สวัสดีครับผม Mr.Leon มาแล้ว อาทิตย์ก่อนผมมีธุระที่ญี่ปุ่นเลยถือโอกาสกลับบ้านและนัดพบเพื่อนๆ ก็ออกนอกบ้านทุกวัน ยุ่งทุกวัน เหนื่อยอยู่เหมือนกันนะครับเพราะตะลอนๆ ไม่ได้หยุดเลย แม้ว่าจะใช้เวลาที่ญี่ปุ่นแค่ไม่ถึง10 วัน แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่ก็ทำให้ผมได้เห็นสิ่งที่แตกต่างจากความคุ้นชินเดิมๆ และรู้สึกว่าได้รีเฟรชชีวิตตัวเองอยู่เหมือนกันครับ
ช่วงสัปดาห์ที่ผมกลับไปญี่ปุ่นเป็นช่วงที่มีการจัดงานพระราชพิธีเฉลิมฉลองขึ้นครองราชย์ของจักรพรรดิองค์ใหม่ด้วย คิดว่าทุกคนก็อาจจะพอทราบความหมายของจักรพรรดิแล้ว เพราะมีหนังสือหลายๆ เล่มที่เขียนอธิบายเอาไว้ แต่ถ้าถามว่าคนญี่ปุ่นตีความหมายของคำว่าจักรพรรดิของประเทศญี่ปุ่นว่าอย่างไร?! คงมีหลายมุมมอง ถ้าให้สรุปง่ายๆ คนญี่ปุ่นตีความหมายของคำว่าจักรพรรดิ คือผู้ที่มีความเป็นใหญ่ที่สุดของชินโต และถ้าจะให้อธิบายคำว่าชินโตว่าคืออะไรก็เป็นเรื่องที่ยากมากอีกเหมือนกันที่จะถอดคำอธิบายและความรู้สึกของคนญี่ปุ่นเกี่ยวกับชินโตออกมาบรรยายทางตัวอักษร แต่ชินโตก็เป็นศาสนาที่มีมาตั้งแต่ดั้งเดิมก่อนที่ศาสนาพุทธจะถูกเผยแพร่เข้ามายังประเทศญี่ปุ่น ทว่าก็มีเทพเจ้าหรือสิ่งเคารพบูชาหลายสิ่งที่พ้องและเหมือนกับพุทธศาสนาอยู่เหมือนกันซึ่งเป็นเรื่องที่แปลก ซึ่งเทพเจ้าต่างๆ ไม่ว่าจะศาสนาไหนๆ ล้วนเป็นเรื่องทางความเชื่อและเป็นสิ่งยึดเหยี่ยวทางจิตใจ คนที่นับถือศาสนานั้นๆ ก็จะไปนมัสการถวายความเคารพกราบไหว้ใช่ไหมครับ ผมเองเคยมีโอกาสอุปสมบทที่วัดไทยแห่งหนึ่งในบวรพระพุทธศาสนา นิกายเถรวาทและผมก็นับถือพระพุทธศาสนาทั้งนิกายเถรวาทแต่ในขณะเดียวกันผมก็สามารถที่จะไปทำความเคารพเทพเจ้าของชินโตได้ ซึ่งกรณีแบบนี้ไม่ใช่เป็นเรื่องที่ผิด แต่ถ้าพูดถึงเรื่องชินโตอีกประเด็นหนึ่งสำหรับคนญี่ปุ่นแล้วค่อนข้างเป็นเรื่องที่อ่อนไหวและเป็นเรื่องที่น่ากลัวสักเล็กๆ เพราะว่าดั้งเดิมแต่ก่อนมานั้นมีส่วนหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับสงครามด้วย
ที่ญี่ปุ่นมีนักร้องนักแต่งเพลงคนหนึ่งชื่อ 長渕剛 Nagabuchi Tsuyoshi เขาเป็นคนที่แต่งเพลงและร้องเพลงด้วยตัวเอง มีความเป็น Artist มากๆ เล่นกีตาร์เอง ร้องเพลงเอง เพลงหลายๆ เพลงเป็นเพลงที่มีคนฟังเยอะ ถือว่าได้รับความนิยมมากเหมือนกัน อย่างเช่นเพลง 乾杯 Kampai ซึ่งหลายคนใช้เพลงนี้เป็นเพลงประกอบพิธีแต่งงาน, หรือเพลงแมลงปอ とんぼ Tonbo