บทประพันธ์ของ คิคุฉิ คัน* (ค.ศ.1888-1948)
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
ตอนที่ 8 หลุมพรางของอสูร (ต่อ)
5
ท่านคะระซะวะฟังคำขอร้องจนเกือบจะเป็นอ้อนวอนของอดีตเลขาฯคู่ใจแล้วจะปฏิเสธก็ไม่ถนัดปาก ครั้นจะตอบรับก็ยังไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมานั่งทำงานละเอียดอ่อนอย่างตรวจพิสูจน์ภาพเขียนอะไรในตอนนี้ จึงตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ไปว่า
“ไม่ใช่ว่าไม่อยากดูให้หรอก แต่วันนี้ฉันไม่สะดวก นายมาอีกทีวันหลังจะดีกว่า”
“กระผมไม่ได้หมายความว่าจะรบกวนให้ใต้เท้าดูทันทีในวันนี้หรอกนะขอรับ อยากจะฝากเอาไว้กับใต้เท้า มีเวลาว่างเมื่อไรค่อยดู จะเดือนหนึ่งหรือสองเดือนก็คอยได้ ไม่เร่งด่วนเลยขอรับ”
นายคิโนะชิตะขอร้องพลางค้อมตัวอย่างอ่อนน้อม
“หากฉันรับฝากของมีค่าอย่างภาพเขียนของคะเคเอาไว้ แล้วเกิดเสียหายเป็นอะไรฉันมิแย่รึ แต่ก็ไม่คิดหรอกนะว่าภาพที่นายเอามาจะเป็นของจริง”
ท่านคะระซะวะหัวเราะเสียงดังเมื่อพูดจบ ท่าทางจะแน่ใจมากว่าภาพนั้นเป็นของปลอม
“ใต้เท้าไม่ต้องกังวลไปเลยขอรับ ฝากไว้กับใต้เท้าปลอดภัยกว่าฝากธนาคารชาติเสียอีก เพียงแค่ใต้เท้าพูดออกมาคำเดียวว่า “ปลอม” เจ้าของภาพก็จะเชื่อและไม่ติดใจอะไรกับภาพนี้อีก”
ดูเหมือนท่านคะระซะวะจะจนต่อคำอ้อนวอน แม้ไม่ตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ทั้งสองโต้ตอบกันไปมาทำนองนี้จนในที่สุดท่านพ่อของรุริโกะก็รับฝากภาพเขียนนั้นเอาไว้
หลังเสร็จธุระสำคัญแล้ว นายคิโนะชิตะก็เริ่มคุยเรื่องการเมืองต่อไปอีกครู่หนึ่ง ซึ่งท่านคะระซะวะไม่แสดงท่าทีว่าสนใจนักได้แต่พยักหน้าไปตามเรื่อง
ตอนออกไปส่งแขกที่ห้องโถงทางเข้าคฤหาสน์ ท่านคะระซะวะถามขึ้นว่า
“แล้วนายจะมาเอาเมื่อไร”
“ใต้เท้าตรวจดูแล้วได้ผลประการใด หากจะกรุณาแจ้งให้กระผมทราบทางไปรษณียบัตรด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ใต้เท้าไม่ต้องรีบเลยขอรับ มีเวลาว่างเมื่อไหร่ค่อยดูก็ได้ขอรับ กระผมไม่รีบเลย”
นายคิโนะชิตะพูดย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกกว่าจะกลับออกไปได้
ท่านคะระซะวะกลับเข้ามาในห้องรับแขก เรียกรุริโกะเข้ามาหาแล้วสั่งว่า
“หนูเอานี่ไปเก็บไว้ในตู้ห้องนั่งเล่นของพ่อทีเถิด”
แต่พอรุริโกะหยิบห่อผ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้านั้นขึ้นมา ท่านพ่อของเธอก็เปลี่ยนใจบอกว่า
“เดี๋ยวหนู พ่อว่าดูเสียหน่อยดีกว่า ยังไง ๆ ก็ของปลอมแน่อยู่แล้ว ดูทีรึว่ามันเป็นยังไง”
ท่านคะระซะวะรับห่อผ้าคืนมาแก้ปมออก เปิดกล่องแล้วค่อย ๆ หยิบม้วนภาพขึ้นมาอย่างระมัดระวังด้วยท่าทีของผู้ชำนาญการ ดูขนาดแล้วเป็นภาพแขวนที่กว้างมากเกือบ 115 เซนติเมตร
“รุริ หนูเอาภาพนี้แขวนให้พ่อดูหน่อยซิ แขวนทับคะเคะจิกุนั่นก็ได้”
เด็กสาวทำตามคำสั่งของบิดา นำม้วนภาพทิวทัศน์วาดด้วยพู่กันฝีมือคะเคภาพนั้นไปแขวนทับคะเคะจิกุที่แขวนอยู่ในห้องรับแขกบ้านนี้มานานจนจำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไร
