xs
xsm
sm
md
lg

เก้าอี้มนุษย์ (ตอนที่ 2)

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

บทประพันธ์ของ เอะโดะงะวะ รัมโปะ
แปลและเรียบเรียงโดย ฉวีวงศ์ อัศวเสนา

ตอนที่ 2

ผมเลือกเก้าอี้ท้าวแขนตัวที่คิดว่าทำได้ดีที่สุดในจำนวน 4 ตัว แล้วลงมือรื้อแยกออกเป็นส่วน ๆ อย่างเร่งด่วน เสร็จแล้วจึงเริ่มประกอบเข้ารูปขึ้นใหม่ให้บรรลุความเป็นจริงตามแผนการอันประหลาดยิ่งของผม

เก้าอี้ตัวนั้นเป็นอาร์มแชร์ตัวใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในสารบบ เบาะที่นั่งหนาหุ้มหนังหนาลงมาจนแทบจรดพื้นห้อง พนักและท้าวแขนก็หนาดูบึกบึนแข็งแรงมากทีเดียว ภายในเป็นโพรงกว้างขนาดที่คน ๆ หนึ่งจะเข้าไปซ่อนตัวอยู่ได้โดยไม่มีใครเห็นความผิดปกติจากภายนอก ตามปกติภายในตัวเก้าอี้จะต้องตีกรอบไม้แข็งแรงและติดสปริงเอาไว้หลายตัว แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาเพราะผมดัดแปลงโครงสร้างเหล่านั้นจนเหมาะเจาะ มีพื้นที่ให้คน ๆ หนึ่งเข้าไปอยู่ในโพรงนั้นได้พอดิบพอดีโดยมุดเข้าไปสอดขานั่งตรงส่วนที่เป็นเบาะที่นั่งแล้วจัดลำตัวกับศีรษะให้เข้าที่กับพนักเช่นเดียวกับเวลานั่งบนเก้าอี้ตามปกติ

ผมเป็นช่างเชี่ยวชาญการทำเก้าอี้อยู่แล้วจึงดัดแปลงส่วนนั่นส่วนนี้ให้สะดวกแก่การใช้ อย่างเช่น ทำรอยแยกเล็ก ๆ เอาไว้ตรงส่วนหนึ่งของหนังหุ้มขนาดที่คนภายนอกสังเกตไม่เห็นความผิดปกติ เพื่อหายใจและฟังเสียงจากภายนอก ทำชั้นวางของเล็ก ๆ ติดที่ด้านในของพนักพิงหลังตรงข้างศีรษะพอดี แล้วเอากระติกน้ำกับขนมปังแข็งแบบทหารรับประทานกันวางตุนเอาไว้ พร้อมทั้งจัดเตรียมถุงยางขนาดใหญ่ใบหนึ่งไว้สำหรับทำธุระบางอย่าง และอีกหลายสิ่งตามที่คิดออก คือถ้ามีอาหารสักอย่างก็จะอยู่ในนั้นได้ราวสองสามวันโดยไม่เดือดร้อน ผมทำให้เก้าอี้ตัวนั้นกลายเป็นห้องสำหรับคน ๆ หนึ่งเข้าไปอยู่อาศัยไปเสียแล้ว

ผมใส่เสื้อเชิ้ตตัวเดียว เปิดฝาที่ทำเป็นทางเข้าออกตรงฐานเก้าอี้มุดเข้าไปภายใน ผมรู้สึกแปลกพิกล มืด หายใจไม่ออกเหมือนเข้าไปอยู่ในหลุมฝังศพไม่มีผิด ลึกลับอย่างประหลาด คิดอีกทีนี่มันหลุมฝังศพจริง ๆ ด้วย เพราะทันทีที่มุดเข้าไปในเก้าอี้ตัวผมได้ดับสูญไปจากโลกมนุษย์เหมือนถูกคลุมด้วยเสื้อคลุมฟางกายสิทธิ์ล่องหนหายตัวไป

