บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน* (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
ตอนที่ 5 โชดะ โชเฮ
1
---นาฬิกาเรือนนั้นเหมือนกับเรือนของฉันไม่มีผิด ตั้งแต่ลวดลายที่สลักบนตัวเรือนไปจนกระทั่งขนาดของอัญมณี นี่หรือคือนาฬิกาที่หล่อนบอกฉันว่ามีอยู่เพียงเรือนเดียวในโลกและมีค่าสำหรับหล่อนอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม อารมณ์เดือดพลุ่งจนแทบจะเขวี้ยงมันลงไปแหลกรานอยู่กับแผ่นหินที่ปูเป็นทางเดินในสวน แต่ได้สติขึ้นมาจึงพยายามพรางสีหน้าเอาไว้ไม่ให้นายทหารเรือผู้นั้นสังเกตเห็นได้
“เป็นยังไง ช่างออกแบบได้ล้ำเลิศมากเลยใช่ไหมครับ คุณคงไม่เคยเห็นนาฬิกาที่งามแปลกตาอย่างนี้มาก่อนแน่ ๆ “
หน้าบึกบึนสมชายชาติทหารของเขายังกระหยิ่มยิ้มย่อง ฉันอยากชูนาฬิกาบนข้อมือขวาที่ไม่ได้ผิดแผกไปกว่ากันใส่หน้าเชิดหยิ่งของนายนั่นให้ม้านไปเหมือนกัน แต่มาคิดดูอีกทีเขาก็ไม่ผิดอะไร เจ้าหล่อนมิใช่หรือที่เป็นตัวการชักเชิดผู้ชายมีศักดิ์ศรีอย่างเราสองคนให้โลดเต้นเหมือนตัวจำอวดบนเวทีละคนตลกแบบนี้ รอเดี๋ยวเถิด...พอหล่อนกลับมาฉันจะเขวี้ยงนาฬิกาเรือนนี้ใส่หน้าจัง ๆ เลยทีเดียว...ฉันคิด
แต่ที่ไหนได้ พอเผชิญหน้ากับหล่อนเข้าจริง ๆ ได้โอกาสต่อว่าต่อขานให้สาสมกับที่สิ้นความไว้เนื้อเชื่อใจ ก็กลับต้องละอายใจนักที่ตนเองกลับกลายเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่หล่อนจะหยอกล้อแกล้งเล่น เป็นทาสที่หล่อนจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มขี่เอาตามอำเภอใจ ยิ่งกว่านั้นมนต์เสน่ห์ความงามบาดใจของหล่อนยังสะกดให้ฉันเงียบอึ้งเหมือนคนบ้าใบ้ มีแต่ตัวเท่านั้นที่สั่นเทาไปด้วยความขุ่นเคืองและชิงชังโดยไม่อาจแตะต้องหล่อนแม้แต่ปลายนิ้ว ฉันต้องการพลังและความกล้า ความกล้าเพียงแค่เอ่ยวาจาเชือดเฉือนถึงแก่นใจหล่อนให้สมแค้นก็พอ
เจ็บใจนักที่ไม่มีทั้งสองอย่าง ในเมื่อทำอะไรหล่อนไม่ได้ดังใจฉันจึงตัดสินใจออกไปให้พ้นเสียจากนครหลวงเพื่อที่จะได้ลืมอะไร ๆ เกี่ยวกับตัวหล่อนให้หมดสิ้น แต่ยิ่งพยายามลืม ภาพหลอนของหล่อนก็ยิ่งติดตามมารังควาญฉันให้ทุกข์ทนร้อยเท่าทวีคูณ
ข้อความในบันทึกสะดุดหยุดลงตรงนี้
กระโดดข้ามไปครึ่งหน้าแล้วจึงเริ่มใหม่ด้วยลายมือที่แย่ไปกว่าตอนต้น
ทำอย่างไรฉันก็ลืมไม่ได้ ภาพหลอนของหล่อนติดตามมากัดกินใจฉันราวกับงูพิษเขี้ยวแหลมคม ถึงใจจะชิงชังแต่ฉันก็ไม่อาจลืมหล่อนได้แม้แต่ขณะจิต และยิ่งคิดว่าหล่อนผู้เริงสวาทอยู่ในวงแวดล้อมของชายมากหน้าหลายตาในสโมสรแสนสำราญนั้น จะมาใยดีอะไรกับการที่ขาดฉันไปสักคนเช่นนี้ด้วยแล้ว จิตใจก็ยิ่งหม่นหมองมืดดำราวกับคืนเดือนแรม การที่จะลืมหล่อนให้ได้มีเพียง 1 ในสองทางคือ กำจัดหล่อน หรือ กำจัดตนเอง ให้สูญสิ้นไปจากโลกนี้
ข้อความสะดุดหยุดลงอีกครั้งก่อนจะเขียนต่อไปว่า
ใช่ ฉันควรตาย ตายเพื่อให้หล่อนสำนึกว่าการเอาความรู้สึกของผู้ชายที่มีใจจริงคนหนึ่งมาเหยียดหยามเล่นราวสิ่งไร้ค่านั้นมันเสี่ยงอันตรายเพียงไร ใช่...ตายให้เลือดที่หลั่งจากใจจริงของฉันทาบทาของขวัญจอมปลอมชิ้นนี้ให้แดงฉาน เพื่อที่มโนธรรมที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของหล่อน จะสะกิดเตือนให้หล่อนรู้สึกละอายใจขึ้นมาบ้าง
บันทึกจบลงเพียงเท่านี้ ชินอิชิโรอ่านตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความสะเทือนใจลึกล้ำ ยิ่งคิดตามความรู้สึกของอะโอะกิที่ร้อยเรียงอยู่ระหว่างบันทัดก็ยิ่งเข้าใจว่า การตายของชายหนุ่มแม้จะลักษณะเป็นอุบัติเหตุ แต่ในใจของผู้ตายนั้นมันคืออัตวินิบาตกรรม อะโอกิขึ้นรถไฟจากฮะโกะเนะร่อนเร่หาที่จบชีวิตตนเองและตายไปในอุบัติเหตุ หลั่งเลือดจากใจจริงอาบของขวัญจอมปลอมสมปรารถนา เพียงแต่ว่าการตายของเขาจะสะกิดเตือนมโนธรรมที่เหลืออยู่น้อยนิดของเจ้าหล่อน ให้รู้สึกละอายใจขึ้นมาหรือเปล่าเท่านั้น
ตอนนี้ชินอิชิโรรู้แล้วว่าความหมายแท้จริงของคำสั่งเสียที่ว่า “ช่วยเอาไปคืนให้ที” คือ “ช่วยเอาไปโยนใส่หน้าหล่อนที” แต่ในที่สุดเขาก็ไม่มีโอกาสทำตามที่ได้รับมอบหมาย