ม้วนผ้าทิ้งตัวคลี่คลายลงให้เห็นภาพหน้าผาสูงชันสลับสล้างเป็นชั้นเชิง ทางเดินทอดยาวผ่านแมกไม้ผลัดใบไกลออกไปสุดสายตา เด็กเลี้ยงวัวเดินเป่าขลุ่ยข้ามสะพานเล็ก ที่เชื่อมฝั่งลำธารแห้งน้ำจากเชิงผาไปยังอีกฟาก หมอกบาง ๆ ยามใกล้ค่ำปกคลุมขุนเขาและป่าไม้ที่ห่างไกลออกไป ชวนใจให้พลอยเศร้าซึ้งราวกับแว่วเสียงขลุ่ยหวีดหวิวของเด็กเลี้ยงวัวลอยลมมาแต่ไกล
ท่านพ่อของรุริโกะนิ่งและเงียบไปตั้งแต่ม้วนภาพคลี่คลายตัวลงมาจนถึงปลายสุด ดวงตาที่จับจ้องไปยังภาพแทบไม่กระพริบเท่านั้นที่เคลื่อนไหวเป็นประกายวิบวับไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ราวห้านาทีผ่านไปจึงโพล่งออกมาอย่างไม่อาจสะกดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ได้อีกต่อไปว่า
“เยี่ยม ยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ ยอดเยี่ยมกว่าภาพในชุด “กวีหลีไป๋*ชมธรรมชาติ” ของจิตรกรคะเคะ ที่ท่านดะเตะเอามาประมูลขายเมื่อวันก่อนเสียอีก”
ภาพในชุด “กวีหลีไป๋*ชมธรรมชาติ” ของจิตรกรคะเคะที่ท่านพ่อเอ่ยถึง เป็นภาพที่ตระกูลดะเตะนำมาประมูลขายเมื่อไม่นานมานี้ และมีคนประมูลไปในราคาสูงถึง 95,000 เยน ซึ่งเป็นราคาที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติการประมูลภาพเขียน
*หลีไป๋ กวีจีนผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถังของจีน (ค.ศ. 701-762)
6
“แปลกมาก ของแท้ล้ำค่าอย่างนี้มาอยู่ในมือของคนอย่างคิโนะชิตะได้ยังไงกัน”
ท่านพ่อของรุริโกะพึมพำพลางพิศดูภาพเขียนด้วยท่าทางหลงใหลก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่นั่ง รุริโกะเงยหน้าขึ้นถามว่า
“ภาพนี้เยี่ยมขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ” เด็กสาวพลอยตื่นเต้นตามท่านบิดาไปด้วย
“แน่นอน ภาพเขียนทิวทัศน์ของจิตรกรเอกระดับบรมครูสมัยโบราณของจีนอย่างของพระจักรพรรดิกิโซ, เรียวไก, บะเอ็น, มคเค และ คะเคคนนี้ราคาแพงมากขนาดรูปเล็ก ๆ ยังราคาถึงห้าพันเยน ภาพนี้งามที่สุดในบรรดาภาพเขียนขนาดใหญ่ของคะเคที่พ่อเคยเห็นมา คะเคนเป็นจิตรกรสำนักเหนือ ฝีพู่กันอ่อนโยนละเอียดอ่อนกว่าสำนักใต้”
บิดาบอกลูกสาวด้วยความปลื้มปิติอย่างยิ่งที่ได้เห็นภาพเขียนมีชื่อของแท้อยู่ตรงหน้า จนลืมเส้นตายที่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ หลังจากพินิจพิจารณาภาพเขียน มองใกล้ก็แล้วไกลก็แล้วอยู่ราวสิบนาทีจึงหันมาบอกรุริโกะว่า
“ใช่แล้ว ต้องรีบบอกนายคิโนะชิตะ พ่อรับฝากเอาไว้อย่างนั้นเพราะคิดว่าเป็นของปลอมคงไม่เป็นไร แต่นี่มันของแท้นะหนู ของแท้แน่นอน พ่อชักกังวลเสียแล้ว เอาอย่างนี้...รุริ หนูเอาม้วนภาพนี้ไปเก็บไว้ในตู้ห้องพ่อข้างบนนั่น ถือขึ้นไปดี ๆ แล้วเก็บไว้ให้เรียบร้อยทีเดียว ของมีค่ามาก”
ริริโกะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนพลางคิดถึงม้วนภาพฝีมือจิตรกรเอกในมือที่มีค่าเกือบแสนเยน ถ้าท่านพ่อได้เป็นเจ้าของภาพเขียนล้ำค่าเช่นนี้สักภาพครอบครัวจะรอดพ้นจากวิกฤติการเงินไปได้สบาย แถบผ้ายาวไม่ถึงสามเมตรกว้างไม่ถึงเมตรม้วนนี้พอได้ชื่อว่าเป็นภาพวาดฝีมือจิตรกรเอกก็มีคนอยากเป็นเจ้าของยอมจ่ายเงินเป็นหมื่นเป็นแสนโดยไม่เสียดาย ขณะที่อีกมุมหนึ่งของสังคมพ่อลูกคู่หนึ่งต้องได้รับความอับอายและเดือดร้อนเพราะเงินจำนวนเดียวกันนั้น ม้วนภาพในมือแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยงธรรม ความไม่เสมอภาคของชีวิตคนในสังคมอย่างชัดเจน พอคิดมาถึงตรงนี้รุริโกะชักจะรู้สึกไม่ชอบภาพเขียนในมือเสียแล้ว
