บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
5
การล้มลงกลางงานอย่างกระทันหันของท่านคะระซะวะเป็นเหตุให้งานเลี้ยงฉลองสมรสที่กำลังครึกครื้นรื่นเริงถึงขีดสุดต้องล่มลงกลางคัน คณะพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของทางโรงแรมรีบรุดเข้ามาควบคุมพื้นที่อย่างรวดเร็วทันการตามที่ได้ฝึกกันมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะกว่าจะมาถึงแขกในงานก็ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวสับสนไปหมดแล้ว
รุริโกะลืมความเป็นเจ้าสาวของตนเองเสียสนิท วิ่งปราดเข้าไปทรุดตัวลงข้าง ๆ บิดาและลงมือปฐมพยาบาลด้วยความเป็นห่วงเป็นใยโดยต้องคอยเก็บชายแขนที่ห้อยยาวของกิโมโนที่ใส่อยู่ไม่ให้ขัดขวางการทำงานของตน
พนักงานโรงแรมที่ให้บริการภายในห้องพิธีวางมือจากถาดกาแฟที่กำลังจะยกออกไปเสิร์ฟเป็นรายการสุดท้ายของชุดอาหาร ส่วนท่านซุงิโนะที่ทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่ก็พยายามกล่าวเชิญให้บรรดาแขกกลับไปนั่งประจำที่ แขกที่ลุกขึ้นยืนอยู่แล้วถือโอกาสนี้ชวนกันกลับออกไปเป็นขบวนราวกับกระแสน้ำไหลลง เพียงครู่เดียวห้องจัดงานฉลองที่กว้างใหญ่สว่างไสวไปด้วยแสงจากดวงไฟและโคมระย้าก็ว่างเปล่า ทิ้งให้นายโชเฮและคนอื่น ๆ อีกเพียงสี่ห้าคนอยู่อย่างอ้างว้าง
โชคดีที่บิดาของรุริโกะล้มลงเพราะอาการเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่พอเพียงชั่ววูบ และฟื้นขึ้นมาเป็นปกติอีกครั้งก่อนที่แพทย์จะมาถึงเสียอีก ท่านผู้สูงศักดิ์ทรงตัวขึ้นอย่างสง่า ไม่มองหรือแม้แต่จะพูดอะไรสักคำกับท่านซุงิโนะและนายโชเฮที่เข้ามาห้อมล้อม
เมื่อมั่นใจว่าอาการเป็นปกติดีแล้วท่านคะระซะวะก็เดินไปขึ้นรถยนต์ที่มาคอยรับอยู่แล้ว รุริโกะมองตามหลังบิดาที่เดินจากลูกสาวสุดที่รักกลับไปอยู่บ้านแต่เพียงลำพังคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป แม้หัวใจที่แข็งและเย็นเยียบราวเหล็กกล้าของหญิงสาวก็อดที่จะเจ็บปวดราวกับถูกบีบเค้นขึ้นมาจากส่วนลึกไม่ได้
รุริโกะตามเข้าไปแนบหน้ากับหน้าต่างรถที่บิดานั่งแล้วกระซิบว่า
“ท่านพ่ออดทนสักพักหนึ่งนะเจ้าคะ รุริจะรีบกลับไปหา ท่านพ่อเชื่อใจรุริและคอยอีกหน่อยนะเจ้าคะ"
หญิงสาวร้องไห้ออกมาจนได้ น้ำตาอุ่น ๆ ไหลพรากลงมาอาบแก้ม
บิดาพยักหน้าหน้ารับคำด้วยท่าทีที่แสดงว่าเชื่อมั่นในคำของลูกสาว
“รุริอย่าลืมการตัดสินใจของตัวเองนะลูก อย่าลืมคิดถึงความอับอายที่พ่อได้รับในคืนนี้นะรุริ”
ขณะที่บิดากระซิบสั่งด้วยเสียงต่ำแต่ทรงพลังยิ่งนัก รถยนต์ที่ท่านนั่งอยู่ก็ค่อย ๆ เคลื่อนจากลานเทียบรถหน้าโรงแรมออกสู่ถนนใหญ่
รถที่เคลื่อนตามหลังรถบิดาของรุริโกะเข้ามาจอดที่ลานเทียบรถ คือรถยนต์ยี่ห้อเฟี๊ยตคันใหญ่โอ่โถงงามสง่าที่นายโชดะเพิ่งสั่งซื้อมาจากอิตาลีเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อใช้เป็นพาหนะในโอกาสอันเป็นมงคลเมื่อได้ฤกษ์ส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าเรือนหอ
รุริโกะขึ้นไปนั่งเคียงคู่กับ “สามี” ตามคำเชิญอย่างว่าง่าย แต่ริมฝีปากงามจิ้มลิ้มที่เม้มสนิทนั้นทำให้เธอดูไม่ผิดอะไรกับรูปแกะสลักฝีมือปฏิมากรเอก
นายโชดะอยากชวนรุริโกะพูดคุย แต่ความที่ดื่มด่ำอยู่กับความงามของภรรยาสาวของเขาอย่างไม่รู้จบ จึงไม่อาจหาถ้อยคำมาเจรจาได้แต่นั่งเคียงข้างกันไปเงียบ ๆ จนในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้
เขาชำเลืองมองสีหน้าของรุริโกะพลางเอ่ยออกมาอย่างไม่สู้มั่นใจนักว่า
“ผมรู้ว่าคุณคงกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่ใช่คนใจดำอย่างที่เธอคิด ฉันเสียใจมากนะที่การกระทำของฉันทำให้ท่านพ่อของเธอเป็นทุกข์ถึงขนาดนั้น และตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อเป็นการไถ่โทษ เธออย่าคิดว่าฉันเป็นศัตรูเลยนะ ถือเสียว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นสื่อให้เราได้มามีความสัมพันธ์กันเช่นนี้”
นายโชดะเลือกใช้คำพูดสุภาพชนิดที่ไม่เคยใช้กับใครมาก่อน ปลอบเจ้าสาวของเขาด้วยเสียงอ่อนโยนแม้จะไม่สามารถกลบสำเนียงแปล่งของถิ่นกำเนิดเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน แต่กระนั้นรุริโกะก็ยังไม่ปริปากว่าอย่างไร ทั้งสองจึงนั่งอึดอัดอยู่ในความเงียบกันต่อไป
“ความจริงฉันมีเรื่องน่าอายที่อยากสารภาพว่า ตอนที่เห็นเธอในวันงานอุทยานสโมสรฤดูใบไม้ผลิปีนี้ที่บ้าน ฉันลืมคิดถึงความไม่เหมาะสมของอายุไปเลย” นายโชดะหัวเราะแก้เขินก่อนพูดต่อไปว่า “ก็เลย...ก็เลยทำอะไรที่ไม่ยั้งคิดทำให้กระทบกระเทือนไปถึงท่านพ่อเธอ”