จากนั้นไม่นาน วันหนึ่งคนงานรับจ้างจากบริษัทก็พากันลากรถคันใหญ่มาที่บ้านเพื่อขนเก้าอี้ 4 ตัวไปส่งเจ้าของ ลูกน้องผม (ผมอาศัยอยู่กับเจ้าคนนี้เพียงลำพังสองคน) ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรก็กุลีกุจอตอนรับคนงานรับจ้างเป็นอันดี ตอนยกเก้าอี้ขึ้นรถคนงานคนหนึ่งร้องลั่น “เก้าอี้ตัวนี้หนักเป็นบ้าเลย” ทำเอาผมซึ่งอยู่ในเก้าอี้สะดุ้งสุดตัว แต่เก้าอี้อาร์มแชร์ตัวใหญ่ขนาดนี้ย่อมหนักมากเป็นธรรมดา คนงานแค่ร้องอุทานออกมาแต่ไม่ได้ติดใจสงสัยอะไร ครู่หนึ่งต่อมารถขนของก็เคลื่อนออกจากที่ แรงสะเทือนกระดกกระโดดของรถลากที่ผ่านไปตามทางขรุขระทำให้ตัวผมกระดอนตามไปด้วย มันเป็นความรู้สึกสัมผัสแปลก ๆ อย่างบอกไม่ถูก

ผมวิตกกังวลมาตลอดทาง แต่ในที่สุดตอนบ่ายวันนั้นเองเก้าอี้ที่มีผมซ่อนตัวอยู่ข้างในก็มาตั้งเด่นเป็นสง่าอยู่ในห้องหนึ่งของโรงแรมโดยสวัสดิภาพ ผมมารู้ในภายหลังว่านั่นไม่ใช่ห้องส่วนตัว แต่เป็นห้องที่เขาเรียกว่าเลานจ์จัดไว้สำหรับให้นั่งเล่น อ่านหนังสือพิมพ์ สูบบุหรี่ นัดพบกัน จึงมีผู้คนมากหน้าหลายตาเดินเข้าออกอยู่เสมอ

เล่ามาถึงตรงนี้ คงจะพอเข้าใจบ้างแล้วนะครับว่า จุดมุ่งหมายแรกสุดของการทำอะไรพิลึกพิลั่นแบบนี้ของผมคืออะไร ใช่แล้วครับ ผมคอยจนไม่มีใครแล้วจึงลอบออกมาจากเก้าอี้ เดินไปรอบ ๆ โรงแรมแล้วขโมยของเท่าที่จะหยิบมาได้ ไม่มีใครคิดหรอกครับว่าจะมีมนุษย์บ้าที่ไหนเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในเก้าอี้ ผมจึงบุกเข้าห้องนั้นออกห้องนี้ได้อย่างอิสรเสรีเหมือนเงาและพอผู้คนเอะอะกันขึ้นมาเพราะของหายผมก็จะหนีกลับเข้าไปซ่อนตัวกลั้นหายใจอยู่ในเก้าอี้ที่เป็นบ้านลับเฉพาะตัว เฝ้าดูพวกเขาค้นหาตัวหัวขโมยตรงนั้นตรงนี้อย่างน่าขัน คุณนายคงรู้ว่ามีปูชนิดหนึ่งที่เรียก “ปูเสฉวน” อาศัยอยู่ตามแนวคลื่นที่ชายหาด รูปร่างคล้ายแมงมุมตัวโต เวลาไม่มีใครมันจะออกเดินโชว์โฉมหน้าที่แท้จริงตามสบาย แต่พอแว่วเสียงฝีเท้าคนเพียงนิดเดียวมันจะวิ่งลิ่วด้วยความตกใจเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในเปลือกหอยที่อยู่ใกล้ที่สุด ยื่นเท้าหน้าที่มีขนเต็มแพลม ๆ ออกมาดูน่าขยะแขยง แอบซุ่มเงียบกริบดูความเคลื่อนไหวของศัตรู ผมอยู่ในสภาพที่เหมือนกับ “ปูเสฉวน” ไม่มีผิด เพียงแต่มีบ้านลับเป็นเก้าอี้แทนที่จะเป็นเปลือกหอย และออกไปเดินตามสบายในโรงแรมแทนที่จะเป็นชายหาด

