บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน* (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
ตอนที่ 6 พ่อกับลูก (ต่อ)
4
“พี่ชายขา คอยเดี๋ยว”
พี่ชายเดินดุ่ม ๆ ไม่เหลียวหลังเลี้ยวลับหมู่ไม้ไปยังประตูใหญ่ไม่สนใจเสียงเรียกของน้องสาว รุริโกะทรุดตัวลงนั่งร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ตรงนั้น
หลังมารดาถึงแก่กรรมสามคนพ่อลูกอยู่กันอย่างเงียบเหงาท่ามกลางความขัดแย้งที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อยในคฤหาสน์กว้างใหญ่โอ่โถงที่เคยคึกคักไปด้วยคนรับใช้หญิงชาย ตอนนี้จำนวนบริวารลดน้อยลงไปมากเหลือแต่แม่นมผู้เฒ่ากับทนายหน้าหอสามีของนางเป็นหลักกับเด็ก ๆ อีกไม่กี่คน
แล้วพี่ชายยังมาหุนหันออกจากบ้านไปเช่นนี้ เหมือนกับฟันในจำนวนที่เหลืออยู่ไม่กี่ซี่ซ้ำยังเป็นซี่หลักเสียด้วยหลุดร่วงไป แม้บิดากับจะพี่ชายเหมือนน้ำกับไฟที่ไม่มีวันสมานฉันท์กันได้ แต่รุริโกะกับพี่ชายเป็นพี่น้องที่รักกันมาก ยิ่งเมื่อไม่มีมารดาด้วยเช่นนี้ทั้งสองก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้น พี่ชายรักน้องสาวคนเดียวของเขามาก และตั้งแต่เริ่มบาดหมางกับบิดาชายหนุ่มยิ่งรู้สึกว่าคนสายเลือดเดียวกันในบ้านนี้มีน้องสาวคนเดียวเท่านั้นที่รักเขาอย่างจริงใจ ส่วนน้องสาวก็เช่นกันพี่ชายเป็นที่พึ่งทางใจคนเดียวของรุริโกะ เป็นคนเดียวที่เข้าใจและเห็นใจอย่างที่เธอไม่เคยได้รับจากบิดา ไม่มีครั้งใดที่รุริโกะจะเสียใจที่ทั้งบิดาและพี่ชายของเธอมีนิสัยดึงดันเอาแต่ใจตนเท่าครั้งนี้อีกแล้ว
รุริโกะเป็นห่วงเหลือเกินที่พี่ชายผลีผลามออกจากบ้านไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรติดตัวนอกจากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ เธอมั่นใจว่าความเป็นคนมีอุดมการณ์สูงส่งจะยึดเหนี่ยวพี่ชายเอาไว้ไม่ให้คำอะไรผิดทำนองคลองธรรม แต่ที่ห่วงคือคนที่เกิดในตระกูลผู้ดีถึงแม้จะตกยากอย่างพี่ชายจะรู้วิธีหากินให้อิ่มปากอิ่มท้องได้อย่างไร อยากภาวนาให้พี่ได้คิดละทิษฐิกลับมาบ้านเมื่อหายโกรธ แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าพี่ชายคงไปบ้านคุณป้าที่อะซะบุเป็นแห่งแรกรุริโกะก็ค่อยเบาใจ มีสติยกผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยขึ้นซับน้ำตาป้อย ๆ เดินขึ้นบันไดไปชั้นบนเพราะเป็นห่วงบิดาขึ้นมาเหมือนกัน
บิดายังอยู่ที่ห้องทำงานของพี่ชายดังที่คิด ทั้งยังไม่เคลื่อนไหวจากที่เดิมเมื่อครู่ก่อนนอกจากลากเก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ เข้ามาทรุดตัวลงนั่งก้มหน้าอยู่ เมื่อเห็นสภาพของบิดาที่ถูกลูกชายคนเดียวหันหลังจากไปอย่างไม่ใยดีเข้าเช่นนี้ น้ำตาที่เพิ่งจะหยุดไปก็คลอคลองขึ้นมาอีกครั้ง ระยะนี้ผมของบิดาดูเหมือนจะมีผมหงอกขาวแทรกขึ้นมามากอย่างเห็นได้ชัด
รุริโกะสังเกตเห็นความเศร้าลึก ๆ ระบายอยู่บนแนวปากของบิดา เช่นเดียวกับตอนบ่นจนติดปากว่า “ฟันหักแบบนี้ เวลาไปบรรยายอะไร เสียงมันรอดไรฟันหวิว ๆ ไม่ดีเลย”
เมื่อคิดขึ้นมาว่าในโลกนี้มีใครบ้างไหมที่จะเศร้าสะเทือนใจเท่ากับคนที่อุทิศชีวิตให้แก่งานในอุดมการณ์มานานปีแล้วไม่อาจทำให้ลูกชายคนเดียวเข้าใจอย่างบิดาของเธอ รุริโกะก็ไม่มีแรงที่จะเอ่ยปากพูดกับบิดาได้แต่ทรุดตัวลงร่ำไห้อยู่กับพื้นห้องนั้นเอง
บิดาดูเหมือนจะสะเทือนใจตามลูกสาวสุดที่รักไปด้วยเพราะบนใบหน้าที่เงยขึ้นมานั้นมีคราบน้ำตาเป็นทาง
“รุริโกะ”
เสียงของบิดาอ่อนละโหยราวกับคนละคนกับเมื่อครู่ก่อน
“ขา”
หญิงสาวตอบเสียงเครือเจือสะอื้น
“ไปแล้วรึ”
หางเสียงแฝงความรักใคร่ใยดี
เจ้าค่ะ”
รุริโอะตอบด้วยเสียงที่อ่อนแรงลงไปอีก
“เออ ไสหัวไปให้พ้น ในเมื่อคิดไม่ตรงกันก็ไม่ต้องมานับว่าเป็นพ่อเป็นลูก ถึงจะสืบสายเลือดเดียวกันก็เหมือนกับคนที่พบตามข้างทาง รุริโกะ...หนูเข้าใจความรู้สึกของพ่อดีใช่ไหม หนูคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจพ่อ นี่ถ้ารุริโกะเป็นผู้ชายพ่อว่าหนูจะต้องสืบทอดอุดมการณ์ของพ่อแน่นอน”
บิดาพูดด้วยเสียงที่พยายามให้ฟังดูคึกคัก ทั้ง ๆ จิตใจห่อเหี่ยวเหลือประมาณ
รุริโกะไม่อาจให้คำตอบได้ คนที่สนิทสนมกับครอบครัวนี้ดีย่อมรู้ว่าเธอเป็นหญิงสาวใจเด็ด มีจิตใจที่เข้มแข็งกว่าบิดาและพี่ชายของเธอเสียอีก ทั้งยังหยิ่งในศักดิ์ศรีของความเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลอย่างยิ่งด้วย ไม่แปลกเลยที่บิดาผู้สูงศักดิ์จะออกปากอยู่เสมอว่า “ถ้ารุริโกะเป็นผู้ชายก็จะดี”
พอดีกับที่บิดากำลังจะเอ่ยอะไรออกมา มีเสียงรถแล่นผ่านถนนใกล้เข้ามายังตัวตึกและจอดเทียบเทียบที่หน้าประตูบานใหญ่สีดำดูเก่าแก่ของคฤหาสน์คะระซะวะ