“หล่อน” ในบันทึกเล่มนี้หมายถึงคุณนายรุริโกะหรือ? ชินอิชิโรไม่แน่ใจแม้จะอ่านลงจบแล้วก็ตาม แต่ที่แน่ ๆ คือการนำนาฬิกาเรือนนี้มาคืนให้แก่ผู้ควรได้รับนั้นไม่ใช่การคืนอย่างปกติธรรมดา เป็นการนำมาคืนโดยต้องทำให้ผู้รับคืนสำนึกถึงความรับผิดชอบของตนที่แฝงอยู่เบื้องหลังอย่างหมดใจ การคืนให้เฉย ๆ อย่างที่เขาทำไปนั้นไม่อาจช่วยบรรเทาความทุกข์ของดวงวิญญาณอะโอะกิไปชั่วกัปชั่วกัลป์
ชินอิชิโรสำนึกถึงความรับผิดชอบของตนเองในอันที่จะต้องไปขอนาฬิกาเรือนนั้นคืนมาจากคุณนายรุริโกะอีกครั้ง แล้วเอาไปโยนใส่หน้า “หล่อน” ในบันทึกให้สาแก่ใจ
ทว่า “หล่อน” คือใครกัน
2
“อุ๊ย ระวังค่ะท่าน”
นางเกอิชาคาดผ้ากันเปื้อนสีแดงร้องเตือนขณะเดินตามระวังข้าง ๆ โชดะ โชเฮ ที่กำลังเดินขึ้นไปบนเนินเขากึ่งกลางสวนด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลยเพราะฤทธิ์ของแชมเปญที่ดื่มเข้าไปเกินควร ต้นซากุระซ้อนต้นใหญ่หลายต้นบนเนินกลางสวนกำลังบานเต็มที่เป็นรุ่นสุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิก่อนถึงช่วงเปลี่ยนฤดู จากบนเนินมองออกไปเห็นสวนกว้างขวางทอดตัวอยู่ในแสงแดดอ่อน ๆ ภูมิทัศน์ของสวนกว้างเกือบ 100 ไร่แห่งนี้ประกอบด้วยเนินเขาซึ่งมีลาดเนินเป็นสนามหญ้าอยู่ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างทั่วบริเวณ สลับด้วยแอ่งน้ำที่มีน้ำพุใต้ดินซึมเอ่อขึ้นมา
สุภาพบุรุษในชุดสากลเต็มยศ สุภาพสตรีและหญิงสาวในชุดกิโมโนลวดลายงดงามต่างสีสันจับกลุ่มกันสนทนาพาทีตามอัธยาศัยอยู่บนเนินเขา บนสนามหญ้า ที่ริมแอ่งน้ำ และในศาลารูปทรงงดงามบ่งบอกถึงความมีรสนิยมของเจ้าของ
เสียงดนตรีจากปี่กลองเร้าใจดังแว่วมาเบา ๆ จากทางด้านป่าละเมาะ ส่วนอีกด้านหนึ่งวงดุริยางค์เยาวชนบรรเลงดนตรีสากลไพเราะจับใจอยู่ตลอด เสียงตีกลับเป็นสัญญาณแจ้งว่าการแสดงของนักแสดงรุ่นหนุ่มสาวจากคณะละครอิชิมุระอันเลื่องชื่อกำลังจะเริ่มขึ้น ดึงดูดใจสุภาพสตรีและสาว ๆ ให้เริ่มไหวตัวคึกคักทะยอยกันไปทางเสียงเรียก
ความเคลื่อนไหวของผู้คนและเสียงครึกครื้นทั่วบริเวณงานเร่งเร้าให้จิตใจของโชเฮเปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิและอิ่มเอิบยิ่งขึ้นตามลำดับ สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีผู้ทรงเกียรติในวงสังคมเมืองหลวงมาชุมนุมกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งตามคำเชิญในนามของเขา รัฐมนตรีหลายกระทรวง ผู้ว่าการธนาคารและผู้จัดการธนาคารใหญ่ ๆ ก็มากันพร้อมหน้า เขาเห็นสมาชิกราชสกุลระดับต่าง ๆ มากันหลายคน ทั้งยังมีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญผู้มีชื่อเสียงสาขาต่าง ๆ อีกนับไม่ถ้วน ทุกคนมาตามคำเชิญในนามของเขา ตามความมีหน้ามีตาในสังคมของเขา
โชดะ โชเฮ นึกย้อนไปถึงความมีโชคมหาศาลเหมือนฝันของเขาในช่วงสามปีที่ผ่านมา ก่อนเกิดสงคราม(สงครามโลกครั้งที่ 1) เขาเป็นเจ้าของกิจการค้าขายระหว่างประเทศรายเล็ก ๆ อยู่ในเมืองโกเบโดยมีเรือสินค้าอยู่เพียงลำเดียว แต่ด้วยความมานะพยายามและโชคเข้าข้าง ทำให้เขาสามารถกว้านซื้อเรือสินค้าเพิ่มขึ้นทีละลำสองลำ โดยแต่ละลำล้วนแต่สร้างผลกำไรงดงามราวกับห่านออกไข่เป็นทองในนิทาน และหลังจากนั้นเพียงสามปีเขาก็ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับสิบล้านเยน เมื่อเงินทองพอกพูนโลกโชเฮรู้สึกว่าโลกของเขาได้ขยายกว้างออกไปทุกที คนที่ไม่เคยสนใจทักทายเขามาก่อนค่อย ๆ เข้ามาใกล้ชิดทีละคนสองคนจนเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นมาโดยที่เขาเองไม่รู้ตัว โชเฮไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่เขาเริ่มร่วมโต๊ะอาหารกับนักการเมือนระดับแนวหน้าและนักธุรกิจที่ได้ชื่อว่าหาโอกาสเข้าใกล้ชิดยาก ตอนนี้คนเหล่านั้นเชิญเขา และบางครั้งเขาก็เป็นคนเชิญ นอกจากนั้นอำนาจเงินของเขายังแผ่อิทธิพลไปทั่วทุกหัวระแหงแม้กระทั่งในสถานเริงรมย์ ทั้งหมดนั้นทำให้โชเฮคิดว่าเงินของเขามีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และเขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยเงิน
สวนแห่งนี้คือตัวอย่างที่ดี เขาลงทุนซื้อสวนมีชื่อแห่งหนึ่งของนครหลวงมาในราคาเกือบห้าแสนเยน และงานอุทยานสโมสรที่เขาจัดขึ้นเป็นงานขึ้นบ้านใหม่สำหรับคฤหาสน์สุดหรูวันนี้ เขาต้องทุ่มค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลในการเชิญบรรดาผู้มีเกียรติยศชื่อเสียงในนครหลวงถึงเกือบ 100 เยนต่อคน
เสียงปี่เสียงกลอง เสียงดนตรีจากวงดุริยางค์ เสียงสรวลเสเฮฮาของสุภาพบุรุษที่เพิงบริการเบียร์ สำหรับโชเฮนั้นเป็นเหมือนเสียงเพลงสรรเสริญอำนาจเงิน ใช่...เงินคือทุกสิ่งทุกอย่าง อำนาจเงินบันดาลให้เราทำอะไรได้ทุกอย่าง...โชเฮกระซิบบอกตนเองอยู่ในใจ เน้นย้ำความมั่นใจตนเองให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นอีก
“งานวันนี้ครึกครื้นดีจริงนะคุณ”
ชายที่เดินถือแก้วเบียร์เข้ามาทักคือสมาชิกรัฐสภาที่เป็นคนท้องถิ่นเดียวกับโชเฮ คนที่เขาควักกระเป๋าออกค่าหาเสียงให้
“อือ ก็สำเร็จขึ้นมาจากหลาย ๆ คนร่วมมือกัน รวมทั้งคุณด้วย”
โชเฮตอบไปตามมารยากแต่ในใจคิอว่า นี่ก็อีกคนที่เคลื่อนไหวอยู่ในสังคมด้วยอำนาจเงินของเรา
3
“แขกมาแยะมาก หลายคนทำให้ผมแปลกใจมากเลยที่คุณเชิญมาได้ อย่างท่านมะสึดะผู้เฒ่า เมื่อสองวันก่อนผมได้รับเชิญไปงานการ์เด้นปาร์ตี้ที่สถานทูตอังกฤษ ซึ่งก็ว่าอลังการมากแล้วแต่ก็ยังไม่เท่างานวันนี้ แค่ได้มาชมสวนนี้เท่านั้นก็คุ้มค่ามากแล้ว” ซะวะดะ สมาชิกรัฐสภาเยินยอเขาต่อหน้าแล้วเสริมด้วยเสียงหัวเราะดังกังวาน
“โชคดีที่อากาศแจ่มใส”
โชเฮตอบไปตามธรรมเนียมของการสนทนา แต่ไม่อาจปิดปังความภูมิใจเอาไว้ได้
“สวนสวยวิเศษมาก บริเวณป่าไม้ซีดาร์ไปจนถึงแอ่งน้ำพุใต้ดินตรงโน้นสงบเงียบมาก หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโตเกียว ผมว่าห้าแสนเยนนี่ไม่แพงเลยนะครับ”
ซะวะดะพูดพลางยกแก้วเบียร์ที่ถือมาขึ้นดื่มจนหมด หน้าขาวอูมของเขาแดงเรื่อลงไปจนถึงคอ เขาเดินเซเข้ามาหาโชเฮราวกับจะโถมตัวเข้ามาล้มทับดีที่จับแขนขวาของเขาไว้ได้
“เจ้าภาพหนีมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ไปทางโน้นกันดีกว่า เมื่อตะกี้เห็นหัวหน้าพรรคของผมถามหาคุณอยู่ บอกว่ายังไม่ได้ทักทายกันเลย”
ซะวะดะดึงมือโชเฮจะให้ลงจากเนินเขา ไปยังที่ที่กลุ่มแขกงานอุทยานสโมสรกำลังชุมนุมกันอยู่เนืองแน่นและเดินไปมาพลุกพล่าน
“อย่าเพิ่งเลย ปล่อยให้ผมอยู่ตรงนี้อีกสักครู่ วันนี้ผมยืนรับแขกอยู่ชั่วโมงครึ่งที่หน้าประตูใหญ่ตั้งแต่บ่าย แล้วดื่มแชมเปญเข้าไปหกเจ็ดแก้วได้ ขอพักหน่อยก่อน แล้วจะตามไป”
โชเฮพูดพลางปลดมือซะวะดะที่จับแขนเขาไว้ออกอย่างสุภาพ นายนั่นจึงเซแซ้ด ๆ ลงไปจากเนิน ดีที่ยั้งเท้าไว้ทันจึงไม่ลื่นล้มลงไป
“ครับ แล้วเจอกันนะ” ว่าพลางเดินถือแก้วเปล่าโซเซไปทางเพิงบริการเบียร์ที่ปลายเนิน
บรรดาแขกคงจะแยกย้ายกันไปชมการแสดงที่เริ่มขึ้นเป็นจุด ๆ ภายในสวนกันแล้ว บนเนินกว้างที่โชเฮยืนอยู่จึงมีคนเหลืออยู่เพียง 5-6 คน หญิงเกอิชาที่ติดตามมาคอยดูแลโชเฮ ตามคนอื่น ๆ ไปดูการร่ายรำตั้งแต่ได้ยินเสียงตีกรับเป็นสัญญาณแจ้งการเริ่มแสดงเมื่อครู่ก่อน
โชเฮรู้สึกสบายใจที่ไม่มีใครอยู่รอบข้าง เขาทรุดตัวลงนั่งพักบนม้านั่งที่ทำด้วยกระเบื้องสีขาว อกใจลำพองร้อนผ่าวไปด้วยความทนงตน ขณะที่เขากำลังปล่อยอารมณ์มองผ่านกิ้งก้านของต้นซากุระซ้อนขึ้นไปบนท้องฟ้าแจ่มใสอยู่นั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้นใกล้ ๆ ตัวว่า
“ขึ้นมาบนนี้เร็ว ตรงนี้เงียบดี”
และเมื่อหันไปมองก็พบเด็กหนุ่มร่างเพรียวในชุดนักศึกษายืนอยู่บนเนินกำลังเรียกใครคนหนึ่งให้ขึ้นมา
เด็กหนุ่มคงจะเป็นญาติของแขกคนคนใดคนหนึ่งเพราะโชเฮไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เด็กหนุ่มเองดูจะไม่ได้เอะใจเหมือนกันว่าคนที่ปลีกตัวมาอยู่ในที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้จะเป็นเจ้าภาพของงานวันนี้ พอเรียกเสร็จก็ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาปัดฝุ่นออกจากม้านั่งกระเบื้องตัวโน้น