สิ่งที่นายโชดะพูดทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ไม่มีอะไรที่ออกมาจากใจจริงของเขาแม้แต่คำเดียว เขาพูดพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงย้ำให้น่าเชื่อถือก็เพียงเพื่อพยายามให้รุริโกะเปิดใจรับเขาเท่านั้น
ทันทีที่นายโชดะพูดจบ ใบหน้างดงามของรุริโกะฉายรอยยิ้มเยาะออกมาแวบหนึ่ง แล้วอากัปกิริยาของรุริโกะก็เปลี่ยนไปทันควัน
“คุณพูดอย่างนั้นกลับทำให้ดิฉันลำบากใจนะคะ เมื่อคิดว่าคนอย่างดิฉันทำให้คุณสนใจได้ถึงขนาดนั้น”
ว่าแล้วรุริโกะก็หัวเราะเบา ๆ แล้วหันมายิ้มหวานกับนายโชดะ ใบหน้าสวยสดแจ่มใสของเธอเด่นชัดขึ้นมาท่ามกลางความมืดสลัวภายในรถ ยิ้มเช่นนั้นของรุริโอะมีพลังพอที่จะทำให้นายโชดะรู้สึกตัวลอยไร้สติเหมือนคนถูกกระชากวิญญาณออกจากร่าง
6
ยิ้มหวานสดใสของรุริโกะอาบใจของนายโชดะให้ชุ่มชื่นเหลือจะกล่าว ประกอบกับแชมเปญที่ดื่มในงานเลี้ยงเมื่อครู่ก่อนเริ่มออกฤทธิ์ ความขึงตึงบนใบหน้ากว้างของชายที่ได้ชื่อว่าเศรษฐีใหม่จึงคลายลงจนถึงกับเรียกได้ว่าอ่อนโยนเมื่อพูดว่า
“อ้ออย่างนั้นรึ ฉันไม่รู้สักนิดเธอรู้สึกอย่างนี้ก็เลยวิตกกังวลไปใหญ่โต”
ความที่ตื่นเต้นดีใจ นายโชเฮปล่อยเสียงหวานหูสำเนียงแปล่งของท้องถิ่นออกมาเป็นชุด ฟังดูอ่อนโยนไม่สมกับร่างกายอันใหญ่โตน่าเกรงขามของเขา
“ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้ฉันมีความสุขเท่ากับที่รู้ว่าเธอยินดีมาอยู่กับฉันด้วยใจจริง ฉันจะทุ่มเททรัพย์สินเงินทองทั้งหมดให้เธออย่างไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น ฮะ ฮะ ฮะ”
นายโชดะพูดด้วยอารมณ์ที่เพริดแพร้วไปด้วยความหลงไหล ขณะจับจ้องไม่วางตาไปที่ต้นคอขาวผ่องซึ่งพ้นคอเสื้อกิโมโนออกมายามรุริโกะก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
“มีคุณมาอยู่ข้าง ๆ อย่างนี้ ฉันมีกำลังใจทำงานมากขึ้นเป็นสามเท่าห้าเท่า จะได้มีเงินมหาศาลเอามาซื้อเพชรน้ำงามเม็ดโต ๆ มาถมให้ท่วมตัวคุณเลยทีเดียว ฮะ ฮะ ฮะ”
นายโชดะชวนคุยเพื่อพยายามให้รุริโกะยิ้มและมีความสุขไม่เสื่อมคลาย
รถสามคันซึ่งมีรถคันใหญ่ใหม่เอี่ยมที่รุริโกะนั่งอยู่แล่นนำหน้า ตามด้วยรถของมินะโกะ และรถของคนรับใช้ตามลำดับ เคลื่อนขบวนจากฮิบิยะผ่านคันคูล้อมพระราชวังหลวงยามสี่ทุ่มมุ่งไปทางมิยะเกะซะกะ และไปถึงคฤหาสน์ที่โกะบันโจ ภายในเวลาไม่ถึงสามนาที
จนกระทั่งรถมาจอดเทียบหน้าประตูทางเข้าบ้าน และนายโชดะผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีส่งมือให้จับเป็นหลักให้ก้าวลงจากรถ รุริโกะจึงได้เริ่มสำนึกถึงความเป็นจริงที่รอคอยอยู่ตรงหน้า มันทำให้เธอตื่นระทึกอย่างรุนแรงจนอกใจแทบจะระเบิดออกมา มันทำให้เธอรู้สึกเครียดและหวั่นวิตกราวกับนักดาบจอมสังหารที่ลอบเข้ามาในปราสาทของข้าศึกเพียงคนเดียว
มือที่ยื่นออกไปให้นายโชดะจับนั้นยังสั่นน้อย ๆ แม้จะพยายามบังคับไว้เพียงใด
ขณะที่ รุริโกะเดินตามนายโชดะและกำลังจะขึ้นไปยังห้องโถงทางเข้าคฤหาสน์นั้นเอง จู่ ๆ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าแถวคนรับใช้ในบ้านที่ออกมาคอยต้อนรับอยู่ตรงนั้น ก็กรากเข้ามาเกาะแขนนายโชดะ
“คุณพ่อ ของฝากล่ะ ของฝาก”
นายโชดะไม่อยากให้รุริโกะเห็นอะไรที่ไม่เจริญตาเป็นอย่างแรกที่มาถึง จึงปัดมือที่เกาะเขาไว้แน่นออกไป พลางบอกว่า
“รู้แล้ว เดี๋ยวจะให้เยอะแยะเลย แต่ตอนนี้มานี่ก่อน หนูมีคุณแม่คนใหม่แล้ว ต้องเคารพท่านนะ”
เด็กหนุ่มที่ถูกนายโชดะดึงตัวให้เดินนำหน้าไปพร้อมกัน เดินไปพลางหันกลับมาจ้องหน้ารุริโอะอย่างเห็นเป็นของแปลก
นายโชดะเดินนำหน้าเข้าไปในห้องนั่งเล่นส่วนตัวของเขา แล้วเรียกลูกสาวเข้ามาหา
“มินะโกะ มาหาพ่อใกล้ ๆ”
เขาบอกให้เด็กสาวทำความเคารพรุริโกะแล้วจึงแนะนำลูกชายด้วยสีหน้าที่อธิบายยาก
“นี่ลูกชายของฉัน ก็อย่างที่เห็นนี่แหละคงจะทำให้เธอยุ่งยากไม่น้อย แต่ฉันก็ต้องขอฝากมันไว้ในความดูแลของเธอ นายคนนี้อาจจะดูไม่ค่อยเต็มเต็งแต่เป็นคนจิตใจดี ซื่อ ๆ ไม่มีพิษมีภัยอะไร ว่าอะไรก็เชื่อฟังไม่ดื้อดึง...เอ้า คะสึฮิโกะ นี่คุณแม่ของหนูไง ทำความเคารพให้เรียบร้อย”
คะสึฮิโกะ ยังมองหน้ารุริโกะอยู่ไม่วางตา พอได้ยินบิดาสั่งจึงรู้สึกตัวขึ้นมาทันที
“ไม่ใช่คุณแม่สักหน่อย คุณแม่หนูตายไปแล้ว คุณแม่หนูแก่เป็นยายเพิ้ง แต่คุณคนนี้เขาสวยมาก ไม่ใช่คุณแม่ของหนูหรอก จริงไหมมินะจัง นะ นะ”
เด็กหนุ่มหันไปพยักเพยิดกับน้องสาวเพื่อเอาเป็นพวก มินะโกะหน้าแดงด้วยความอายขณะปรามพี่ชายว่า
“พี่ต้องเรียกคุณว่า คุณแม่ เพราะคุณแต่งงานกับคุณพ่อเราแล้ว”
“เจ้าสาวของคุณพ่อรึ คุณพ่อเล่นขี้โกงนี่ บอกว่าจะไปขอเจ้าสาวให้หนู ก็ไม่ไปขอให้”