บิดาเก็บตัวอยู่ในห้องส่วนตัวชั้นบนตลอดบ่ายวันนั้น รุริโกะอยู่ในห้องข้างล่างที่ตรงกันพอดีได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของบิดาเดินไปเดินมาไปรอบ ๆ ห้องเหมือนเสือติดจั่น บางช่วงคิดว่าจะหยุดลงนั่งแต่ก็กลับเดินต่ออีก เธอมองขึ้นไปบนเพดานเป็นครั้งคราวด้วยความกังวล เพราะปกติแทบจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของบิดาเลย รุริโกะรู้ดีว่าวันนี้บิดาตื่นเต้นมากและพอนึกถึงที่คุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนหนุ่ม ๆ พอบันดาลโทสะขึ้นมาครั้งใดบิดาเป็นต้องชักดาบซามุไรออกมากวัดแกว่งเฟี้ยวฟ้าวอยู่ในห้องส่วนตัวทุกครั้งไป รุริโกะก็กลัวขึ้นมาทันที
ทำไมน่ะหรือ...ก็ถ้าพรุ่งนี้ตัวแทนของนายโชดะมาพูดอะไรเป็นเชิงดูหมิ่นเหยียดหยามให้ได้อาย แล้วบิดาเกิดบันดาลโทสะขึ้นมาอะไรจะเกิดขึ้น แค่คิดก็หวาดเสียวแล้ว นี่ถ้าพี่ชายอยู่ก็ดีหรอกเพราะจะได้ช่วยกันคิด
จนกระทั่งห้าโมงเย็น บิดาเรียกรุริโกะขึ้นไปพบ บอกให้เรียกรถรับจ้างมาให้ทีเพราะจะออกไปทำธุระข้างนอก การที่อยู่ ๆ บิดาก็จะออกไปข้างนอกนั้นทำให้เธอกังวลขึ้นมาอีก เพราะรู้ดีว่าบิดาไม่มีที่พึ่งพาทางการเงินที่ไหนเหลืออีกแล้ว รุริโกะอดไม่ได้ที่จะทักท้วงว่า
“ท่านพ่อจะไปไหนหรือเจ้าคะ จวนจะได้เวลาอาหารอยู่แล้ว”
“พ่อเป็นห่วงเรื่องม้วนภาพที่นายคิโนะชิตะฝากไว้ก็เลยคิดว่าจะเอาไปคืน เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าเป็นของมีค่าขนาดนี้จึงเอามาฝากไว้ง่าย ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เขียนจดหมายไปบอกให้เขามารับคืนไปไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ คงไม่จำเป็นต้องเอาไปคืนเองอย่างนี้”
รุริโกะค้านเพราะท่าทีของบิดาทำให้รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาตงิด ๆ
“ไม่ละ พ่อจะเอาไปเอง บ้านนี้อาจถูกยึดในวันนี้พรุ่งนี้ ขืนเก็บของมีค่าอย่างนี้เอาไว้แล้วพลอยถูกยึดไปขายทอดตลาดด้วย มันจะยุ่งกันใหญ่”
บิดาชี้แจงเสียงเบา ๆ ซึ่งฟังดูสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย
และแล้วบิดาก็นำกล่องบรรจุม้วนภาพห่อผ้าผูกเรียบร้อยขึ้นรถรับจ้างไปที่ไหนสักแห่ง รุริโกะมองตามหลังรถที่แล่นจากไปด้วยความวิตกกังวลหลายเรื่องหลายช่วงตอนที่สับสนทับซ้อนกันจนถึงขีดสุด
7
ในที่สุดก็ถึงวันแห่งความหายนะ เช้าวันที่ 30 มิถุนายนอากาศแจ่มใสซึ่งนับว่าแปลกสำหรับช่วงฤดูฝน จักจั่นเรไรกรีดปีกระงมอยู่บนต้นไม้ในสวนที่แดดยามเช้าส่องสว่าง
ทว่าใจของรุริโกะที่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ากลับมืดมนขุ่นมัวไปด้วยความหวาดหวั่นกังวลระลอกใหม่ที่ทำให้เธอรู้สึกราวกับตกลงไปในปลักโคลน เพราะเมื่อคืนบิดากลับมาเกือบสองยามในอาการเมามาย การที่บิดาผู้ได้ชื่อว่าเข้มงวดกับตนเองอย่างยิ่งไม่เคยแตะจอกสุราแม้แต่ครั้งเดียวในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่ประกาศเลิกดื่มเมื่ออายุครบหกสิบ ต้องหันเข้าหาสุราเป็นที่พึ่งครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความอับจนอย่างถึงที่สุดแล้ว