อยู่ ๆ ก็มีเสียงแจ๋ว ๆ ของเด็กสาวดังมาจากกลางทางขึ้นเนิน
“แย่จัง คนแน่นเหลือเกิน ฉันไม่ชอบเลยจริง ๆ”
“งานการ์เด้นปาร์ตี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ ดูตามร้านบริการของรับประทานพวกนั้นซี คนแน่นมาก แค่เห็นก็ไม่ไหวละ”
เด็กหนุ่มร้องตอบลงไป
ไม่มีเสียงจากคนข้างล่าง แต่โชเฮรู้สึกได้ว่ามีคนไต่เนินขึ้นมา
เขารู้สึกเจ็บนิด ๆ กับคำพูดของเด็กหนุ่ม จึงเขม้นมองไปทางนั้น แรกทีเดียวเขาเห็นศีรษะที่ผมหน้าแสกกลาง ตามมาด้วยใบหน้าเรียวที่ขาวผ่องใสของผู้หญิงนางหนึ่ง
ไม่นาน หญิงผู้นั้นก็ก้าวขึ้นมาบนเนินเขาเต็มตัว เธอเด็กสาวอายุราว 18 -19 ปีเห็นจะได้ ความงามสง่าอย่างผู้ดีมีสกุลของเธอดูเหมือนจะขับความงามของซากุระที่บานสะพรั่งอยู่เหนือศีรษะให้หมองลงไปทันตา กิโมโนสีม่วงงามละลานตาปักลวดลายงดงามด้วยไหมห้าสีสดใสตรงหน้าอก ที่ชายกิโมโนเป็นลายดอกซากุระโซกระจายอยู่ทั่วไป โอบิคาดเอวทอลายนูนเป็นรูปนกยูงบนพื้นขาวคาดทับด้วยเชือกโอบิประดับไข่มุกเม็ดใหล่สะท้อนประกายวาววับ
“เหนื่อยใช่ไหม นั่งพักก่อนซิ”
เด็กหนุ่มชวนให้เธอนั่งบนม้านั่งกระเบื้องที่เขาปัดฝุ่นเตรียมไว้ให้ เด็กสาวนั่งลงอย่างว่าง่ายแล้วเงยหน้าขึ้นพูดกับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ฉันไม่น่ามาเลย ท่านพ่อน่ะซีชวนอยู่นั่นแล้ว บอกให้มา บอกให้มาด้วยกัน”
“ผมก็มากับยายน้อง ไม่นึกว่าคนจะแน่นแบบนี้ แย่จังนะ สวนนี่ก็เหมือนกัน เห็นใคร ๆ บอกว่าเป็นสวนมีชื่อของนครหลวง แต่ผมไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง ไม่มีตรงไหนที่เป็นธรรมชาติจริง ๆ สักแห่ง ตกแต่งกันเสียดูมั่ว ๆ ไปหมด ศาาลานั่นก็เหมือนกัน ดูซิแบบมันน่าเกลียดมากเลย”
หนุ่มสาวสองคนคุยกันต่อไปโดยไม่สนใจที่จะหันมามองโชเฮ เพราะไม่คาดคิดว่าเจ้าภาพงานอุทยานสโมสรอันโอ่อ่าอลังการวันนี้จะมาหลบอยู่ในที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้
“คงคิดว่ามีเงินเสียอย่างจะทำอะไรก็ได้ละมัง”
สาวสวยพูดอย่างเสียดสีไม่สมกับความงามล้ำเลิศ
“คงจะอย่างนั้นละ พวกที่ขึ้นชื่อว่าเศรษฐีใหม่ ไม่มีรสนิยมอย่างอื่นนอกจากคิดคำนวณยอดเงิน วัดทุกอย่างด้วยค่าของเงิน คิดว่ามีเงินเสียอย่างไม่ต้องแคร์อะไร งานวันนี้ดูเหมือนว่าจะทุ่มให้คนละ 50 หรือ 100 เยนเลยทีเดียว แต่ก็ดูเอาแล้วกันว่ารสนิยมแย่แค่ไหน”
เด็กหนุ่ม พูดด้วยเสียงแสดงความเหยียดหยามเต็มที่
โชเฮฟังบ้างไม่ฟังบ้างแต่พอมาถึงตรงนี้โทสะของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาจนแทบระงับไม่ไหว อยากจะลุกขึ้นไปขยุ้มคอเด็กหนุ่มที่พูดจาว่าร้ายขึ้นมาแล้วจับเหวี่ยงออกไปนอกบริเวณคฤหาสน์ เขาลูบท่อนแขนที่ยังมีมัดกล้ามสมัยทำงานกรรมกรเมื่อเข้ามาโตเกียวใหม่ ๆ เหลืออยู่อย่างลืมตัว แต่ก็เพียงวูบเดียวก็สามารถหักห้ามโทสะถึงขึ้นแตกหักไว้ได้ด้วยสำนึกถึงฐานะทางสังคมที่เขาภาคภูมิอย่างอิ่มอกอิ่มใจอยู่เมื่อครู่ก่อนนี้เอง โชเฮสะกดความพลุ่งพล่านเอาไว้ในอดขณะเงี่ยหูฟังคำของเด็กหนุ่มต่อไป
“พวกหนังสือพิมพ์ก็ช่างสรรเสริญเยินยอพวกผู้ดีใหม่เสียเหลือเกิน คนพวกนี้มีเงินเหลือเฟือก็จริงแต่ใช้ชีวิตกันอย่างพื้น ๆ มาก คิดดูนะพอมีเงินขึ้นมาหน่อยก็ล่าผู้หญิงก่อนเลย ซื้อรถยนต์ ซื้อคฤหาสน์ หรือไม่ก็สร้างบ้านใหม่ ซื้อของเก่าที่ตัวเองไม่รู้ความหมาย ก็มีอยู่แค่นี้เอง ในจำนวนนั้นมีบางคนที่ต้องใจดีเหลือเกินเท่านั้นที่บริจาคเงินให้สังคมบ้าง ใช้เงินเที่ยวผู้หญิงกันอย่างไม่อั้นแบบนั้น ไม่รู้จักเบื่อกันบ้างรึไง ผมไม่เข้าใจจริง ๆ”
เด็กหนุ่มว่าร้ายต่อไปราวกับมีความเกลียดชังอะไรเป็นการส่วนตัวกับกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าเศรษฐีใหม่ทั้งหมด
เด็กสาวยิ้มเย็น ๆ เมื่อบอกว่า
“ที่ว่าเบื่อนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันยังไง คนที่มีความละเอียดอ่อนอย่างคุณอาจเบื่อทันที แต่คนทึ่มไม่เฉียบแหลมอย่างพวกเขา ทำอะไรซ้ำ ๆ กันได้ถึงไหน ๆ โดยไม่เบื่อไม่ใช่รึ”