เด็กหนุ่มทำกระเง้ากระงอดเหมือนไม่ได้ขนมที่บิดาสัญญาว่าจะให้แล้วไม่ให้ คำต่อว่าของลูกชายผู้บกพร่องทางปัญญาของนายโชดะ ทำให้รุริโกะนึกขึ้นมาได้ว่าระหว่างการสู่ขอเธอนั้นนายโชดะเอ่ยออกปากขอเธอให้ลูกชายของเขาเพราะเกรงคำครหาของสังคมมาอยากมีภรรยาเด็ก และพอคิดว่านายโชดะจงใจใช้อำนาจเงินซื้อเธอมาเป็นเหมือนของเล่นให้ลูกชายผู้นี้ของเขา ความเคียดแค้นชิงชังระลอกใหม่ก็เดือดพล่านขึ้นมาล้นใจจนร้อนรุ่มไปหมดทั้งตัว
7
สองพี่น้องคะสึฮิโกะกับมินะโกะกลับไปห้องส่วนตัวของแต่ละคนเมื่อเกือบห้าทุ่ม เวลาเข้าห้องหอของคู่บ่าวสาวคืบใกล้เข้ามาทุกที
นายโชดะเอาใจรุริโกะอยู่ตลอดเวลา พยายามทุกอย่างเพื่อให้เป็นที่พอใจของรุริโกะ ระหว่างนั้นเขานึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง
“ใช่ ๆ ฉันมีอะไรอย่างหนึ่งที่จะให้เธอเป็นของขวัญแต่งงาน”
ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปเปิดตู้เซฟใบเล็กที่อยู่ ๆ ด้านหลังของที่นั่ง หยิบเอกสารออกมาปึกหนึ่ง
“ฉันคิดว่าได้กว้านซื้อสัญญาเงินกู้ของท่านพ่อเธอเอามาไว้ได้ทั้งหมด แล้ววันนี้ฉันขอมอบให้เธอเป็นของขวัญ”
เขาผลักปึกสัญญาเงินกู้ที่มีมูลค่าเกือบหนึ่งแสนห้าหมื่นเยนไปตรงหน้ารุริโกะ ทำเหมือนกับว่ามันเป็นกองกระดาษที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร
รุริโกะชายตาไปมองกระดาษปึกนั้น พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกแต่ใบหน้าของเธอไม่อาจกลบความตื่นเต้นไว้ได้ทั้งหมด เธอมองกระดาษปึกนั้นอย่างไม่สนใจที่จะหยิบขึ้นมาดูอยู่สองสามนาที แล้วอยู่ ๆ ก็ถามขึ้นว่า
“มีไม้ขีดไฟไหมคะ”
“ไม้ขีดไฟรึ” นายโชดะทำหน้างง ๆ กับคำขอของรุริโกะ
“ไม้ขีดไฟน่ะคะ มีไหม”
“อ๋อ ไม้ขีดไฟรึ มีซิมี เยอะแยะไป” ว่าแล้วก็เอี้ยวตัวไปหยิบกล่องไม้ขีดที่วางไว้เหนือเตาผิงมาส่งวางไว้ตรงหน้า รุริโกะ
“เธอจะเอาไม้ขีดไฟมาทำอะไรรึ” นายโชดะถามด้วยความกังวล
รุริโกะไม่สนใจคำถาม เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้เงียบ ๆ เดินไปที่เตาผิงที่มีฝาเหล็กครอบอยู่ข้างบน ก้มหน้าลงพิจารณาพลางรวบแขนเสื้อกิโมโนที่เธอเปลี่ยนเป็นชุดที่สามระหว่างงานฉลองสมรสเอาไว้ไม่ให้เกะกะ
“คุณค่ะ เตาผิงนี่มีแก๊สรึเปล่า”
อยู่ ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นถามนายโชดะพร้อมกับยิ้มอย่างสนิมสนม สีหน้าของนายโชดะอ่อนโยนขึ้นทันใดด้วยความปิติที่รุริโกะเรียกเขาว่า “คุณ” อย่างที่ภรรยาทั่วไปเรียกสามี
“แก๊สรึ มีซิมี เขาคงไม่ได้ปิดท่อเอาไว้หรอก”
นายโชดะยังไม่ทันพูดจบ ไม้ขีดไฟก็สว่างวาบขึ้นที่มือขาวผ่องของรุริโกะ เธอเปิดหัวแก๊สและจ่อเปลวไฟลงไป มีเสียงระเบิดเบาๆก่อนที่ไฟจะติด
รุริโกะยืนบังเงาเปลวไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังมาหยิบเอกสารทั้งปึกบนโต๊ะโยนลงไปในเปลวไฟที่กำลังลุกโชนด้วยท่าทางเหมือนกำลังทำอะไรที่ไม่สำคัญไปกว่าการโยนไม้ฟืนลงกองไฟ และหันไปยิ้มกับนายโชดะที่ยืนตะลึงอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น แล้วบอกว่า
“มีคำพูดที่ว่า ปล่อยให้ลอยไปตามกระแสน้ำใช่ไหมคะ ที่ดิฉันตกลงใจเผาสัญญากู้เงินทั้งหมดนั่นก็เพราะต้องการลบล้างความย้อนแย้งและแตกต่างของอารมณ์ความรู้สึกที่เคยมีต่อกันมาในหลาย ๆ เรื่องให้หมดสิ้นไป เผาให้มอดหมดไปกับไฟดีกว่า”
“ดี ๆ เผาไฟให้หมด ไม่ต้องเหลืออะไรไว้อีก ดีทีเดียว ตอนนี้ก็เท่ากับว่าอะไร ๆ ที่เคยมีต่อกันก็เป็นอันว่าหมดสิ้นกันเสียที ต่อจากนี้เราสองคนจะรักและเชื่อใจกันและกันตลอดไป ไม่มีอะไรที่จะทำให้ฉันมีความสุขมากไปกว่าการที่เธอมีความรู้สึกกับฉันเช่นนี้”
พูดเสร็จนายโชดะก็เดินเข้ามาข้างรุริโกะ ทำตาเป็นประกายวาวคล้ายกับจะเข้ามาฝากจูบแรกลงบนแก้มนวลใย
พอเห็นอาการของอีกฝ่าย รุริโกะก็ทำหน้าตายเดินกลับไปนั่งสงบเสงี่ยมบนเก้าอี้ตัวเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนนั้นเองที่ประตูห้องถูกเปิดออก
“ดิฉันมาเรียนว่า เตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
คนรับใช้เข้ามารายงานด้วยกิริยาสุภาพเรียบร้อยอย่างคนที่ได้รับการอบรมมาดี
ในที่สุดนาทีวิกฤติก็มาถึง
“รุริโกะ เราไปห้องโน้นกันเถอะ รู้สึกว่าเขาจะมีพิธีอะไรแบบโบราณ ฮะ ฮะ ฮะ”
แม้จะทำพยายามใจให้แข็งแกร่งเอาไว้ แต่รุริโกะก็ถึงกับหน้าซีดขาวเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของนายโชดะที่ไม่ผืดอะไรกับเสียงของสัตว์ร้ายที่กำลังกระหายเหยื่อ แต่ดีที่ยังควบคุมกิริยาท่าทางให้เป็นปกติไว้ได้
“คุณคะ ดิฉันอยากโทรศัพท์ถึงท่านพ่อสักหน่อย ไม่รู้ว่ากลับถึงบ้านแล้วอาการจะเป็นยังไง”
มันอาจเป็นคำขอที่ออกจะฉับพลันไปหน่อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
8
“โทรศัพท์รึ ไม่ต้องไปเองหรอก วานคนรับใช้ก็ได้ นี่ใครอยู่ตรงนั้น ต่อโทรศัพท์หาท่านคะระซะวะทีซิ...”