รุริโกะนั่งไม่ติดที่ จินตนาการไปไกลว่าชายจมูกงุ้มเหมือนนกเหยี่ยวคนนั้นมาพบบิดาเพื่อทวงหนี้ พอบิดาปฏิเสธชายผู้นั้นก็จะกล่าววาจาเหยียดหยามซึ่งทำให้บิดาที่กำลังหงุดหงิดบันดาลโทสะ สองคนมีปากมีเสียงกันอย่างรุนแรงจนบิดาโกรธสุดขีดเข้าไปฉวยดาบซะดะมุเนะที่เก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดออกมา วาดภาพแล้วก็หวาดผวา วิงเวียนแทบจะเป็นลม
ช่วงเช้าผ่านไปอย่างสงบ ไม่มีเหตุการณ์อะไรนอกจากมีคนมาเคาะประตูขายยาที่ดูไม่ออกว่าเป็นยาอะไร รุริโกะกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขตอนบ่ายแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าแขกผู้ไม่พึงประสงค์จะมา
บิดาหน้าซีดเซียวกว่าเมื่อวาน แววตาฉายแววอ่อนล้าและไม่พูดอะไรสักคำเดียวแม้ตอนที่พบหน้ารุริโกะระหว่างอาหารเช้า รุริโกะก้มหน้าก้มตารับประทาน พยายามไม่มองหน้าบิดาเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่วายเห็นความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานใจระบายอยู่เต็มใบหน้าอันซีดเซียวนั้น ตอนพบกันระหว่างอาหารกลางวัน สองพ่อลูกก็ไม่ได้อะไรกันเป็นเรื่องเป็นราว และไม่มีใครพูดพาดพิงถึงเรื่องที่ว่าวันนี้เป็นวันที่ 30 มิถุนายน วันโลกาวินาศสำหรับครอบครัวนี้
วันในฤดูร้อนที่ยาวนานกำลังจะสิ้นสุดลง แดดยามเย็นทอแสงแดงแสดสะท้อนแมกไม้ที่ซันโนไดซึ่งเห็นอยู่ไกล ๆ แต่ชายคนนั้นก็ยังไม่มา การที่ต้องวิตกกังวล กระสับกระสายอยู่ทั้งวันแล้วในที่สุดกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้ทำให้รุริโกะรู้สึกเหมือนผิดจังหวะอย่างไรบอกไม่ถูก
ทว่า ปีศาจร้ายหรือจะปล่อยเหยื่ออันโอชะให้รอดหลุดมือไปได้ เพียงแต่มันดำเนินกลยุทธ์อันล้ำลึกคือเฝ้าดูเหยื่อที่ทุกข์ทรมานจนอ่อนเปลี้ยเพลียใจตลอดทั้งวัน ปล่อยให้เริ่มมีความหวังขึ้นมารำไรว่าจะรอดพ้นไปได้เมื่อใกล้จะหมดวัน แล้วจึงกางเล็บแหลมคมกระโจนเข้าสังหาร
ขณะที่สองพ่อลูกกำลังโล่งใจว่ารอดตัวไปได้อีกวันหนึ่งนั้นเอง ยานของยมทูตก็แล่นเงียบกริบเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูคฤหาสน์
พอรุริโกะออกไปรับนายนั่นก็ยิ้มย่องกล่าวด้วยถ้อยคำที่พยายามให้ฟังหวานหูว่า
“ขออภัยขอรับคุณหนูที่กระผมมาช้า เพราะคิดว่ามาช้าหน่อยดีกว่าเผื่อว่าทางท่านจะต้องการเวลาเตรียมตัว ท่านพ่อคงจะอยู่นะขอรับ”
รุริโกะรู้สึกชังน้ำหน้า สะอิดสะเอียนขึ้นมาทันทีที่เห็น เสียงที่พูดกับบิดาจึงสั่นน้อย ๆ อย่างระงับไม่อยู่
“ท่านพ่อเจ้าคะ ตัวแทนนายโชดะมาแล้ว”
“อ้อ เชิญเขาเข้ามาคอยในห้องรับแขกนะ เดี๋ยวพ่อจะลงไป”
บิดากล่าวพลางหยิบกระเป๋าเงินที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาเปิดเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ภายในห้องค่อนข้างมืดสลัวแต่ รุริโกะก็ยังเห็นชัดว่าในกระเป๋ามีปึกธนบัตรใบละหนึ่งร้อยเยนสีม่วงอ่อนหนาราวสามเซนติเมตรอัดแน่นอยู่สองหรือสามปึก เธอเปิกตากว้าง เกือบจะร้องอุทานออกมาดัง ๆ
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา
"คุณนายไข่มุก เธอทั้งสวยและสูงศักดิ์ สวรรค์ให้เธอมามาก แต่ถึงเวลาเอาคืน....?"
