ญี่ปุ่นจะเพิ่มบทบาทระหว่างประเทศอย่างมากในทศวรรษ 2020 ทั้งการเยือนญี่ปุ่นของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง เสนอตัวเป็น“โซ่ข้อกลาง” ในตะวันออกกลาง และหาทางเจรจากับเกาหลีเหนือ
หลังจากนายกฯ ชินโซ อาเบะ สร้างฐานอำนาจอย่างมั่นคงในประเทศ จนเป็นผู้นำญี่ปุ่นที่อยู่ในตำแหน่งยาวนานที่สุดแล้ว เขามุ่งหวังที่ทวงคืนความยิ่งใหญ่ให้กับแดนอาทิตย์อุทัย ทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เปิดทางให้กองกำลังป้องกันตนเองมีบทบาทใกล้เคียงกับกองทัพมากขึ้น รวมถึงสร้างดุลอำนาจใหม่ หลังจากเผชิญกับ “ลูกบ้า” ที่คาดเดาไม่ได้ ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐ
ทรัมป์จับมือคิม ทิ้งญี่ปุ่น
เกาหลีเหนือคือเป้าหมายเบอร์ 1 ของนโยบายต่างประเทศญี่ปุ่น โสมแดงไม่เพียงทดลองขีปนาวุธข่มขู่ญี่ปุ่นหลายครั้ง แต่ยังมีกรณีเรื่องที่เกาหลีเหนือลักพาตัวชาวญี่ปุ่น ซึ่งยังคงไม่ได้รับการคลี่คลายจนถึงทุกวันนี้
ยุทธศาสตร์ต่อเกาหลีเหนือของญี่ปุ่นต้องถูก “ล้มกระดาน” เมื่อประธานาธิบดีทรัมป์เจรจาตัวต่อตัวกับนายคิม จ็องอึน จนญี่ปุ่นกลายเป็น “เมียเก็บเจ็บจนตาย” เพราะประเด็นต่าง ๆ ที่ญี่ปุ่นฝากสหรัฐไปเจรจากับโสมแดงไม่ได้รับการตอบสนองจากสหรัฐเลย
ซ้ำทรัมป์ยังประกาศอีกว่า “ไม่ขัดข้องกับการทดลองยิงขีปนาวุธระยะใกล้ของเกาหลีเหนือ” เท่ากับหมายความว่า โสมแดงจะยิงขีปนาวุธผ่านญี่ปุ่นก็ไม่เป็นไร ขอให้อย่ายิงมาถึงสหรัฐก็พอ
นายกฯ ชินโซ อาเบะ จึงประกาศว่า “พร้อมจะเจรจาตัวต่อตัวกับนายคิม จ็องอึน โดยไม่มีเงื่อนไขล่วงหน้า” แต่ผู้นำโสมแดงก็หาได้เห็นญี่ปุ่นอยู่ในสายตาไม่
ความสัมพันธ์กับเกาหลีเหนือซับซ้อนยิ่งขึ้น ไม่เพียงเพราะท่าทีของผู้นำสหรัฐ แต่ยังมีผลจากเกาหลีใต้ หลังจากที่นายมุน แจอิน ขึ้นเป็นประธานาธิบดี โดยมีนโยบายผูกสัมพันธ์กับเกาหลีเหนืออย่างเต็มตัว จนเหมือนญี่ปุ่นถูกโดดเดี่ยว
เดิมทีญี่ปุ่นใช้เกาหลีใต้เป็นสะพานติดต่อ รวมทั้งสอดแนมเกาหลีเหนือ แต่สถานการณ์ได้เปลี่ยนไป เมื่อเกิดกรณีพิพาทเรื่องการบังคับใช้แรงงานในช่วงสงครามโลก จนลุกลามกลายเป็นการตอบโต้ทางการค้า โดยญี่ปุ่นสั่งจำกัดการส่งออกวัสดุไฮเทคไปยังเกาหลีใต้ โดยอ้างว่าวัสดุเหล่านี้อาจถูกลักลอบส่งไปให้เกาหลีเหนือผลิตอาวุธ แต่ความจริงแล้วก็เห็นชัดว่า ญี่ปุ่นต้องการ “ตัดเส้นเลือด” ของเกาหลีใต้ ที่ต้องพึ่งวัสดุเหล่านี้จากญี่ปุ่นเพื่อใช้ผลิตเป็นสมาร์ทโฟนและเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งเป็นสินค้าส่งออกสำคัญของเกาหลีใต้