นายโชดะห้ามรุริโกะเอาไว้แล้วร้องสั่งคนรับใช้โดยไม่รีรอ
“ไม่ค่ะ ดิฉันอยากโทรเอง”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นใช้โทรศัพท์บนโต๊ะนั่นก็ได้”
เขาชี้ไปที่ด้านหลังของรุริโกะ หญิงสาวเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีโทรศัพท์ตั้งอยู่บนโต๊ะไม้มะฮอกกานีตัวเล็ก ๆ ตรงนั้น
รุริโกะลุกจากเก้าอี้ด้วยท่วงทีของสตรีมารยาทงาม เว้นแต่ที่หัวคิ้วเท่านั้นที่ส่งสัญญาณบ่งบอกถึงการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวในยามที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติ
“ฮะโหล กรุณาต่อ บันโจหมายเลข 2-8-9-1 ค่ะ”
รุริโอะแนบริมฝีปากแดงจิ้มลิ้มกับหูโทรศัพท์ พร้อมกับกระซิบเสียงเบาราวกระซิบ
“บันโจหมายเลข 2-8-9-1 ค่ะ”
มือขาวนวลที่ถือหูโทรศัพท์สั่นเล็กน้อยขณะขานหมายเลขซ้ำอีกครั้ง รุริโกะเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่งแล้วดูเหมือนว่าจะมีคนรับที่ปลายสาย เพราะเธอพูดอย่างลิงโลดว่า
“บ้านท่านคะระซะวะหรือคะ นี่รุริโกะพูด นั่นคุณนมใช่ไหม”
เธอแนบหูโทรศัพท์ไว้กับหู ด้วยท่าของคนที่กำลังฟังคำพูดจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง
“อ้อ คุณนมกำลังจะโทรถึงหนูอยู่พอดีเลยเหรอ ดีจัง แล้วท่านพ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
เธอถามแล้วทำท่านิ่งฟัง
“เหรอ แล้วคุณอิริซะวะ มาหรือเปล่า อ๋อ...อย่างนั้นเหรอ”
เธอพูดโต้ตอบเพียงสั้น ๆ แต่ใบหน้าขาวผ่องเริ่มมีริ้วรอยของความกังวลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“อะไรนะคุณนม อาการหนักเหรอ แต่นี่มันกลางดึกนะ...ไหนว่าไงนะ พูดชัด ๆ ซิ หนูไม่ได้ยิน คุณหมอว่ายังไงนะ...บอกให้เรียกหนูกลับไปเหรอ...หนูน่ะเหรอ...แล้วนี่หนูจะทำยังไงดี”
รุริโกะดูเหมือนจะอยู่ในอาการสับสน จนทำอะไรไม่ถูก
“เป็นอะไรไปเธอ เป็นอะไรไป”
นายโชดะหน้าเสีย เดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“คือ...คุณคะ ทางบ้านบอกว่าท่านพ่อล้มอีกที่หน้าบ้าน คราวนี้อาการทรุดลงจนน่าเป็นห่วงมาก ดิฉันคงนิ่งเฉย อยู่ไม่ได้แล้วละค่ะ คุณค่ะ...ให้ฉันกลับบ้านไปดูท่านพ่อหน่อยได้ไหม ให้ฉันกลับหน่อยนะคุณ”
รุริโกะยิ้มกับสามีของเธอทั้ง ๆ ที่น้ำตาอาบแก้มนวล
“เอาเถอะ ได้ ได้ รีบขึ้นรถไปดูอาการ แล้วก็คอยพยาบาลดูแลให้ดีเถิด”
“ดิฉันดีใจจริง ๆ ที่คุณเข้าใจ ”
รุริโกะพูดพลางเดินเข้าไปใกล้นายโชดะ แล้วซบหน้างามลงกับอกกว้างใหญ่ที่สมบูรณ์ไปด้วยหนั่นเนื้อของเขา มันชั่งเป็นกิริยาที่ประทับใจนายโชดะอย่างล้นเหลืออะไรเช่นนั้น
“ไม่ต้องรีบร้อนอะไร พอไปถึงแล้วช่วยโทรมาบอกด้วยว่าอาการท่านพ่อเป็นยังไง”
“ค่ะ ดิฉันจะโทรมาทันทีเลย แต่คุณไม่ต้องตามมานะคะเพราะท่านพ่อสั่งไม่ให้บอกคุณ ท่านสั่งคุณนมให้บอกว่าคืนนี้เป็นคืนวันแต่งงานที่มีความหมายมาก ถึงท่านจะตายไปก็อย่าบอก”
“อือม์ อย่างนั้นคุณก็ไปพยาบาลดูแลท่านพ่อให้ดีแล้วกัน ดูแลให้เต็มที่เลยนะ”
การจัดเตรียมรถเป็นไปอย่างรวดเร็วทันใจ
“ถ้าอาการดี บางทีดิฉันอาจกลับภายในคืนนี้ แต่ถ้าไม่ดีก็ขออยู่จนถึงวันพรุ่งนี้นะคะ”
รุริโกะโผล่หน้าต่างรถออกมาบอกนายโชดะด้วยถ้อยคำที่แสดงความสนิทสนม
“ดึกแล้ว คืนนี้อย่ากลับดีกว่า พรุ่งนี้ฉันจะแวะไปดูอาการนะ”
นายโชดะทำตัวเป็นสามีแสนดีไปไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร
“ขอบคุณมากค่ะ”
หญิงสาวทิ้งท้ายด้วยคำขอบคุณเสียงหวาน ก่อนที่รถจะแล่นหายเข้าไปในความมืด
ทว่า พอรถแล่นผ่านแนวต้นซากุระของสถานทูตอังกฤษ ใบหน้าของรุริโกะก็ไม่เหลือร่องรอยของความทุกข์ที่มีต่อข่าวบิดาไม่สบายอาการหนักแม้แต่นิดเดียว
ยิ้มน้อย ๆ ของแม่มดเจ้าเสน่ห์ฉายอยู่บนใบหน้าขาวนวลสวยสง่าสมกับความเป็นลูกผู้ดีมีศักดิ์
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
5
การล้มลงกลางงานอย่างกระทันหันของท่านคะระซะวะเป็นเหตุให้งานเลี้ยงฉลองสมรสที่กำลังครึกครื้นรื่นเริงถึงขีดสุดต้องล่มลงกลางคัน คณะพนักงานเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบของทางโรงแรมรีบรุดเข้ามาควบคุมพื้นที่อย่างรวดเร็วทันการตามที่ได้ฝึกกันมา แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะกว่าจะมาถึงแขกในงานก็ลุกขึ้นมาเคลื่อนไหวสับสนไปหมดแล้ว