ตอนที่ 8 หลุมพรางของอสูร (ต่อ)
5
ท่านคะระซะวะฟังคำขอร้องจนเกือบจะเป็นอ้อนวอนของอดีตเลขาฯคู่ใจแล้วจะปฏิเสธก็ไม่ถนัดปาก ครั้นจะตอบรับก็ยังไม่อยู่ในอารมณ์ที่จะมานั่งทำงานละเอียดอ่อนอย่างตรวจพิสูจน์ภาพเขียนอะไรในตอนนี้ จึงตอบอย่างแบ่งรับแบ่งสู้ไปว่า
“ไม่ใช่ว่าไม่อยากดูให้หรอก แต่วันนี้ฉันไม่สะดวก นายมาอีกทีวันหลังจะดีกว่า”
“กระผมไม่ได้หมายความว่าจะรบกวนให้ใต้เท้าดูทันทีในวันนี้หรอกนะขอรับ อยากจะฝากเอาไว้กับใต้เท้า มีเวลาว่างเมื่อไรค่อยดู จะเดือนหนึ่งหรือสองเดือนก็คอยได้ ไม่เร่งด่วนเลยขอรับ”
นายคิโนะชิตะขอร้องพลางค้อมตัวอย่างอ่อนน้อม
“หากฉันรับฝากของมีค่าอย่างภาพเขียนของคะเคเอาไว้ แล้วเกิดเสียหายเป็นอะไรฉันมิแย่รึ แต่ก็ไม่คิดหรอกนะว่าภาพที่นายเอามาจะเป็นของจริง”
ท่านคะระซะวะหัวเราะเสียงดังเมื่อพูดจบ ท่าทางจะแน่ใจมากว่าภาพนั้นเป็นของปลอม
“ใต้เท้าไม่ต้องกังวลไปเลยขอรับ ฝากไว้กับใต้เท้าปลอดภัยกว่าฝากธนาคารชาติเสียอีก เพียงแค่ใต้เท้าพูดออกมาคำเดียวว่า “ปลอม” เจ้าของภาพก็จะเชื่อและไม่ติดใจอะไรกับภาพนี้อีก”
ดูเหมือนท่านคะระซะวะจะจนต่อคำอ้อนวอน แม้ไม่ตอบรับอย่างเต็มปากเต็มคำแต่ก็ไม่ปฏิเสธ ทั้งสองโต้ตอบกันไปมาทำนองนี้จนในที่สุดท่านพ่อของรุริโกะก็รับฝากภาพเขียนนั้นเอาไว้
หลังเสร็จธุระสำคัญแล้ว นายคิโนะชิตะก็เริ่มคุยเรื่องการเมืองต่อไปอีกครู่หนึ่ง ซึ่งท่านคะระซะวะไม่แสดงท่าทีว่าสนใจนักได้แต่พยักหน้าไปตามเรื่อง
ตอนออกไปส่งแขกที่ห้องโถงทางเข้าคฤหาสน์ ท่านคะระซะวะถามขึ้นว่า
“แล้วนายจะมาเอาเมื่อไร”
“ใต้เท้าตรวจดูแล้วได้ผลประการใด หากจะกรุณาแจ้งให้กระผมทราบทางไปรษณียบัตรด้วยจะเป็นพระคุณอย่างยิ่ง ใต้เท้าไม่ต้องรีบเลยขอรับ มีเวลาว่างเมื่อไหร่ค่อยดูก็ได้ขอรับ กระผมไม่รีบเลย”
นายคิโนะชิตะพูดย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกกว่าจะกลับออกไปได้
ท่านคะระซะวะกลับเข้ามาในห้องรับแขก เรียกรุริโกะเข้ามาหาแล้วสั่งว่า
“หนูเอานี่ไปเก็บไว้ในตู้ห้องนั่งเล่นของพ่อทีเถิด”
แต่พอรุริโกะหยิบห่อผ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้านั้นขึ้นมา ท่านพ่อของเธอก็เปลี่ยนใจบอกว่า
“เดี๋ยวหนู พ่อว่าดูเสียหน่อยดีกว่า ยังไง ๆ ก็ของปลอมแน่อยู่แล้ว ดูทีรึว่ามันเป็นยังไง”
ท่านคะระซะวะรับห่อผ้าคืนมาแก้ปมออก เปิดกล่องแล้วค่อย ๆ หยิบม้วนภาพขึ้นมาอย่างระมัดระวังด้วยท่าทีของผู้ชำนาญการ ดูขนาดแล้วเป็นภาพแขวนที่กว้างมากเกือบ 115 เซนติเมตร
“รุริ หนูเอาภาพนี้แขวนให้พ่อดูหน่อยซิ แขวนทับคะเคะจิกุนั่นก็ได้”
เด็กสาวทำตามคำสั่งของบิดา นำม้วนภาพทิวทัศน์วาดด้วยพู่กันฝีมือคะเคภาพนั้นไปแขวนทับคะเคะจิกุที่แขวนอยู่ในห้องรับแขกบ้านนี้มานานจนจำไม่ได้ว่าตั้งแต่เมื่อไร