แผนการบ้าระห่ำที่ไม่มีใครคิดว่าจะบ้าระห่ำได้ขนาดนี้ของผมประสบความสำเร็จอย่างงดงาม ผมมาถึงโรงแรมได้แค่สามวันก็ทำงานบรรลุเป้าหมายเรียบร้อย ตอนออกไปลงมือขโมยของจริง ๆ นั้นผมทั้งกลัวทั้งสนุก และเมื่อทำสำเร็จก็จะดีใจจนยากที่จะพรรณนา ผมซุ่มตัวเงียบกริบเฝ้ามองด้วยความขบขันเมื่อเห็นผู้คนวิ่งหาหัวขโมยกันวุ่นไปหมด มันวิ่งไปทางนั้น มันหนีไปทางโน้น ทั้ง ๆ ที่ ผมอยู่ตรงปลายจมูกของพวกเขาแท้ ๆ มันช่างเป็นภาพที่มีเสน่ห์ชวนให้ติดตามอย่างน่าประหลาดเหลือเกิน

แต่น่าเสียดายที่ไม่มีเวลาพอที่จะเล่าเรื่องราวตอนนั้นให้ฟังโดยละเอียด เพราะอยากเล่าถึงการค้นพบสิ่งที่ทำให้ผมปิติยินดี สิ่งที่ทำให้จิตใจเพริดแพร้วสุดขั้ว ยิ่งไปกว่าเมื่อประสบความสำเร็จตามแผนเป็นสิบถึงยี่สิบเท่า และการสารภาพเรื่องนี้นี่เองคือจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของจดหมายฉบับนี้

ผมขอย้อนกลับไปเล่าเรื่องตั้งแต่ต้นเริ่มจากเมื่อพนักงานนำเก้าอี้ของผมมาวางไว้ที่เลานจ์ของโรงแรม

พอเก้าอี้มาถึง เจ้าของโรงแรมกับเจ้าหน้าที่คนอื่น ๆ ก็พากันมาตรวจดูความเรียบร้อยและทดลองนั่งว่าสบายหรือไม่อย่างไร หลังจากที่พวกเขากลับออกไปห้องทั้งห้องเงียบกริบเพราะคงไม่มีใครเหลืออยู่สักคนเดียว แต่ผมก็ไม่กล้าออกไปจากที่ซ่อนเพราะเพิ่งมาถึงหยก ๆ ทั้งยังกลัวมากด้วย จึงนั่งนิ่งเฝ้าดูสถานการณ์โดยรอบอยู่นานมากเหลือเกิน (อาจจะรู้สึกไปเองก็ได้) รวบรวมประสาทรับความรู้สึกทั้งหมดไปไว้ที่หู ตั้งใจว่าจะจับเสียงทั้งหมดไม่ให้รอดไปได้แม้แต่นิดเดียว

ไม่ช้าไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าหนัก ๆ ดังใกล้เข้ามาน่าจะจากด้านระเบียง พอถึงระยะห่างจากผมประมาณไม่ถึงร้อยเมตร ซึ่งเป็นพื้นปูพรม เสียงฝีเท้าจึงแผ่วลงแทบไม่ได้ยิน ครู่หนึ่งต่อมาผมได้ยินเสียงหายใจหอบหนักของชายคนหนึ่ง ขณะที่กำลังเอะใจว่าใครจะมาท่าไหนกันแน่นั้น ร่างใหญ่โตที่คงจะเป็นของชายต่างชาติก็ทิ้งโครมลงมาบนตักผมพอดี ก้นของเขาหยุ่นตัวขึ้นลงสองสามครั้ง ขาอ่อนของผมกับก้นใหญ่มโหฬารของเขาแนบสนิทกันมีเพียงแผ่นหนังบาง ๆ เท่านั้นที่กั้นไว้ แนบสนิทจนผมรู้สึกถึงความอบอุ่นของร่างกายคนนั่ง ไหล่กว้างของเขาพิงมาตรงหน้าอกของผมพอดี มือหนัก ๆ ทั้งสองข้างทาบทับลงมาบนมือของผมมีเพียงแผ่นหนังบาง ๆ เท่านั้นที่กั้นไว้ ชายคนนี้คงจะกำลังสูบซิการ์เพราะผมได้กลิ่นฉุนที่บ่งบอกความเป็นชายเต็มตัวโชยผ่านช่องว่างระหว่างแผ่นหนังบุเก้าอี้เข้ามา