รุริโกะลืมความเป็นเจ้าสาวของตนเองเสียสนิท วิ่งปราดเข้าไปทรุดตัวลงข้าง ๆ บิดาและลงมือปฐมพยาบาลด้วยความเป็นห่วงเป็นใยโดยต้องคอยเก็บชายแขนที่ห้อยยาวของกิโมโนที่ใส่อยู่ไม่ให้ขัดขวางการทำงานของตน
พนักงานโรงแรมที่ให้บริการภายในห้องพิธีวางมือจากถาดกาแฟที่กำลังจะยกออกไปเสิร์ฟเป็นรายการสุดท้ายของชุดอาหาร ส่วนท่านซุงิโนะที่ทำหน้าที่เป็นเถ้าแก่ก็พยายามกล่าวเชิญให้บรรดาแขกกลับไปนั่งประจำที่ แขกที่ลุกขึ้นยืนอยู่แล้วถือโอกาสนี้ชวนกันกลับออกไปเป็นขบวนราวกับกระแสน้ำไหลลง เพียงครู่เดียวห้องจัดงานฉลองที่กว้างใหญ่สว่างไสวไปด้วยแสงจากดวงไฟและโคมระย้าก็ว่างเปล่า ทิ้งให้นายโชเฮและคนอื่น ๆ อีกเพียงสี่ห้าคนอยู่อย่างอ้างว้าง
โชคดีที่บิดาของรุริโกะล้มลงเพราะอาการเลือดขึ้นไปเลี้ยงสมองไม่พอเพียงชั่ววูบ และฟื้นขึ้นมาเป็นปกติอีกครั้งก่อนที่แพทย์จะมาถึงเสียอีก ท่านผู้สูงศักดิ์ทรงตัวขึ้นอย่างสง่า ไม่มองหรือแม้แต่จะพูดอะไรสักคำกับท่านซุงิโนะและนายโชเฮที่เข้ามาห้อมล้อม
เมื่อมั่นใจว่าอาการเป็นปกติดีแล้วท่านคะระซะวะก็เดินไปขึ้นรถยนต์ที่มาคอยรับอยู่แล้ว รุริโกะมองตามหลังบิดาที่เดินจากลูกสาวสุดที่รักกลับไปอยู่บ้านแต่เพียงลำพังคนเดียวตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป แม้หัวใจที่แข็งและเย็นเยียบราวเหล็กกล้าของหญิงสาวก็อดที่จะเจ็บปวดราวกับถูกบีบเค้นขึ้นมาจากส่วนลึกไม่ได้
รุริโกะตามเข้าไปแนบหน้ากับหน้าต่างรถที่บิดานั่งแล้วกระซิบว่า
“ท่านพ่ออดทนสักพักหนึ่งนะเจ้าคะ รุริจะรีบกลับไปหา ท่านพ่อเชื่อใจรุริและคอยอีกหน่อยนะเจ้าคะ"
หญิงสาวร้องไห้ออกมาจนได้ น้ำตาอุ่น ๆ ไหลพรากลงมาอาบแก้ม
บิดาพยักหน้าหน้ารับคำด้วยท่าทีที่แสดงว่าเชื่อมั่นในคำของลูกสาว
“รุริอย่าลืมการตัดสินใจของตัวเองนะลูก อย่าลืมคิดถึงความอับอายที่พ่อได้รับในคืนนี้นะรุริ”
ขณะที่บิดากระซิบสั่งด้วยเสียงต่ำแต่ทรงพลังยิ่งนัก รถยนต์ที่ท่านนั่งอยู่ก็ค่อย ๆ เคลื่อนจากลานเทียบรถหน้าโรงแรมออกสู่ถนนใหญ่
รถที่เคลื่อนตามหลังรถบิดาของรุริโกะเข้ามาจอดที่ลานเทียบรถ คือรถยนต์ยี่ห้อเฟี๊ยตคันใหญ่โอ่โถงงามสง่าที่นายโชดะเพิ่งสั่งซื้อมาจากอิตาลีเมื่อไม่นานมานี้ เพื่อใช้เป็นพาหนะในโอกาสอันเป็นมงคลเมื่อได้ฤกษ์ส่งตัวเจ้าบ่าวเจ้าสาวเข้าเรือนหอ
รุริโกะขึ้นไปนั่งเคียงคู่กับ “สามี” ตามคำเชิญอย่างว่าง่าย แต่ริมฝีปากงามจิ้มลิ้มที่เม้มสนิทนั้นทำให้เธอดูไม่ผิดอะไรกับรูปแกะสลักฝีมือปฏิมากรเอก
นายโชดะอยากชวนรุริโกะพูดคุย แต่ความที่ดื่มด่ำอยู่กับความงามของภรรยาสาวของเขาอย่างไม่รู้จบ จึงไม่อาจหาถ้อยคำมาเจรจาได้แต่นั่งเคียงข้างกันไปเงียบ ๆ จนในที่สุดก็อดรนทนไม่ได้
เขาชำเลืองมองสีหน้าของรุริโกะพลางเอ่ยออกมาอย่างไม่สู้มั่นใจนักว่า
“ผมรู้ว่าคุณคงกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ไม่ต้องห่วงนะ ฉันไม่ใช่คนใจดำอย่างที่เธอคิด ฉันเสียใจมากนะที่การกระทำของฉันทำให้ท่านพ่อของเธอเป็นทุกข์ถึงขนาดนั้น และตั้งใจไว้แล้วว่าจะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้เพื่อเป็นการไถ่โทษ เธออย่าคิดว่าฉันเป็นศัตรูเลยนะ ถือเสียว่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นเป็นสื่อให้เราได้มามีความสัมพันธ์กันเช่นนี้”
นายโชดะเลือกใช้คำพูดสุภาพชนิดที่ไม่เคยใช้กับใครมาก่อน ปลอบเจ้าสาวของเขาด้วยเสียงอ่อนโยนแม้จะไม่สามารถกลบสำเนียงแปล่งของถิ่นกำเนิดเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน แต่กระนั้นรุริโกะก็ยังไม่ปริปากว่าอย่างไร ทั้งสองจึงนั่งอึดอัดอยู่ในความเงียบกันต่อไป
“ความจริงฉันมีเรื่องน่าอายที่อยากสารภาพว่า ตอนที่เห็นเธอในวันงานอุทยานสโมสรฤดูใบไม้ผลิปีนี้ที่บ้าน ฉันลืมคิดถึงความไม่เหมาะสมของอายุไปเลย” นายโชดะหัวเราะแก้เขินก่อนพูดต่อไปว่า “ก็เลย...ก็เลยทำอะไรที่ไม่ยั้งคิดทำให้กระทบกระเทือนไปถึงท่านพ่อเธอ”
สิ่งที่นายโชดะพูดทั้งหมดนั้นเป็นเรื่องโกหกทั้งเพ ไม่มีอะไรที่ออกมาจากใจจริงของเขาแม้แต่คำเดียว เขาพูดพร้อมพยักหน้าเป็นเชิงย้ำให้น่าเชื่อถือก็เพียงเพื่อพยายามให้รุริโกะเปิดใจรับเขาเท่านั้น
ทันทีที่นายโชดะพูดจบ ใบหน้างดงามของรุริโกะฉายรอยยิ้มเยาะออกมาแวบหนึ่ง แล้วอากัปกิริยาของรุริโกะก็เปลี่ยนไปทันควัน
“คุณพูดอย่างนั้นกลับทำให้ดิฉันลำบากใจนะคะ เมื่อคิดว่าคนอย่างดิฉันทำให้คุณสนใจได้ถึงขนาดนั้น”