5
ความเศร้าและความเครียดที่กรุ่นอยู่รอบ ๆ ตัวพ่อลูกถูกทำลายด้วยเสียงรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าประตู รุริโกะยังอยากอยู่กับพ่อในบรรยากาศเช่นนั้นเพื่อที่จะได้ซึมซับความรู้สึกของบิดาให้ลึกซึ้งขึ้นทั้งยังอยากปรึกษากันเรื่องพี่ชายด้วย จึงถึงกับไม่พอใจนิด ๆ กับเสียงดังอึกทึกของเครื่องยนต์ของแขกที่มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่รู้เหนือรู้ใต้ว่าคนในบ้านนี้กำลังมีปัญหาถึงขั้นแตกหัก
แม่นมของรุริโกะคงไปอยู่เสียที่ไหนจึงไม่ออกมารับหน้าไว้ชั้นหนึ่งก่อน
“นมไปไหนนะ”
รุริโกะบ่นพลางลงบันไดไปรับแขก เสียงพ่อสั่งไล่หลังมา
“ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญละก้อ บอกเขาว่าพ่อไม่สะดวกที่จะพบนะหนู”
เมื่อรุริโกะเปิดประตูออกไปพบหน้าผู้มาเยือน เธอก็ต้องประหลาดใจเพราะสุภาพบุรุษที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้าคือท่านซุงิโนะ บิดาคนรักของเธอเอง
“เชิญเจ้าค่ะ” รุริโกะค้อมตัวลงคำนับแต่ใจหวาดกังวล เนื่องจากรู้ดีว่าท่านบิดาผู้สูงศักดิ์ของคนรักเธอผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีเลยกับบิดาของเธอแม้จะสังกัดกลุ่มการเมืองเดียวกัน เธอรู้ด้วยว่าบิดาของเธอไม่พอใจอย่างยิ่งจนถึงกับดูถูกเหยียดหยามการที่ท่านผู้นี้แสวงหาผลประโยชน์ด้วยการทำตัวสนิทชิดเชื้อกับผู้คนในวงการการเมืองและการค้า รุริโกะได้ยินผู้คนในสังคมซุบซิบกันหลายต่อหลายครั้งว่าทั้งสองถกเถียงกันรุนแรงระหว่างการประชุม
ท่านซุงิโนะมาผิดเวลาจริง ๆ รุริโกะรู้สึกหวั่นใจเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคู่อริทั้งสองมาเผชิญหน้ากันขณะที่บรรยากาศร้อนเร่ายังคุกรุ่นอยู่เช่นนี้ จะเชิญให้ท่านบิดาของคนรักกลับไปอย่างที่บิดาร้องสั่งตามหลังมานั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน แขกผู้สูงศักดิ์สังเกตเห็นอาการลังเลของสาวน้อยจึงถามขึ้นว่า
“ท่านพ่อไม่อยู่หรือหนู”
“อยู่เจ้าค่ะ”
รุริโกะไม่อาจหาคำตอบอื่นที่ดีกว่าได้
“ถ้าเช่นนั้นช่วยเรียนท่านว่าซุงิโนะมาขอพบ”
หลังจากเชิญท่านซุงิโนะเข้ามานั่งคอยที่ห้องด้านนอกเรียบร้อยแล้วรุริโกะก็ขอตัวไปเรียกบิดาลงมาพบ ขณะที่เดินขึ้นบันไดไปนั้นเธอนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งซึ่งทำให้ใจเต้นระทึกขึ้นมา “เป็นไปไม่ได้” รุริโกะปลอบใจตนเอง แต่ยิ่งปลอบใจก็ยิ่งเต้นแรง
นะโอะยะ บุตรชายคนโตของท่านซุงิโนะเป็นชายหนุ่มผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีของความเป็นผู้ดีมีสกุลต่างจากบิดาของเขา รุริโกะพบชายหนุ่มผู้นี้ในงานคอนเสิร์ตและจากนั้นก็นิยมชมชอบเขาเรื่อยมา เสน่ห์ของนะโอะยะอยู่ที่ใบหน้าอันคมสันสมชายและการมีความมุ่งมั่นราวกับไฟลุกโชนอยู่ในใจเสมอไม่ว่าจะจับทำอะไร ความรักของคนทั้งสองเป็นความรักที่บริสุทธิ์และเร่าร้อน
รุริโกะกับนะโอะยะสัญญากันว่าจะเป็นคู่ชีวิตที่ไม่มีวันแยกจากกัน นะโอะยะบอกว่าเขาจะมาสู่ขออย่างเป็นทางการทันทีที่เรียนจบ เขาจะบอกเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นคำพูดติดปาก
ชายหนุ่มจะสำเร็จชั้นมัธยมปลายที่สถาบันกะคุชูอินในเดือนเมษายนปีนี้ ถ้าการเรียนจบที่นะโอะยะพร่ำพูดอยู่เสมอหมายความว่าเรียนจบจากกะคุชูอินละก็...พอคิดถึงตรงนี้ เท้าของรุริโกะที่เหยียบอยู่บนขั้นบันไดดูเหมือนจะลอยขึ้นไปไม่แตะพื้น อีกทั้งการที่ท่านซุงิโนะที่ไม่เคยมาบ้านนี้สักครั้งอุตส่าห์มาด้วยตนเองอย่างนี้อีกเล่า...ยิ่งคิดก็ยิ่งใจเต้น
แต่เอ...ตอนพบกันที่งานอุทยานสโมสรเมื่อไม่กี่วันมานี้ไม่เห็นนะโอะยะพูดถึงเรื่องนี้เลยสักนิด หรือว่าจะวางแผนให้เธอตกใจด้วยการขอให้บิดาเป็นคนมาเจรจาสู่ขออย่างเป็นทางการโดยไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว รุริโกะคิดเลยเถิดไปถึงขนาดนั้นระหว่างช่วงเวลาอันสั้นนิดเดียวระหว่างขึ้นบันได
ทว่าพอเห็นใบหน้าหมองเศร้าของบิดา จิตใจที่เพิ่งจะเริ่มเบิกบานของรุริโกะก็ฝ่อลงทันที ถึงการมาของท่านซุงิโนะจะเป็นการมาเจรจาสู่ขออย่างเป็นทางการจริงอย่างที่เธอคิด แต่แน่ใจหรือว่าบิดาของเธอจะยอมยกลูกสาวสุดที่รักให้แก่ลูกชายคนที่ท่านดูถูกเหยียดหยามขนาดนั้น ใช่...เธอเชื่อว่าบิดาเป็นคนมีเหตุมีผลพอที่จะแยกแยะว่าพ่อก็พ่อลูกก็ลูก แต่ในภาวะที่กำลังซึมเศร้ากับการขาดที่ยึดเหนี่ยวเมื่อลูกชายคนเดียวตัดเป็นตัดตายออกจากบ้านไปหยก ๆ เช่นนี้ คิดหรือว่าบิดาจะปล่อยมือยกลูกสาวให้บ้านอื่น จินตนาการของรุริโกะที่กำลังขยายปีกโผบินขึ้นสูงก็ต้องลู่ปีกร่วงวูบลงมา แต่ถ้าหากบิดาเกิดตกลงขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึงเล่า...