เป็นเรื่องที่พูดถึงความยากลำบากในชีวิตลูกผู้ชายญี่ปุ่น และอีกเพลงหนึ่งอาจจะไม่เด่นดังเท่ากับเพลงอื่นๆ แต่ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจนั่นก็คือเพลง Run นี้ก็เป็นเพลงที่เกี่ยวกับชีวิตความยากลำบากของชายหนุ่มญี่ปุ่น แต่ว่าจะเล่นออกมาในแง่ที่ว่า เวลาไปทำบุญที่ศาลเจ้า ชายหนุ่มอยากรู้ว่าถ้าทำบุญโดยใช้เงินสดจะได้เงินทอนไหม สมมุติว่าเขามีเงิน100 เยน อยากทำบุญแค่ครึ่งเดียว ถ้าจะมีเครื่องทอนเงินออกมาได้คงจะดีไม่น้อย เขาอธิษฐานและคิดเรื่องเงินทอนและทันใดนั้นเขาก็ล้มลงและเข่าไปกระแทกพื้นเป็นแผล คนฟังก็เข้าใจความรู้สึกนะเพราะมันสะท้อนมาจากชีวิตจริง บางคนคิดว่าเป็นเพลงอะไรของเขากันเนี่ย แต่เพลงของนักร้องท่านนี้ถือว่าเป็นเพลงที่น่าสนใจและพูดถึงชีวิตความเป็นอยู่ของชายหนุ่มญี่ปุ่น ซึ่งผมเองก็ชอบอยู่นะแต่ว่าไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างเต็มปากว่าเป็นแฟนคลับของเค้า!!
และเพลงส่วนใหญ่ของเขาจะเป็นเพลงที่พูดถึงความเศร้าโศกแต่ก็กินใจ คนญี่ปุ่นหลายคนที่ไปร้องเพลงในคาราโอเกะก็ชอบร้องเพลงของเขาอยู่นะครับ แต่คนที่ไปดูคอนเสิร์ตของเขาก็จะมีแต่พวก Yankee แบบเฟี้ยวๆ ซึ่งพูดไปแล้วกลุ่มนี้จะต่างจากคนที่จบมหาวิทยาลัยดังๆ หรือคนที่ทำงานบริษัทญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ถ้าจะให้ผมไปดูคอนเสิร์ตนักร้องท่านนี่ผมก็อาจจะออกอายนะอายนิดๆ และผมไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนบอกว่าชอบหรือว่าเป็นแฟนคลับของเขาเลยซึ่งจะบอกว่ามันเป็นเรื่องที่พูดยาก!! คือก็ชอบนะแต่ไม่สามารถบอกได้เต็มปากว่าเป็นแฟนคลับของเค้า และนี่เป็นความรู้สึกคล้ายๆ กับความรู้สึกที่คนญี่ปุ่นมีต่อชินโตและคิดต่อองค์จักรพรรดิครับ
แต่ในวันนี้สิ่งที่ผมอยากจะพูดอีกเรื่องก็คือ ทำไมคนญี่ปุ่นต้องทำบุญอายุ โดยฝ่ายหญิงจะทำบุญเมื่ออายุครบ 33 ปีและชายหนุ่มทำบุญเมื่ออายุครบ 42 ปี บุคคลเหล่านี้มักจะต้องไปทำบุญใหญ่ที่ศาลเจ้าที่ตนเคารพครับ ในวันนี้ผมจะพูดแค่เรื่องทำไมชายหนุ่มต้องทำบุญเมื่ออายุ 42 ปีครับ
