจ้าของร้านและสตูดิโอภาพก็พร้อมเห็นด้วย ไปไหนไปกัน ! ด้วยชุดเจ้าสาวที่ต้องเดินอย่างระมัดระวัง แล้วพวกเราก็รีบตรงไปโรงพยาบาลกันอย่างรวดเร็ว! และแล้วทุกคนก็พร้อมใจกันรีบไปโรงพยาบาลทุกคน
เมื่อเราได้รับอนุญาตจากโรงพยาบาลแล้วจึงมุ่งหน้าไปยังห้องพยาบาลของคุณตา
เราเดินไปตามทางของโรงพยายบาลด้วยชุดกิโมโนบ่าวสาวแบบจัดเต็ม คนอื่นๆ ในโรงพยาบาลมองเราด้วยสายตาแปลกๆ
เมื่อถึงห้องพยาบาลของคุณตา เมื่อสามีของฉันพูดกับคุณตา คุณตาลืมตาขึ้นพร้อมกับสายและท่อออกซิเจนรุงรัง แม้ว่าท่านไม่สามารถเปล่งเสียงออกมาเป็นคำได้ เปล่งเสียงได้แค่ "อุ อุ อุ อุ ... " ทุกคนร้องไห้ ฉันร้องไห้และจับมือของสามีแน่น
คุณแม่ก็ร้องไห้ ไม่คิดว่าทุกคนควรร้องไห้ด้วยเหตุผลบางอย่างแต่มันก็ยากที่จะฉีกยิ้มออกมาในตอนนั้น
เมื่อพวกเราออกจากห้องพยาบาลของคุณตา ฉันประหลาดใจที่พบว่าผู้ป่วยจำนวนมากและคนอื่นๆ อีกหลายคนรอคอยการเยี่ยมคุณตาของครอบครัวเราที่โถงทางเดินและต่างพูดว่า ว้าว! ชุดเจ้าสาวๆ ! ยินดีด้วยๆ ! ผู้คนจำนวนมากต่างก็ปรบมือและเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
มันเป็นช่วงเวลาที่สดใสราวกับว่าไม่ใช่โรงพยาบาล ฉันคิดว่ามันเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายที่ฉันได้รับการกล่าวแสดงความยินดี จากคนที่ฉันได้พบเป็นครั้งแรก
จากนั้นเพียงไม่กี่วันต่อมาคุณตาก็จากเราไป การตัดสินใจของคุณแม่และสามีในวันนั้นแม้ว่ากาลเวลาจะผ่านมากว่าสิบปีแล้ว ก็ยังมีความหมายต่อฉันมาก ขอบคุณมากสำหรับการตัดสินใจของคุณแม่และสามีในวันนั้น
ขอบคุณมากสำหรับทุกสิ่งที่ดีที่ฉันได้พูดกับทุกคน ขอบคุณที่รับฟังและให้กำลังใจ
ทั้งหมดที่ฉันได้รับ คือช่วงเวลาที่สำคัญทั้งหมดที่ฉันมีในใจ และฉันขอโทษที่ฉันไม่สามารถตอบทุกคนได้ แต่ขอขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจค่ะ "
เรื่องนี้มีคนมาตามอ่านและแสดงความคิดเห็นกันมากมาย บางคนถึงกับร้องไห้ตามไปด้วยเพราะมันฟังดูเป็นเรื่องของชีวิตจริง แต่บางคนก็ไม่รู้สึกอะไร บางครั้งคนเราก็มีสิ่งกระตุ้นไม่เหมือนกัน เรื่องจดหมายแต่งงานถึงคุณแม่นี้ มีหลายคนวิพากษ์วิจารณ์แต่ผมอ่านแล้วก็รู้สึกประทับใจมาก
วันนี้คุยกันเบาๆ อย่าลืมรักษาสุขภาพนะครับ สวัสดีครับ