ว่าแล้วรุริโกะก็หัวเราะเบา ๆ แล้วหันมายิ้มหวานกับนายโชดะ ใบหน้าสวยสดแจ่มใสของเธอเด่นชัดขึ้นมาท่ามกลางความมืดสลัวภายในรถ ยิ้มเช่นนั้นของรุริโอะมีพลังพอที่จะทำให้นายโชดะรู้สึกตัวลอยไร้สติเหมือนคนถูกกระชากวิญญาณออกจากร่าง
6
ยิ้มหวานสดใสของรุริโกะอาบใจของนายโชดะให้ชุ่มชื่นเหลือจะกล่าว ประกอบกับแชมเปญที่ดื่มในงานเลี้ยงเมื่อครู่ก่อนเริ่มออกฤทธิ์ ความขึงตึงบนใบหน้ากว้างของชายที่ได้ชื่อว่าเศรษฐีใหม่จึงคลายลงจนถึงกับเรียกได้ว่าอ่อนโยนเมื่อพูดว่า
“อ้ออย่างนั้นรึ ฉันไม่รู้สักนิดเธอรู้สึกอย่างนี้ก็เลยวิตกกังวลไปใหญ่โต”
ความที่ตื่นเต้นดีใจ นายโชเฮปล่อยเสียงหวานหูสำเนียงแปล่งของท้องถิ่นออกมาเป็นชุด ฟังดูอ่อนโยนไม่สมกับร่างกายอันใหญ่โตน่าเกรงขามของเขา
“ไม่มีอะไรอีกแล้วที่จะทำให้ฉันมีความสุขเท่ากับที่รู้ว่าเธอยินดีมาอยู่กับฉันด้วยใจจริง ฉันจะทุ่มเททรัพย์สินเงินทองทั้งหมดให้เธออย่างไม่เสียดายอะไรทั้งสิ้น ฮะ ฮะ ฮะ”
นายโชดะพูดด้วยอารมณ์ที่เพริดแพร้วไปด้วยความหลงไหล ขณะจับจ้องไม่วางตาไปที่ต้นคอขาวผ่องซึ่งพ้นคอเสื้อกิโมโนออกมายามรุริโกะก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
“มีคุณมาอยู่ข้าง ๆ อย่างนี้ ฉันมีกำลังใจทำงานมากขึ้นเป็นสามเท่าห้าเท่า จะได้มีเงินมหาศาลเอามาซื้อเพชรน้ำงามเม็ดโต ๆ มาถมให้ท่วมตัวคุณเลยทีเดียว ฮะ ฮะ ฮะ”
นายโชดะชวนคุยเพื่อพยายามให้รุริโกะยิ้มและมีความสุขไม่เสื่อมคลาย
รถสามคันซึ่งมีรถคันใหญ่ใหม่เอี่ยมที่รุริโกะนั่งอยู่แล่นนำหน้า ตามด้วยรถของมินะโกะ และรถของคนรับใช้ตามลำดับ เคลื่อนขบวนจากฮิบิยะผ่านคันคูล้อมพระราชวังหลวงยามสี่ทุ่มมุ่งไปทางมิยะเกะซะกะ และไปถึงคฤหาสน์ที่โกะบันโจ ภายในเวลาไม่ถึงสามนาที
จนกระทั่งรถมาจอดเทียบหน้าประตูทางเข้าบ้าน และนายโชดะผู้ได้ชื่อว่าเป็นสามีส่งมือให้จับเป็นหลักให้ก้าวลงจากรถ รุริโกะจึงได้เริ่มสำนึกถึงความเป็นจริงที่รอคอยอยู่ตรงหน้า มันทำให้เธอตื่นระทึกอย่างรุนแรงจนอกใจแทบจะระเบิดออกมา มันทำให้เธอรู้สึกเครียดและหวั่นวิตกราวกับนักดาบจอมสังหารที่ลอบเข้ามาในปราสาทของข้าศึกเพียงคนเดียว
มือที่ยื่นออกไปให้นายโชดะจับนั้นยังสั่นน้อย ๆ แม้จะพยายามบังคับไว้เพียงใด
ขณะที่ รุริโกะเดินตามนายโชดะและกำลังจะขึ้นไปยังห้องโถงทางเข้าคฤหาสน์นั้นเอง จู่ ๆ เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ยืนอยู่หน้าแถวคนรับใช้ในบ้านที่ออกมาคอยต้อนรับอยู่ตรงนั้น ก็กรากเข้ามาเกาะแขนนายโชดะ
“คุณพ่อ ของฝากล่ะ ของฝาก”
นายโชดะไม่อยากให้รุริโกะเห็นอะไรที่ไม่เจริญตาเป็นอย่างแรกที่มาถึง จึงปัดมือที่เกาะเขาไว้แน่นออกไป พลางบอกว่า
“รู้แล้ว เดี๋ยวจะให้เยอะแยะเลย แต่ตอนนี้มานี่ก่อน หนูมีคุณแม่คนใหม่แล้ว ต้องเคารพท่านนะ”
เด็กหนุ่มที่ถูกนายโชดะดึงตัวให้เดินนำหน้าไปพร้อมกัน เดินไปพลางหันกลับมาจ้องหน้ารุริโอะอย่างเห็นเป็นของแปลก
นายโชดะเดินนำหน้าเข้าไปในห้องนั่งเล่นส่วนตัวของเขา แล้วเรียกลูกสาวเข้ามาหา
“มินะโกะ มาหาพ่อใกล้ ๆ”
เขาบอกให้เด็กสาวทำความเคารพรุริโกะแล้วจึงแนะนำลูกชายด้วยสีหน้าที่อธิบายยาก
“นี่ลูกชายของฉัน ก็อย่างที่เห็นนี่แหละคงจะทำให้เธอยุ่งยากไม่น้อย แต่ฉันก็ต้องขอฝากมันไว้ในความดูแลของเธอ นายคนนี้อาจจะดูไม่ค่อยเต็มเต็งแต่เป็นคนจิตใจดี ซื่อ ๆ ไม่มีพิษมีภัยอะไร ว่าอะไรก็เชื่อฟังไม่ดื้อดึง...เอ้า คะสึฮิโกะ นี่คุณแม่ของหนูไง ทำความเคารพให้เรียบร้อย”
คะสึฮิโกะ ยังมองหน้ารุริโกะอยู่ไม่วางตา พอได้ยินบิดาสั่งจึงรู้สึกตัวขึ้นมาทันที
“ไม่ใช่คุณแม่สักหน่อย คุณแม่หนูตายไปแล้ว คุณแม่หนูแก่เป็นยายเพิ้ง แต่คุณคนนี้เขาสวยมาก ไม่ใช่คุณแม่ของหนูหรอก จริงไหมมินะจัง นะ นะ”
เด็กหนุ่มหันไปพยักเพยิดกับน้องสาวเพื่อเอาเป็นพวก มินะโกะหน้าแดงด้วยความอายขณะปรามพี่ชายว่า
“พี่ต้องเรียกคุณว่า คุณแม่ เพราะคุณแต่งงานกับคุณพ่อเราแล้ว”
“เจ้าสาวของคุณพ่อรึ คุณพ่อเล่นขี้โกงนี่ บอกว่าจะไปขอเจ้าสาวให้หนู ก็ไม่ไปขอให้”
เด็กหนุ่มทำกระเง้ากระงอดเหมือนไม่ได้ขนมที่บิดาสัญญาว่าจะให้แล้วไม่ให้ คำต่อว่าของลูกชายผู้บกพร่องทางปัญญาของนายโชดะ ทำให้รุริโกะนึกขึ้นมาได้ว่าระหว่างการสู่ขอเธอนั้นนายโชดะเอ่ยออกปากขอเธอให้ลูกชายของเขาเพราะเกรงคำครหาของสังคมมาอยากมีภรรยาเด็ก และพอคิดว่านายโชดะจงใจใช้อำนาจเงินซื้อเธอมาเป็นเหมือนของเล่นให้ลูกชายผู้นี้ของเขา ความเคียดแค้นชิงชังระลอกใหม่ก็เดือดพล่านขึ้นมาล้นใจจนร้อนรุ่มไปหมดทั้งตัว