ความจริงแล้วมีคนพูดว่ารากฐานทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นนั้นมาจากเมืองจีนในหลายๆ เรื่อง แต่มีเรื่องนี้แหละที่ผมคิดว่าเป็นเรื่องเกี่ยวกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นจริงๆ อีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นมาแต่โบราณ เป็นความเชื่อที่ว่าเมื่ออายุเบญจเพส หรือถึงตามเกณฑ์อายุที่เชื่อกันมา อาจจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้นในชีวิต ซึ่งจะต้องมีการทำบุญอุทิศส่วนกุศล การทำบุญครั้งที่หนึ่งในช่วงชีวิตคือเมื่ออายุครบ 25 ปี และต่อจากนั้นอาจจะการเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นครั้งที่สองและอาจจะมีผลต่อชีวิตมากขึ้นกว่าครั้งแรก ก็คือเมื่ออายุ 42 ปี และอีกครั้งหนึ่งเมื่ออายุครบ 60 ปี นี่เป็นความเชื่อที่มีมาตั้งแต่โบราณเมื่อพันกว่าปีก่อน สมัยก่อนนั้น สมมติว่าคนอายุ 25 ปีเปรียบเทียบกับคนที่อายุ 25 ปี ณ ปัจจุบันนั้นมีความแตกต่างกันอย่างมาก ซึ่ง 25 ปีสมัยนี้ก็บางคนเพิ่งจะเรียนจบและเพิ่งเริ่มทำงานได้ไม่นาน แต่อายุ 25 ปีของสมัยก่อนคือเป็นผู้ใหญ่มากๆ และเป็นระดับผู้ที่มีอำนาจบังคับบัญชาของผู้น้อยแล้ว ซึ่งสมัยก่อนอายุ 42 ปีจึงเป็นช่วงวัยที่ค่อนข้างจะมีพาวเวอร์และดูสูงวัยมากแล้ว บางคนถึงขั้นเกษียณอายุทำงาน ค่าเฉลี่ยของชีวิตสมัยก่อนบางคนอาจจะอยู่ไม่ถึง 50 ปีด้วยซ้ำ คนที่อายุ 60 ปีของสมัยก่อนก็คงจะเทียบเท่ากับ 90 กว่าปีของสมัยนี้ก็ได้ ดังนั้นจากเกณฑ์อายุดังกล่าวของสมัยก่อนจึงเป็นช่วงวัยหัวเลี้ยวหัวต่อที่อาจจะเกิดเรื่องที่ไม่ดีขึ้นได้ และนี่อาจจะเป็นคติที่คนสมัยก่อนตั้งขึ้นมาตั้งแต่โบราณ แล้วคนอายุ 42 ปี สมัยนี้ทำไมต้องมีการทำบุญอายุด้วย? คิดว่าแม้ว่าจะมีความแตกต่างจากสมัยก่อนมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของช่วงเวลา , การพัฒนาการของสุขภาพร่างกายที่ปัจจุบันคนแข็งแรงขึ้น แต่คนญี่ปุ่นก็คงยึดถือคติความเชื่อดั้งเดิมเสมอมา ที่เชื่อกันว่าเมื่ออายุ 42 ปีจะต้องมีการทำบุญให้ชีวิตครั้งใหญ่นั่นเอง
ตอนเด็กๆ เท่าที่ผมจำได้นั้น ตอนที่คุณพ่อของผมอายุ 42 ปี คุณพ่อของผมก็จัดงานทำบุญฉลองอายุตัวเอง และทำบุญใหญ่มากๆ ถ้าเทียบกับคนไทยแล้วก็คงจะเหมือนกับการทำบุญงานบวชนั่นเอง ซึ่งในครั้งนั้นเป็นเหมือนวันรวมญาติเลย มีญาติๆ มากมายมาร่วมพิธีทำบุญ แม้แต่พี่ของคุณปู่ที่ตอนนั้นอายุ 90 กว่าปีแล้ว ท่านก็เดินทางมาร่วมงานด้วย ท่านมาจากโตเกียวเดินทางมาไกลถึงจังหวัดบ้านเกิดผมที่จัดงานบุญนี้ ตอนนั้นผมเพิ่งอายุประมาณ 10 ปีรู้สึกตื่นเต้นมากๆ ซึ่งในงานนั้นนอกจากทำบุญใหญ่แล้ว ก็มีการจัดเวทีพูดกวีโบราณญี่ปุ่นคล้ายๆ กับการร้องเพลงครับซึ่งมันเป็นความประทับใจของผมจริงๆ คือคนที่มีความเชื่อก็จะค่อนข้างทุ่มเทเพื่อให้เป็นที่พึ่งทางใจ