“ท่านพ่อคะ ท่านซุงิโนะมาขอพบเจ้าค่ะ” รุริโกะรายงานด้วยเสียงที่ยังไม่หายกระเส่า
6
บิดาไม่รู้ใจลูกสาว พอได้ยินว่าท่านซุงิโนะมาเยือนอย่างไม่บอกกล่าวก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์พึมพำว่า “ซุงิโนะ...อือม์”แต่ก็ไม่มีท่าที่ว่าจะลุกขึ้นง่าย ๆ
“ช่วยไม่ได้ เชิญเขาเข้ามาซิ” ว่าแล้วก็เดินลงบันไดกลับไปที่ห้องส่วนตัวเพื่อสวมเสื้อคลุมกิโมโนออกมารับแขกตามมารยาท
รุริโกะเศร้าใจกับความไม่ลงรอยกันระหว่างบิดาของตนกับท่านบิดาของคนรัก เธอกลับไปเชิญแขกผู้สูงศักดิ์เข้ามาในห้องรับแขก
ห้องรับแขกเก่าแก่ดูอ้างว้างว่างเปล่าไร้เครื่องประดับประดา คฤหาสน์แบบยุโรปหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อต้นสมัยเมจิ การจัดแบ่งห้องหับจึงล้าสมัยไม่สะดวกกับการใช้สอย ทุกครั้งที่รุริโกะเชิญแขกเข้ามาในห้องนี้เธอจะกังวลกับเบาะรองเก้าอี้ที่ทำท่าจะปริขาดเต็มที
บิดาของรุริโกะเข้ามาในห้องรับแขกทันกับที่แขกของเขาเข้ามาพอดี ทั้งสองทักทายกันตามมารยาทอันดีของสุภาพบุรุษก่อนทรุดตัวลงนั่งตามที่อันสมควร รุริโกะยกน้ำชาและขนมมาต้อนรับพลางเงี่ยหูฟังการสนทนาของบุคคลทั้งสองอย่างใจจดใจจ่อ แต่การสนทนาก็ไม่ได้คืบหน้ามากไปกว่าการพูดถึงดินฟ้าอากาศ เรื่องการเมืองทั่ว ๆ ไปโดยไม่เข้าเรื่องที่เป็นธุระหลักเสียที
เมื่อหมดหน้าที่รับแขกแล้วรุริโกะก็ไม่อาจเสียมารยาทยืนฟังอยู่ได้จึงต้องเลี่ยงกลับไปที่ห้องด้วยความรู้สึกสับสน ทั้งไม่มั่นใจและหวาดกังวล
ใบหน้าคมสันของคนรักติดตรึงอยู่ในห้วงคิด คำพลอดรักหวานชื่นหวนกลับมาประโลมใจ ไม่ว่าจะคิดถึงช่วงตอนไหนล้วนแต่เป็นความทรงจำที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขสม อบอุ่นอยู่ด้วยเปลวไฟแห่งความรัก เธอกับเขาน้อมรับและเคารพในอัตลักษณ์ของกันและกัน รูริโกะไม่เคยลืมคืนวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงที่เธอกับเขาไปชมการแสดงคอนเสิร์ต “ลำนำแห่งดวงจันทร์” ของบีโธเฟนที่อุเอะโนะ และการพูดคุยถึงความประทับใจในความยิ่งใหญ่ของผลงานชิ้นเอกระหว่างทางกลับบ้าน นึกถึงวันอาทิตย์ต้นฤดูร้อนที่เขากับเธอแลกเปลี่ยนคำวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของตอลสตอยกันระหว่างเดินเล่ยนในป่าละเมาะที่โทะยะมะงะฮะระอันเขียวชอุ่มไปด้วยใบไม้อ่อนแรกผลิ เขาเป็นทั้งคู่รักและเพื่อนคู่ใจที่หาได้ยากยิ่ง เป็นผู้นำคนสำคัญทั้งทางด้านงานอดิเรกและรสนิยมของเธอ
รุริโอะระลึกความดีงามของอุปนิสัย ความสง่างามสมชาย และข้อดีอื่น ๆ ของคนรัก และพอคิดเลยไปว่าหากธุระของท่านซุงิโนะเป็นเรื่องที่เธอจินตนาการเอาไว้ (ช่างเป็นความคิดเหมือนเด็ก ๆ เหลือเกิน) เท่านั้น แก้มขาวนวลราวพื้นผิวของไข่มุกก็แดงระเรื่อขึ้น
ธุระของแขกผู้มาเยือนดูเหมือนจะไม่ยืดเยื้อ เสียงเปิดประตูห้องด้วยกำลังแรงทำลายภาพฝันในห้วงคิดของรุริโกะไปจนหมดสิ้น หญิงสาวรีบออกไปที่ห้องโถงทางเข้าบ้านเพื่อส่งแขกตามธรรมเนียม
เธอชำเลืองมองบิดาเห็นหน้าบูดบึ้งเสียยิ่งกว่าตอนที่พี่ชายผลุนผลันออกจากบ้านไปเสียอีก ท่านซุงิโนะเดินออกมาที่ห้องโถงทางเข้าบ้านด้วยท่าทางเหมือนถูกไล่ออกมา ใบหน้าที่ยิ้มย่องเหมือนคนอารมณ์ดีนั้นตอนนี้บูดบึ้งเช่นกัน และคงโกรธจัดถึงขนาดไม่เอ่ยคำอำลา พอขึ้นรถได้ก็สั่งให้คนขับออกรถไปให้พ้น ๆ คฤหาสน์หลังนั้นทันที
บิดามองถามรถยนต์คันนั้นไปด้วยสายตาเหยียดหยามดูแคลนอยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านพ่อเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
รุริโกะถามอย่างหวาด ๆ
“หมอนั่นมันบ้าบัดซบ ไม่รู้จะทำลายศักดิ์ศรีของผู้ดีมีตระกูลไปถึงไหน”
บิดาพูดเหมือนสำรากออกมาด้วยความโกรธจัด
รุริโกะพลอยขัดเคืองไปด้วยเมื่อได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของบิดา สิ่งที่จินตนาการเหมือนเด็ก ๆ เมื่อครู่ก่อนมลายหายไปจนสิ้น รู้สึกเหมือนตนเองตกจมลงไปในห้วงแห่งความมืดมิดที่ลึกล้ำอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้