เกาหลีใต้ถึงแม้จะได้เจ็บหนักจากมาตรการตอบโต้ของญี่ปุ่น แต่รัฐบาลมุน แจอิน ก็มั่นใจว่า สามารถใช้เกาหลีเหนือเป็นพันธมิตรในการรับมือญี่ปุ่นได้ มุน แจอิน ประกาศว่า เกาหลีใต้วันนี้จะไม่ยอมเป็น “ลูกไล่” ของญี่ปุ่นอีกต่อไป และยังบอกว่าจะนำพาเกาหลีใต้แซงหน้าญี่ปุ่นให้ได้
การยกเลิกข้อตกลงแลกเปลี่ยนข่าวกรอง “จีโซเมีย” GSOMIA ระหว่างเกาหลีใต้และญี่ปุ่น ก็เป็นเครื่องมือหนึ่งที่รัฐบาลมุน แจอิน ใช้ “ตัดสะพาน” ไม่ให้ญี่ปุ่นรู้เรื่องของเกาหลีเหนือ ถึงแม้ว่าสุดท้ายแล้ว เกาหลีใต้จะยอมตามแรงกดดันของสหรัฐ กลับเข้าสู่ข้อตกลงแลกเปลี่ยนข่าวกรอง แต่ว่าสถานการณ์คงไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว
ผู้นำระดับสูงในญี่ปุ่นหลายคนยังคงมองว่า เกาหลีเหนือเป็น “ภัยคุกคามตลอดกาล” และเห็นเกาหลีใต้เป็น “อดีตประเทศราช” ทัศนคติเช่นนี้ทำให้เกาหลีเหนือยิ่งได้ทีขี่แพะไล่ และมุ่งเจรจากับสหรัฐเท่านั้น โดยข้ามญี่ปุ่นไป
ส่วนความสัมพันธ์กับเกาหลีใต้ ก็ใช่ว่าจะใช้ “เงินฟาดหัว” เหมือนที่รัฐบาลนายอาเบะเคยเสนอจ่ายเงิน 1 พันล้านเยน ให้กับรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดีพัค กึมเฮ ของเกาหลีใต้ เพื่อยุติปัญหา “ทาสกาม” ในช่วงสงคราม ไม่ให้รื้อฟื้นขึ้นมาอีก แต่พอมุน แจอึน ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ข้อเสนอนี้ก็ถูกล้มโต๊ะทันที เนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับจากชาวเกาหลีใต้จำนวนมาก
สิ่งที่ประชาชนชาวเกาหลีต้องการจากญี่ปุ่นไม่ใช่ “เงิน” แต่คือ “เกียรติภูมิ” นี่คือสิ่งที่นายคิม จ็องอึน และนายมุน แจอิน ผู้นำสองเกาหลีพูดตรงกันว่า หากจะเจรจากับญี่ปุ่นก็ต้องอยู่บนความ “จริงใจ” และ “เท่าเทียม”
ผู้นำสหรัฐอย่างโดนัลด์ ทรัมป์ พบกับคิม จ็องอึน ผู้นำเกาหลีเหนือ เป็นเรื่องที่ทั่วโลกไม่เคยคาดคิดมาก่อน โอกาสที่นายชินโซ อาเบะ จะได้พบกับนายคิม จ็องอึน แบบตัวต่อตัวตามที่ต้องการนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ที่ญี่ปุ่นจะเสนอให้เท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับ “ใจ” ของฝ่ายญี่ปุ่นด้วย.