ทำไมผมต้องทำบุญเมื่ออายุถึง42 ปี ถามว่าผมเชื่อในเรื่องคติความเชื่ออย่างที่บอกหรือเปล่าก็ต้องบอกว่าไม่เชิงว่าเชื่อเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์แต่ก็ทำตามครับ เพราะบุคคลทุกคนที่ผมนับถือ ผู้ที่ผมเคารพทุกคนทำบุญเมื่ออายุ 42 ปีทุกคนเลย ที่จริงตั้งแต่เด็กๆ ผมก็คิดมาตลอดว่าพวกเขาทำบุญเมื่ออายุ 42 ปีทำไมนะ ตอนที่ผมเรียนชั้นมัธยมต้นคุณครูที่ผมเคารพก็เคยเล่าเรื่องนี้แล้วบอกว่านักเรียนทุกคนเมื่ออายุ 42 ปีควรจะมีการทำบุญ ก็ไม่ได้บังคับว่าจะทำหรือไม่ทำก็ได้แต่ว่าทุกคนก็ทำตามกันเรื่อยมา เจ้านายเก่าผมเค้าก็ไปนมัสการและทำบุญซึ่งทำไมผมรู้ เพราะว่าทุกๆปีที่มีงานเลี้ยงปีใหม่เค้าก็จะบอกทุกครั้งเลยว่าเค้าไปทำบุญที่ศาลเจ้าแห่งหนึ่งที่คนญี่ปุ่นศรัทธามากคือที่ Samukawa Shrine (寒川神社)
ครั้งนี้ผมมีโอกาสจึงไปกราบนมัสการพระที่ศาลเจ้า Samukawa Shrine (寒川神社) สักที ที่นี่เป็นศาลเจ้าชินโตในเมือง Samukawa จังหวัด Kanagawa อยู่ไม่ไกลจากโตเกียวครับ ศาลเจ้าตั้งอยู่ริมแม่น้ำSamukawa ศาลเจ้าแห่งนี้เป็นหนึ่งในศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในญี่ปุ่น มีผู้ที่มาทำบุญและนมัสการในแต่ละปีมากกว่า 2,000,000 คน แม้ไม่มีหลักฐานแน่นอนว่าศาลเจ้าแห่งนี้สร้างขึ้นเมื่อไรแต่มีหลักฐานที่ค้นพบในบันทึกว่าได้มีการบูรณะสร้างศาลเจ้าขึ้นใหม่ในปี 727 ( ยาวนานเกือบพันสามร้อยปีที่แล้ว) จึงกล่าวได้ว่าเป็นหนึ่งในศาลเจ้าโบราณที่เก่าแก่ที่สุดในจังหวัด Kanagawa และในประเทศญี่ปุ่นครับ ศาลเจ้าเปิดตลอด 24 ชั่วโมง สามารถแวะไปทำบุญได้ตลอดเวลา ที่นี่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “Ichi-no-miya in Sagami Province”相模国一之宮
แต่ที่จริงแล้วผมยังอายุไม่ถึง 42 ปีเลยครับ แต่ไหนๆ ก็ไปญี่ปุ่นแล้วไม่อยากเสียเที่ยวไม่รอให้ถึง 42 ปีก็คงได้มั้ง ผมจึงคิดว่าครั้งนี้ไหนๆ ผมก็ได้ไปแล้วก็เลยถือโอกาสไปทำบุญซะเลย คือที่นี่ทำบุญทั่วไปได้เหมือนเดิมแต่จะเข้าไปทำบุญพิเศษสำหรับผู้ชายอายุ 42 ปีนั้นเค้ายังห้ามไม่ให้ผมทำเพราะเขาบอกว่าผมยังไม่ถึง 42 ปี แม้ว่ายังไม่ถึงคอร์สการทำบุญแบบ 42 ปีแต่ว่าก็สามารถทำบุญทั่วไปได้โดยมีให้เลือกว่าจะทำบุญที่กองละราคาเท่าไหร่เช่น 3,000 เยน 5, 000 เยน 10,000 เยน ซึ่งมากกว่านี้ก็มีอีกตามระดับแต่ว่าผมเลือกที่ 5,000 เยน