“อะไรทำให้ท่านพ่อโกรธถึงขนาดนี้ บอกรุริโกะได้ไหมเจ้าคะ”
“อย่าถาม อย่าถามได้ไหม มันเป็นเรื่องน่าละอายเหลือเกิน ไม่เฉพาะสำหรับพ่อ แต่มันรวมไปถึงหนูด้วย”
น้ำเสียงของบิดาบ่งบอกถึงความโกรธเกรี้ยวอย่างแทบจะระงบอารมณ์ไว้ไม่อยู่
พอได้ยินว่าเป็นเรื่องที่พาดพิงมาถึงตนด้วยเช่นนั้นรุริโกะกังวลขึ้นมาทันทีว่าบิดาของคนรักมาพูดอะไรที่เหยียดหยามตนให้ได้อาย จะนิ่งเสียไม่คาดคั้นจากบิดาให้ได้ความกระจ่างชัดก็อย่างไรอยู่ จึงถามขึ้นว่า
“เรื่องที่ท่านพ่อพูดถึง มันเรื่องอะไรกัน ท่านซุงิโนะมาพูดอะไรเกี่ยวกับหนูหรือเจ้าคะ”
“อย่าถามดีกว่า ยิ่งรู้ก็จะยิ่งไปกันใหญ่ คำพูดของคนสันดานไม่ดีแบบนั้น อย่าไปเสียเวลาฟังเลยหนู”
บิดาพูดทิ้งท้ายเป็นเชิงปลอบลูกสาวก่อนเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน แม้บิดาจะบอกให้ไม่สนใจกับคนสันดานไม่ดีอย่างท่านซุงิโนะ แต่รุริโกะไม่อาจทำตามเช่นนั้นได้เพราะไม่ว่าท่านผู้นั้นจะถูกบิดาตราหน้าว่าเป็นคนเช่นไร แต่เขาก็เป็นบิดาของคนรักเธอ อะไรก็ตามที่ท่านผู้นี้เอ่ยปากออกมาล้วนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรุริโกะทุกอย่างไป
“แต่ท่านพ่อขา รุริโกะอยากรู้จริง ๆ ว่าท่านซุงิโนะพูดถึงหนูว่าอย่างไร”
รุริโกะคาดคั้นด้วยเสียงออดอ้อนอย่างทุกครั้งที่อยากให้บิดาตามใจเพราะรู้ดีว่าบิดารักลูกสาวกำพร้าแม่ผู้นี้ปานใด เท่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่บิดาปกปิดไว้เป็นความลับสำคัญแค่ไหน พอโดนลูกสาวออกอ้อนเข้าไม่กี่คำก็เปิดเผยจนหมดสิ้น
“เปล่า เขาไม่ได้มาว่าร้ายอะไรหนูหรอก”
ถึงแม้หน้าตาจะบูดบึ้งด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างแรง แต่คำพูดกับลูกสาวเท่านั้นที่อ่อนโยน
“แต่ทำไมท่านพ่อถึงบอกว่าท่านซุงิโนะพูดอะไรให้หนูได้อายเล่าเจ้าคะ”
“หนูอย่ารู้ให้ระคายหูเลยดีกว่า หมอนั้นมันเหยียดหยามพ่อแล้วยังเลยมาถึงหนูที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างให้อภัยไม่ได้”
บิดาพูดพลางกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์ร้อนแรง เหมือนกับเดือดดาลขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงคำพูดและท่าทีของคู่สนทนาเมื่อครู่ก่อน ราวกับคน ๆ นั้นมายืนเย้ยหยันอยู่ตรงหน้า
“เขาว่าอย่างไรหรือท่านพ่อ พูดให้ชัดเจนหน่อยได้ไหมเจ้าคะว่าท่านซุงิโนะพูดถึงหนูว่ายังไง”
รุริโกะคาดคั้นบิดาด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านด้วยความอยากรู้เรื่องที่มีคนพูดถึงตน
“หมอนั่นบอกว่า เขาได้ยินมาว่ามีคนมาสู่ขอหนู”
รุริโกะตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องที่เหลือเชื่อออกมาจากปากบิดา
“มีคนมาสู่ขอหนูหรือคะ” รุริโกะพูดออกมาได้แค่นั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก เธอหยุดยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงทางเข้าห้องทำงานของบิดานั้นเอง บิดาทิ้งร่างที่เหนื่อยล้าลงกับเก้าอี้ตัวโปรดโดยไม่ล่วงรู้ถึงความหมายอันลึกล้ำที่แฝงอยู่ในคำพูดที่แสดงถึงความตื่นตระหนกของลูกสาวแม้แต่น้อย
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
ตอนที่ 6 พ่อกับลูก (ต่อ)
4
“พี่ชายขา คอยเดี๋ยว”
พี่ชายเดินดุ่ม ๆ ไม่เหลียวหลังเลี้ยวลับหมู่ไม้ไปยังประตูใหญ่ไม่สนใจเสียงเรียกของน้องสาว รุริโกะทรุดตัวลงนั่งร้องไห้น้ำตานองหน้าอยู่ตรงนั้น
หลังมารดาถึงแก่กรรมสามคนพ่อลูกอยู่กันอย่างเงียบเหงาท่ามกลางความขัดแย้งที่ค่อย ๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อยในคฤหาสน์กว้างใหญ่โอ่โถงที่เคยคึกคักไปด้วยคนรับใช้หญิงชาย ตอนนี้จำนวนบริวารลดน้อยลงไปมากเหลือแต่แม่นมผู้เฒ่ากับทนายหน้าหอสามีของนางเป็นหลักกับเด็ก ๆ อีกไม่กี่คน