“โอ้โฮคุณนี่ นินทาคนเก่งกว่าผมสองเท่าเลย”
สองหนุ่มสาวสบตาแล้วหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
โชเฮที่ลอบฟังอยู่เงียบ ๆ หน้าเขียวด้วยความโกรธสุดขีด
ชายฉกรรจ์ผู้เป็นนักสู้ชีวิตที่ช่ำชองหรือจะทนได้กับการถูกหยามน้ำหน้าเช่นนี้ ความแค้นย่อมไม่ธรรมดา เชิญติดตามตอนต่อไป
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
ตอนที่ 5 โชดะ โชเฮ
1
---นาฬิกาเรือนนั้นเหมือนกับเรือนของฉันไม่มีผิด ตั้งแต่ลวดลายที่สลักบนตัวเรือนไปจนกระทั่งขนาดของอัญมณี นี่หรือคือนาฬิกาที่หล่อนบอกฉันว่ามีอยู่เพียงเรือนเดียวในโลกและมีค่าสำหรับหล่อนอย่างไม่มีสิ่งใดเทียบเทียม อารมณ์เดือดพลุ่งจนแทบจะเขวี้ยงมันลงไปแหลกรานอยู่กับแผ่นหินที่ปูเป็นทางเดินในสวน แต่ได้สติขึ้นมาจึงพยายามพรางสีหน้าเอาไว้ไม่ให้นายทหารเรือผู้นั้นสังเกตเห็นได้
“เป็นยังไง ช่างออกแบบได้ล้ำเลิศมากเลยใช่ไหมครับ คุณคงไม่เคยเห็นนาฬิกาที่งามแปลกตาอย่างนี้มาก่อนแน่ ๆ “
หน้าบึกบึนสมชายชาติทหารของเขายังกระหยิ่มยิ้มย่อง ฉันอยากชูนาฬิกาบนข้อมือขวาที่ไม่ได้ผิดแผกไปกว่ากันใส่หน้าเชิดหยิ่งของนายนั่นให้ม้านไปเหมือนกัน แต่มาคิดดูอีกทีเขาก็ไม่ผิดอะไร เจ้าหล่อนมิใช่หรือที่เป็นตัวการชักเชิดผู้ชายมีศักดิ์ศรีอย่างเราสองคนให้โลดเต้นเหมือนตัวจำอวดบนเวทีละคนตลกแบบนี้ รอเดี๋ยวเถิด...พอหล่อนกลับมาฉันจะเขวี้ยงนาฬิกาเรือนนี้ใส่หน้าจัง ๆ เลยทีเดียว...ฉันคิด
แต่ที่ไหนได้ พอเผชิญหน้ากับหล่อนเข้าจริง ๆ ได้โอกาสต่อว่าต่อขานให้สาสมกับที่สิ้นความไว้เนื้อเชื่อใจ ก็กลับต้องละอายใจนักที่ตนเองกลับกลายเป็นเด็กเล็ก ๆ ที่หล่อนจะหยอกล้อแกล้งเล่น เป็นทาสที่หล่อนจะใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มขี่เอาตามอำเภอใจ ยิ่งกว่านั้นมนต์เสน่ห์ความงามบาดใจของหล่อนยังสะกดให้ฉันเงียบอึ้งเหมือนคนบ้าใบ้ มีแต่ตัวเท่านั้นที่สั่นเทาไปด้วยความขุ่นเคืองและชิงชังโดยไม่อาจแตะต้องหล่อนแม้แต่ปลายนิ้ว ฉันต้องการพลังและความกล้า ความกล้าเพียงแค่เอ่ยวาจาเชือดเฉือนถึงแก่นใจหล่อนให้สมแค้นก็พอ
เจ็บใจนักที่ไม่มีทั้งสองอย่าง ในเมื่อทำอะไรหล่อนไม่ได้ดังใจฉันจึงตัดสินใจออกไปให้พ้นเสียจากนครหลวงเพื่อที่จะได้ลืมอะไร ๆ เกี่ยวกับตัวหล่อนให้หมดสิ้น แต่ยิ่งพยายามลืม ภาพหลอนของหล่อนก็ยิ่งติดตามมารังควาญฉันให้ทุกข์ทนร้อยเท่าทวีคูณ
ข้อความในบันทึกสะดุดหยุดลงตรงนี้
กระโดดข้ามไปครึ่งหน้าแล้วจึงเริ่มใหม่ด้วยลายมือที่แย่ไปกว่าตอนต้น
ทำอย่างไรฉันก็ลืมไม่ได้ ภาพหลอนของหล่อนติดตามมากัดกินใจฉันราวกับงูพิษเขี้ยวแหลมคม ถึงใจจะชิงชังแต่ฉันก็ไม่อาจลืมหล่อนได้แม้แต่ขณะจิต และยิ่งคิดว่าหล่อนผู้เริงสวาทอยู่ในวงแวดล้อมของชายมากหน้าหลายตาในสโมสรแสนสำราญนั้น จะมาใยดีอะไรกับการที่ขาดฉันไปสักคนเช่นนี้ด้วยแล้ว จิตใจก็ยิ่งหม่นหมองมืดดำราวกับคืนเดือนแรม การที่จะลืมหล่อนให้ได้มีเพียง 1 ในสองทางคือ กำจัดหล่อน หรือ กำจัดตนเอง ให้สูญสิ้นไปจากโลกนี้
ข้อความสะดุดหยุดลงอีกครั้งก่อนจะเขียนต่อไปว่า
ใช่ ฉันควรตาย ตายเพื่อให้หล่อนสำนึกว่าการเอาความรู้สึกของผู้ชายที่มีใจจริงคนหนึ่งมาเหยียดหยามเล่นราวสิ่งไร้ค่านั้นมันเสี่ยงอันตรายเพียงไร ใช่...ตายให้เลือดที่หลั่งจากใจจริงของฉันทาบทาของขวัญจอมปลอมชิ้นนี้ให้แดงฉาน เพื่อที่มโนธรรมที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดของหล่อน จะสะกิดเตือนให้หล่อนรู้สึกละอายใจขึ้นมาบ้าง
บันทึกจบลงเพียงเท่านี้ ชินอิชิโรอ่านตั้งแต่ต้นจนจบด้วยความสะเทือนใจลึกล้ำ ยิ่งคิดตามความรู้สึกของอะโอะกิที่ร้อยเรียงอยู่ระหว่างบันทัดก็ยิ่งเข้าใจว่า การตายของชายหนุ่มแม้จะลักษณะเป็นอุบัติเหตุ แต่ในใจของผู้ตายนั้นมันคืออัตวินิบาตกรรม อะโอกิขึ้นรถไฟจากฮะโกะเนะร่อนเร่หาที่จบชีวิตตนเองและตายไปในอุบัติเหตุ หลั่งเลือดจากใจจริงอาบของขวัญจอมปลอมสมปรารถนา เพียงแต่ว่าการตายของเขาจะสะกิดเตือนมโนธรรมที่เหลืออยู่น้อยนิดของเจ้าหล่อน ให้รู้สึกละอายใจขึ้นมาหรือเปล่าเท่านั้น