คุณนายลองสมมติว่าตัวเองตกอยู่ในสภาพอย่างผมในตอนนั้นและวาดภาพดูซิครับ จะเห็นว่ามันภาพที่ประหลาดพิสดารเหนือจินตนาการอะไรอย่างนั้น ผมบีบเนื้อบีบตัวจนแข็งเกร็งไปหมดภายในความมืดมิดของเก้าอี้ด้วยความกลัวเป็นที่สุด เหงื่อเย็น ๆ ไหลลงมาเป็นสายจากรักแร้ สูญสิ้นเรี่ยวแรงที่จะคิดอ่านทำอะไรได้แต่ปล่อยเนื้อตัวให้เป็นไปตามยถากรรม

วันนั้นทั้งวัน หลังจากชายคนที่มานั่งบนตักผมเป็นคนแรกลุกไป ก็มีคนเวียนมานั่งสับเปลี่ยนกันไปอีกหลายคน และไม่มีใครรู้สึกแม้แต่นิดเดียวว่ามีผมอยู่ในนั้น ไม่มีใครรู้สึกเลยว่าอะไรนุ่ม ๆ ที่เขาเชื่อกันอย่างสนิทใจว่าเป็นเบาะเก้าอี้นั่น ที่จริงเป็นขาอ่อนของผมที่เป็นมนุษย์มีเลือดเนื้อเช่นเดียวกับพวกเขา

ผมตกปลักอยู่ในสภาพกระดิกตัวไม่ได้ภายในโลกหุ้มหนังอันมืดมิด แต่มันช่างเป็นโลกที่มีมนต์เสน่ห์พิลึกพิลั่นอะไรเช่นนั้น ทำให้รู้สึกว่ามนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ประหลาดน่าอัศจรรย์ ผิดแปลกอย่างสิ้นเชิงกับมนุษย์ที่เห็นกันอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน มนุษย์ที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าเสียงพูด เสียงกรน เสียงฝีเท้า เสียงเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มเสียดสีกัน บางคนยังมีก้อนเนื้อกลมกลึงอวบอ้วนและหยุ่นยวบแถมมาด้วย ผมแยกความแตกต่างของคนแต่ละคนได้ด้วยสัมผัสโดยตรงกับผิวหนังแทนที่จะเป็นรูปโฉม บางคนผมสัมผัสกับความอ้วนใหญ่ของร่างกายและกลิ่นที่เหมือนกับแกล้มเน่า ๆ ตรงกันข้ามกับบางคนที่ผอมแห้งราวโครงกระดูก นอกจากนั้นผมยังจับความจริงได้ว่า ร่างกายคนเรานั้นแม้ลักษณะที่เราเห็นกันภายนอกจะดูคล้ายคลึงกัน แต่จะต้องมีอะไรสักอย่างที่ต่างกัน อาจเป็นความโก่งโค้งของกระดูกสันหลัง ระยะห่างของสะบัก ความยาวของแขน ความอวบอ้วนของต้นขา หรือไม่ก็ความสั้นยาวของกระดูกก้นกบ ผมมั่นใจว่าความรู้สึกสัมผัสเหล่านี้สามารถนำมาใช้ในการแยกอัตลักษณ์ของมนุษย์อย่างไม่ผิดเพี้ยนได้แน่นอน เช่นเดียวกับรูปโฉมและลายนิ้วมือ