ม้วนผ้าทิ้งตัวคลี่คลายลงให้เห็นภาพหน้าผาสูงชันสลับสล้างเป็นชั้นเชิง ทางเดินทอดยาวผ่านแมกไม้ผลัดใบไกลออกไปสุดสายตา เด็กเลี้ยงวัวเดินเป่าขลุ่ยข้ามสะพานเล็ก ที่เชื่อมฝั่งลำธารแห้งน้ำจากเชิงผาไปยังอีกฟาก หมอกบาง ๆ ยามใกล้ค่ำปกคลุมขุนเขาและป่าไม้ที่ห่างไกลออกไป ชวนใจให้พลอยเศร้าซึ้งราวกับแว่วเสียงขลุ่ยหวีดหวิวของเด็กเลี้ยงวัวลอยลมมาแต่ไกล
ท่านพ่อของรุริโกะนิ่งและเงียบไปตั้งแต่ม้วนภาพคลี่คลายตัวลงมาจนถึงปลายสุด ดวงตาที่จับจ้องไปยังภาพแทบไม่กระพริบเท่านั้นที่เคลื่อนไหวเป็นประกายวิบวับไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก ราวห้านาทีผ่านไปจึงโพล่งออกมาอย่างไม่อาจสะกดกลั้นความตื่นเต้นเอาไว้ได้อีกต่อไปว่า
“เยี่ยม ยอดเยี่ยมไม่มีที่ติ ยอดเยี่ยมกว่าภาพในชุด “กวีหลีไป๋*ชมธรรมชาติ” ของจิตรกรคะเคะ ที่ท่านดะเตะเอามาประมูลขายเมื่อวันก่อนเสียอีก”
ภาพในชุด “กวีหลีไป๋*ชมธรรมชาติ” ของจิตรกรคะเคะที่ท่านพ่อเอ่ยถึง เป็นภาพที่ตระกูลดะเตะนำมาประมูลขายเมื่อไม่นานมานี้ และมีคนประมูลไปในราคาสูงถึง 95,000 เยน ซึ่งเป็นราคาที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติการประมูลภาพเขียน
*หลีไป๋ กวีจีนผู้ยิ่งใหญ่แห่งราชวงศ์ถังของจีน (ค.ศ. 701-762)
6
“แปลกมาก ของแท้ล้ำค่าอย่างนี้มาอยู่ในมือของคนอย่างคิโนะชิตะได้ยังไงกัน”
ท่านพ่อของรุริโกะพึมพำพลางพิศดูภาพเขียนด้วยท่าทางหลงใหลก่อนที่จะลุกขึ้นจากที่นั่ง รุริโกะเงยหน้าขึ้นถามว่า
“ภาพนี้เยี่ยมขนาดนั้นเลยหรือเจ้าคะ” เด็กสาวพลอยตื่นเต้นตามท่านบิดาไปด้วย
“แน่นอน ภาพเขียนทิวทัศน์ของจิตรกรเอกระดับบรมครูสมัยโบราณของจีนอย่างของพระจักรพรรดิกิโซ, เรียวไก, บะเอ็น, มคเค และ คะเคคนนี้ราคาแพงมากขนาดรูปเล็ก ๆ ยังราคาถึงห้าพันเยน ภาพนี้งามที่สุดในบรรดาภาพเขียนขนาดใหญ่ของคะเคที่พ่อเคยเห็นมา คะเคนเป็นจิตรกรสำนักเหนือ ฝีพู่กันอ่อนโยนละเอียดอ่อนกว่าสำนักใต้”
บิดาบอกลูกสาวด้วยความปลื้มปิติอย่างยิ่งที่ได้เห็นภาพเขียนมีชื่อของแท้อยู่ตรงหน้า จนลืมเส้นตายที่กำลังจะมาถึงในวันพรุ่งนี้ หลังจากพินิจพิจารณาภาพเขียน มองใกล้ก็แล้วไกลก็แล้วอยู่ราวสิบนาทีจึงหันมาบอกรุริโกะว่า
“ใช่แล้ว ต้องรีบบอกนายคิโนะชิตะ พ่อรับฝากเอาไว้อย่างนั้นเพราะคิดว่าเป็นของปลอมคงไม่เป็นไร แต่นี่มันของแท้นะหนู ของแท้แน่นอน พ่อชักกังวลเสียแล้ว เอาอย่างนี้...รุริ หนูเอาม้วนภาพนี้ไปเก็บไว้ในตู้ห้องพ่อข้างบนนั่น ถือขึ้นไปดี ๆ แล้วเก็บไว้ให้เรียบร้อยทีเดียว ของมีค่ามาก”
ริริโกะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบนพลางคิดถึงม้วนภาพฝีมือจิตรกรเอกในมือที่มีค่าเกือบแสนเยน ถ้าท่านพ่อได้เป็นเจ้าของภาพเขียนล้ำค่าเช่นนี้สักภาพครอบครัวจะรอดพ้นจากวิกฤติการเงินไปได้สบาย แถบผ้ายาวไม่ถึงสามเมตรกว้างไม่ถึงเมตรม้วนนี้พอได้ชื่อว่าเป็นภาพวาดฝีมือจิตรกรเอกก็มีคนอยากเป็นเจ้าของยอมจ่ายเงินเป็นหมื่นเป็นแสนโดยไม่เสียดาย ขณะที่อีกมุมหนึ่งของสังคมพ่อลูกคู่หนึ่งต้องได้รับความอับอายและเดือดร้อนเพราะเงินจำนวนเดียวกันนั้น ม้วนภาพในมือแสดงให้เห็นถึงความไม่เที่ยงธรรม ความไม่เสมอภาคของชีวิตคนในสังคมอย่างชัดเจน พอคิดมาถึงตรงนี้รุริโกะชักจะรู้สึกไม่ชอบภาพเขียนในมือเสียแล้ว