ตอนนี้ชินอิชิโรรู้แล้วว่าความหมายแท้จริงของคำสั่งเสียที่ว่า “ช่วยเอาไปคืนให้ที” คือ “ช่วยเอาไปโยนใส่หน้าหล่อนที” แต่ในที่สุดเขาก็ไม่มีโอกาสทำตามที่ได้รับมอบหมาย
“หล่อน” ในบันทึกเล่มนี้หมายถึงคุณนายรุริโกะหรือ? ชินอิชิโรไม่แน่ใจแม้จะอ่านลงจบแล้วก็ตาม แต่ที่แน่ ๆ คือการนำนาฬิกาเรือนนี้มาคืนให้แก่ผู้ควรได้รับนั้นไม่ใช่การคืนอย่างปกติธรรมดา เป็นการนำมาคืนโดยต้องทำให้ผู้รับคืนสำนึกถึงความรับผิดชอบของตนที่แฝงอยู่เบื้องหลังอย่างหมดใจ การคืนให้เฉย ๆ อย่างที่เขาทำไปนั้นไม่อาจช่วยบรรเทาความทุกข์ของดวงวิญญาณอะโอะกิไปชั่วกัปชั่วกัลป์
ชินอิชิโรสำนึกถึงความรับผิดชอบของตนเองในอันที่จะต้องไปขอนาฬิกาเรือนนั้นคืนมาจากคุณนายรุริโกะอีกครั้ง แล้วเอาไปโยนใส่หน้า “หล่อน” ในบันทึกให้สาแก่ใจ
ทว่า “หล่อน” คือใครกัน
2
“อุ๊ย ระวังค่ะท่าน”
นางเกอิชาคาดผ้ากันเปื้อนสีแดงร้องเตือนขณะเดินตามระวังข้าง ๆ โชดะ โชเฮ ที่กำลังเดินขึ้นไปบนเนินเขากึ่งกลางสวนด้วยฝีเท้าที่ไม่มั่นคงเอาเสียเลยเพราะฤทธิ์ของแชมเปญที่ดื่มเข้าไปเกินควร ต้นซากุระซ้อนต้นใหญ่หลายต้นบนเนินกลางสวนกำลังบานเต็มที่เป็นรุ่นสุดท้ายของฤดูใบไม้ผลิก่อนถึงช่วงเปลี่ยนฤดู จากบนเนินมองออกไปเห็นสวนกว้างขวางทอดตัวอยู่ในแสงแดดอ่อน ๆ ภูมิทัศน์ของสวนกว้างเกือบ 100 ไร่แห่งนี้ประกอบด้วยเนินเขาซึ่งมีลาดเนินเป็นสนามหญ้าอยู่ตรงนั้นบ้างตรงนี้บ้างทั่วบริเวณ สลับด้วยแอ่งน้ำที่มีน้ำพุใต้ดินซึมเอ่อขึ้นมา
สุภาพบุรุษในชุดสากลเต็มยศ สุภาพสตรีและหญิงสาวในชุดกิโมโนลวดลายงดงามต่างสีสันจับกลุ่มกันสนทนาพาทีตามอัธยาศัยอยู่บนเนินเขา บนสนามหญ้า ที่ริมแอ่งน้ำ และในศาลารูปทรงงดงามบ่งบอกถึงความมีรสนิยมของเจ้าของ
เสียงดนตรีจากปี่กลองเร้าใจดังแว่วมาเบา ๆ จากทางด้านป่าละเมาะ ส่วนอีกด้านหนึ่งวงดุริยางค์เยาวชนบรรเลงดนตรีสากลไพเราะจับใจอยู่ตลอด เสียงตีกลับเป็นสัญญาณแจ้งว่าการแสดงของนักแสดงรุ่นหนุ่มสาวจากคณะละครอิชิมุระอันเลื่องชื่อกำลังจะเริ่มขึ้น ดึงดูดใจสุภาพสตรีและสาว ๆ ให้เริ่มไหวตัวคึกคักทะยอยกันไปทางเสียงเรียก
ความเคลื่อนไหวของผู้คนและเสียงครึกครื้นทั่วบริเวณงานเร่งเร้าให้จิตใจของโชเฮเปี่ยมล้นไปด้วยความภาคภูมิและอิ่มเอิบยิ่งขึ้นตามลำดับ สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีผู้ทรงเกียรติในวงสังคมเมืองหลวงมาชุมนุมกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่งตามคำเชิญในนามของเขา รัฐมนตรีหลายกระทรวง ผู้ว่าการธนาคารและผู้จัดการธนาคารใหญ่ ๆ ก็มากันพร้อมหน้า เขาเห็นสมาชิกราชสกุลระดับต่าง ๆ มากันหลายคน ทั้งยังมีนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญผู้มีชื่อเสียงสาขาต่าง ๆ อีกนับไม่ถ้วน ทุกคนมาตามคำเชิญในนามของเขา ตามความมีหน้ามีตาในสังคมของเขา
โชดะ โชเฮ นึกย้อนไปถึงความมีโชคมหาศาลเหมือนฝันของเขาในช่วงสามปีที่ผ่านมา ก่อนเกิดสงคราม(สงครามโลกครั้งที่ 1) เขาเป็นเจ้าของกิจการค้าขายระหว่างประเทศรายเล็ก ๆ อยู่ในเมืองโกเบโดยมีเรือสินค้าอยู่เพียงลำเดียว แต่ด้วยความมานะพยายามและโชคเข้าข้าง ทำให้เขาสามารถกว้านซื้อเรือสินค้าเพิ่มขึ้นทีละลำสองลำ โดยแต่ละลำล้วนแต่สร้างผลกำไรงดงามราวกับห่านออกไข่เป็นทองในนิทาน และหลังจากนั้นเพียงสามปีเขาก็ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีระดับสิบล้านเยน เมื่อเงินทองพอกพูนโลกโชเฮรู้สึกว่าโลกของเขาได้ขยายกว้างออกไปทุกที คนที่ไม่เคยสนใจทักทายเขามาก่อนค่อย ๆ เข้ามาใกล้ชิดทีละคนสองคนจนเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นมาโดยที่เขาเองไม่รู้ตัว โชเฮไม่รู้เหมือนกันว่าตั้งแต่เมื่อไร ที่เขาเริ่มร่วมโต๊ะอาหารกับนักการเมือนระดับแนวหน้าและนักธุรกิจที่ได้ชื่อว่าหาโอกาสเข้าใกล้ชิดยาก ตอนนี้คนเหล่านั้นเชิญเขา และบางครั้งเขาก็เป็นคนเชิญ นอกจากนั้นอำนาจเงินของเขายังแผ่อิทธิพลไปทั่วทุกหัวระแหงแม้กระทั่งในสถานเริงรมย์ ทั้งหมดนั้นทำให้โชเฮคิดว่าเงินของเขามีอำนาจเหนือทุกสิ่งทุกอย่าง และเขาจะทำทุกสิ่งทุกอย่างได้ด้วยเงิน