แล้วพี่ชายยังมาหุนหันออกจากบ้านไปเช่นนี้ เหมือนกับฟันในจำนวนที่เหลืออยู่ไม่กี่ซี่ซ้ำยังเป็นซี่หลักเสียด้วยหลุดร่วงไป แม้บิดากับจะพี่ชายเหมือนน้ำกับไฟที่ไม่มีวันสมานฉันท์กันได้ แต่รุริโกะกับพี่ชายเป็นพี่น้องที่รักกันมาก ยิ่งเมื่อไม่มีมารดาด้วยเช่นนี้ทั้งสองก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้น พี่ชายรักน้องสาวคนเดียวของเขามาก และตั้งแต่เริ่มบาดหมางกับบิดาชายหนุ่มยิ่งรู้สึกว่าคนสายเลือดเดียวกันในบ้านนี้มีน้องสาวคนเดียวเท่านั้นที่รักเขาอย่างจริงใจ ส่วนน้องสาวก็เช่นกันพี่ชายเป็นที่พึ่งทางใจคนเดียวของรุริโกะ เป็นคนเดียวที่เข้าใจและเห็นใจอย่างที่เธอไม่เคยได้รับจากบิดา ไม่มีครั้งใดที่รุริโกะจะเสียใจที่ทั้งบิดาและพี่ชายของเธอมีนิสัยดึงดันเอาแต่ใจตนเท่าครั้งนี้อีกแล้ว
รุริโกะเป็นห่วงเหลือเกินที่พี่ชายผลีผลามออกจากบ้านไปทั้ง ๆ ที่ไม่มีอะไรติดตัวนอกจากเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ เธอมั่นใจว่าความเป็นคนมีอุดมการณ์สูงส่งจะยึดเหนี่ยวพี่ชายเอาไว้ไม่ให้คำอะไรผิดทำนองคลองธรรม แต่ที่ห่วงคือคนที่เกิดในตระกูลผู้ดีถึงแม้จะตกยากอย่างพี่ชายจะรู้วิธีหากินให้อิ่มปากอิ่มท้องได้อย่างไร อยากภาวนาให้พี่ได้คิดละทิษฐิกลับมาบ้านเมื่อหายโกรธ แต่พอนึกขึ้นมาได้ว่าพี่ชายคงไปบ้านคุณป้าที่อะซะบุเป็นแห่งแรกรุริโกะก็ค่อยเบาใจ มีสติยกผ้าเช็ดหน้าผืนน้อยขึ้นซับน้ำตาป้อย ๆ เดินขึ้นบันไดไปชั้นบนเพราะเป็นห่วงบิดาขึ้นมาเหมือนกัน
บิดายังอยู่ที่ห้องทำงานของพี่ชายดังที่คิด ทั้งยังไม่เคลื่อนไหวจากที่เดิมเมื่อครู่ก่อนนอกจากลากเก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่ข้าง ๆ เข้ามาทรุดตัวลงนั่งก้มหน้าอยู่ เมื่อเห็นสภาพของบิดาที่ถูกลูกชายคนเดียวหันหลังจากไปอย่างไม่ใยดีเข้าเช่นนี้ น้ำตาที่เพิ่งจะหยุดไปก็คลอคลองขึ้นมาอีกครั้ง ระยะนี้ผมของบิดาดูเหมือนจะมีผมหงอกขาวแทรกขึ้นมามากอย่างเห็นได้ชัด
รุริโกะสังเกตเห็นความเศร้าลึก ๆ ระบายอยู่บนแนวปากของบิดา เช่นเดียวกับตอนบ่นจนติดปากว่า “ฟันหักแบบนี้ เวลาไปบรรยายอะไร เสียงมันรอดไรฟันหวิว ๆ ไม่ดีเลย”
เมื่อคิดขึ้นมาว่าในโลกนี้มีใครบ้างไหมที่จะเศร้าสะเทือนใจเท่ากับคนที่อุทิศชีวิตให้แก่งานในอุดมการณ์มานานปีแล้วไม่อาจทำให้ลูกชายคนเดียวเข้าใจอย่างบิดาของเธอ รุริโกะก็ไม่มีแรงที่จะเอ่ยปากพูดกับบิดาได้แต่ทรุดตัวลงร่ำไห้อยู่กับพื้นห้องนั้นเอง
บิดาดูเหมือนจะสะเทือนใจตามลูกสาวสุดที่รักไปด้วยเพราะบนใบหน้าที่เงยขึ้นมานั้นมีคราบน้ำตาเป็นทาง
“รุริโกะ”
เสียงของบิดาอ่อนละโหยราวกับคนละคนกับเมื่อครู่ก่อน
“ขา”
หญิงสาวตอบเสียงเครือเจือสะอื้น
“ไปแล้วรึ”
หางเสียงแฝงความรักใคร่ใยดี
เจ้าค่ะ”
รุริโอะตอบด้วยเสียงที่อ่อนแรงลงไปอีก
“เออ ไสหัวไปให้พ้น ในเมื่อคิดไม่ตรงกันก็ไม่ต้องมานับว่าเป็นพ่อเป็นลูก ถึงจะสืบสายเลือดเดียวกันก็เหมือนกับคนที่พบตามข้างทาง รุริโกะ...หนูเข้าใจความรู้สึกของพ่อดีใช่ไหม หนูคนเดียวเท่านั้นที่เข้าใจพ่อ นี่ถ้ารุริโกะเป็นผู้ชายพ่อว่าหนูจะต้องสืบทอดอุดมการณ์ของพ่อแน่นอน”
บิดาพูดด้วยเสียงที่พยายามให้ฟังดูคึกคัก ทั้ง ๆ จิตใจห่อเหี่ยวเหลือประมาณ
รุริโกะไม่อาจให้คำตอบได้ คนที่สนิทสนมกับครอบครัวนี้ดีย่อมรู้ว่าเธอเป็นหญิงสาวใจเด็ด มีจิตใจที่เข้มแข็งกว่าบิดาและพี่ชายของเธอเสียอีก ทั้งยังหยิ่งในศักดิ์ศรีของความเป็นลูกผู้ดีมีตระกูลอย่างยิ่งด้วย ไม่แปลกเลยที่บิดาผู้สูงศักดิ์จะออกปากอยู่เสมอว่า “ถ้ารุริโกะเป็นผู้ชายก็จะดี”
พอดีกับที่บิดากำลังจะเอ่ยอะไรออกมา มีเสียงรถแล่นผ่านถนนใกล้เข้ามายังตัวตึกและจอดเทียบเทียบที่หน้าประตูบานใหญ่สีดำดูเก่าแก่ของคฤหาสน์คะระซะวะ
5
ความเศร้าและความเครียดที่กรุ่นอยู่รอบ ๆ ตัวพ่อลูกถูกทำลายด้วยเสียงรถยนต์ที่แล่นเข้ามาจอดเทียบหน้าประตู รุริโกะยังอยากอยู่กับพ่อในบรรยากาศเช่นนั้นเพื่อที่จะได้ซึมซับความรู้สึกของบิดาให้ลึกซึ้งขึ้นทั้งยังอยากปรึกษากันเรื่องพี่ชายด้วย จึงถึงกับไม่พอใจนิด ๆ กับเสียงดังอึกทึกของเครื่องยนต์ของแขกที่มาเยือนโดยไม่ได้นัดหมาย ไม่รู้เหนือรู้ใต้ว่าคนในบ้านนี้กำลังมีปัญหาถึงขั้นแตกหัก