บิดาเก็บตัวอยู่ในห้องส่วนตัวชั้นบนตลอดบ่ายวันนั้น รุริโกะอยู่ในห้องข้างล่างที่ตรงกันพอดีได้ยินเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ของบิดาเดินไปเดินมาไปรอบ ๆ ห้องเหมือนเสือติดจั่น บางช่วงคิดว่าจะหยุดลงนั่งแต่ก็กลับเดินต่ออีก เธอมองขึ้นไปบนเพดานเป็นครั้งคราวด้วยความกังวล เพราะปกติแทบจะไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าของบิดาเลย รุริโกะรู้ดีว่าวันนี้บิดาตื่นเต้นมากและพอนึกถึงที่คุณแม่เคยเล่าให้ฟังว่าตอนหนุ่ม ๆ พอบันดาลโทสะขึ้นมาครั้งใดบิดาเป็นต้องชักดาบซามุไรออกมากวัดแกว่งเฟี้ยวฟ้าวอยู่ในห้องส่วนตัวทุกครั้งไป รุริโกะก็กลัวขึ้นมาทันที
ทำไมน่ะหรือ...ก็ถ้าพรุ่งนี้ตัวแทนของนายโชดะมาพูดอะไรเป็นเชิงดูหมิ่นเหยียดหยามให้ได้อาย แล้วบิดาเกิดบันดาลโทสะขึ้นมาอะไรจะเกิดขึ้น แค่คิดก็หวาดเสียวแล้ว นี่ถ้าพี่ชายอยู่ก็ดีหรอกเพราะจะได้ช่วยกันคิด
จนกระทั่งห้าโมงเย็น บิดาเรียกรุริโกะขึ้นไปพบ บอกให้เรียกรถรับจ้างมาให้ทีเพราะจะออกไปทำธุระข้างนอก การที่อยู่ ๆ บิดาก็จะออกไปข้างนอกนั้นทำให้เธอกังวลขึ้นมาอีก เพราะรู้ดีว่าบิดาไม่มีที่พึ่งพาทางการเงินที่ไหนเหลืออีกแล้ว รุริโกะอดไม่ได้ที่จะทักท้วงว่า
“ท่านพ่อจะไปไหนหรือเจ้าคะ จวนจะได้เวลาอาหารอยู่แล้ว”
“พ่อเป็นห่วงเรื่องม้วนภาพที่นายคิโนะชิตะฝากไว้ก็เลยคิดว่าจะเอาไปคืน เจ้าตัวคงไม่รู้หรอกว่าเป็นของมีค่าขนาดนี้จึงเอามาฝากไว้ง่าย ๆ”
“ถ้าอย่างนั้นก็เขียนจดหมายไปบอกให้เขามารับคืนไปไม่ดีกว่าหรือเจ้าคะ คงไม่จำเป็นต้องเอาไปคืนเองอย่างนี้”
รุริโกะค้านเพราะท่าทีของบิดาทำให้รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาตงิด ๆ
“ไม่ละ พ่อจะเอาไปเอง บ้านนี้อาจถูกยึดในวันนี้พรุ่งนี้ ขืนเก็บของมีค่าอย่างนี้เอาไว้แล้วพลอยถูกยึดไปขายทอดตลาดด้วย มันจะยุ่งกันใหญ่”
บิดาชี้แจงเสียงเบา ๆ ซึ่งฟังดูสมเหตุสมผลอยู่ไม่น้อย
และแล้วบิดาก็นำกล่องบรรจุม้วนภาพห่อผ้าผูกเรียบร้อยขึ้นรถรับจ้างไปที่ไหนสักแห่ง รุริโกะมองตามหลังรถที่แล่นจากไปด้วยความวิตกกังวลหลายเรื่องหลายช่วงตอนที่สับสนทับซ้อนกันจนถึงขีดสุด
7
ในที่สุดก็ถึงวันแห่งความหายนะ เช้าวันที่ 30 มิถุนายนอากาศแจ่มใสซึ่งนับว่าแปลกสำหรับช่วงฤดูฝน จักจั่นเรไรกรีดปีกระงมอยู่บนต้นไม้ในสวนที่แดดยามเช้าส่องสว่าง
ทว่าใจของรุริโกะที่ตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้ากลับมืดมนขุ่นมัวไปด้วยความหวาดหวั่นกังวลระลอกใหม่ที่ทำให้เธอรู้สึกราวกับตกลงไปในปลักโคลน เพราะเมื่อคืนบิดากลับมาเกือบสองยามในอาการเมามาย การที่บิดาผู้ได้ชื่อว่าเข้มงวดกับตนเองอย่างยิ่งไม่เคยแตะจอกสุราแม้แต่ครั้งเดียวในช่วงหลายปีที่ผ่านมาตั้งแต่ประกาศเลิกดื่มเมื่ออายุครบหกสิบ ต้องหันเข้าหาสุราเป็นที่พึ่งครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงความอับจนอย่างถึงที่สุดแล้ว