สวนแห่งนี้คือตัวอย่างที่ดี เขาลงทุนซื้อสวนมีชื่อแห่งหนึ่งของนครหลวงมาในราคาเกือบห้าแสนเยน และงานอุทยานสโมสรที่เขาจัดขึ้นเป็นงานขึ้นบ้านใหม่สำหรับคฤหาสน์สุดหรูวันนี้ เขาต้องทุ่มค่าใช้จ่ายจำนวนมหาศาลในการเชิญบรรดาผู้มีเกียรติยศชื่อเสียงในนครหลวงถึงเกือบ 100 เยนต่อคน
เสียงปี่เสียงกลอง เสียงดนตรีจากวงดุริยางค์ เสียงสรวลเสเฮฮาของสุภาพบุรุษที่เพิงบริการเบียร์ สำหรับโชเฮนั้นเป็นเหมือนเสียงเพลงสรรเสริญอำนาจเงิน ใช่...เงินคือทุกสิ่งทุกอย่าง อำนาจเงินบันดาลให้เราทำอะไรได้ทุกอย่าง...โชเฮกระซิบบอกตนเองอยู่ในใจ เน้นย้ำความมั่นใจตนเองให้เข้มแข็งยิ่งขึ้นอีก
“งานวันนี้ครึกครื้นดีจริงนะคุณ”
ชายที่เดินถือแก้วเบียร์เข้ามาทักคือสมาชิกรัฐสภาที่เป็นคนท้องถิ่นเดียวกับโชเฮ คนที่เขาควักกระเป๋าออกค่าหาเสียงให้
“อือ ก็สำเร็จขึ้นมาจากหลาย ๆ คนร่วมมือกัน รวมทั้งคุณด้วย”
โชเฮตอบไปตามมารยากแต่ในใจคิอว่า นี่ก็อีกคนที่เคลื่อนไหวอยู่ในสังคมด้วยอำนาจเงินของเรา
3
“แขกมาแยะมาก หลายคนทำให้ผมแปลกใจมากเลยที่คุณเชิญมาได้ อย่างท่านมะสึดะผู้เฒ่า เมื่อสองวันก่อนผมได้รับเชิญไปงานการ์เด้นปาร์ตี้ที่สถานทูตอังกฤษ ซึ่งก็ว่าอลังการมากแล้วแต่ก็ยังไม่เท่างานวันนี้ แค่ได้มาชมสวนนี้เท่านั้นก็คุ้มค่ามากแล้ว” ซะวะดะ สมาชิกรัฐสภาเยินยอเขาต่อหน้าแล้วเสริมด้วยเสียงหัวเราะดังกังวาน
“โชคดีที่อากาศแจ่มใส”
โชเฮตอบไปตามธรรมเนียมของการสนทนา แต่ไม่อาจปิดปังความภูมิใจเอาไว้ได้
“สวนสวยวิเศษมาก บริเวณป่าไม้ซีดาร์ไปจนถึงแอ่งน้ำพุใต้ดินตรงโน้นสงบเงียบมาก หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วในโตเกียว ผมว่าห้าแสนเยนนี่ไม่แพงเลยนะครับ”
ซะวะดะพูดพลางยกแก้วเบียร์ที่ถือมาขึ้นดื่มจนหมด หน้าขาวอูมของเขาแดงเรื่อลงไปจนถึงคอ เขาเดินเซเข้ามาหาโชเฮราวกับจะโถมตัวเข้ามาล้มทับดีที่จับแขนขวาของเขาไว้ได้
“เจ้าภาพหนีมาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง ไปทางโน้นกันดีกว่า เมื่อตะกี้เห็นหัวหน้าพรรคของผมถามหาคุณอยู่ บอกว่ายังไม่ได้ทักทายกันเลย”
ซะวะดะดึงมือโชเฮจะให้ลงจากเนินเขา ไปยังที่ที่กลุ่มแขกงานอุทยานสโมสรกำลังชุมนุมกันอยู่เนืองแน่นและเดินไปมาพลุกพล่าน
“อย่าเพิ่งเลย ปล่อยให้ผมอยู่ตรงนี้อีกสักครู่ วันนี้ผมยืนรับแขกอยู่ชั่วโมงครึ่งที่หน้าประตูใหญ่ตั้งแต่บ่าย แล้วดื่มแชมเปญเข้าไปหกเจ็ดแก้วได้ ขอพักหน่อยก่อน แล้วจะตามไป”
โชเฮพูดพลางปลดมือซะวะดะที่จับแขนเขาไว้ออกอย่างสุภาพ นายนั่นจึงเซแซ้ด ๆ ลงไปจากเนิน ดีที่ยั้งเท้าไว้ทันจึงไม่ลื่นล้มลงไป
“ครับ แล้วเจอกันนะ” ว่าพลางเดินถือแก้วเปล่าโซเซไปทางเพิงบริการเบียร์ที่ปลายเนิน
บรรดาแขกคงจะแยกย้ายกันไปชมการแสดงที่เริ่มขึ้นเป็นจุด ๆ ภายในสวนกันแล้ว บนเนินกว้างที่โชเฮยืนอยู่จึงมีคนเหลืออยู่เพียง 5-6 คน หญิงเกอิชาที่ติดตามมาคอยดูแลโชเฮ ตามคนอื่น ๆ ไปดูการร่ายรำตั้งแต่ได้ยินเสียงตีกรับเป็นสัญญาณแจ้งการเริ่มแสดงเมื่อครู่ก่อน
โชเฮรู้สึกสบายใจที่ไม่มีใครอยู่รอบข้าง เขาทรุดตัวลงนั่งพักบนม้านั่งที่ทำด้วยกระเบื้องสีขาว อกใจลำพองร้อนผ่าวไปด้วยความทนงตน ขณะที่เขากำลังปล่อยอารมณ์มองผ่านกิ้งก้านของต้นซากุระซ้อนขึ้นไปบนท้องฟ้าแจ่มใสอยู่นั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงชายคนหนึ่งพูดขึ้นใกล้ ๆ ตัวว่า
“ขึ้นมาบนนี้เร็ว ตรงนี้เงียบดี”
และเมื่อหันไปมองก็พบเด็กหนุ่มร่างเพรียวในชุดนักศึกษายืนอยู่บนเนินกำลังเรียกใครคนหนึ่งให้ขึ้นมา
เด็กหนุ่มคงจะเป็นญาติของแขกคนคนใดคนหนึ่งเพราะโชเฮไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน เด็กหนุ่มเองดูจะไม่ได้เอะใจเหมือนกันว่าคนที่ปลีกตัวมาอยู่ในที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้จะเป็นเจ้าภาพของงานวันนี้ พอเรียกเสร็จก็ควักผ้าเช็ดหน้าออกมาปัดฝุ่นออกจากม้านั่งกระเบื้องตัวโน้น
อยู่ ๆ ก็มีเสียงแจ๋ว ๆ ของเด็กสาวดังมาจากกลางทางขึ้นเนิน
“แย่จัง คนแน่นเหลือเกิน ฉันไม่ชอบเลยจริง ๆ”