แม่นมของรุริโกะคงไปอยู่เสียที่ไหนจึงไม่ออกมารับหน้าไว้ชั้นหนึ่งก่อน
“นมไปไหนนะ”
รุริโกะบ่นพลางลงบันไดไปรับแขก เสียงพ่อสั่งไล่หลังมา
“ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญละก้อ บอกเขาว่าพ่อไม่สะดวกที่จะพบนะหนู”
เมื่อรุริโกะเปิดประตูออกไปพบหน้าผู้มาเยือน เธอก็ต้องประหลาดใจเพราะสุภาพบุรุษที่ยืนเด่นเป็นสง่าอยู่ตรงหน้าคือท่านซุงิโนะ บิดาคนรักของเธอเอง
“เชิญเจ้าค่ะ” รุริโกะค้อมตัวลงคำนับแต่ใจหวาดกังวล เนื่องจากรู้ดีว่าท่านบิดาผู้สูงศักดิ์ของคนรักเธอผู้นี้มีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีเลยกับบิดาของเธอแม้จะสังกัดกลุ่มการเมืองเดียวกัน เธอรู้ด้วยว่าบิดาของเธอไม่พอใจอย่างยิ่งจนถึงกับดูถูกเหยียดหยามการที่ท่านผู้นี้แสวงหาผลประโยชน์ด้วยการทำตัวสนิทชิดเชื้อกับผู้คนในวงการการเมืองและการค้า รุริโกะได้ยินผู้คนในสังคมซุบซิบกันหลายต่อหลายครั้งว่าทั้งสองถกเถียงกันรุนแรงระหว่างการประชุม
ท่านซุงิโนะมาผิดเวลาจริง ๆ รุริโกะรู้สึกหวั่นใจเหลือเกินว่าจะเกิดอะไรขึ้นเมื่อคู่อริทั้งสองมาเผชิญหน้ากันขณะที่บรรยากาศร้อนเร่ายังคุกรุ่นอยู่เช่นนี้ จะเชิญให้ท่านบิดาของคนรักกลับไปอย่างที่บิดาร้องสั่งตามหลังมานั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน แขกผู้สูงศักดิ์สังเกตเห็นอาการลังเลของสาวน้อยจึงถามขึ้นว่า
“ท่านพ่อไม่อยู่หรือหนู”
“อยู่เจ้าค่ะ”
รุริโกะไม่อาจหาคำตอบอื่นที่ดีกว่าได้
“ถ้าเช่นนั้นช่วยเรียนท่านว่าซุงิโนะมาขอพบ”
หลังจากเชิญท่านซุงิโนะเข้ามานั่งคอยที่ห้องด้านนอกเรียบร้อยแล้วรุริโกะก็ขอตัวไปเรียกบิดาลงมาพบ ขณะที่เดินขึ้นบันไดไปนั้นเธอนึกอะไรขึ้นมาได้อย่างหนึ่งซึ่งทำให้ใจเต้นระทึกขึ้นมา “เป็นไปไม่ได้” รุริโกะปลอบใจตนเอง แต่ยิ่งปลอบใจก็ยิ่งเต้นแรง
นะโอะยะ บุตรชายคนโตของท่านซุงิโนะเป็นชายหนุ่มผู้หยิ่งในศักดิ์ศรีของความเป็นผู้ดีมีสกุลต่างจากบิดาของเขา รุริโกะพบชายหนุ่มผู้นี้ในงานคอนเสิร์ตและจากนั้นก็นิยมชมชอบเขาเรื่อยมา เสน่ห์ของนะโอะยะอยู่ที่ใบหน้าอันคมสันสมชายและการมีความมุ่งมั่นราวกับไฟลุกโชนอยู่ในใจเสมอไม่ว่าจะจับทำอะไร ความรักของคนทั้งสองเป็นความรักที่บริสุทธิ์และเร่าร้อน
รุริโกะกับนะโอะยะสัญญากันว่าจะเป็นคู่ชีวิตที่ไม่มีวันแยกจากกัน นะโอะยะบอกว่าเขาจะมาสู่ขออย่างเป็นทางการทันทีที่เรียนจบ เขาจะบอกเช่นนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนกลายเป็นคำพูดติดปาก
ชายหนุ่มจะสำเร็จชั้นมัธยมปลายที่สถาบันกะคุชูอินในเดือนเมษายนปีนี้ ถ้าการเรียนจบที่นะโอะยะพร่ำพูดอยู่เสมอหมายความว่าเรียนจบจากกะคุชูอินละก็...พอคิดถึงตรงนี้ เท้าของรุริโกะที่เหยียบอยู่บนขั้นบันไดดูเหมือนจะลอยขึ้นไปไม่แตะพื้น อีกทั้งการที่ท่านซุงิโนะที่ไม่เคยมาบ้านนี้สักครั้งอุตส่าห์มาด้วยตนเองอย่างนี้อีกเล่า...ยิ่งคิดก็ยิ่งใจเต้น
แต่เอ...ตอนพบกันที่งานอุทยานสโมสรเมื่อไม่กี่วันมานี้ไม่เห็นนะโอะยะพูดถึงเรื่องนี้เลยสักนิด หรือว่าจะวางแผนให้เธอตกใจด้วยการขอให้บิดาเป็นคนมาเจรจาสู่ขออย่างเป็นทางการโดยไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัว รุริโกะคิดเลยเถิดไปถึงขนาดนั้นระหว่างช่วงเวลาอันสั้นนิดเดียวระหว่างขึ้นบันได
ทว่าพอเห็นใบหน้าหมองเศร้าของบิดา จิตใจที่เพิ่งจะเริ่มเบิกบานของรุริโกะก็ฝ่อลงทันที ถึงการมาของท่านซุงิโนะจะเป็นการมาเจรจาสู่ขออย่างเป็นทางการจริงอย่างที่เธอคิด แต่แน่ใจหรือว่าบิดาของเธอจะยอมยกลูกสาวสุดที่รักให้แก่ลูกชายคนที่ท่านดูถูกเหยียดหยามขนาดนั้น ใช่...เธอเชื่อว่าบิดาเป็นคนมีเหตุมีผลพอที่จะแยกแยะว่าพ่อก็พ่อลูกก็ลูก แต่ในภาวะที่กำลังซึมเศร้ากับการขาดที่ยึดเหนี่ยวเมื่อลูกชายคนเดียวตัดเป็นตัดตายออกจากบ้านไปหยก ๆ เช่นนี้ คิดหรือว่าบิดาจะปล่อยมือยกลูกสาวให้บ้านอื่น จินตนาการของรุริโกะที่กำลังขยายปีกโผบินขึ้นสูงก็ต้องลู่ปีกร่วงวูบลงมา แต่ถ้าหากบิดาเกิดตกลงขึ้นมาอย่างคาดไม่ถึงเล่า...