7
สองพี่น้องคะสึฮิโกะกับมินะโกะกลับไปห้องส่วนตัวของแต่ละคนเมื่อเกือบห้าทุ่ม เวลาเข้าห้องหอของคู่บ่าวสาวคืบใกล้เข้ามาทุกที
นายโชดะเอาใจรุริโกะอยู่ตลอดเวลา พยายามทุกอย่างเพื่อให้เป็นที่พอใจของรุริโกะ ระหว่างนั้นเขานึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่ง
“ใช่ ๆ ฉันมีอะไรอย่างหนึ่งที่จะให้เธอเป็นของขวัญแต่งงาน”
ว่าแล้วก็เอื้อมมือไปเปิดตู้เซฟใบเล็กที่อยู่ ๆ ด้านหลังของที่นั่ง หยิบเอกสารออกมาปึกหนึ่ง
“ฉันคิดว่าได้กว้านซื้อสัญญาเงินกู้ของท่านพ่อเธอเอามาไว้ได้ทั้งหมด แล้ววันนี้ฉันขอมอบให้เธอเป็นของขวัญ”
เขาผลักปึกสัญญาเงินกู้ที่มีมูลค่าเกือบหนึ่งแสนห้าหมื่นเยนไปตรงหน้ารุริโกะ ทำเหมือนกับว่ามันเป็นกองกระดาษที่ไม่มีราคาค่างวดอะไร
รุริโกะชายตาไปมองกระดาษปึกนั้น พยายามสะกดกลั้นความรู้สึกแต่ใบหน้าของเธอไม่อาจกลบความตื่นเต้นไว้ได้ทั้งหมด เธอมองกระดาษปึกนั้นอย่างไม่สนใจที่จะหยิบขึ้นมาดูอยู่สองสามนาที แล้วอยู่ ๆ ก็ถามขึ้นว่า
“มีไม้ขีดไฟไหมคะ”
“ไม้ขีดไฟรึ” นายโชดะทำหน้างง ๆ กับคำขอของรุริโกะ
“ไม้ขีดไฟน่ะคะ มีไหม”
“อ๋อ ไม้ขีดไฟรึ มีซิมี เยอะแยะไป” ว่าแล้วก็เอี้ยวตัวไปหยิบกล่องไม้ขีดที่วางไว้เหนือเตาผิงมาส่งวางไว้ตรงหน้า รุริโกะ
“เธอจะเอาไม้ขีดไฟมาทำอะไรรึ” นายโชดะถามด้วยความกังวล
รุริโกะไม่สนใจคำถาม เธอลุกขึ้นจากเก้าอี้เงียบ ๆ เดินไปที่เตาผิงที่มีฝาเหล็กครอบอยู่ข้างบน ก้มหน้าลงพิจารณาพลางรวบแขนเสื้อกิโมโนที่เธอเปลี่ยนเป็นชุดที่สามระหว่างงานฉลองสมรสเอาไว้ไม่ให้เกะกะ
“คุณค่ะ เตาผิงนี่มีแก๊สรึเปล่า”
อยู่ ๆ เธอก็เงยหน้าขึ้นถามนายโชดะพร้อมกับยิ้มอย่างสนิมสนม สีหน้าของนายโชดะอ่อนโยนขึ้นทันใดด้วยความปิติที่รุริโกะเรียกเขาว่า “คุณ” อย่างที่ภรรยาทั่วไปเรียกสามี
“แก๊สรึ มีซิมี เขาคงไม่ได้ปิดท่อเอาไว้หรอก”
นายโชดะยังไม่ทันพูดจบ ไม้ขีดไฟก็สว่างวาบขึ้นที่มือขาวผ่องของรุริโกะ เธอเปิดหัวแก๊สและจ่อเปลวไฟลงไป มีเสียงระเบิดเบาๆก่อนที่ไฟจะติด
รุริโกะยืนบังเงาเปลวไปอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนหันหลังมาหยิบเอกสารทั้งปึกบนโต๊ะโยนลงไปในเปลวไฟที่กำลังลุกโชนด้วยท่าทางเหมือนกำลังทำอะไรที่ไม่สำคัญไปกว่าการโยนไม้ฟืนลงกองไฟ และหันไปยิ้มกับนายโชดะที่ยืนตะลึงอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น แล้วบอกว่า
“มีคำพูดที่ว่า ปล่อยให้ลอยไปตามกระแสน้ำใช่ไหมคะ ที่ดิฉันตกลงใจเผาสัญญากู้เงินทั้งหมดนั่นก็เพราะต้องการลบล้างความย้อนแย้งและแตกต่างของอารมณ์ความรู้สึกที่เคยมีต่อกันมาในหลาย ๆ เรื่องให้หมดสิ้นไป เผาให้มอดหมดไปกับไฟดีกว่า”
“ดี ๆ เผาไฟให้หมด ไม่ต้องเหลืออะไรไว้อีก ดีทีเดียว ตอนนี้ก็เท่ากับว่าอะไร ๆ ที่เคยมีต่อกันก็เป็นอันว่าหมดสิ้นกันเสียที ต่อจากนี้เราสองคนจะรักและเชื่อใจกันและกันตลอดไป ไม่มีอะไรที่จะทำให้ฉันมีความสุขมากไปกว่าการที่เธอมีความรู้สึกกับฉันเช่นนี้”
พูดเสร็จนายโชดะก็เดินเข้ามาข้างรุริโกะ ทำตาเป็นประกายวาวคล้ายกับจะเข้ามาฝากจูบแรกลงบนแก้มนวลใย
พอเห็นอาการของอีกฝ่าย รุริโกะก็ทำหน้าตายเดินกลับไปนั่งสงบเสงี่ยมบนเก้าอี้ตัวเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนนั้นเองที่ประตูห้องถูกเปิดออก
“ดิฉันมาเรียนว่า เตรียมทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”
คนรับใช้เข้ามารายงานด้วยกิริยาสุภาพเรียบร้อยอย่างคนที่ได้รับการอบรมมาดี
ในที่สุดนาทีวิกฤติก็มาถึง
“รุริโกะ เราไปห้องโน้นกันเถอะ รู้สึกว่าเขาจะมีพิธีอะไรแบบโบราณ ฮะ ฮะ ฮะ”
แม้จะทำพยายามใจให้แข็งแกร่งเอาไว้ แต่รุริโกะก็ถึงกับหน้าซีดขาวเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของนายโชดะที่ไม่ผืดอะไรกับเสียงของสัตว์ร้ายที่กำลังกระหายเหยื่อ แต่ดีที่ยังควบคุมกิริยาท่าทางให้เป็นปกติไว้ได้
“คุณคะ ดิฉันอยากโทรศัพท์ถึงท่านพ่อสักหน่อย ไม่รู้ว่ากลับถึงบ้านแล้วอาการจะเป็นยังไง”
มันอาจเป็นคำขอที่ออกจะฉับพลันไปหน่อยแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล
8
“โทรศัพท์รึ ไม่ต้องไปเองหรอก วานคนรับใช้ก็ได้ นี่ใครอยู่ตรงนั้น ต่อโทรศัพท์หาท่านคะระซะวะทีซิ...”