ในวันนั้นผมมีเงินในกระเป๋าทั้งแบบแบงค์ 5,000 เยนและแบงค์10,000 เยนแต่ผมอยากรู้ว่าถ้าผมจ่ายแบงค์ 10,000 เยนผมจะได้รับเงินทอนหรือเปล่า!! คนญี่ปุ่นคิดเหมือนเพลงที่บอกไปข้างต้นจริงๆ ด้วย ผมก็เลยลองจ่ายแบงค์หมื่นเยน แล้วสรุปว่าเค้าก็ทอนเงินให้ผม คนอาจจะคิดว่าทำบุญที่ญี่ปุ่นแพงจังแต่ว่าถ้าเทียบกับสิ่งที่เราได้รับทางใจและของกำนัลที่เขาคืนมาให้เรานั้นผมถือว่าเป็นการทำบุญที่ไม่แพงเลย ไว้มีโอกาสจะเล่าในภาคต่อไปครับ แต่ครั้งนี้ยังไม่สามารถทำบุญที่ระดับ 42 ปีได้ นึกถึงเกมส์เลยว่ายังไม่ถึงที่ระดับ RPG level 42 ก็อด นึกแล้วก็ขำตัวเองนิดๆ
การทำบุญที่อายุ 42 ปีของที่นี่ เรียกว่า yaku barai 厄祓い、厄払い หรือจะบอกว่าการปัดเป่าเพื่อให้ยักษ์หรือสิ่งไม่ดีออกไปให้พ้นจากวิถีชีวิตปกติ ซึ่งสามารถที่จะทำบุญแบบนี้ได้ แต่สมัยนี้ไม่ถึง 42 ปีก็ทำบุญแบบ yaku barai ได้ สักครั้งหนึ่งในชีวิตก็ยังดีครับ เชื่อหรือไม่เชื่อก็เป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะพูดให้เชื่อกันได้ง่ายๆ แต่มันอาจจะเป็นเคล็ดสำหรับคนสมัยก่อนสมัยโบราณมาเหมือนกับการกินยาหลอกคือ プラシーボ効果 placebo effect แม้ว่าให้ยาที่เป็นแค่น้ำตาลหรือวิตามินแต่ถ้าผู้ป่วยเชื่อมัน มันก็จะมีผลในเชิงบวก เช่นกันบางคนเชื่อในเรื่องบุญก็ทุ่มมากทำมาก ศรัทธามาก เพราะเมื่อตัวเองเชื่อมั่นในผลด้วยตนเองผลจะบังเกิดขึ้นได้ บางคนไม่เชื่อก็ทำเท่าที่ทำได้ หรือตะหนี่แบบขอไปที ดั่งเช่นเพลงด้านบนที่ทำบุญ 100 เยน ที่จริงราคานี้นี่ถูกกว่าข้าวปั้น Onigiri บางร้านด้วยซ้ำ ถ้ายังอยากได้เงินทอน หรือบางคนอาจจะไม่ค่อยเชื่อในผลบุญเท่าไหร่ เพราะว่าทำบุญเล็กๆ แล้วก็ขอให้ได้เงินคืนอีกเหมือนเพลงที่ร้องไป
เหตุผลอีกประการที่คนทำบุญอายุ เพราะว่าบางทีการตัดสินใจของคนเราก็ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมรอบตัวเอง หรือว่าขึ้นอยู่กับคนรอบตัวเหมือนกันนะครับ ที่มีผลต่อพฤติกรรมของเรา คนในสังคมส่วนใหญ่จะทำอะไร หรือไม่ทำอะไรก็อาจจะดูจากคนอื่นๆ ก่อนว่าทำหรือไม่ทำ อย่างเช่น การเข้าร่วมสหภาพแรงงานของบริษัท หรือร่วมองค์กรของทางบริษัท ถ้าทำงานบริษัทใดๆ แล้วทุกคนอยู่ในสหภาพแรงงานขององค์กรถึง 98% แบบนี้เราก็ควรอยู่ในสหภาพแรงงานขององค์กรด้วยคือเป็นสิ่งที่ควรจะทำมากกว่าไม่เข้าร่วม เป็นต้น การทำบุญอายุก็เช่นกัน บางคนก็ทำเพราะคนอื่นๆ รอบตัวทำกันทุกคน เป็นต้นถ้ามีโอกาสและชอบแนวนี้ลองไปกราบขอพรดูนะครับ วันนี้สวัสดีครับ