ทางด้านคนต่างเพศก็เช่นกัน ตามปกติเราจะมองกันที่ความสวยความหล่อเป็นส่วนใหญ่ แต่สำหรับโลกภายในเก้าอี้นั่นกลายเป็นเรื่องนอกประเด็น เพราะที่นี่มีแต่ความเปลือยเปล่า เสียง และกลิ่นเท่านั้น

คุณนายครับ กรุณาอย่าถือสาที่ผมอาจพูดตรงไปหน่อย และตอนนี้ผมกำลังจะบอกว่าผมติดใจเนื้อหนังมังสาของผู้หญิงคนหนึ่งเข้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว(ผู้หญิงคนแรกที่นั่งบนเก้าอี้ผมเลยละครับ)

เดาเอาจากเสียงพูดน่าจะเป็นหญิงสาวชาวต่างชาติ พอดีตอนนั้นไม่มีใครอยู่ในห้องเธอจึงครวญเพลงท่วงทำนองแปลก ๆ ด้วยเสียงเล็ก ๆ น่ารักแจ่มใส เข้ามาในห้องด้วยฝีเท้าคล้ายกำลังหมุนตัวเต้นรำด้วยความสุข เธอเดินเข้ามาใกล้ท้าวแขนเก้าอี้ที่ผมซ่อนตัวอยู่ และยังไม่ทันเตรียมตัวเตรียมใจอยู่ ๆ เธอก็ทิ้งร่างอวบเต่งตึงไปด้วยเนื้อหนังมังสาของหญิงวัยสาวสะพรั่งลงมาบนผมเต็มแรง และไม่รู้ว่าไปเจอเรื่องขบขันมาจากไหน เธอหัวเราะเต็มเสียงพร้อมทั้งแกว่งเท้ากระแทกส้นกึง ๆ เข้ากับเก้าอี้เหมือนปลาดิ้นอยู่ในร่างแหด้วยความเมามันเต็มที่

จากนั้น เดี๋ยว ๆ เธอก็ร้องเพลงออกมาแล้วโยกย้ายตัวหนัก ๆ ไปตามจังหวะอยู่บนตักผมประมาณครึ่งชั่วโมงได้

นั่นเป็นเรื่องใหญ่ขนาดฟ้าสะท้านดินสะเทือนที่เกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝันมาก่อนเลยจริง ๆ สำหรับผม ที่มองว่าผู้หญิงเป็นอะไรที่เหมือนเทพ เหมือนอะไรที่น่ากลัวไม่อาจจับต้องหรือแม้แต่จะมอง ผมคนนี้นี่แหละที่ต้องมาอยู่ในห้องสองต่อสองกับหญิงสาวชาวต่างชาติ อยู่บนและในเก้าอี้เดียวกัน ไม่เท่านั้นนะครับผมกับเธอยังนั่งแนบชิดจนอุ่นไอหนั่นเนื้อมีเพียงแผ่นหนังบาง ๆ เท่า นั้นคั่นอยู่ ถึงกระนั้นโฉมยงก็ยังไม่รู้สึกระแคะระคายแต่อย่างใด เธอทิ้งน้ำหนักทั้งหมดลงมาบนผมนั่งทอดกายสบายเต็มที่เพราะไม่ต้องใส่ใจว่าใครจะมอง ผมจึงสามารถโอบกอดเธอไว้ได้จากภายในเก้าอี้หรือจะจุมพิตต้นคอขาวผ่องให้ชื่นใจผ่านแผ่นหนังบาง ๆ ด้วยก็ยังได้ หรือว่าจะทำอะไร ๆ อีกก็ได้อย่างอิสรเสรี