รุริโกะนั่งไม่ติดที่ จินตนาการไปไกลว่าชายจมูกงุ้มเหมือนนกเหยี่ยวคนนั้นมาพบบิดาเพื่อทวงหนี้ พอบิดาปฏิเสธชายผู้นั้นก็จะกล่าววาจาเหยียดหยามซึ่งทำให้บิดาที่กำลังหงุดหงิดบันดาลโทสะ สองคนมีปากมีเสียงกันอย่างรุนแรงจนบิดาโกรธสุดขีดเข้าไปฉวยดาบซะดะมุเนะที่เก็บซ่อนเอาไว้อย่างมิดชิดออกมา วาดภาพแล้วก็หวาดผวา วิงเวียนแทบจะเป็นลม
ช่วงเช้าผ่านไปอย่างสงบ ไม่มีเหตุการณ์อะไรนอกจากมีคนมาเคาะประตูขายยาที่ดูไม่ออกว่าเป็นยาอะไร รุริโกะกระสับกระส่ายอยู่ไม่สุขตอนบ่ายแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าแขกผู้ไม่พึงประสงค์จะมา
บิดาหน้าซีดเซียวกว่าเมื่อวาน แววตาฉายแววอ่อนล้าและไม่พูดอะไรสักคำเดียวแม้ตอนที่พบหน้ารุริโกะระหว่างอาหารเช้า รุริโกะก้มหน้าก้มตารับประทาน พยายามไม่มองหน้าบิดาเท่าที่จะทำได้ แต่ก็ไม่วายเห็นความเจ็บปวด ทุกข์ทรมานใจระบายอยู่เต็มใบหน้าอันซีดเซียวนั้น ตอนพบกันระหว่างอาหารกลางวัน สองพ่อลูกก็ไม่ได้อะไรกันเป็นเรื่องเป็นราว และไม่มีใครพูดพาดพิงถึงเรื่องที่ว่าวันนี้เป็นวันที่ 30 มิถุนายน วันโลกาวินาศสำหรับครอบครัวนี้
วันในฤดูร้อนที่ยาวนานกำลังจะสิ้นสุดลง แดดยามเย็นทอแสงแดงแสดสะท้อนแมกไม้ที่ซันโนไดซึ่งเห็นอยู่ไกล ๆ แต่ชายคนนั้นก็ยังไม่มา การที่ต้องวิตกกังวล กระสับกระสายอยู่ทั้งวันแล้วในที่สุดกลับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นนี้ทำให้รุริโกะรู้สึกเหมือนผิดจังหวะอย่างไรบอกไม่ถูก
ทว่า ปีศาจร้ายหรือจะปล่อยเหยื่ออันโอชะให้รอดหลุดมือไปได้ เพียงแต่มันดำเนินกลยุทธ์อันล้ำลึกคือเฝ้าดูเหยื่อที่ทุกข์ทรมานจนอ่อนเปลี้ยเพลียใจตลอดทั้งวัน ปล่อยให้เริ่มมีความหวังขึ้นมารำไรว่าจะรอดพ้นไปได้เมื่อใกล้จะหมดวัน แล้วจึงกางเล็บแหลมคมกระโจนเข้าสังหาร
ขณะที่สองพ่อลูกกำลังโล่งใจว่ารอดตัวไปได้อีกวันหนึ่งนั้นเอง ยานของยมทูตก็แล่นเงียบกริบเข้ามาจอดเทียบหน้าประตูคฤหาสน์
พอรุริโกะออกไปรับนายนั่นก็ยิ้มย่องกล่าวด้วยถ้อยคำที่พยายามให้ฟังหวานหูว่า
“ขออภัยขอรับคุณหนูที่กระผมมาช้า เพราะคิดว่ามาช้าหน่อยดีกว่าเผื่อว่าทางท่านจะต้องการเวลาเตรียมตัว ท่านพ่อคงจะอยู่นะขอรับ”
รุริโกะรู้สึกชังน้ำหน้า สะอิดสะเอียนขึ้นมาทันทีที่เห็น เสียงที่พูดกับบิดาจึงสั่นน้อย ๆ อย่างระงับไม่อยู่
“ท่านพ่อเจ้าคะ ตัวแทนนายโชดะมาแล้ว”
“อ้อ เชิญเขาเข้ามาคอยในห้องรับแขกนะ เดี๋ยวพ่อจะลงไป”
บิดากล่าวพลางหยิบกระเป๋าเงินที่วางอยู่ข้างตัวขึ้นมาเปิดเหมือนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ภายในห้องค่อนข้างมืดสลัวแต่ รุริโกะก็ยังเห็นชัดว่าในกระเป๋ามีปึกธนบัตรใบละหนึ่งร้อยเยนสีม่วงอ่อนหนาราวสามเซนติเมตรอัดแน่นอยู่สองหรือสามปึก เธอเปิกตากว้าง เกือบจะร้องอุทานออกมาดัง ๆ