“ท่านพ่อคะ ท่านซุงิโนะมาขอพบเจ้าค่ะ” รุริโกะรายงานด้วยเสียงที่ยังไม่หายกระเส่า
6
บิดาไม่รู้ใจลูกสาว พอได้ยินว่าท่านซุงิโนะมาเยือนอย่างไม่บอกกล่าวก็ทำหน้าไม่สบอารมณ์พึมพำว่า “ซุงิโนะ...อือม์”แต่ก็ไม่มีท่าที่ว่าจะลุกขึ้นง่าย ๆ
“ช่วยไม่ได้ เชิญเขาเข้ามาซิ” ว่าแล้วก็เดินลงบันไดกลับไปที่ห้องส่วนตัวเพื่อสวมเสื้อคลุมกิโมโนออกมารับแขกตามมารยาท
รุริโกะเศร้าใจกับความไม่ลงรอยกันระหว่างบิดาของตนกับท่านบิดาของคนรัก เธอกลับไปเชิญแขกผู้สูงศักดิ์เข้ามาในห้องรับแขก
ห้องรับแขกเก่าแก่ดูอ้างว้างว่างเปล่าไร้เครื่องประดับประดา คฤหาสน์แบบยุโรปหลังนี้สร้างขึ้นเมื่อต้นสมัยเมจิ การจัดแบ่งห้องหับจึงล้าสมัยไม่สะดวกกับการใช้สอย ทุกครั้งที่รุริโกะเชิญแขกเข้ามาในห้องนี้เธอจะกังวลกับเบาะรองเก้าอี้ที่ทำท่าจะปริขาดเต็มที
บิดาของรุริโกะเข้ามาในห้องรับแขกทันกับที่แขกของเขาเข้ามาพอดี ทั้งสองทักทายกันตามมารยาทอันดีของสุภาพบุรุษก่อนทรุดตัวลงนั่งตามที่อันสมควร รุริโกะยกน้ำชาและขนมมาต้อนรับพลางเงี่ยหูฟังการสนทนาของบุคคลทั้งสองอย่างใจจดใจจ่อ แต่การสนทนาก็ไม่ได้คืบหน้ามากไปกว่าการพูดถึงดินฟ้าอากาศ เรื่องการเมืองทั่ว ๆ ไปโดยไม่เข้าเรื่องที่เป็นธุระหลักเสียที
เมื่อหมดหน้าที่รับแขกแล้วรุริโกะก็ไม่อาจเสียมารยาทยืนฟังอยู่ได้จึงต้องเลี่ยงกลับไปที่ห้องด้วยความรู้สึกสับสน ทั้งไม่มั่นใจและหวาดกังวล
ใบหน้าคมสันของคนรักติดตรึงอยู่ในห้วงคิด คำพลอดรักหวานชื่นหวนกลับมาประโลมใจ ไม่ว่าจะคิดถึงช่วงตอนไหนล้วนแต่เป็นความทรงจำที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสุขสม อบอุ่นอยู่ด้วยเปลวไฟแห่งความรัก เธอกับเขาน้อมรับและเคารพในอัตลักษณ์ของกันและกัน รูริโกะไม่เคยลืมคืนวันหนึ่งในฤดูใบไม้ร่วงที่เธอกับเขาไปชมการแสดงคอนเสิร์ต “ลำนำแห่งดวงจันทร์” ของบีโธเฟนที่อุเอะโนะ และการพูดคุยถึงความประทับใจในความยิ่งใหญ่ของผลงานชิ้นเอกระหว่างทางกลับบ้าน นึกถึงวันอาทิตย์ต้นฤดูร้อนที่เขากับเธอแลกเปลี่ยนคำวิพากษ์วิจารณ์ผลงานของตอลสตอยกันระหว่างเดินเล่ยนในป่าละเมาะที่โทะยะมะงะฮะระอันเขียวชอุ่มไปด้วยใบไม้อ่อนแรกผลิ เขาเป็นทั้งคู่รักและเพื่อนคู่ใจที่หาได้ยากยิ่ง เป็นผู้นำคนสำคัญทั้งทางด้านงานอดิเรกและรสนิยมของเธอ
รุริโอะระลึกความดีงามของอุปนิสัย ความสง่างามสมชาย และข้อดีอื่น ๆ ของคนรัก และพอคิดเลยไปว่าหากธุระของท่านซุงิโนะเป็นเรื่องที่เธอจินตนาการเอาไว้ (ช่างเป็นความคิดเหมือนเด็ก ๆ เหลือเกิน) เท่านั้น แก้มขาวนวลราวพื้นผิวของไข่มุกก็แดงระเรื่อขึ้น
ธุระของแขกผู้มาเยือนดูเหมือนจะไม่ยืดเยื้อ เสียงเปิดประตูห้องด้วยกำลังแรงทำลายภาพฝันในห้วงคิดของรุริโกะไปจนหมดสิ้น หญิงสาวรีบออกไปที่ห้องโถงทางเข้าบ้านเพื่อส่งแขกตามธรรมเนียม
เธอชำเลืองมองบิดาเห็นหน้าบูดบึ้งเสียยิ่งกว่าตอนที่พี่ชายผลุนผลันออกจากบ้านไปเสียอีก ท่านซุงิโนะเดินออกมาที่ห้องโถงทางเข้าบ้านด้วยท่าทางเหมือนถูกไล่ออกมา ใบหน้าที่ยิ้มย่องเหมือนคนอารมณ์ดีนั้นตอนนี้บูดบึ้งเช่นกัน และคงโกรธจัดถึงขนาดไม่เอ่ยคำอำลา พอขึ้นรถได้ก็สั่งให้คนขับออกรถไปให้พ้น ๆ คฤหาสน์หลังนั้นทันที
บิดามองถามรถยนต์คันนั้นไปด้วยสายตาเหยียดหยามดูแคลนอยู่ครู่หนึ่ง