หลังการค้นพบที่ควรแก่การตื่นตะลึงนี้แล้ว การขโมยของที่เป็นจุดมุ่งหมายแรกของผมก็คลายความสำคัญลงไปเป็นอันดับสอง เพราะผมได้ตกจมลึกลงไปในโลกแห่งสัมผัสอันแปลกประหลาดเสียแล้ว ผมคิดครับว่าฟ้าคงประทานโลกภายในเก้าอี้ตัวนี้ให้เป็นที่อยู่อาศัยของผม ผู้ชายหน้าตาน่าเกลียดและอ่อนแอคนหนึ่งที่จำต้องมีชีวิตอยู่อย่างเจียมเนื้อเจียมตัว ไม่กล้าสู้หน้าสู้ตาผู้คน ในสังคมที่รุ่งเรืองแจ่มจรัสมาโดยตลอดอย่างไม่มีปัญญาจะหาทางเลือกได้ เอาละ...ถึงเวลาของผมแล้วที่จะได้เปลี่ยนโลกใหม่เสียที แค่ทนความคับแคบอยู่ในเก้าอี้อย่างนี้เท่านั้น ผมก็จะสามารถใกล้ชิดกับหญิงงามได้แนบเนื้ออุ่นไอกาย ได้ยินทั้งเสียงไพเราะ อย่างที่ไม่เคยมีโอกาสแม้เพียงจะเฉียดเข้าใกล้ และอย่าหวังเลยว่าจะได้พูดจาด้วยในโลกอันแจ่มจรัสข้างนอกนั้น

ความรักในเก้าอี้ (!) ครับ...จะพูดยังไงก็พูดไปเถอะ คนที่ไม่เคยเข้ามาอยู่ในเก้าอี้จริง ๆ ไม่มีวันเข้าใจหรอกว่ามันมีเสน่ห์เย้ายวนให้เคลิบเคลิ้มเมามายได้ถึงขนาดไหน รักนั้นเป็นความรักที่เกิดขึ้นในโลกแห่งความมืด เกิดจากสัมผัส เกิดจากการได้ยินเสียงและเกิดจากกลิ่นเพียงน้อยนิด ไม่ใช่ความรักเฉกเช่นมนุษย์ปุถุชนในสังคมของโลกภายนอกแน่นอน หรือจะเรียกว่ากามกิเลสในโลกแห่งซาตานคงพอจะได้ละมัง เรื่องแบบนี้มันก็แปลกอยู่ แต่มาคิดดูอีกทีโลกนี้ก็มีอะไร ๆ ที่ร้ายกาจ ประหลาด น่าสะพรึงกลัวเกินจินตนาการเกิดขึ้นตรงมุมนั้นมุมนี้ลอดสายตาผู้คนอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันมิใช่หรือ

แผนเดิมของผมคือเมื่อเป้าหมายการขโมยของบรรลุผลแล้วก็ตั้งใจจะรีบหนีออกจากโรงแรมทันที แต่พอมามีความสุขอย่างประหลาดที่สุดในโลกเช่นนั้นเข้า แทนที่จะหนีไปผมกลับเคลิบเคลิ้มหลงไหลและสิงสู่อยู่ในเก้าอี้ตัวนั้นต่อไปอย่างไม่รู้ที่สิ้นสุด

ตอนกลางคืนผมเล็ดลอดออกไปข้างนอกอย่างระมัดระวังและเงียบกริบที่สุดไม่ให้ใครเห็นได้เป็นอันขาด ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้จะไม่เคยพบกับอันตรายใด ๆ แต่การใช้ชีวิตอยู่ภายในเก้าอี้โดยต้องซ่อนเร้นจากสายตาผู้คนนานหลายหลายเดือนเช่นนี้ แม้แต่ผมก็ยังประหลาดใจตัวเองเหมือนกันว่าอยู่เข้าไปได้ยังไง

การต้องนั่งงอแขนงอเข่าอยู่ภายในเก้าอี้แคบ ๆ ตลอดทั้งวัน ทำให้เป็นเหน็บไปทั้งร่างกายไม่อาจยืนเหยียดตัวตรงได้ จนในที่สุดเวลาจะไปหาอะไรกินที่ครัวหรือไปห้องน้ำถึงกับต้องถัดไปเหมือนคนขาเสีย ผมช่างเป็นคนสติวิปราสอะไรเช่นนั้น ไม่ยอมทิ้งโลกแห่งความรู้สึกสัมผัสอันพิลึกพิลั่นแม้จะต้องทนทุกข์ทรมานปานใด
 
(โปรดติดตามตอนต่อไป...)
กำลังโหลดความคิดเห็น