“งานการ์เด้นปาร์ตี้ก็เป็นอย่างนี้แหละ ดูตามร้านบริการของรับประทานพวกนั้นซี คนแน่นมาก แค่เห็นก็ไม่ไหวละ”
เด็กหนุ่มร้องตอบลงไป
ไม่มีเสียงจากคนข้างล่าง แต่โชเฮรู้สึกได้ว่ามีคนไต่เนินขึ้นมา
เขารู้สึกเจ็บนิด ๆ กับคำพูดของเด็กหนุ่ม จึงเขม้นมองไปทางนั้น แรกทีเดียวเขาเห็นศีรษะที่ผมหน้าแสกกลาง ตามมาด้วยใบหน้าเรียวที่ขาวผ่องใสของผู้หญิงนางหนึ่ง
ไม่นาน หญิงผู้นั้นก็ก้าวขึ้นมาบนเนินเขาเต็มตัว เธอเด็กสาวอายุราว 18 -19 ปีเห็นจะได้ ความงามสง่าอย่างผู้ดีมีสกุลของเธอดูเหมือนจะขับความงามของซากุระที่บานสะพรั่งอยู่เหนือศีรษะให้หมองลงไปทันตา กิโมโนสีม่วงงามละลานตาปักลวดลายงดงามด้วยไหมห้าสีสดใสตรงหน้าอก ที่ชายกิโมโนเป็นลายดอกซากุระโซกระจายอยู่ทั่วไป โอบิคาดเอวทอลายนูนเป็นรูปนกยูงบนพื้นขาวคาดทับด้วยเชือกโอบิประดับไข่มุกเม็ดใหล่สะท้อนประกายวาววับ
“เหนื่อยใช่ไหม นั่งพักก่อนซิ”
เด็กหนุ่มชวนให้เธอนั่งบนม้านั่งกระเบื้องที่เขาปัดฝุ่นเตรียมไว้ให้ เด็กสาวนั่งลงอย่างว่าง่ายแล้วเงยหน้าขึ้นพูดกับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้าง ๆ
“ฉันไม่น่ามาเลย ท่านพ่อน่ะซีชวนอยู่นั่นแล้ว บอกให้มา บอกให้มาด้วยกัน”
“ผมก็มากับยายน้อง ไม่นึกว่าคนจะแน่นแบบนี้ แย่จังนะ สวนนี่ก็เหมือนกัน เห็นใคร ๆ บอกว่าเป็นสวนมีชื่อของนครหลวง แต่ผมไม่เห็นมีอะไรดีสักอย่าง ไม่มีตรงไหนที่เป็นธรรมชาติจริง ๆ สักแห่ง ตกแต่งกันเสียดูมั่ว ๆ ไปหมด ศาาลานั่นก็เหมือนกัน ดูซิแบบมันน่าเกลียดมากเลย”
หนุ่มสาวสองคนคุยกันต่อไปโดยไม่สนใจที่จะหันมามองโชเฮ เพราะไม่คาดคิดว่าเจ้าภาพงานอุทยานสโมสรอันโอ่อ่าอลังการวันนี้จะมาหลบอยู่ในที่ห่างไกลผู้คนเช่นนี้
“คงคิดว่ามีเงินเสียอย่างจะทำอะไรก็ได้ละมัง”
สาวสวยพูดอย่างเสียดสีไม่สมกับความงามล้ำเลิศ
“คงจะอย่างนั้นละ พวกที่ขึ้นชื่อว่าเศรษฐีใหม่ ไม่มีรสนิยมอย่างอื่นนอกจากคิดคำนวณยอดเงิน วัดทุกอย่างด้วยค่าของเงิน คิดว่ามีเงินเสียอย่างไม่ต้องแคร์อะไร งานวันนี้ดูเหมือนว่าจะทุ่มให้คนละ 50 หรือ 100 เยนเลยทีเดียว แต่ก็ดูเอาแล้วกันว่ารสนิยมแย่แค่ไหน”
เด็กหนุ่ม พูดด้วยเสียงแสดงความเหยียดหยามเต็มที่
โชเฮฟังบ้างไม่ฟังบ้างแต่พอมาถึงตรงนี้โทสะของเขาพลุ่งพล่านขึ้นมาจนแทบระงับไม่ไหว อยากจะลุกขึ้นไปขยุ้มคอเด็กหนุ่มที่พูดจาว่าร้ายขึ้นมาแล้วจับเหวี่ยงออกไปนอกบริเวณคฤหาสน์ เขาลูบท่อนแขนที่ยังมีมัดกล้ามสมัยทำงานกรรมกรเมื่อเข้ามาโตเกียวใหม่ ๆ เหลืออยู่อย่างลืมตัว แต่ก็เพียงวูบเดียวก็สามารถหักห้ามโทสะถึงขึ้นแตกหักไว้ได้ด้วยสำนึกถึงฐานะทางสังคมที่เขาภาคภูมิอย่างอิ่มอกอิ่มใจอยู่เมื่อครู่ก่อนนี้เอง โชเฮสะกดความพลุ่งพล่านเอาไว้ในอดขณะเงี่ยหูฟังคำของเด็กหนุ่มต่อไป
“พวกหนังสือพิมพ์ก็ช่างสรรเสริญเยินยอพวกผู้ดีใหม่เสียเหลือเกิน คนพวกนี้มีเงินเหลือเฟือก็จริงแต่ใช้ชีวิตกันอย่างพื้น ๆ มาก คิดดูนะพอมีเงินขึ้นมาหน่อยก็ล่าผู้หญิงก่อนเลย ซื้อรถยนต์ ซื้อคฤหาสน์ หรือไม่ก็สร้างบ้านใหม่ ซื้อของเก่าที่ตัวเองไม่รู้ความหมาย ก็มีอยู่แค่นี้เอง ในจำนวนนั้นมีบางคนที่ต้องใจดีเหลือเกินเท่านั้นที่บริจาคเงินให้สังคมบ้าง ใช้เงินเที่ยวผู้หญิงกันอย่างไม่อั้นแบบนั้น ไม่รู้จักเบื่อกันบ้างรึไง ผมไม่เข้าใจจริง ๆ”
เด็กหนุ่มว่าร้ายต่อไปราวกับมีความเกลียดชังอะไรเป็นการส่วนตัวกับกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่าเศรษฐีใหม่ทั้งหมด
เด็กสาวยิ้มเย็น ๆ เมื่อบอกว่า
“ที่ว่าเบื่อนั้นฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่ามันยังไง คนที่มีความละเอียดอ่อนอย่างคุณอาจเบื่อทันที แต่คนทึ่มไม่เฉียบแหลมอย่างพวกเขา ทำอะไรซ้ำ ๆ กันได้ถึงไหน ๆ โดยไม่เบื่อไม่ใช่รึ”
“โอ้โฮคุณนี่ นินทาคนเก่งกว่าผมสองเท่าเลย”
สองหนุ่มสาวสบตาแล้วหัวเราะขึ้นพร้อมกัน
โชเฮที่ลอบฟังอยู่เงียบ ๆ หน้าเขียวด้วยความโกรธสุดขีด
ชายฉกรรจ์ผู้เป็นนักสู้ชีวิตที่ช่ำชองหรือจะทนได้กับการถูกหยามน้ำหน้าเช่นนี้ ความแค้นย่อมไม่ธรรมดา เชิญติดตามตอนต่อไป