นายโชดะห้ามรุริโกะเอาไว้แล้วร้องสั่งคนรับใช้โดยไม่รีรอ
“ไม่ค่ะ ดิฉันอยากโทรเอง”
“อ้อ ถ้าอย่างนั้นใช้โทรศัพท์บนโต๊ะนั่นก็ได้”
เขาชี้ไปที่ด้านหลังของรุริโกะ หญิงสาวเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีโทรศัพท์ตั้งอยู่บนโต๊ะไม้มะฮอกกานีตัวเล็ก ๆ ตรงนั้น
รุริโกะลุกจากเก้าอี้ด้วยท่วงทีของสตรีมารยาทงาม เว้นแต่ที่หัวคิ้วเท่านั้นที่ส่งสัญญาณบ่งบอกถึงการตัดสินใจเด็ดเดี่ยวในยามที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติ
“ฮะโหล กรุณาต่อ บันโจหมายเลข 2-8-9-1 ค่ะ”
รุริโอะแนบริมฝีปากแดงจิ้มลิ้มกับหูโทรศัพท์ พร้อมกับกระซิบเสียงเบาราวกระซิบ
“บันโจหมายเลข 2-8-9-1 ค่ะ”
มือขาวนวลที่ถือหูโทรศัพท์สั่นเล็กน้อยขณะขานหมายเลขซ้ำอีกครั้ง รุริโกะเงี่ยหูฟังอยู่ครู่หนึ่งแล้วดูเหมือนว่าจะมีคนรับที่ปลายสาย เพราะเธอพูดอย่างลิงโลดว่า
“บ้านท่านคะระซะวะหรือคะ นี่รุริโกะพูด นั่นคุณนมใช่ไหม”
เธอแนบหูโทรศัพท์ไว้กับหู ด้วยท่าของคนที่กำลังฟังคำพูดจากปลายสายอีกด้านหนึ่ง
“อ้อ คุณนมกำลังจะโทรถึงหนูอยู่พอดีเลยเหรอ ดีจัง แล้วท่านพ่อเป็นยังไงบ้างคะ”
เธอถามแล้วทำท่านิ่งฟัง
“เหรอ แล้วคุณอิริซะวะ มาหรือเปล่า อ๋อ...อย่างนั้นเหรอ”
เธอพูดโต้ตอบเพียงสั้น ๆ แต่ใบหน้าขาวผ่องเริ่มมีริ้วรอยของความกังวลเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
“อะไรนะคุณนม อาการหนักเหรอ แต่นี่มันกลางดึกนะ...ไหนว่าไงนะ พูดชัด ๆ ซิ หนูไม่ได้ยิน คุณหมอว่ายังไงนะ...บอกให้เรียกหนูกลับไปเหรอ...หนูน่ะเหรอ...แล้วนี่หนูจะทำยังไงดี”
รุริโกะดูเหมือนจะอยู่ในอาการสับสน จนทำอะไรไม่ถูก
“เป็นอะไรไปเธอ เป็นอะไรไป”
นายโชดะหน้าเสีย เดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง
“คือ...คุณคะ ทางบ้านบอกว่าท่านพ่อล้มอีกที่หน้าบ้าน คราวนี้อาการทรุดลงจนน่าเป็นห่วงมาก ดิฉันคงนิ่งเฉย อยู่ไม่ได้แล้วละค่ะ คุณค่ะ...ให้ฉันกลับบ้านไปดูท่านพ่อหน่อยได้ไหม ให้ฉันกลับหน่อยนะคุณ”
รุริโกะยิ้มกับสามีของเธอทั้ง ๆ ที่น้ำตาอาบแก้มนวล
“เอาเถอะ ได้ ได้ รีบขึ้นรถไปดูอาการ แล้วก็คอยพยาบาลดูแลให้ดีเถิด”
“ดิฉันดีใจจริง ๆ ที่คุณเข้าใจ ”
รุริโกะพูดพลางเดินเข้าไปใกล้นายโชดะ แล้วซบหน้างามลงกับอกกว้างใหญ่ที่สมบูรณ์ไปด้วยหนั่นเนื้อของเขา มันชั่งเป็นกิริยาที่ประทับใจนายโชดะอย่างล้นเหลืออะไรเช่นนั้น
“ไม่ต้องรีบร้อนอะไร พอไปถึงแล้วช่วยโทรมาบอกด้วยว่าอาการท่านพ่อเป็นยังไง”
“ค่ะ ดิฉันจะโทรมาทันทีเลย แต่คุณไม่ต้องตามมานะคะเพราะท่านพ่อสั่งไม่ให้บอกคุณ ท่านสั่งคุณนมให้บอกว่าคืนนี้เป็นคืนวันแต่งงานที่มีความหมายมาก ถึงท่านจะตายไปก็อย่าบอก”
“อือม์ อย่างนั้นคุณก็ไปพยาบาลดูแลท่านพ่อให้ดีแล้วกัน ดูแลให้เต็มที่เลยนะ”
การจัดเตรียมรถเป็นไปอย่างรวดเร็วทันใจ
“ถ้าอาการดี บางทีดิฉันอาจกลับภายในคืนนี้ แต่ถ้าไม่ดีก็ขออยู่จนถึงวันพรุ่งนี้นะคะ”
รุริโกะโผล่หน้าต่างรถออกมาบอกนายโชดะด้วยถ้อยคำที่แสดงความสนิทสนม
“ดึกแล้ว คืนนี้อย่ากลับดีกว่า พรุ่งนี้ฉันจะแวะไปดูอาการนะ”
นายโชดะทำตัวเป็นสามีแสนดีไปไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร
“ขอบคุณมากค่ะ”
หญิงสาวทิ้งท้ายด้วยคำขอบคุณเสียงหวาน ก่อนที่รถจะแล่นหายเข้าไปในความมืด
ทว่า พอรถแล่นผ่านแนวต้นซากุระของสถานทูตอังกฤษ ใบหน้าของรุริโกะก็ไม่เหลือร่องรอยของความทุกข์ที่มีต่อข่าวบิดาไม่สบายอาการหนักแม้แต่นิดเดียว
ยิ้มน้อย ๆ ของแม่มดเจ้าเสน่ห์ฉายอยู่บนใบหน้าขาวนวลสวยสง่าสมกับความเป็นลูกผู้ดีมีศักดิ์