“ท่านพ่อเป็นอะไรไปหรือเจ้าคะ”
รุริโกะถามอย่างหวาด ๆ
“หมอนั่นมันบ้าบัดซบ ไม่รู้จะทำลายศักดิ์ศรีของผู้ดีมีตระกูลไปถึงไหน”
บิดาพูดเหมือนสำรากออกมาด้วยความโกรธจัด
รุริโกะพลอยขัดเคืองไปด้วยเมื่อได้ยินเสียงโกรธเกรี้ยวของบิดา สิ่งที่จินตนาการเหมือนเด็ก ๆ เมื่อครู่ก่อนมลายหายไปจนสิ้น รู้สึกเหมือนตนเองตกจมลงไปในห้วงแห่งความมืดมิดที่ลึกล้ำอย่างหาที่สิ้นสุดมิได้
“อะไรทำให้ท่านพ่อโกรธถึงขนาดนี้ บอกรุริโกะได้ไหมเจ้าคะ”
“อย่าถาม อย่าถามได้ไหม มันเป็นเรื่องน่าละอายเหลือเกิน ไม่เฉพาะสำหรับพ่อ แต่มันรวมไปถึงหนูด้วย”
น้ำเสียงของบิดาบ่งบอกถึงความโกรธเกรี้ยวอย่างแทบจะระงบอารมณ์ไว้ไม่อยู่
พอได้ยินว่าเป็นเรื่องที่พาดพิงมาถึงตนด้วยเช่นนั้นรุริโกะกังวลขึ้นมาทันทีว่าบิดาของคนรักมาพูดอะไรที่เหยียดหยามตนให้ได้อาย จะนิ่งเสียไม่คาดคั้นจากบิดาให้ได้ความกระจ่างชัดก็อย่างไรอยู่ จึงถามขึ้นว่า
“เรื่องที่ท่านพ่อพูดถึง มันเรื่องอะไรกัน ท่านซุงิโนะมาพูดอะไรเกี่ยวกับหนูหรือเจ้าคะ”
“อย่าถามดีกว่า ยิ่งรู้ก็จะยิ่งไปกันใหญ่ คำพูดของคนสันดานไม่ดีแบบนั้น อย่าไปเสียเวลาฟังเลยหนู”
บิดาพูดทิ้งท้ายเป็นเชิงปลอบลูกสาวก่อนเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน แม้บิดาจะบอกให้ไม่สนใจกับคนสันดานไม่ดีอย่างท่านซุงิโนะ แต่รุริโกะไม่อาจทำตามเช่นนั้นได้เพราะไม่ว่าท่านผู้นั้นจะถูกบิดาตราหน้าว่าเป็นคนเช่นไร แต่เขาก็เป็นบิดาของคนรักเธอ อะไรก็ตามที่ท่านผู้นี้เอ่ยปากออกมาล้วนเป็นสิ่งสำคัญสำหรับรุริโกะทุกอย่างไป
“แต่ท่านพ่อขา รุริโกะอยากรู้จริง ๆ ว่าท่านซุงิโนะพูดถึงหนูว่าอย่างไร”
รุริโกะคาดคั้นด้วยเสียงออดอ้อนอย่างทุกครั้งที่อยากให้บิดาตามใจเพราะรู้ดีว่าบิดารักลูกสาวกำพร้าแม่ผู้นี้ปานใด เท่าที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่บิดาปกปิดไว้เป็นความลับสำคัญแค่ไหน พอโดนลูกสาวออกอ้อนเข้าไม่กี่คำก็เปิดเผยจนหมดสิ้น
“เปล่า เขาไม่ได้มาว่าร้ายอะไรหนูหรอก”
ถึงแม้หน้าตาจะบูดบึ้งด้วยความไม่สบอารมณ์อย่างแรง แต่คำพูดกับลูกสาวเท่านั้นที่อ่อนโยน
“แต่ทำไมท่านพ่อถึงบอกว่าท่านซุงิโนะพูดอะไรให้หนูได้อายเล่าเจ้าคะ”
“หนูอย่ารู้ให้ระคายหูเลยดีกว่า หมอนั้นมันเหยียดหยามพ่อแล้วยังเลยมาถึงหนูที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสาอย่างให้อภัยไม่ได้”
บิดาพูดพลางกำหมัดแน่นด้วยอารมณ์ร้อนแรง เหมือนกับเดือดดาลขึ้นมาอีกเมื่อนึกถึงคำพูดและท่าทีของคู่สนทนาเมื่อครู่ก่อน ราวกับคน ๆ นั้นมายืนเย้ยหยันอยู่ตรงหน้า
“เขาว่าอย่างไรหรือท่านพ่อ พูดให้ชัดเจนหน่อยได้ไหมเจ้าคะว่าท่านซุงิโนะพูดถึงหนูว่ายังไง”
รุริโกะคาดคั้นบิดาด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านด้วยความอยากรู้เรื่องที่มีคนพูดถึงตน
“หมอนั่นบอกว่า เขาได้ยินมาว่ามีคนมาสู่ขอหนู”
รุริโกะตกตะลึงเมื่อได้ยินเรื่องที่เหลือเชื่อออกมาจากปากบิดา
“มีคนมาสู่ขอหนูหรือคะ” รุริโกะพูดออกมาได้แค่นั้นแล้วก็พูดอะไรไม่ออกอีก เธอหยุดยืนนิ่งไม่ไหวติงอยู่ตรงทางเข้าห้องทำงานของบิดานั้นเอง บิดาทิ้งร่างที่เหนื่อยล้าลงกับเก้าอี้ตัวโปรดโดยไม่ล่วงรู้ถึงความหมายอันลึกล้ำที่แฝงอยู่ในคำพูดที่แสดงถึงความตื่นตระหนกของลูกสาวแม้แต่น้อย